บทนำ
การอ่านไม่เพียงเปิดโลกแห่งความรู้และจินตนาการ แต่ยังส่งเสริมทักษะที่จำเป็นซึ่งเด็ก ๆ ต้องพกติดตัวไปตลอดชีวิต แม้ว่าปัจจุบันจะมีสื่ออื่น ๆ มากมาย แต่หนังสือและการอ่านยังคงมีความสำคัญเสมอ
การอ่านไม่เพียงเปิดโลกแห่งความรู้และจินตนาการ แต่ยังส่งเสริมทักษะที่จำเป็นซึ่งเด็ก ๆ ต้องพกติดตัวไปตลอดชีวิต แม้ว่าปัจจุบันจะมีสื่ออื่น ๆ มากมาย แต่หนังสือและการอ่านยังคงมีความสำคัญเสมอ
ทำไมการอ่านหนังสือจึงสำคัญ? องค์การยูนิเซฟ ได้ให้ข้อมูลไว้ ดังนี้
• ปูพื้นฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต: การอ่านหนังสือมีผลต่อพัฒนาการของเด็กและเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งรู้จักหนังสือและอ่านเร็วเท่าไร ยิ่งมีพัฒนาการที่ดีและมีความพร้อมในการเรียนรู้เร็วยิ่งขึ้น
• เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มจินตนาการ: การอ่านช่วยจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เรื่องราวและเนื้อหาที่ได้อ่านจะทำให้เกิดภาพในกระบวนการคิด ช่วยส่งเสริมความสามารถในการสร้างเรื่องราวและการตอบสนองของเด็กได้เป็นอย่างดี
• เชี่ยวชาญคิดวิเคราะห์: ข้อมูลต่าง ๆ จากการอ่านช่วยเด็กพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ สามารถนำข้อมูล และความรู้จากการอ่านไปประเมินค่าหรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
• หนังสือเหมาะกับวัย ยิ่งอ่านยิ่งพัฒนา: การอ่านหนังสือที่เหมาะสมกับวัยเป็นการช่วยฝึกสมาธิให้กับเด็ก เมื่อได้อ่านเรื่องที่ชื่นชอบ เด็กจะมีสมาธิใจจดใจจ่อกับเรื่องราว
• ทุกบ้านอุ่นไอรักฟูมฟักได้ ชวนพ่อแม่มาร่วมอ่าน: การอ่านหนังสือให้เด็กฟังหรือการที่ผู้ปกครองช่วยส่งเสริมการอ่านของเด็กทำให้เกิดสานสายใยรักสร้างความอบอุ่นในครอบครัว
ในโลกปัจจุบันที่การเรียนรู้และสื่อสารสามารถทำได้หลายวิธี การฟังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สะดวก เมื่อหนังสือเล่มกลายเป็นหนังสือเสียง หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจถูกนำเสนอผ่านพอดแคสต์ คลับเฮาส์ ฯลฯ เช่นนี้แล้ว การอ่านหนังสือยังจำเป็นอยู่ไหม คำตอบคือ จำเป็น เพราะไม่มีวิธีการเรียนรู้หรือสื่อสารใดทำได้เหมือนกับการอ่านหนังสือ
ที่บอกว่า การฟังเป็นวิธีที่สะดวกนั้น เหตุผลหนึ่งเพราะสามารถฟังควบคู่กับทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วยได้ แต่การทำหลายอย่างพร้อมกันก็อาจทำให้สมองไม่ได้จดจ่ออยู่กับการฟังอย่างเต็มที่ ทำให้ถูกดึงความสนใจไปอย่างอื่นได้ง่าย จึงอาจพลาดเนื้อหาสาระ เก็บรายละเอียดเชิงลึกไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง จนต้องย้อนกลับไปฟังซ้ำ หรือต้องอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
เทียบกันแล้ว การอ่านจะช่วยฝึกทักษะในการจดจ่อได้ดีกว่า การอ่านยังทำให้มีสมาธิ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และช่วยพัฒนาความจำ การอ่านทำให้สามารถเข้าใจลึกซึ้ง สามารถกลับไปทบทวนข้อมูลได้ง่าย
ด้วยเหตุผลหลากหลายข้อทำให้การเรียนรู้หรือสื่อสารวิธีอื่น รวมถึงการฟังไม่สามารถมาแทนที่การอ่านได้
เมื่อเทคโนโลยีให้กำเนิดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊กออกมา ทางเลือกในการอ่านจึงมีมากขึ้น หากเปรียบเทียบกันแล้ว หนังสือเล่มกับอีบุ๊กนั้นให้ประโยชน์ที่แตกต่างออกไป
แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว ผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่อ่านหนังสือเล่มให้เด็ก ๆ ฟังจะทำให้เกิดการโต้ตอบมากกว่าอ่านจากอีบุ๊ก
การพูดคุยตอบโต้ของพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กระหว่างอ่านหนังสือเล่มจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหนังสือ ขณะที่การอ่านอีบุ๊กทำให้ผู้ปกครองถามคำถามน้อยลงและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงเรื่องน้อยลง การพูดคุยจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ใช้มากกว่าเนื้อหา
นอกเหนือไปจากการพูดคุยตอบโต้ ระหว่างอ่านหนังสือให้ลูกฟังจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ใช่คำพูด เช่น ความอบอุ่น ความใกล้ชิด และความกระตือรือร้น เหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับการอ่าน มีแนวโน้มที่จะติดอยู่กับตัวเด็ก ๆ ไปจนโต
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กเล็กที่อ่านหนังสือด้วยกันมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ผลการวิจัยระบุว่า การสนทนาที่นำโดยผู้ปกครองมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กวัยหัดเดิน เพราะพวกเขาเรียนรู้และเก็บรักษาข้อมูลใหม่จากการโต้ตอบต่อหน้าได้ดีกว่าจากสื่อดิจิทัล
