0

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-09-29 11:16:54

บทนำ

การอ่านไม่เพียงเปิดโลกแห่งความรู้และจินตนาการ แต่ยังส่งเสริมทักษะที่จำเป็นซึ่งเด็ก ๆ ต้องพกติดตัวไปตลอดชีวิต แม้ว่าปัจจุบันจะมีสื่ออื่น ๆ มากมาย แต่หนังสือและการอ่านยังคงมีความสำคัญเสมอ

การอ่านหนังสือสำคัญสำหรับเด็ก

ทำไมการอ่านหนังสือจึงสำคัญ? องค์การยูนิเซฟ ได้ให้ข้อมูลไว้ ดังนี้

• ปูพื้นฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต: การอ่านหนังสือมีผลต่อพัฒนาการของเด็กและเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งรู้จักหนังสือและอ่านเร็วเท่าไร ยิ่งมีพัฒนาการที่ดีและมีความพร้อมในการเรียนรู้เร็วยิ่งขึ้น

• เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มจินตนาการ: การอ่านช่วยจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เรื่องราวและเนื้อหาที่ได้อ่านจะทำให้เกิดภาพในกระบวนการคิด ช่วยส่งเสริมความสามารถในการสร้างเรื่องราวและการตอบสนองของเด็กได้เป็นอย่างดี

• เชี่ยวชาญคิดวิเคราะห์: ข้อมูลต่าง ๆ จากการอ่านช่วยเด็กพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ สามารถนำข้อมูล และความรู้จากการอ่านไปประเมินค่าหรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

• หนังสือเหมาะกับวัย ยิ่งอ่านยิ่งพัฒนา: การอ่านหนังสือที่เหมาะสมกับวัยเป็นการช่วยฝึกสมาธิให้กับเด็ก เมื่อได้อ่านเรื่องที่ชื่นชอบ เด็กจะมีสมาธิใจจดใจจ่อกับเรื่องราว

• ทุกบ้านอุ่นไอรักฟูมฟักได้ ชวนพ่อแม่มาร่วมอ่าน: การอ่านหนังสือให้เด็กฟังหรือการที่ผู้ปกครองช่วยส่งเสริมการอ่านของเด็กทำให้เกิดสานสายใยรักสร้างความอบอุ่นในครอบครัว

การอ่าน VS การฟัง

ในโลกปัจจุบันที่การเรียนรู้และสื่อสารสามารถทำได้หลายวิธี การฟังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สะดวก เมื่อหนังสือเล่มกลายเป็นหนังสือเสียง หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจถูกนำเสนอผ่านพอดแคสต์ คลับเฮาส์ ฯลฯ เช่นนี้แล้ว การอ่านหนังสือยังจำเป็นอยู่ไหม คำตอบคือ จำเป็น เพราะไม่มีวิธีการเรียนรู้หรือสื่อสารใดทำได้เหมือนกับการอ่านหนังสือ

ที่บอกว่า การฟังเป็นวิธีที่สะดวกนั้น เหตุผลหนึ่งเพราะสามารถฟังควบคู่กับทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วยได้ แต่การทำหลายอย่างพร้อมกันก็อาจทำให้สมองไม่ได้จดจ่ออยู่กับการฟังอย่างเต็มที่ ทำให้ถูกดึงความสนใจไปอย่างอื่นได้ง่าย จึงอาจพลาดเนื้อหาสาระ เก็บรายละเอียดเชิงลึกไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง จนต้องย้อนกลับไปฟังซ้ำ หรือต้องอ่านข้อมูลเพิ่มเติม  

เทียบกันแล้ว การอ่านจะช่วยฝึกทักษะในการจดจ่อได้ดีกว่า การอ่านยังทำให้มีสมาธิ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และช่วยพัฒนาความจำ การอ่านทำให้สามารถเข้าใจลึกซึ้ง สามารถกลับไปทบทวนข้อมูลได้ง่าย

ด้วยเหตุผลหลากหลายข้อทำให้การเรียนรู้หรือสื่อสารวิธีอื่น รวมถึงการฟังไม่สามารถมาแทนที่การอ่านได้

