2.3 การวัดระดับความสุข
ประเทศภูฏาน มุ่งเน้นการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ โดยใช้ดัชนีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญดังนี้:
การพัฒนาที่มีความยั่งยืน: การใช้ Gross National Happiness เป็นตัวชี้วัดหลักช่วยให้ประเทศมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นการพัฒนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยไม่เพิ่มการบริโภคที่ไม่จำเป็นและไม่
สร้างคุณค่าต่อชีวิตของประชาชนในระยะยาว
การให้ความสำคัญกับความสุข: ประเทศภูฏานเน้นการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน เช่น การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง การส่งเสริมการศึกษา และการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี
การลดความไม่เสมอภาค: ประเทศภูฎานมุ่งเน้นให้ทุกคนมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง การศึกษา หรือการเข้าถึงบริการสุขภาพ
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในสังคม: การเชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญ ประเทศภูฏานสนับสนุนการสร้างชุมชนที่มีความสามัคคี และสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์ในชุมชน
ดังนั้น การใช้ Gross National Happiness เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาของประเทศภูฏานช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างแท้จริงโดยไม่เพิ่มการบริโภคหรือเพิ่มเงินในกระเป๋าเป็นสำคัญ
มูลนิธิเศรษฐกิจใหม่ (New Economics Foundation) ได้จัดทำดัชนีความสุขโลก (Happiness Planet Index - HPI) โดยใช้ความพึงพอใจในชีวิตเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของดัชนีนี้ (Marks et al. 2006) เพื่อวัดความสุขของประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องบริโภคทรัพยากรจนเกินพอดี จุดสำคัญของดัชนีความสุขโลกคือ:
การให้ความสำคัญกับความพึงพอใจในชีวิต: ดัชนีความสุขโลกให้ความสำคัญกับความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน เป็นตัวชี้วัดหลักที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่มีค่าและมีความสุข
การลดการใช้ทรัพยากร: ดัชนีนี้เน้นการวัดความสุขโดยไม่ต้องบริโภคทรัพยากรจนเกินไป เช่น การลดการใช้พลังงานหรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการบริโภค: การวัดความสุขโดยไม่พึงประสงค์ให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น เช่น การเน้นความสุขจากความสัมพันธ์ที่ดีและการเชื่อมโยงกับสังคม
ดัชนีความสุขโลกช่วยให้เห็นภาพรวมของความสุขของประชาชนที่เกิดขึ้นโดยมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีสติและอย่างยั่งยืน และช่วยเน้นความสำคัญของความสุขที่มากกว่าเพียงการบริโภคหรือการสะสมทรัพย์สินในการวัดความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co – operation and Development – OECD) ได้จัดทำโครงการการวัดความก้าวหน้าสังคมโลก พ.ศ. 2551 (Global Project on Measuring the Progress of Societies) เน้นความสำคัญดังนี้
พัฒนาชุดตัวชี้วัดอย่างครอบคลุม: โครงการนี้เน้นการพัฒนาชุดตัวชี้วัดที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถวัดและประเมินสถานะและความก้าวหน้าของสังคมได้อย่างครอบคลุมและเป็นรูปธรรม
การสะท้อนความอยู่ดีทั่วไปของสังคม: โครงการนี้ช่วยให้สามารถสะท้อนความอยู่ดีทั่วไปของสังคมได้โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดที่มีความเชื่อถือได้และมีความสัมพันธ์กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
การสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูล: โครงการนี้เป็นการสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้ข้อมูลที่เป็นรากฐานแก่นโครงการนี้ทำให้ผู้ตัดสินใจสามารถทำการวิเคราะห์และการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างมีความรับผิดชอบและแม่นยำ
ดังนั้น โครงการการวัดความก้าวหน้าสังคมโลกของ OECD เป็นการสร้างเครื่องมือที่สำคัญในการวัดและประเมินความก้าวหน้าและสถานะของสังคมให้เป็นรูปธรรมและมีความเชื่อถือได้ และช่วยสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลให้มีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
ที่มา:รศรินทร์ เกรย์, วรชัย ทองไชย, และเรวดีสุวรรณนพเก้า. (2553). ความสุขเป็นสากล. กรุงเทพ: บริษัทจรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จํากัด