โรงเรียนในสวีเดนได้หันกลับมาใช้หนังสือเล่มเพื่อฟื้นฟูการอ่าน และการให้เด็กกลับมาคัดลายมือ มากกว่าการใช้เวลากับอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปของเด็กยุคใหม่
จากผลการประเมินระดับการอ่านในระดับนานาชาติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และความก้าวหน้าในการศึกษาการอ่านระดับนานาชาติที่ผ่านมาของนักเรียนสวีเดนกลับมีคะแนนลดลงในระหว่างปี 2016 ถึง 2021 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษากล่าวว่า ผลการเรียนบางวิชาที่แย่ลงนั้น อาจเป็นผลมาจากการอยู่ที่หน้าจอมากเกินไประหว่างที่เรียนหนังสืออยู่ อาจทำให้เยาวชนเรียนวิชาหลักไม่ทัน
ขณะที่ ลอตตา เอ็ดโฮล์ม (Lotta Edholm) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของสวีเดน ได้ประกาศในแถลงการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า รัฐบาลต้องการกลับคำตัดสินของสำนักงานเพื่อการศึกษาแห่งชาติสวีเดน (National Agency for Education) ที่ต้องการบังคับใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียนเตรียมอนุบาล นอกจากนี้ทางกระทรวงยังมีแผนที่จะเดินหน้ายุติการเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัลในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีอีกด้วย
เช่นเดียวกับรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา UNESCO ได้ออก “ข้อเรียกร้องที่เร่งด่วนสำหรับการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมในการศึกษา” โดยเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่โรงเรียน แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่าเทคโนโลยีในด้านการศึกษานั้นควรถูกนำมาใช้ในลักษณะที่จะไม่มาแทนที่การสอนในชั้นเรียน และการสอนโดยครูอาจารย์ และส่งเสริมวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกันในเรื่องของการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนทุก ๆ คน
การปลูกฝังให้เด็ก ๆ รักการอ่านอาจจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็เป็นไปได้หากรู้วิธี มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้แนะนำเทคนิคไว้ ดังนี้
1. อุ้มแล้วอ่าน อุ้มลูกไว้บนตักแล้วอ่านหนังสือให้ฟัง ออกเสียงสูงต่ำ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย มีจังหวะหนักเบา พร้อมชวนดูภาพ กอดสัมผัส เคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย จะช่วยเร้าความสนใจของเด็กต่อหนังสือมากยิ่งขึ้น
2. อ่านอย่างน้อยวันละ 10 – 15 นาที ช่วยสร้างความผูกพันในครอบครัว ทำให้ลูกใกล้ชิดและผูกพันกับการอ่านหนังสือ ช่วยพัฒนาสมองของเด็ก
3. พูดคุยและตั้งคำถาม ต่อยอดความคิดและเชื่อมโยงกับประสบการณ์ รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้ลูกใช้ทักษะทางภาษา
4. ตอบคำถามจากลูกขณะอ่านหนังสือ ช่วยต่อยอดความคิด ถ้าคำถามข้อใดไม่รู้ ให้พยายามหาคำตอบ ให้ลูกเห็นว่าสามารถหาได้จากการอ่านหนังสือ
5. อ่านตามทุกตัวอักษร ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สนุก ถ้าหนังสือมีเนื้อหาดี วิธีการเล่าจะเป็นประเด็นรอง ถ้าชี้ตัวหนังสือที่อ่านไปพร้อมกันจะช่วยให้เด็กจดจำภาษาได้ดี
6. จัดมุมหนังสือในบ้าน สร้างบรรยากาศให้ลูกได้สนุกกับการเลือกหนังสือหรืออ่านหนังสือเอง
7. จัดช่วงเวลาอ่านหนังสือร่วมกัน สร้างวัฒนธรรมการอ่านในบ้าน เด็กจะซึมซับและทำตาม
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 7 เทคนิค ปลูกฝังเด็ก ๆ ให้รักการอ่าน, 11 พฤษภาคม
2565, https://.thaihealth.or.th/7-เทคนิค-ปลูกฝังเด็ก-ๆ-ให้-2/
Unicef Thailand, เด็กทุกคนอ่านได้ เพราะการอ่านหนังสือมีผลต่อพัฒนาการของเด็กและยังเป็นพื้นฐานที่
สำคัญสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต, https://www.unicef.org/thailand/th/every-child-can-read
sanook.com, การ “อ่าน” ยังจำเป็นอยู่ไหม ในยุคที่เรา “ฟัง” เอาก็ได้, 15 เมษายน 2566,
https://www.sanook.com/campus/1414595/
BBC.com, Story time with e-books 'not as helpful' as print books, 25 มีนาคม 2562,
https://www.bbc.com/news/health-47666948
voathai.com, สวีเดนพักหน้าจอไฮเทค ฟื้นฟูการอ่านเขียนของนักเรียน, 4 ตุลาคม 2566, https://www.voathai.com/a/sweden-brings-more-books-and-handwriting-practice-back-to-its-tech-heavy-schools/7272172.html
0 ถูกใจ 827 การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0