บทนำ
สาระในส่วนนี้จะหยิบยกรายการเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องมาอธิบายขยายความเข้าใจ แสดงกรอบสังเคราะห์การทำงานตามกลุ่มเป้าหมายและช่วงวัย ชี้ให้เห็นถึงจุดคานงัดงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ระบุทำเนียบหน่วยงาน/องค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตสำหรับเชื่อมร้อยภาคีเครือข่าย และ/หรือ ติดต่อขอข้อมูลเชิงลึกได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีคิวอาร์โค้ด (QR code) และลิงค์ (Link) ดาวน์โหลดเครื่องมือ/ข้อมูล/สื่อการเรียนรู้ ตามความสนใจ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น หรือ ค้นคว้าเพิ่มเติม
5.1 แนวคิด ทฤษฎี และผลงานที่เกี่ยวข้อง
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตมีความหลากหลายตามความเชื่อพื้นฐานและการมองมนุษย์ในแง่มุมต่าง ๆ โดยมีบางทฤษฎีที่มีจุดเด่นและมุมมองที่แตกต่างกัน โดยสามารถเลือกใช้แนวคิดต่าง ๆ เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมในการส่งเสริมป้องกันสุขภาพจิต
(1) ทฤษฎีในการวัด สุขภาวะทางจิต โดย Ryff
ทฤษฎีในการวัดสุขภาวะทางจิตโดย Ryff (1989, 1995) ได้แบ่งเป็น 6 มิติ ซึ่งช่วยในการทบทวนและวัดสุขภาพจิตโดยองค์ประกอบต่อไปนี้:
1.การยอมรับในตนเอง: เน้นความพึงพอใจและการยอมรับตนเองในทุกมิติ โดยมองตนเองในแง่บวกและรับรู้คุณค่าของตนเองทั้งในด้านดีและด้านที่ไม่ดี
2.ความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น: การมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีคุณภาพกับคนรอบข้าง ซึ่งรวมถึงความเข้าใจและการให้รับเป็นส่วนสำคัญ
3.ความเป็นตัวของตัวเอง: การมีความมั่นคงและความเชื่อมั่นในตนเองในการตัดสินใจและการดำเนินชีวิต โดยไม่ขึ้นอยู่กับการติดตามแรงกดดันจากสังคม
4.การจัดการสภาพแวดล้อม: ความสามารถในการปรับตัวและการจัดการกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายของตนเอง
5.การมีเป้าหมายในชีวิต: การมีเป้าหมายชัดเจนในชีวิตและการมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในการตามเป้าหมายนั้น โดยรับรู้ความหมายและคุณค่าของชีวิต
6.การมีความงอกงามในตน: การมีความรู้สึกว่าตนเองกำลังเติบโตและพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่องช่วยให้บุคคลมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองในทุกด้านของชีวิต
การมีสุขภาวะทางจิตที่ดีตามทฤษฎีของ Dupuy เน้นไปที่องค์ประกอบหลักที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและรักษาสุขภาพจิตอย่างมีคุณภาพ โดยมีความสำคัญดังนี้:
ความวิตกกังวล: การมีความกังวลหรือวิตกกังวลน้อยช่วยให้บุคคลสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้ดีขึ้น
ภาวะซึมเศร้า: การควบคุมอารมณ์และรักษาสุขภาพจิตเมื่อเผชิญกับภาวะซึมเศร้าจะช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
สุขภาวะทางบวก: การรับรู้ความสุขในชีวิตและความพึงพอใจช่วยสร้างสุขภาวะทางจิตที่ดี
การควบคุมตัวเอง: การสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมเป็นประจำช่วยให้สามารถจัดการกับสถานการณ์และปัญหาในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความมีชีวิตชีวา: การมีพลังและความสดชื่นในการดำเนินชีวิตช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตและความเจริญเติบโต
ภาวะสุขภาพทั่วไป: การรักษาสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสมช่วยลดความเครียดและความกังวลที่มีผลต่อสุขภาพจิต
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาวะทางจิตสามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องภายในตัวบุคคลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องภายนอกตัวบุคคลดังนี้:
1.ปัจจัยภายในตัวบุคคล:
เพศ: วัดภาวะทางจิตเพศหญิงมักมีระดับสุขภาวะทางจิตต่ำกว่าเพศชาย เนื่องจากมักมีระดับซึมเศร้าสูงกว่า
อายุ: บุคคลที่มีอายุผู้ใหญ่ตอนปลายมักมีสุขภาวะทางจิตสูงที่สุด เนื่องจากได้
ผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้การเผชิญปัญหามากกว่าบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า
สถานภาพสมรส: บางการศึกษาพบว่าบุคคลที่แต่งงานมักมีความสุขภาวะทางจิตที่ดีกว่าบุคคลโสด
2.ปัจจัยภายนอกบุคคล:
สิ่งแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและกระตุ้นการเรียนรู้และการเติบโตทางจิตใจมักมีผลต่อสุขภาวะทางจิต
สัมพันธภาพระหว่างบุคคล: มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นช่วยเสริมสร้างความสุขภาวะทางจิต