นโยบายระดับชาติในประเทศไทย ได้เริ่มให้ความสนใจในเรื่องความสุขช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมาก เมื่อตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2506 ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยใช้ GDP เป็นตัววัดความก้าวหน้าของประเทศ จนไปถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับแรกที่เน้นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญโดยตรงความสำคัญของนโยบายที่เน้นความสุขได้สะท้อนอย่างชัดเจนในการที่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ได้กล่าวถึงความสุขและมุ่งหมายที่จะทำให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาให้คนมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในการมองเส้นทางการพัฒนาของประเทศ จากการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไปสู่การพิจารณาความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาชุมชนและสังคมทั้งหมด
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ได้จัดทำหนังสือและจัดประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 14 เรื่อง "ความอยู่ดีมีสุขในสังคมไทย: ความฝันหรือความจริง" ซึ่งนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขที่ครอบคลุมทุกมิติสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในแนวคิดและบริบทของการจัดทำแผนพัฒนาประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540-2544 ได้เน้นให้คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งความอยู่ดีมีสุขกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของแผนฯ ฉบับดังกล่าว รวมถึงฉบับต่อๆ มา แต่ด้วยแนวคิดและบริบทของการจัดทำแผนพัฒนาประเทศ ทำให้ความอยู่ดีมีสุขถูกมองจากแนวทางการพัฒนากระแสหลักซึ่งเน้นความอยู่ดีมีสุขในเชิงภววิสัยหรือคุณภาพชีวิตจากภายนอกที่กำหนดโดยนักวิชาการหรือผู้กำหนดนโยบาย การพัฒนาทางวัตถุโครงสร้างและสาธารณูปโภค ทำให้การพัฒนามุ่งไปที่มิติความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและไม่อาจก้าวพ้นจากความอยู่ดีมีสุขเชิงภววิสัยที่ใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัด
ดังนั้น มุ่งไปสู่ความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยหรือคุณภาพชีวิตจากภายในทางด้านจิตใจเป็นสิ่งที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหิดลเน้นอย่างมากในการวิจัยและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในสังคมไทย
สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นิยาม "ความอยู่ดีมีสุข" ว่าเป็นการมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ มีงานทำอย่างทั่วถึง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต มีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่ดีของภาครัฐ
ในแผนพัฒนาฉบับที่ 10 และ 11 (พ.ศ. 2550-2559) ได้ใช้คำว่า "ความอยู่เย็นเป็นสุข" แต่กลับมาใช้คำว่า "ความอยู่ดีมีสุข" ในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งเป็นแนวทางปัจจุบัน
คำว่า "สุขภาวะ" ปรากฏในวรรณกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและการสาธารณสุข โดยมักมีการขยายความหมายออกเป็นสุขภาวะในด้านต่างๆ เช่น สังคมสุขภาวะ สุขภาวะทางจิต และความสุขเชิงอัตวิสัย
ดัชนีที่รวบรวมมีทั้งหมด 20 ตัว ประกอบด้วย 3 กลุ่ม
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับนานาชาติ (8 ตัว) โดยพัฒนาโดยองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN, OECD, EU
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ ริเริ่มโดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ (7 ตัว) เช่น MAP, GNH, UK's National Well-being
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ ริเริ่มโดยสถาบันการศึกษาภาคเอกชน และองค์กรสาธารณกุศล (5 ตัว) เช่น AUNWI, CIW, GLOWING, OHIS, HAI
ที่มา:ประธาน: รศรินทร์ เกรย์, ผู้เขียน: กัญญา อภิพรชัยกุล, จงจิตต์ ฤทธิรงค์, พลอยชมพู สุตัสถิตย์, ภูเบศร์ สมุทรจักร , มาร์ก เฟลแคร์, มนสิการ กาญจนะจิตรา, รศรินทร์ เกรย์, วากาโกะ ทาเคดะ, วรรณี หุตะแพทย์ และอุมาภรณ์ ภัทรวาณิชย์(2561). บทที่ 1 ความอยู่ดีมีสุข (Well-being): แนวคิด ดัชนีรวม องค์ประกอบ ตัวชี้วัด และการวัด ในหนังสือ ความอยู่ดีมีสุขในสังคมไทย: ความฝันหรือความจริง. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0