1

0

บทนำ

การจราจรซ้ายมือ (อังกฤษ: left-hand traffic; LHT)

 

การจราจรซ้ายมือ (อังกฤษ: left-hand traffic; LHT) และการจราจรขวามือ (อังกฤษ: right-hand traffic; RHT) เป็นกฎระเบียบที่กำหนดสำหรับการจราจรแบบสองทิศทางทุกรูปแบบให้ขับยานพาหนะชิดซ้ายหรือชิดขวาบนถนนยกเว้นในกรณีอื่น ๆ ที่กำหนด[1] การจราจรนี้เป็นพื้นฐานของทิศทางจราจรซึ่งในบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นกฎของถนน (อังกฤษ: rule of the road)[2]

มี 163 ประเทศและดินแดนที่ใช้การจราจรขวามือ ในขณะที่ 76 ประเทศที่เหลือใช้การจราจรซ้ายมือ ประเทศที่ใช้การจราจรซ้ายมือคิดเป็น 1 ใน 6 ของพื้นที่และ 1 ใน 4 ของถนนบนโลก [3] ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 บางประเทศรวมถึงแคนาดา สเปน และบราซิลมีกฎของการจราจรที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศ และระหว่างทศวรรษที่ 1900 หลายประเทศได้กำหนดมาตรฐานในเขตอำนาจรัฐและเปลี่ยนจากการจราจรซ้ายมือเป็นขวามือเพื่อให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมในแต่ละภูมิภาค ใน ค.ศ. 1919 มี 104 ประเทศในโลกที่ใช้การจราจรซ้ายมือและอีกครึ่งเป็นขวามือ ตั้งแต่ ค.ศ. 1919 ถึง 1986 มี 34 ประเทศที่เปลี่ยนการจราจรซ้ายมือเป็นขวามือ[4]

หลายประเทศที่ใช้การจราจรซ้ายมือประกอบด้วยอดีตอาณานิคมของอังกฤษในแคริบเบียน แอฟริกาตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สำหรับญี่ปุ่น ไทย เนปาล ภูฏาน โมซัมบิก ซูรินาเม ติมอร์ตะวันออก และอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ใช้การจราจรซ้ายมือนอกเหนือจากจักรวรรดิอังกฤษ ในทวีปยุโรปมีเพียงสี่ประเทศยังคงขับยานพาหนะชิดซ้ายประกอบด้วยสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ มอลตา และไซปรัสซึ่งประเทศทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่ไม่มีถนนเชื่อมต่อโดยตรงกับประเทศที่ขับยานพาหนะชิดขวา

 

เกือบทุกประเทศใช้เพียงการจราจรเดียวสำหรับทุกพื้นที่ในประเทศ ข้อยกเว้นส่วนใหญ่มาจากดุลยพินิจในอดีตและ/หรือเกี่ยวข้องกับการที่หมู่เกาะไม่มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่หลักของประเทศ จีนใช้การจราจรขวามือยกเว้นในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊า สหรัฐใช้การจราจรขวามือยกเว้นหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ[5] สหราชอาณาจักรใช้การจราจรซ้ายมือแต่ดินแดนโพ้นทะเลยิบรอลตาร์และบริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรีใช้การจราจรขวามือ

ตามที่อนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับป้องกันเรือโดนกันในทะเล การจราจรทางน้ำจะใช้การจราจรขวามือ สำหรับอากาศยานข้อบังคับว่าด้วยการบินแห่งชาติของสหรัฐกำหนดให้มีการบินผ่านไปทางขวาทั้งในอากาศและทางน้ำ[6]

ในส่วนของทางรถไฟทางคู่ การจราจรบนทางรถไฟโดยทั่วไปวิ่งไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งของเส้นทางซึ่งแตกต่างจากถนน ด้วยเหตุนี้ในเบลเยียม จีน ฝรั่งเศส (นอกเหนือจากแคว้นอาลซัสและลอแรนของเยอรมันในอดีต) สวีเดน (นอกเหนือจากเมืองมัลโมและทางตอนใต้) สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลีเป็นตัวอย่างของการจราจรบนทางรถไฟจะใช้การจราจรซ้ายมือ ในขณะที่ถนนจะใช้การจราจรขวามือ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของระบบรถไฟจากอังกฤษในช่วงต้น แต่ในบางประเทศเช่นอินโดนีเซียกลับตรงข้ามกัน (ใช้การจราจรขวามือสำหรับทางรถไฟและการจราจรซ้ายมือสำหรับถนน) รถไฟรางเบาและระบบขนส่งมวลชนเร็วมักใช้ระบบเดียวกับการจราจรบนถนนในประเทศ (ยกเว้นในมาดริด โรม ลิสบอน ลียง สต็อกโฮล์ม ไคโร ลิมา บัวโนสไอเรส เทรนดอลาคอสและสายลิดินโกของสต็อกโฮล์ม