ครอบครัว: การมีความสนับสนุนและความเข้าใจจากครอบครัวสามารถส่งเสริมสุขภาวะทางจิตได้
การสนับสนุนทางอารมณ์: การได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากบุคคลใกล้ชิดช่วยเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางจิตใจ
สภาพสังคมและวัฒนธรรม: สภาพสังคมที่เชื่อมโยงและวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการรับรู้ความหมายและความสุขในชีวิตมีผลต่อสุขภาวะทางจิต
การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม: การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมที่น่าสนใจช่วยสร้างความสุขภาวะทางจิตและความรู้สึกว่ามีคุณค่าในชีวิต
(2) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theories) ของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์เน้นที่การศึกษาจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเน้นไปที่แรงจูงใจที่อยู่ในจิตไร้สำนึก ที่มักแสดงออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจ เช่น โรคจิต โรคประสาท ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณและเหตุผลที่ไม่มีการขัดเกลา และมนุษย์มีแรงจูงใจในการแสวงหาความพึงพอใจในตนเอง เป็นสำคัญ
ทฤษฎีของฟรอยด์รวมไปถึงแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยแบ่งเป็นสัญชาตญาณหลัก ๆ ดังนี้:
สัญชาตญาณแห่งการมีชีวิต (Eros or Life): เป็นสัญชาตญาณที่แสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศและความปรารถนาที่จะได้รับความพึงพอใจในรูปแบบต่าง ๆ
สัญชาตญาณในการป้องกันตนเอง: เป็นสัญชาตญาณที่ทำให้มนุษย์แสวงหาความพึงพอใจให้แก่ตนเอง
สัญชาตญาณแห่งความตาย (Thanatos or Death instinct): เป็นสัญชาตญาณในการทำลายหรือความก้าวร้าว
ฟรอยด์มองธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ลบ โดยกล่าวว่า มนุษย์มีการตอบสนองและแสวงหาความพึงพอใจให้กับตนเองเป็นสำคัญโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีการขัดเกลา นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังเน้นว่าจิตจะเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลง
และเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา และไม่หยุดนิ่ง
ความสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ คือ การเน้นที่จิตไร้สำนึกและแรงขับเคลื่อนที่ซ่อนอยู่ในจิตซึ่งมักแสดงออกมาในรูปของความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางจิตใจ เช่น โรคจิต โรคประสาท ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับเคลื่อนที่ไม่มีสำนึกและเหตุผลที่มีผลกับพฤติกรรมของมนุษย์ และมนุษย์มีความปรารถนาที่จะแสวงหาความพึงพอใจในตนเอง
นอกจากนี้ ทฤษฎีของฟรอยด์ยังเน้นไปที่ธรรมชาติของมนุษย์โดยเชื่อว่ามนุษย์มีแรงขับเคลื่อนทางสัญชาตญาณที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีการขัดเกลา และมนุษย์มีแรงจูงใจในการแสวงหาความพึงพอใจในตนเองโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีการขัดเกลา นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังเน้นว่าจิตจะเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาและไม่หยุดนิ่ง
(3) แนวคิดตามทฤษฎีตัวตนของโรเจอร์ (Roger’s Self Theory)
แนวคิดตามทฤษฎีตัวตนของโรเจอร์ เน้นการศึกษาโครงสร้างบุคลิกภาพของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยตัวตน 3 แบบดังนี้:
1.ตัวตนที่มองเห็น (Self-Concept หรือ Perceived Self): เป็นการมองเห็นตัวตนของตนเองตามมุมมองที่เห็นและรับรู้ เป็นที่รับรู้ตัวเองในมิติต่าง ๆ โดยครอบคลุมทั้งความรู้สึก, ความคิด, และทัศนคติต่อตนเอง
2.ตัวตนตามที่เป็นจริง (Real Self): เป็นรูปร่างของตัวตนที่แท้จริงของบุคคล เป็นการรับรู้ตัวเองตามความเป็นจริง โดยรวมถึงความคิดเห็นของตนเองและความรู้สึกที่เกิดขึ้น
3.ตัวตนตามอุดมคติ (Ideal Self): เป็นรูปแบบของตัวตนที่ต้องการเป็น หรือความคาดหวังที่มีต่อตัวเองในอนาคต
มักเกี่ยวข้องกับความใส่ใจและความพยายามในการพัฒนาตนเอง
นอกจากนี้ แนวคิดของโรเจอร์ยังมีลักษณะของบุคลิกที่มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้:
1.เป็นผู้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ: เปิดใจรับรู้และยอมรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
2.มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริง: มีการต่อสู้และปรับตัวกับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างมีสติสัมปชัญญะ
3.มีความไว้วางใจตัวเอง: มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในความสามารถและการตัดสินใจของตนเอง
4.มีลักษณะสร้างสรรค์: มีความคิดสร้างสรรค์และมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
5.มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น: มีความพึงพอใจและความสุขในชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นโดยมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
(4) ทฤษฎีกลุ่มมนุษย์นิยม (Humanistic Theory) ของ Abraham Maslow
ทฤษฎีกลุ่มมนุษย์นิยมของ Abraham Maslow มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อของการพัฒนาและการเติบโตของมนุษย์ในทางที่เชื่อมโยงกับการเติบโตทางจิตและทางอารมณ์ของบุคคล สำหรับ Maslow เขาเชื่อว่า:
1.มนุษย์มีความสามารถและศักยภาพ: Maslow เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองไปสู่ทางที่ดียิ่งขึ้น เขาเน้นความสำคัญของการเจริญเติบโตและการทำงานเพื่อเติบโตเป็นบุคคลที่เต็มที่
2.มนุษย์มีความรักตนและการเจริญเติบโต: ทฤษฎีของ Maslow เน้นถึงความสำคัญของการรักษาความสุขของตนเองและการเติบโตทางจิตใจ
3.มนุษย์มีความต้องการพื้นฐานที่ต้องการตอบสนอง: Maslow ระบุถึงการต้องการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การตอบสนองต่อความหิว, การมีที่อยู่, ความรัก, และความปลอดภัย เป็นต้น
4.มนุษย์มีความรับผิดชอบในการควบคุมและตัดสินใจ: Maslow เน้นความสำคัญของความรับผิดชอบในการควบคุมตนเองและตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตน
โดยทั้งหมดนี้มาจากหลักการหรือความเชื่อของทฤษฎีกลุ่มมนุษย์นิยม:
1.มนุษย์มีธรรมชาติแห่งความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้: มนุษย์มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาและเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและตนเอง
2.มนุษย์มีสิทธิในการต่อต้านหรือไม่พอใจในผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ: แม้สิ่งนั้นจะได้รับการยอมรับว่าจริง และมนุษย์มีสิทธิในการไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม
3.การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดหรือมโนทัศน์ของตนเอง: Maslow เน้นความสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและมโนทัศน์ของตนเองเป็นหนึ่งในแง่มุมสำคัญในการเติบโตและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
(5) ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพของอีริคสัน (Erikson’s Theory of development)
ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพของ Erik Erikson เน้นไปที่การพัฒนาทางจิตใจและบุคลิกภาพของบุคคล โดยเน้นไปที่ช่วงวิกฤตที่มีความสำคัญในการพัฒนาของบุคคลที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะในวัยเด็กเท่านั้น ซึ่งสภาพทางจิต-สังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพัฒนาของบุคคลด้วย
การพัฒนาตามทฤษฎีของ Erikson ประกอบด้วย 8 ขั้นตอนหลัก ซึ่งมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยมีความสำคัญดังนี้:
1.ช่วงวิกฤตของความเชื่อมั่นและความไม่เชื่อมั่น (Trust vs. Mistrust): เด็กจำเป็นต้องไว้วางใจและมีความมั่นใจในสิ่งแวดล้อมและผู้ดูแล เพื่อให้พัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง
2.ช่วงวิกฤตของความสงบสุขกับความสับสน (Autonomy vs. Shame and Doubt): เด็กเริ่มต้นการเรียนรู้ความสามารถในการควบคุมตนเอง และการเข้าใจถึงความเหมาะสมของพฤติกรรม
3.ช่วงวิกฤตของความเรียนรู้และความสำเร็จ (Initiative vs. Guilt): เด็กเริ่มมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ แต่อาจเกิดความรู้สึกของความผิดพลาดหรือความผิดทางกฎหมาย
4.ช่วงวิกฤตของความสามารถในการเรียนรู้และความล้มเหลว (Industry vs. Inferiority): เด็กจะพยายามทำกิจกรรมและภารกิจต่างๆ เพื่อทดลองความสามารถของตนเอง
5.ช่วงวิกฤตของความหวัง (Identity vs. Role Confusion): วัยรุ่นจะพยายามหาความรู้สึกเป็นตัวของตนเองและค้นพบอัตลักษณ์ของตน
6.ช่วงวิกฤตของความรัก (Intimacy vs. Isolation): ผู้ใหญ่ยังคงมีความประสบความสำเร็จ
7.ช่วงวิกฤตของการทำงานและการอุตสาหะ (Generativity vs. Stagnation): ผู้ใหญ่กำลังพัฒนาความรับผิดชอบในการดูแลผู้อื่นและสร้างสรรค์
8.ช่วงวิกฤตของความหมายของชีวิต (Integrity vs. Despair): ซึ่งเกิดขึ้นในวัยสูงอายุ บุคคลจะตระหนักถึงชีวิตของตนเอง พวกเขาจะทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมาและวิเคราะห์ว่าชีวิตของพวกเขามีความหมายอย่างไร
6) ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของแฮรี สแต็ค ซัลลิแวน (Sullivan’s Interpersonal Theory)
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของแฮรี สแต็ค ซัลลิแวน เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อม โดยมีพื้นฐานในพันธุกรรมและการสร้างความสัมพันธ์เชิงสังคม โดยมองว่าบุคคลต้องการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกัน เพื่อจัดสรรสิ่งเหล่านี้ให้เป็นระบบที่สอดคล้องกัน เขายังอธิบายว่าพฤติกรรมของบุคคลมักเกิดจากการทำงานร่วมกันของระบบทั้ง 3 ส่วนที่ประกอบด้วย (1) การแปรผัน (Dynamism), (2) กระบวนการของพฤติกรรม (Pattern), และ (3) การแปรผันพลังจิต (Dynamism of Psychiatry) ที่สร้างเครียด (Tension) ซึ่งเมื่อบุคคลรับรู้ประสบการณ์นั้น พวกเขาอาจแสดงพฤติกรรมตามประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้เกิดการผ่อนคลาย (Euphoria) หรือเครียด (Anxiety) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง หรือความกังวลที่ไม่รู้สึกอบอุ่นหรือมั่นคงในเรื่องของความรัก ทั้งนี้เน้นไปที่ความสัมพันธ์และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของบุคคลในทางที่สมบูรณ์
(7) ทฤษฎีจิตวิทยาวิเคราะห์ (Analytical Psychology Theory) ของ คาร์ล จี จุง
ทฤษฎีจิตวิทยาวิเคราะห์ของคาร์ล จี จุง เน้นไปที่โครงสร้างและลักษณะบุคลิกภาพของบุคคล ดังนี้:
1.โครงสร้างบุคลิกภาพ (Structure of Personality):
¬อีโก้ (Ego): เป็นศูนย์กลางแห่งบุคลิกภาพที่เชื่อว่าอยู่ในส่วนของจิตสำนึก (conscious) และเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติตนของบุคคล
¬จิตใต้สำนึกส่วนบุคคล (Personal Unconscious): เก็บข้อมูลที่ถูกลบหรือถูกลืมของบุคคลเอาไว้
จิตใต้สำนึกส่วนที่สะสมประสบการณ์ใน¬อดีตชาติ (Collective Unconscious): ประกอบด้วยแบบแบ่งปันของความคิดและความรู้ที่ไม่มีการเรียนรู้ในส่วนบุคคลเอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนที่สะสมมาจากประสบการณ์ของมนุษยชาติทั้งหมด
¬หน้ากาก (Persona): ส่วนที่บุคคลแสดงต่อสังคมเพื่อให้คนอื่นเห็น โดยอาจไม่ตรงกับตัวตนจริงของบุคคล
¬ลักษณะซ่อนเร้น (Anima or Animus): เป็นความรู้สึกและลักษณะที่ไม่เป็นทางการของเพศตรงข้ามในบุคคล
2.ลักษณะบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล:
¬แบบเก็บตัว (Introvert): เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่มีแนวโน้มเป็นพวกเก็บตัว ชอบความสงบเงียบและไม่ชอบการเข้าสังคม
¬แบบแสดงตัว (Extrovert): เป็นบุคลิกภาพประเภทแสดงตัว ชอบเข้าสังคม รักความสนุกสนานและชอบการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง
(8) ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลของแอดเลอร์ (Adler’s Individual Psychology) ของ Adler
ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลของแอดเลอร์ (Adler’s Individual Psychology) เน้นการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยคำนึงถึงความซับซ้อนและการจัดระบบของแต่ละบุคคล โดยมีโครงสร้างที่สำคัญดังนี้:
1.การยึดถือสิ่งที่เป็นจินตนาการ (Fictional Finalism): เชื่อว่าบุคคลมี
แรงจูงใจที่จะตามหาความหมายหรือเป้าหมายที่มีตัวเองสร้างขึ้นมาในจินตนาการ เช่น ความสำเร็จหรือความสุข
2.การแสวงหาความยิ่งใหญ่ (Striving for Superiority): มีความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น โดยการพยายามทำให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม
3.ความรู้สึกด้อยและการชดเชย (Inferiority Feeling and Compensation): เน้นถึงการรู้สึกที่ตัวเองไม่เพียงพอหรือไม่ดีเท่าคนอื่น และการพยายามชดเชยความขาดแคลนนั้นผ่านการพัฒนาศักยภาพ
4.สนใจสังคม (Social Interest): เน้นความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างและการร่วมมือกับสังคม
5.แบบแผนชีวิต (Style of Life): คือลักษณะการมีชีวิตที่ส่วนตัวและไม่ซ้ำซ้อนของแต่ละบุคคล ที่มีผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมต่าง ๆ
6.การเลี้ยงดูของพ่อแม่: การเลี้ยงดูและประสานงานของพ่อแม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลในระยะเริ่มต้นของชีวิต
ทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลนี้นำเสนอมุมมองที่เน้นความสำคัญของการรู้สึกด้อยและการชดเชย การแสวงหาความยิ่งใหญ่ และความสัมพันธ์กับสังคมในการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลในแง่มุมที่ซับซ้อนและแตกต่างไปจากทฤษฎีจิตวิทยาอื่นๆ
5.2 กรอบการสังเคราะห์การจัดทำข้อมูลเชิงประเด็นแบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย 8 หัวข้อ
"กลุ่มเป้าหมาย" ประกอบด้วย 8 หัวข้อดังนี้:
1.กลุ่มเป้าหมาย: ระบุชนิดของกลุ่มที่เป็นเป้าหมาย เช่น ปัจเจก/ตามช่วงวัย ภาคีปฎิบัติการ ภาคียุทธศาสตร์ และ พฤติกรรมหรือสมรรถนะที่คาดหวังของกลุ่มเป้าหมาย (Outcome)
2.องค์ความรู้สุขภาวะ: ระบุหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย และเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
3.การใช้เครื่องมือ/สื่ออย่างไร (How to): ระบุเครื่องมือ/สื่อที่ใช้ และวิธีการใช้งาน
4.เครื่องมือ/สื่อ: ระบุว่ามีเครื่องมือ/สื่อใดบ้าง และระบุผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้รับประโยชน์ รวมถึงการระบุผู้ใช้เครื่องมือ/สื่อและพฤติกรรมหรือสมรรถนะที่คาดหวัง (Output)
5.เอกสารเผยแพร่ทั่วไป: ระบุเอกสารที่จะใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล
6.ระดับส่งต่อข้อมูล (1 2 3 4): ระบุระดับการส่งต่อข้อมูลต่างๆ
7.นโยบาย: ระบุนโยบายที่เกี่ยวข้อง
8.แหล่งอ้างอิง: ระบุแหล่งอ้างอิงที่ใช้ในการจัดทำเนื้อหา
กลุ่มเป้าหมาย ตามช่วงวัย
กลุ่มเป้าหมายตามช่วงวัย แบ่งได้ดังนี้
-ปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี)
-วัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) /พ่อแม่แลผู้ปกครองเด็กวัยประถมศึกษา (อายุ 6-12 ปี)
-วัยรุ่น/มัธยม (อายุ 13-18 ปี)
-วัยรุ่น
-วัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี)
-วัยรุ่น/เยาวชน
-วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง (อายุ 12-18 ปี)ในโรงเรียนมัธยมศึกษา
-คาบเกี่ยววัยเรียนและวัยรุ่น(อายุ 8-18 ปี)
-คาบเกี่ยววัยเรียนและวัยรุ่น
-วัยผู้ใหญ่-สูงอายุ
-วัยผู้ใหญ่-สูงอายุ(กลุ่มเสี่ยง)
-เน้นหลักครอบครัวและครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
-ประชาชนทั่วไป
-ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป
-กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)
-ทุกช่วงวัยตั้งแต่ในครรภ์มารดา วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่
-ประชาชนทั่วไป/ทุกกลุ่มวัย
-ประชาชนกลุ่มเสี่ยง/ทุกกลุ่มวัย
5.3 จุดคานงัดงานสร้างเสริมสุขภาพจิต
"จุดคานงัด" เกี่ยวกับการแสดงตำแหน่งการดำเนินการหรือกิจกรรมที่ส่งผลกระทบได้มาก เมื่อเทียบกับการใช้ทรัพยากรหรือแรงในการลงมือทำน้อย และการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสรุปจะมีจุดเน้นที่สำคัญดังนี้:
การสร้างเสริมสุขภาพจิต: เน้นการสร้างเสริมและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตโดยให้บุคคลมีความสามารถในการปฏิบัติ พัฒนา และควบคุมสุขภาพจิตของตน โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความรู้ส่วนบุคคล การจัดการสิ่งแวดล้อมและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิต เพื่อให้บรรลุการมีสุขภาวะทางจิตและสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข
การสร้างเสริมสุขภาพจิตในทุกกลุ่มประชากร: การสร้างเสริมสุขภาพจิตไม่เฉพาะเฉพาะกลุ่มบุคคลใดเฉพาะ แต่เป็นการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ใช้ได้กับทุกกลุ่มวัยและกลุ่มประชากร โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตในทุกภาคส่วนของสังคม
การสร้างเสริมความเข้มแข็งทางจิตใจ (Resilience): การสร้างเสริมสุขภาพจิตไม่เพียงแค่การให้ความรู้และทักษะเท่านั้น แต่ยังเน้นการพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจ (Resilience) ซึ่งเป็นความสามารถในการผ่านพ้นและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ท้าทายและเครียดได้
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิต: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตคือการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมและสร้างเงื่อนไขที่ทำให้บุคคลมีความสุขและมีความเข้มแข็งทางจิตใจ
การปฏิบัติการที่สนับสนุนการสร้างสุขภาพจิต: การสร้างเสริมสุขภาพจิตจะมีการปฏิบัติการที่สำคัญ
ระบบที่ดำรงอยู่
การวิเคราะห์ระบบที่ดำรงอยู่ในการสร้างเสริมสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิตมีความสำคัญมาก โดยสรุปได้ดังนี้:
1.การพัฒนาโครงสร้างการทำงาน: มีการสร้างศูนย์สุขภาพจิตเป็นหน่วยงานประจำแต่ละเขต/กลุ่มจังหวัดเพื่อประสานงานด้านการส่งเสริมป้องกัน และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในพื้นที่ อย่างไรก็ตามยังขาดศักยภาพทางวิชาการที่จะตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
2.การดำเนินโครงการที่มีศักยภาพ: โครงการทูบีนัมเบอร์วันเป็นตัวอย่างของโครงการที่มีขนาดใหญ่และได้รับ
ทรัพยากรสูงสุด โดยมุ่งเน้นการป้องกันปัญหายาเสพติดในเยาวชน
3.การพัฒนาเครื่องมือและโครงการ: มีการพัฒนาคู่มือและเอกสารหลายรายการในหัวข้อต่าง ๆ โดยมีจำนวนสื่อและเทคโนโลยีมากกว่า 500 รายการ โครงการ IQ EQ เป็นตัวอย่างของการดำเนินงานเชื่อมโยงต่อเนื่องมากที่สุด
4.ความสำคัญของการปรับระบบงาน: การปรับวิธีคิดและวิธีการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้กรมสุขภาพจิตสามารถดำเนินงานด้านสร้างเสริมสุขภาพจิตในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.การจัดการเพื่อก่อให้เกิดเอกภาพในการทำงาน: การจัดการที่เหมาะสมเพื่อสร้างเอกภาพในการทำงานมีความสำคัญ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกับการกระจายอำนาจและงบประมาณไปสู่ท้องถิ่น
6.การแก้ไขข้อบกพร่อง: การแก้ไขข้อบกพร่องในการสร้างเสริมสุขภาพจิต เช่น ขาดข้อมูลที่จะช่วยในการจัดลำดับความสำคัญ และขาดแผนเชื่อมโยงในระยะยาว เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ
โดยทั้งหมดนี้สรุปถึงความสำคัญของการวิเคราะห์ระบบที่ดำรงอยู่ในการสร้างเสริมสุขภาพจิต ของกรมสุขภาพจิตและความจำเป็นในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในอนาคต ในการพัฒนาสุขภาพจิตของประชากรในท้องถิ่นและทั่วไปด้วยวิธีที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างการทำงาน เพิ่มความสามารถทางวิชาการ หรือการจัดการเพื่อเกิดเอกภาพในการทำงาน
ส่วนขาดสำคัญ
การเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต: ชุมชนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตเนื่องจากมีผลต่อคุณภาพชีวิตทั่วไปของชุมชน เช่น การป้องกันปัญหาเยาวชนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและพฤติกรรมรุนแรง
การรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่มเป้าหมาย: ชุมชนตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุ ซึ่งมีการแสดงความเป็นมากในการดูแลและสนับสนุน
การรับรู้และการระดมทุน: มีการระดมทุนและความร่วมมือในการพัฒนางานสุขภาพจิตในชุมชนจากหลายแหล่ง เช่น อสม. และโรงพยาบาลชุมชน
ส่วนขาดหรือความต้องการ:
1.ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ: ขาดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตนอกเหนือจากการเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช และขาดข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สามารถช่วยในการวางแผนและดำเนินการ
2.ขาดกลไกการทำงานที่เชื่อมโยง: ไม่มีกลไกการทำงานที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน เพื่อให้มีการดำเนินการเชิงบูรณาการในระดับชุมชน ตำบล หรืออำเภอ
การแก้ไข:
1.การเพิ่มข้อมูล: จำเป็นต้องเพิ่มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
2.การสร้างกลไกการทำงานที่เชื่อมโยง: จะต้องมีการสร้างกลไกการทำงานที่เชื่อมโยงเพื่อให้มีการปฏิบัติการเชิงบูรณาการและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในระดับชุมชน ตำบล หรืออำเภอ
เกณฑ์การเลือกจุดคานงัด
เกณฑ์ในการเลือกจุดคานงัด
1.การเชื่อมโยงและเสริมสร้างความพร้อมในการทำงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ: จุดคานงัดควรช่วยในการเชื่อมโยงและเสริมความพร้อมในการทำงานระหว่างกลุ่มหรือฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้มีทิศทางและพลังในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.การพัฒนาศักยภาพของผู้เล่นอื่นเพื่อเชื่อมโยงระบบ: จุดคานงัดควรเป็นเรื่องที่ผู้เล่นที่มีอยู่ไม่สามารถทำหรือไม่ถนัด และการดำเนินการควรผลักดันให้ระบบโดยรวมดำเนินงานได้ พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของผู้เล่นอื่นเพื่อให้มีความพร้อมในการดำเนินงานต่อไป
3.การกระตุ้นและเสริมสร้างการทำงานเชิงบูรณาการ: จุดคานงัดควรเป็นจุดที่มีผู้เล่นรายอื่นอยู่แล้วและมีกลไกการดำเนินการอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งผลผลิตหรือกิจกรรมควรเข้าไปกระตุ้นผู้เล่นอื่นและเสริมสร้างการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.การปรับเปลี่ยนและการวิเคราะห์ทบทวน: จุดคานงัดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาและสถานการณ์ จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และทบทวนเพื่อปรับปรุงตามสภาพแวดล้อมปัจจุบัน