หนังสือเล่ม VS อีบุ๊ก

เมื่อเทคโนโลยีให้กำเนิดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊กออกมา ทางเลือกในการอ่านจึงมีมากขึ้น หากเปรียบเทียบกันแล้ว หนังสือเล่มกับอีบุ๊กนั้นให้ประโยชน์ที่แตกต่างออกไป

แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว ผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่อ่านหนังสือเล่มให้เด็ก ๆ ฟังจะทำให้เกิดการโต้ตอบมากกว่าอ่านจากอีบุ๊ก
 

 

 

การพูดคุยตอบโต้ของพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กระหว่างอ่านหนังสือเล่มจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหนังสือ ขณะที่การอ่านอีบุ๊กทำให้ผู้ปกครองถามคำถามน้อยลงและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงเรื่องน้อยลง การพูดคุยจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ใช้มากกว่าเนื้อหา

นอกเหนือไปจากการพูดคุยตอบโต้ ระหว่างอ่านหนังสือให้ลูกฟังจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ใช่คำพูด เช่น ความอบอุ่น ความใกล้ชิด และความกระตือรือร้น เหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับการอ่าน มีแนวโน้มที่จะติดอยู่กับตัวเด็ก ๆ ไปจนโต

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กเล็กที่อ่านหนังสือด้วยกันมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ผลการวิจัยระบุว่า การสนทนาที่นำโดยผู้ปกครองมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กวัยหัดเดิน เพราะพวกเขาเรียนรู้และเก็บรักษาข้อมูลใหม่จากการโต้ตอบต่อหน้าได้ดีกว่าจากสื่อดิจิทัล

 

ลดเวลาเรียนหน้าจอ ฟื้นฟูการอ่านหนังสือเล่ม

โรงเรียนในสวีเดนได้หันกลับมาใช้หนังสือเล่มเพื่อฟื้นฟูการอ่าน และการให้เด็กกลับมาคัดลายมือ มากกว่าการใช้เวลากับอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปของเด็กยุคใหม่

จากผลการประเมินระดับการอ่านในระดับนานาชาติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และความก้าวหน้าในการศึกษาการอ่านระดับนานาชาติที่ผ่านมาของนักเรียนสวีเดนกลับมีคะแนนลดลงในระหว่างปี 2016 ถึง 2021 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษากล่าวว่า ผลการเรียนบางวิชาที่แย่ลงนั้น อาจเป็นผลมาจากการอยู่ที่หน้าจอมากเกินไประหว่างที่เรียนหนังสืออยู่ อาจทำให้เยาวชนเรียนวิชาหลักไม่ทัน

ขณะที่ ลอตตา เอ็ดโฮล์ม (Lotta Edholm) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของสวีเดน ได้ประกาศในแถลงการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า รัฐบาลต้องการกลับคำตัดสินของสำนักงานเพื่อการศึกษาแห่งชาติสวีเดน (National Agency for Education) ที่ต้องการบังคับใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียนเตรียมอนุบาล นอกจากนี้ทางกระทรวงยังมีแผนที่จะเดินหน้ายุติการเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัลในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีอีกด้วย

          เช่นเดียวกับรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา UNESCO ได้ออก “ข้อเรียกร้องที่เร่งด่วนสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมในการศึกษา” โดยเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่โรงเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่าเทคโนโลยีในด้านการศึกษานั้นควรถูกนำมาใช้ในลักษณะที่จะไม่มาแทนที่การสอนในชั้นเรียน และการสอนโดยครูอาจารย์ และส่งเสริมวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันในเรื่องของการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนทุก ๆ คน

เทคนิคปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน

การปลูกฝังให้เด็ก ๆ รักการอ่านอาจจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็เป็นไปได้หากรู้วิธี มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้แนะนำเทคนิคไว้ ดังนี้

1. อุ้มแล้วอ่าน อุ้มลูกไว้บนตักแล้วอ่านหนังสือให้ฟัง ออกเสียงสูงต่ำ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย มีจังหวะหนักเบา พร้อมชวนดูภาพ กอดสัมผัส เคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย จะช่วยเร้าความสนใจของเด็กต่อหนังสือมากยิ่งขึ้น

2. อ่านอย่างน้อยวันละ 10 – 15 นาที  ช่วยสร้างความผูกพันในครอบครัว ทำให้ลูกใกล้ชิดและผูกพันกับการอ่านหนังสือ ช่วยพัฒนาสมองของเด็ก