ไม่มีเหตุผลทางเทคนิคว่าการขับชิดฝั่งไหนดีมากกว่ากัน[7] ในกลุ่มประชากรที่มีสุขภาพแข็งแรงความปลอดภัยในการจราจรจะเท่ากันโดยไม่คำนึงถึงความถนัดของมือ แม้ว่านักวิจัยบางคนสันนิษฐานว่าการจราจรซ้ายมืออาจปลอดภัยมากกว่าสำหรับประชากรสูงอายุ[8] เนื่องจากมนุษย์โดยปกติมีความถนัดของตาขวามากกว่าตาซ้าย[9]

ประวัติ

ในสมัยโบราณ กองทัพกรีก อียิปต์ และโรมันจัดวางแนวขบวนไว้ทางซ้ายมือ[10] ใน ค.ศ. 1998 นักโบราณคดีค้นพบถนนทางคู่ที่ยังคงสภาพเดิมไว้ซึ่งนำทางสู่เหมืองหินสมัยโรมันใกล้สวินดันทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ช่องของถนนทางด้านซ้าย (มองจากเส้นทางที่ออกจากเหมืองหิน) มีความลึกที่มากกว่าฝั่งขวาซึ่งน่าจะเป็นการจราจรซ้ายมืออย่างน้อยในสถานที่นี้ เนื่องจากเกวียนจะออกจากเหมืองหินด้วยการบรรทุกหินจำนวนมากก่อนจะเทออกในภายหลัง [11]

การอ้างถึงการจราจรเป็นครั้งแรกเริ่มในกฎหมายอังกฤษซึ่งกำหนดให้ใช้การจราจรซ้ายมือใน ค.ศ. 1756 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสะพานลอนดอน [12]

การจราจรในสหรัฐเป็นการจราจรขวามือซึ่งมาจากเกวียนบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่

นักประวัติศาสตร์บางคนเช่นซี. นอร์ทโคท พาร์กินสัน เชื่อว่านักเดินทางขี่ม้าหรือเดินเท้าในสมัยโบราณโดยทั่วไปจะชิดซ้ายเนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดมือขวา ถ้าคนขี่ม้าสองคนจะเริ่มการต่อสู้แต่ละคนจะชิดไปทางซ้าย[10] ใน ค.ศ. 1300 สมเด็จพระสันตะปาปาบอนิเฟซที่ 8กำหนดให้ผู้แสวงบุญเดินชิดซ้ายมือ[10]

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1700 การจราจรในสหรัฐเป็นการจราจรขวามือซึ่งมาจากเกวียนบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ของคนขับรถบรรทุกซึ่งถูกพ่วงด้วยม้าจำนวนมาก เกวียนจะไม่มีที่นั่งคนขับทำให้คนขับรถ (โดยทั่วไปถนัดขวา) ใช้มือขวาถือแส้และนั่งอยู่บนหลังม้าทางซ้าย คนขับรถต้องการให้เกวียนคันอื่น ๆ เดินผ่านไปทางซ้ายเพื่อให้เขาสามารถมั่นใจได้ว่าจะมองเห็นล้อของเกวียนที่กำลังสวนมาได้ชัดเจน[13]

ในฝรั่งเศส การจราจรทางเท้าแบบดั้งเดิมจะเดินชิดขวาขณะที่การจราจรของรถจะชิดซ้าย หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศสการจราจรทั้งหมดถูกกำหนดให้ชิดขวา [12] ตามด้วยสงครามนโปเลียนฝรั่งเศสได้กำหนดให้ใช้การจราจรขวามือในบางส่วนของยุโรป ในช่วงยุคอาณานิคมการจราจรขวามือถูกใช้โดยฝรั่งเศสในฝรั่งเศสใหม่ แอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส มาเกร็บ อินโดจีนของฝรั่งเศส หมู่เกาะเวสต์อินดีส เฟรนช์เกียนา และเรอูนียง

ในขณะเดียวกันการจราจรซ้ายมือถูกใช้โดยอังกฤษในแอตแลนติกแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัฐในอารักขาแอฟริกาตะวันออก บริติชอินเดีย เซาเทิร์นโรดีเชีย และอาณานิคมเคป (ซิมบับเวและแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน) บริติชมาลายา (มาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ในปัจจุบัน) บริติชเกียนา และบริติชฮ่องกง การจราจรซ้ายมือยังถูกใช้โดยจักรวรรดิโปรตุเกสในมาเก๊าของโปรตุเกส อาณานิคมบราซิล ติมอร์ตะวันออก โมซัมบิกของโปรตุเกส และแองโกลา

กฎหมายแรกที่กำหนดให้การขับขี่ในประเทศสหรัฐชิดขวาเริ่มใน ค.ศ. 1792 และถูกใช้บนทางด่วนฟิลาเดลเฟียและแลงคาสเตอร์[7] รัฐนิวยอร์กใช้การจราจรขวามืออย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1804 รัฐนิวเจอร์ซีย์ใน ค.ศ. 1813 และรัฐแมสซาชูเซตส์ใน ค.ศ. 1821[14]

หัวข้อย่อย 3

test

อ้างอิง

ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki

 

 Draper, Geoff (1993). "Harmonized Headlamp Design for Worldwide Application". Motor Vehicle Lighting. Society of Automotive Engineers. pp. 23–36.


 Kincaid, Peter (December 1986). The Rule of the Road: An International Guide to History and Practice. Greenwood Press. pp. 50, 86–88, 99–100, 121–122, 198–202. ISBN 0-313-25249-1.


 Barta, Patrick. "Shifting the Right of Way to the Left Leaves Some Samoans Feeling Wronged". Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 4 December 2016.(ต้องรับบริการ)


 Watson, Ian. "The rule of the road, 1919-1986: A case study of standards change" (PDF). สืบค้นเมื่อ 30 November 2016.
 "Travel Tips | US Virgin Islands". Usvitourism.vi. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-16. สืบค้นเมื่อ 25 April 2012.
 FAR Sec. 91.115[ลิงก์เสีย](c): "When aircraft, or an aircraft and a vessel, are approaching head-on, or nearly so, each shall alter its course to the right to keep well clear."
 Weingroff, Richard. "On The Right Side of the Road". United States Department of Transportation. สืบค้นเมื่อ 10 January 2014.


 Foerch, C; Steinmetz, H (2009). "Left-sided traffic directionality may be the safer "rule of the road" for ageing populations". Med Hypotheses. 73 (1): 20–3. doi:10.1016/j.mehy.2009.01.044. PMID 19327893.
 "Your Dominant Eye and Why it Matters". สืบค้นเมื่อ 11 December 2016.
 Anderson, Charles (2003). Puzzles and Essays from the Exchange Essays. Haworth Information Press. pp. 2–3. {{cite book}}: |access-date= ต้องการ |url= (help)


 Walters, Bryn. "Huge Roman Quarry found in North Wiltshire" (PDF). ARA The Bulletin of The Association for Roman Archaeology. Autumn 1998 (Six): 8–9. ISSN 1363-7967. สืบค้นเมื่อ 7 October 2016.
 Hamer, Mike. "Left is right on the road". New Scientist (20 December 1986/1 January 1987): 16–18. สืบค้นเมื่อ 7 October 2016.


 Why We Drive on the Right of the Road, ''Popular Science Monthly'', Vol.126, No.1, (January 1935), p.37. Books.google.com.au. สืบค้นเมื่อ 25 April 2012.
 "An Act Establishing the Law of the Road". Massachusetts General Court. สืบค้นเมื่อ 14 February 2014.

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า
defaultuser.png

ชลธิดา เณรบำรุง

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า

Blue School  นวัตกรรมป้องกันฝุ่น PM2.5
1708931705.jpg

Super Admin ID1

Blue School นวัตกรรมป้องกันฝุ่น PM2.5

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต
defaultuser.png

Admin ID3

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้...

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น

ชีวิตที่ติดอยู่ตรงกลาง เรียนรู้และเข้าใจ ‘แซนด์วิชเจเนอเรชัน’
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ชีวิตที่ติดอยู่ตรงกลาง เรียนรู้และเข้าใจ ‘แซนด์วิชเจเนอเรชัน’

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

ทุกปี มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ โศกนาฏกรรมเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้น หากผู้โดยสารจักรยานยนต์อายุน้อยได้สวมหมวกนิรภัย

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สถิติการเสียชีวิตของเด็กอายุ 1-14 ปี จากอุบัติเหตุและความรุนแรง มีจำนวนถึง 32,297 ราย โดยสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กมาจากการโดยสารรถจักรยานยนต์

ขณะที่ข้อมูลการสํารวจของมูลนิธิไทยโรดส์ เรื่องอัตราการสวมหมวกนิรภัยรวมทั้งประเทศ ปี 2562 ในการสำรวจจำแนกตามกลุ่มอายุพบว่า กลุ่มเด็ก (ผู้โดยสาร) ใส่หมวกนิรภัยน้อยที่สุดเพียงร้อยละ 8 เท่านั้น

ด้วยตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องจริงจังมากขึ้นกับการสร้างความตระหนักและให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อยบนอานจักรยานยนต์

เช่นที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายรณรงค์สวมใส่หมวกนิรภัย เพื่อปลูกฝังวินัยเรื่องความปลอดภัยให้เด็ก รวมถึงสร้างความตระหนักให้กับผู้ปกครองและสถานศึกษา หาวิธีเพื่อปกป้องชีวิตเด็ก ๆ รวมถึงการผลักดันให้โรงเรียนสร้างที่เก็บหมวกกันน็อกเพื่อป้องกันปัญหาผู้ปกครองลืมหมวกกันน็อกของบุตรหลาน