การเลือกจุดคานงัดที่สำคัญ:
1.การพัฒนานวัตกรรมสำหรับการสร้างเสริมสุขภาพจิต: โปรแกรมจะเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดคานงัดที่สำคัญในการทำงาน
2.การพัฒนาระบบข้อมูลเชิงพื้นที่: โปรแกรมจะสร้างระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้มีการดำเนินงานเชิงบูรณาการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การกระตุ้นการทำงานเชิงบูรณาการกับภาคีหลัก: โปรแกรมจะส่งเสริมการทำงานเชิงบูรณาการกับภาคีหลัก ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพจิตในสังคม
4.การพัฒนาศักยภาพเครือข่าย: โปรแกรมจะสร้างและเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายที่สามารถทำงานร่วมกับพื้นที่/ท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการดำเนินการในประเด็นสำคัญ
5.4 ภาคีเครือข่ายงานสร้างเสริมสุขภาพจิต
ภาคีหลักของแผนงานสุขภาพจิต : ภาครัฐ
ชื่อหน่วยงาน |
ที่อยู่ |
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข |
เลขที่ 88/20 หมู่ที่ 4 ถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 02149 5555 ถึง 60 โทรสาร 02 149 5512 E-mail : saraban@dmh.mail.go.th |
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นนครินทร์ |
75/5 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02 248 8999 โทรสาร 02248 8998 E-mail : camribkk@dmh.mail.go.th |
สำนักงานศาลยุติธรรม |
สำนักงานศาลยุติธรรม อาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์(สำนักบริหารกลาง) 02 541 2260 โทรสาร 02541 2328 E-mail : saraban@coj.go.th |
สำนักงานปลัดกระทรวงยุตะรรม |
เลขที่ 404 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 สายด่วนยุติธรรม โทร.1111 กด 77 โทรศัพท์ 02 141 5134-35 โทรสาร 02 143 7878 E-mail : saraban@moj.go.th |
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข |
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 02 590 10000 โทรสาร 02 590 1174 |
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ |
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ชั้น 3 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 หมู่ 4 ซอยติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 10000 โทรศัพท์ 02 832 9013 E-mail : nhco@saraban.mail.go.th |
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด |
เลขที่ 5 ถนนดินแดง แขวงสามเสน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02 247 0901-19 โทรสาร 02 245 9350 |
สถาบันอาชีวศึกษา |
19 ซอยเอกชัย 116 ถนนเอกชัย เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150 โทรศัพท์ 02450 2572 |
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน |
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ถนนราชดำเนินนอก เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 สายด่วนกระทรวงศึกษาธิการ 1579 ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน โทรศัพท์ 02288 5511-5 โทรสาร 02 288 2886 E-mail : saraban@obecmail.obec.go.th |
กระทรวงแรงงาน |
ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 โทรศัพท์ 02 232 1227 E-mail : saraban.mol@mol.mail.go.th |
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม |
เลขที่ 75/47 อาคารพระจอมเกล้า ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02 333 3700 โทรสาร 02 333 3833 |
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ |
1034 ถนนกรุงเกษม แขวงมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100 โทรศัพท์ 02 659 6443/ 02659 6527 โทรสาร 02 356 0539 E-mail : saraban@m-society.go.th |
สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ |
ชั้น 3 อาคาร 100 การสาธารณสุขไทย ถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 025902366 E-mail :info.ihppthailand@gmail.com |
ภาคีหลักของแผนงานสุขภาพจิต : ภาควิชาการ
ชื่อหน่วยงาน |
ที่อยู่ |
ศูนย์วิชาการสารเสพติด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เลขที่ 110 ถนนอินทรวโรรส ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200 โทรศัพท์ 053 936 150 |
ศูนย์สุขภาวะทางจิต สาขาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 254 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 02 218 1184 E-mail : psy@chula.ac.th เว็บไซค์ www.psy.chula.ac.th |
ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร 114 ซอยสุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 02 649b5000 โทรสาร 02 258 4007 E-mail : contact@g.swu.ac.th |
หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต สำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้อง311 ชั้น 3 อาคาร จามจุรี 9 254 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 0855042 2626 E-mail : chulstudentwellness@gmail.com เว็บไซค์ hiips://chula.wellenss.in.th/ |
มหาวิทยาลัยมหิดล |
คณะสังคมศาสตร์และมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 999 ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 โทรศัพท์ 02 800 2840 |
ภาคีหลักของแผนงานสุขภาพจิต : ภาคประชาสังคม
ชื่อหน่วยงาน |
ที่อยู่ |
สมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน |
เลขที่ 98 หมู่ที่ 4 บ้านป่าบง ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โทรศัพท์ 09 131 4142 / 081 881 1438 E-mail : sadathai.org@gmail.com Facebook: sadathailand web site : www.sadarhai.org |
สมาคมสะมาริตันส์ แห่งประเทศไทย |
โทรศัพท์ 02113 6789 กด 3 และ 063 516 3600 E-mail :Samaritans_thai@hotmail.com |
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ |
1168 ซอยพหลโยธิน 22 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ 02 511 5888 โทรสาร 02 939 2122 E-mail : infothainhf@thainhf.org |
มูลนิธิแพททูเฮลท์ |
222/1 ถนนพุทธมณฑล 2 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02 448 0387 |
มูลนิธิรักษ์ไทย |
185 ซอยประดิพัทธ์ 6 ถนนประดิพัทธ์ เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02 041 7322 ต่อ 103 E-mail : hrrecruit@raksthai.org |
สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย |
7 หมู่ 4 อาคาคคลังสมอง ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 083122 2354 โทรสาร 02968 9667 E-mail : ami_dmh@hotmail.com |
สมาคมสายใยครอบครัว |
47 หมู่ที่ 4 ตึกายภาพบำบัดชั้น 2 โรงพยาบาลศรีธัญญา จังวหัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 089 117 5283 E-mail : thaifamilylink@yahoo.com |
มูลนิธิยุวสถิรคุณ |
214 ถนนนครสวรรค์ แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปรามศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100 |
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก |
179 หมู่ 6 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอมือง จังหวัดสมุทรปราการ 10270 โทรศัพท์ 02 393 3717-8 โทรสาร 02 393 3717 ต่อ 11 |
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย |
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กองจิตเวชและประสาทวิทยา โรงพยาบาลพระมงกฎเกล้า 315 ถนนราชวิถี เขคราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02 640 4488 ,081923 0162 โทรสาร 02 640 4488 E-mail : psychiatryland@gmail.com |
ชมรมนักจิตวิทยาแห่งประเทศไทย |
E-mail : thaicounselingpsychologistclub@gmail.com |
สื่อสาระและบันเทิง และสื่อสารความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตและการดูแลสุขภาพใจ
ชื่อหน่วยงาน |
ที่อยู่ |
เพจ Understand ห้องนั่งเล่นของหัวใจ |
http://www.facebook.com/understandmdd/ |
บ่อจอย |
“YOUTUBE CHANNEL บ่อจอย” รายการด้านสุขภาพจิต |
HERE to HEAL |
https://heretohealproject.com/ |
บ้านพลังใจ |
https://www.thaipbs.or.th/program/BaanPalungjai |
“Sidekick” (ไซค์คิด)Creative Media |
www.sidekick.asia บทบาทของ “Sidekick” (ไซค์คิด)Creative Media ที่ออกแบบสื่อ รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ในประเด็นต่างๆ |
Mindsetmaker จิตวิทยาเชิงบวก |
https:www.mindsetmaker.co/ |
Midaventure |
https:www.midaventure.co.th/ ออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้พัฒนาทักษะจิตใจ |
หัวข้อหลัก 5.5 คิวอาร์โค้ดของเครื่องมือ/ข้อมูล/สื่อการเรียนรู้
- ระบบคืบค้นของ สสส. ไฟล์ภาพและรายงานที่เกี่ยวข้องมิติงานสุขภาพจิต
-ทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาพจิต
อ้างอิง
อ้างอิง
0 ถูกใจ 799 การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0