3. พูดคุยและตั้งคำถาม ต่อยอดความคิดและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้ลูกใช้ทักษะทางภาษา

4. ตอบคำถามจากลูกขณะอ่านหนังสือ ช่วยต่อยอดความคิด ถ้าคำถามข้อใดไม่รู้ ให้พยายามหาคำตอบ ให้ลูกเห็นว่าสามารถหาได้จากการอ่านหนังสือ

5. อ่านตามทุกตัวอักษร ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สนุก ถ้าหนังสือมีเนื้อหาดี วิธีการเล่าจะเป็นประเด็นรอง ถ้าชี้ตัวหนังสือที่อ่านไปพร้อมกันจะช่วยให้เด็กจดจำภาษาได้ดี

6. จัดมุมหนังสือในบ้าน สร้างบรรยากาศให้ลูกได้สนุกกับการเลือกหนังสือหรืออ่านหนังสือเอง

7. จัดช่วงเวลาอ่านหนังสือร่วมกัน สร้างวัฒนธรรมการอ่านในบ้าน เด็กจะซึมซับและทำตาม

 

 

อ้างอิง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 7 เทคนิค ปลูกฝังเด็ก ๆ ให้รักการอ่าน, 11 พฤษภาคม

2565, https://.thaihealth.or.th/7-เทคนิค-ปลูกฝังเด็ก-ๆ-ให้-2/

Unicef Thailand, เด็กทุกคนอ่านได้ เพราะการอ่านหนังสือมีผลต่อพัฒนาการของเด็กและยังเป็นพื้นฐานที่

สำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต, https://www.unicef.org/thailand/th/every-child-can-read

sanook.com, การ “อ่าน” ยังจำเป็นอยู่ไหม ในยุคที่เรา “ฟัง” เอาก็ได้, 15 เมษายน 2566,

https://www.sanook.com/campus/1414595/

BBC.com, Story time with e-books 'not as helpful' as print books, 25 มีนาคม 2562,

https://www.bbc.com/news/health-47666948  

voathai.com, สวีเดนพักหน้าจอไฮเทค ฟื้นฟูการอ่านเขียนของนักเรียน, 4 ตุลาคม 2566, https://www.voathai.com/a/sweden-brings-more-books-and-handwriting-practice-back-to-its-tech-heavy-schools/7272172.html

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า
defaultuser.png

ชลธิดา เณรบำรุง

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย

การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น: ภัยเงียบที่เพิ่มขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น: ภัยเงียบที่เพิ่มขึ้น

ลาออกไปเงียบ ๆ ชีวิตวิถีใหม่ของคนทำงาน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ลาออกไปเงียบ ๆ ชีวิตวิถีใหม่ของคนทำงาน

การให้คุณค่าและรับฟังเสียงพนักงาน  ปัจจัยสร้างองค์กรแห่งความสุขในอนาคต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การให้คุณค่าและรับฟังเสียงพนักงาน ปัจจัยสร้างองค์กรแห่งความสุขในอนาคต

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ยอมรับ! ต่างรุ่นต่างประสบการณ์ ช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัว

Super Admin ID1

“ครอบครัว” เป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญต่อรากฐานความเข้มแข็งของสังคมโดยรวม หากครอบครัวไหนมีสัมพันธภาพที่อบอุ่นจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีของคนในครอบครัว แต่ครอบครัวไหนมีปัญหาเชิงโครงสร้างจะมีโอกาสที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่มีความสุขและอาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้
จากการสำรวจเยาวชนไทย ปี 2565 พบว่า เยาวชนที่อยู่ในครอบครัวข้ามรุ่นจะมีความขัดแย้งทางความคิดในประเด็นต่าง ๆ มากกว่าเยาวชนที่อยู่กับพ่อแม่ หรือเยาวชนที่อยู่กับพ่อแม่และญาติ โดยประเด็นที่ขัดแย้งทางความคิดของเยาวชนในครอบครัวข้ามรุ่น คือ การศึกษาและการทำงาน สูงถึงร้อยละ 16.7 รองลงมาการใช้ชีวิตประจำวัน ร้อยละ 13.6 ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ร้อยละ 12 และความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรัก ร้อยละ 8.7
ขณะที่เยาวชนที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่มีสัดส่วนความคิดเห็นขัดแย้งกับคนในครอบครัวสูงกว่าเยาวชนที่อาศัยอยู่ในครอบครัวสามรุ่น และที่อาศัยอยู่ในครอบครัวข้ามรุ่นในประเด็นสังคมและการเมือง สูงถึงร้อยละ 11 และประเด็นศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ร้อยละ 6.3 ซึ่งความคิดขัดแย้งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในทุกครอบครัว จะมากน้อยขึ้นอยู่กับประเด็น

การป้องกันไม่ให้ความคิดเห็นขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรงในครอบครัว ต้องปรับจูนให้เข้าใจว่า รุ่นเราและรุ่นเขาอาจมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องคิดเห็นเหมือนกันในทุกเรื่อง ดังนั้น หลักการสื่อสาร 4 E จะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่นได้
1. Empathy การสื่อสารควรอยู่บนฐานของความเข้าอกเข้าใจ เพราะทุกคนเติบโตมาต่างช่วงวัยกัน จึงผ่านความยากลำบากแตกต่างกัน ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี แม้แต่คนรุ่นใหม่แต่ละรุ่นก็แตกต่างกัน เช่น กลุ่มคนรุ่น First Jobber มุ่งทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ผูกโยงใกล้ชิดอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจ ขณะที่คนวัยเรียนจะสนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองทั้งระบบ มากกว่าประเด็นปากท้อง ดังนั้นไม่ว่ารุ่นใหญ่ รุ่นกลาง หรือรุ่นเล็ก จึงมีความแตกต่างกันจากหลายปัจจัย เช่น ลักษณะการเลี้ยงดู ระบบการศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ อาชีพ ฯลฯ
2. Equality คือยอมรับพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน คนรุ่นใหม่จะไม่ชอบการแบ่งชนชั้นลำดับอาวุโส (Hierarchy) แต่ต้องการเพื่อนคู่คิดต่างวัย (Equal Partner) ในเรื่องของบทบาทหน้าที่ของรัฐ คนรุ่นใหม่มองว่า ประชาชนเป็นผู้จ่ายภาษีจ้างให้รัฐทำหน้าที่บริการแก่ประชาชนทุกคน แต่คนรุ่นก่อนมองว่าทุกคนมีหน้าที่ความเป็นพลเมือง คนทั้งสองรุ่นจึงต้องรับฟังและยอมรับคู่คิดต่างวัยซึ่งกันและกัน
3. Express เปิดใจต่อการกับการแสดงออก คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยโตมากับประสบการณ์ที่ว่า พูดเสียงเบา ๆ ในระบบไม่มีใครได้ยิน จึงไปส่งเสียงในโซเชียลมีเดียให้เกิดเป็นกระแส ขณะเดียวกันก็ชอบความโปร่งใส พูดตรงๆ เปิดเผย มากกว่าการ “รักษาหน้า” แบบที่ผู้ใหญ่ชอบทำ และไปคุยกันนอกรอบ โดยคนรุ่นใหม่มองว่า การพูดอย่างเปิดเผยจะช่วยแก้ปัญหาได้เร็ว ซึ่งบางครั้งการพูดนอกรอบที่ผู้ใหญ่ทำอาจช่วยแก้ปัญหาได้มีประสิทธิภาพกว่า
4. เข้าใจเรื่อง Eco system คนรุ่นใหม่มองว่า ระบบปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนทางสังคม จึงต้องการเปลี่ยนแปลงระบบ ไม่ยึดที่ตัวบุคคล สนับสนุนคนที่มีอุดมการณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมักไม่เชื่อว่าผู้นำที่เป็น “คนดี” จะแก้ปัญหาได้ ฯลฯ ในขณะที่คนรุ่นก่อนไม่บ่นเรื่องระบบ เพราะเชื่อว่าแก้ไขได้ยาก แต่ทุกคนต้องพยายามพัฒนาตนเอง
การลดระดับความเห็นต่างของคนในครอบครัวและคนแต่ละช่วงวัย ต้องเริ่มต้นจากความเข้าอกเข้าใจและยอมรับฟังกันมากขึ้น ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความเห็นเหมือนกัน แต่ต้องถกเถียง แลกเปลี่ยน และแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายออกมาได้