บทนำ
สาระหลักสำคัญแสดงถึง นิยาม สถานการณ์สุขภาพจิตทั้งในและต่างประเทศ แนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด-19 การวิเคราะห์ช่องว่างงานสุขภาพจิตของประเทศเพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) สสส. ภายใต้แนวคิดแบบจำลองบ้าน (Housing Model) กับ สุขภาพดี 4 มิติ โดยมีกลุ่มแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยควบคู่ไปกับการป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิตและภาระโรคจากการเจ็บป่วยทางจิต รวมถึง เสริมสร้างพลังความเข้มแข็งของเครือข่ายทุกภาคส่วนในการร่วมดูแลสุขภาพจิต นำไปสู่ความสุขมวลรวมของคนไทย ที่มีเครื่องมือวัดระบบดับความสุข และกำหนดดัชนีสะท้อนความอยู่ดีมีสุข (Well-being)
1.1 นิยามศัพท์เฉพาะ และคำสำคัญ
นิยามศัพท์เฉพาะและคำสำคัญ
หมายเหตุ วงเล็บหลังคำศัพท์
(ฉ.) หมายถึง คำศัพท์เฉพาะที่มีการกำหนดนิยามและใช้ภายใน สสส.
(ท.) หมายถึง คำศัพท์ทั่วไปที่มีแหล่งอ้างอิงจากพจนานุกรม หน่วยงานอื่น เอกสารราชการ หรือเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่งแสดงลำดับการอ้างอิง โดยใส่ตัวเลขต่อจาก (ท.) เช่น (ท.-1) หมายถึง คำศัพท์ทั่วไปที่มีการอ้างอิงในลำดับที่ 1
นิยามศัพท์เฉพาะและคำสำคัญ
1.1.1คู่มือนิยามศัพท์ของ สสส.
คู่มือนิยามศัพท์ของสสส. เกิดจากความต้องการให้มีความเข้าใจที่เป็นมาตรฐานในคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสสส. ซึ่งมีคำศัพท์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในแต่ละแผน และมักมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกัน ดังนั้น จึงมีการรวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องจากหลายแหล่งข้อมูล เช่น เอกสารทิศทาง เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ของสสส. ในระยะเวลา 10 ปี รวมถึงเอกสารอื่นๆ เช่น แผนหลัก แผนการดำเนินงานประจำปี และคู่มือเกณฑ์การให้คะแนนตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน ระดับแผน 15 แผน ในช่วงปี พ.ศ. 2561–2563
โดยทำการจัดทำเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ในสถาบันนี้อย่างสากลและมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งมีการรวบรวมและจัดทำคู่มือนี้โดยมอบหมายให้ฝ่ายติดตามและประเมินผลดำเนินการ โดยได้ทำการรวบรวมคำศัพท์จากหลายแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้มีความครอบคลุมและเป็นมาตรฐานที่คงที่ในการใช้คำศัพท์ในงานด้านสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย
กลไก (ท.-1) หมายถึง สิ่งที่ทำให้ระบบขับเคลื่อน หรือดำเนินอยู่ได้.
กลุ่มเปราะบาง (ท.-2) หมายถึง คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือมีปัญหาในการเข้าถึงบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาทิ คนพิการ ผู้ต้องขัง ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และพระสงฆ์.
การขยายผล (ฉ.) หมายถึง การนำความรู้ ผลงาน ต้นแบบ หรือแนวปฏิบัติที่ดี ไปกำหนดเป็นนโยบาย หรือใช้ในพื้นที่อื่นๆ
การใช้ประโยชน์ (ฉ.) หมายถึง การนำแนวคิด ข้อมูลข่าวสาร งานวิจัย ความรู้ องค์ความรู้ นวัตกรรม เป็นต้น ไปพัฒนา ต่อยอด ใช้ประโยชน์ในการดำเนินงาน เช่น เพื่อการวางแผน ออกแบบกิจกรรมการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ ใช้ในการกำหนด ผลักดัน หรือขับเคลื่อนนโยบาย เป็นต้น
การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ (ฉ.) หมายถึง การนำความรู้ไปพัฒนา ต่อยอด ใช้ประโยชน์ในการดำเนินงาน
การทำงานอย่างเป็นระบบ (ฉ.) หมายถึง การทำงานที่มีหลักฐานชัดเจนแสดงถึงกลไกขับเคลื่อน (คณะกรรมการหรือคณะทำงาน) ในระดับต่าง ๆ มีแผนปฏิบัติการ มีการแบ่งบทบาทภารกิจของหน่วยงานหรือภาคส่วนหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมีระบบการกำกับติดตามประเมินผลที่มีรายงานสะท้อนผลเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานเป็นระยะ
การสร้างเสริมสุขภาพจิต (ฉ.) หมายถึง การส่งเสริม พัฒนา สนับสนุน สร้างความตระหนัก ความเข้าใจให้แก่ประชาชน โดยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวให้มีความสุขสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ มีการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งทางจิตใจ อารมณ์ และสังคม มีสัมพันธภาพที่ดีก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ตนเอง สังคม ชุมชน
การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (ฉ.) หมายถึง การศึกษา การทบทวน และการสังเคราะห์องค์ความรู้ ในประเด็นที่ไม่เคยมีการศึกษามาก่อน เพื่อสนับสนุนการป้องกัน ลดทอน และแก้ไขปัญหาสุขภาวะ.
ข้อเสนอนโยบายระดับประเทศ (ฉ.) หมายถึง ร่างกฎหมาย (พ.ร.บ. กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบังคับ) ร่างยุทธศาสตร์ชาติ หรือชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เมื่อมีผลบังคับใช้ จะทำให้เกิดปัจจัยที่เอื้อต่อการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่เป็นปัญหาภายในแผนนี้ ในระดับทั่วประเทศ.
ครอบครัวอบอุ่น (ฉ.) หมายถึง ครอบครัวที่สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ด้วยสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ และสามารถพึ่งพิงตนเองในการดำรงชีวิตและการหาเลี้ยงชีพ อันส่งผลให้ครอบครัวมีสุขภาวะที่ดีและพร้อมเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบครอบครัว มีองค์ประกอบตัวชี้วัดเป็น 3 องค์ประกอบหลัก คือ (1) สัมพันธภาพในครอบครัว (2) บทบาทหน้าที่ของครอบครัว และ (3) การพึ่งพิงตนเองของครอบครัว.
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy) (ท.-1, 4) หมายถึง สมรรถนะของบุคคลที่ประกอบด้วยความสามารถด้านการรู้หนังสือ ทักษะทางปัญหา และทักษะทางสังคม ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการเข้าถึง ทำความเข้าใจ ประเมิน และใช้ข้อมูลข่าวสารทางสุขภาพในรูปแบบที่ส่งเสริมและรักษาสุขภาพให้ดีและยั่งยืน.
รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต (ฉ.) หมายถึง กระบวนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิตกับกลุ่มเป้าหมาย ที่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน มีคู่มือ เครื่องมือ และ/หรือปัจจัยสนับสนุนที่จำเป็น อีกทั้งมีการทดลองดำเนินการในกลุ่มเป้าหมายแล้ว สามารถวัดผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงคะแนนแสดงระดับสุขภาพจิตในทิศทางเป็นบวกเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มเป้าหมาย และมีการถอดบทเรียนให้เห็นองค์ประกอบ/ขั้นตอน/ปัจจัยและเงื่อนไขที่ส่งผลต่อความสำเร็จ และมีการประเมินความพร้อมของรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตเพื่อนำไปขยายผลได้.
แรงงานนอกระบบ (ฉ.) หมายถึง กลุ่มประชากรที่มีรายได้จากการทำงาน โดยไม่มีนายจ้าง หรือไม่มีสัญญาจ้างงาน ตามกฎหมายแรงงาน ส่งผลให้ไม่มีหลักประกันใด ๆ ตามระบบประกันสังคมหรือคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน เช่น หาบเร่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนขับแท็กซี่ เกษตรกรทั่วไป ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น
นวัตกรรม (innovation) (ฉ.) หมายถึง การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการ แนวคิด กระบวนการใหม่ ที่แก้ไขปัญหา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ.
นวัตกรรมชุดความรู้ (ฉ.) หมายถึง เครื่องมือ คู่มือ ความรู้ บทเรียน การวิจัยและพัฒนา ข้อค้นพบใหม่ ๆ ซึ่งจัดทำเป็นรูปแบบต่าง ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วิดีโอ โปสเตอร์ ฯลฯ ที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาหรือดำเนินการในพื้นที่และ/หรือประชากรกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ.
นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ (ฉ.) หมายถึง แนวคิด กระบวนการ หรือสิ่งประดิษฐ์ ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานความคิดริเริ่มสร้างสรรค์บนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้เป็นผลงานที่นำไปสู่การแก้ปัญหา หรือพัฒนาสังคมสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ ช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพ หรือส่งเสริมให้คนมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน.
นวัตกรรมสังคม (ฉ.) หมายถึง กลยุทธ์ กรอบแนวคิด ความคิด กระบวนการ และการจัดการด้านสังคม โดยอาศัยองค์กรทรัพยากร เครื่องมือ ความรู้และภูมิปัญญาทางสังคมเพื่อแก้ปัญหาสังคม หรือตอบสนองความต้องการของสังคมในทุกรูปแบบที่นำไปสู่การขยายตัวหรือการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม.
ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพจิต (ฉ.) หมายถึง ผลการเปลี่ยนแปลงคะแนนแสดงระดับสุขภาพจิตในทิศทางเป็นบวกเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ (ในกลุ่มเป้าหมาย) ที่เป็นผลจากการดำเนินงาน.
สื่อการเรียนรู้ (ท.-1) หมายถึง เครื่องมือที่ใช้เป็นตัวกลางหรือช่องทางการถ่ายทอดความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ และใช้ประกอบการฝึกทักษะทางพฤติกรรมสุขภาพที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเรียนรู้ มีความรู้ เข้าใจและสามารถนำไปเป็นแนวทางการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง.
สุขภาวะทางจิต (ท.-1) หมายถึง จิตใจที่มีความสุข รื่นเริง คล่องแคล่ว ไม่มีความเครียด มีสติสัมปชัญญะ ปรับตัวได้เมื่อเผชิญปัญหาและความเปลี่ยนแปลง และความคิดอ่านตามควรแก่อายุ.
องค์ความรู้ (ฉ.) หมายถึง ความรู้ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ แล้วนำมาบูรณาการเข้าเป็นความรู้ในระดับที่สูงขึ้น โดยเป็นความรู้ ความเข้าใจ และข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อสภาวะหนึ่ง ๆ และจำเป็นสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ตัวความรู้จะสามารถกำหนดขอบเขตและระบุเฉพาะเจาะจงได้ เป็นสิ่งที่สร้าง ผลิต และพัฒนาได้ เผยแพร่ถ่ายทอดและนำมาใช้ประโยชน์ได้
ที่มา:คู่มือนิยามศัพท์ของ สสส. (ประกอบการจัดทำแผนและกำหนดตัวชี้วัดของ สสส.)
1.1.2 นิยาม กรมสุขภาพจิต
กรมสุขภาพจิต กำหนดนิยามสุขภาพจิตว่าเป็นสภาพชีวิตที่มีความสุข ซึ่งเกิดจากความสามารถในการจัดการปัญหาในชีวิต พร้อมกับศักยภาพในการพัฒนาตนเองเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และครอบคลุมถึงความดี
งามของจิตใจภายในตัวเรา ภายใต้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง
แบ่งองค์ประกอบของสุขภาพจิตออกเป็น 4 องค์ประกอบ ดังนี้
1.สภาพจิตใจ (Mental State): หมายถึง สภาพจิตใจที่เป็นสุขหรือทุกข์ การรับรู้สภาวะของสุขภาพตนเองและความเจ็บป่วยทางร่างกายที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและความเจ็บป่วยทางจิต
2.สมรรถภาพของจิตใจ (Mental Capacity): หมายถึง ความสามารถของจิตใจในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างสุขอย่างปกติ
3.คุณภาพของจิตใจ (Mental Quality): หมายถึง คุณลักษณะที่ดีงามของจิตใจในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
4.ปัจจัยสนับสนุน (Supporting Factors): หมายถึง ปัจจัยที่สนับสนุนให้บุคคลมีสุขภาพจิตที่ดี เช่น ครอบครัว ชุมชน การทำงาน รายได้ ศาสนา ความเชื่อ ความสามารถในการทำงาน และสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพจิตที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับบุคคล
1.1.3 นิยาม องค์การอนามัยโลก
องค์การอนามัยโลก กำหนดคำจำกัดความของ "สุขภาพจิต" ว่าหมายถึง "สภาพสุขภาวะที่บุคคลรับรู้ศักยภาพของตน สามารถรับมือกับความเครียดในชีวิต สามารถทำงานให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ และสามารถทำประโยชน์ให้แก่สังคมของตนเองได้" สามารถสรุปได้ว่าสุขภาพจิตเป็นสภาวะที่สร้างความมั่นคงและความสุขในจิตใจของบุคคล ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายและความเครียดในชีวิตได้ และมีความสามารถในการทำงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นด้วยการให้ประโยชน์แก่สังคมได้อย่างเต็มที่
1.2 สถานการณ์สุขภาพจิต
สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของสุขภาพที่มุ่งเน้นการเข้าถึงศักยภาพของตนเอง มีความสามารถในการจัดการปัญหาในการดำเนินชีวิต ทำงานสร้างสรรค์ และก่อให้เกิดประโยชน์ มีความดีงามภายในจิตใจ รวมถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ เป็นองค์ประกอบที่แยกไม่ได้จากสุขภาพกาย และมีความสัมพันธ์กับสุขภาพทางสังคม สุขภาพจิตยังสัมพันธ์กับการมีความสามารถในการแข่งขันในทางเศรษฐกิจของประเทศ สุขภาพจิตที่ดีมีความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในระดับมหภาค เช่น ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และปัจจัยในระดับครอบครัว เช่น การมีเวลาให้แก่กันภายในครอบครัว สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ หลายประการ และสุขภาพจิตที่ไม่ดีอาจเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยทางจิตหรือการป่วยด้วยโรคทางจิตเวช สุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการพิจารณาและสนับสนุนในทุก ๆ
(1) สถานการณ์สุขภาพจิตในระดับสากล
ในปีพ.ศ. 2553 องค์การอนามัยโลก รายงานว่า ปัญหาสุขภาพจิตและสารเสพติดมีส่วนรับผิดชอบในการสูญเสียปีสุขภาวะ (disability-adjusted life years - DALYs) สูงถึง 183.9 ล้านปี หรือเท่ากับร้อยละ 7.4 ของการสูญเสียดัชนีปีสุขภาวะทั้งหมด โดยมีปีสุขภาวะที่อยู่ด้วยภาวะบกพร่องทางสุขภาพ (years lived with disability - YLDs) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มโรคอื่น ๆ ที่มีจำนวน 175.3 ล้านปี นั่นหมายความว่า สุขภาพจิตและสารเสพติดมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชากรโลกอย่างมากและจำเป็นต้องรับการสนับสนุนและการให้ความสนใจเพิ่มเติมในด้านนี้ เพื่อลดปริมาณการสูญเสียปีสุขภาพที่เกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าวลงไปในอนาคต
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ที่กำหนดโดยสหประชาชาติ พบว่า เป้าหมายที่ 3 จาก 17 คือ "Good Health and Well-being" ซึ่งหมายถึงการมุ่งเน้นให้แน่ใจถึงการมีสุขภาวะในการดำรงชีวิตและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนทุกคนในทุกช่วงอายุ โดยเป้าหมายหลักคือการลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อลงในสัดส่วนหนึ่งในสามภายในปี 2030 ด้วยการป้องกัน รักษา และส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาวะที่ดี (prevention, treatment, and promote mental health and well-being) สุขภาพจิตที่ดีจะเป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาวะดีและการอยู่อย่างมีคุณภาพ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในชีวิตแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่ก่อนเกิด ต่อเนื่องจนถึงวัยชรา ผ่านการสร้างครอบครัว วัยทำงาน และในทุกช่วงวัยของชีวิต การปฏิบัติตามเป้าหมายนี้จะเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของมนุษย์และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างยั่งยืนในระยะยาว
(2) สถานการณ์สุขภาพจิตและการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทย
สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ
สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ได้รายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทยใน พ.ศ. 2554 พบว่า ความผิดปกติทางจิตเวชเป็นกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียปีสุขภาวะอันดับสองในเพศชาย รองจากอุบัติเหตุโดยคิดเป็นร้อยละ 13 (ประมาณ 800,000 ปีสุขภาวะ) จากความสูญเสียทั้งหมดในเพศชาย ส่วนในเพศหญิงนั้นความผิดปกติทางจิตเวชเป็นกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียปีสุขภาวะเป็นอันดับสี่ คิดเป็นร้อยละ 9 (ประมาณ 400,000 ปีสุขภาวะ) จากความสูญเสียทั้งหมดในเพศหญิง
แนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด 19 เพื่อใช้ในประเทศไทย
แนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด 19 เพื่อใช้ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการสร้างเสริมปัจจัยทางจิตวิทยาเชิงบวกที่มีความสัมพันธ์กับสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด 19 โดยมุ่งเน้นการจัดทำบนพื้นฐานของกรอบแนวคิดนักวิจัย-นักปฏิบัติแบบ Scientist-Practitioner Model และภาคีเครือข่าย แนวปฏิบัตินี้ยังระบุถึงความท้าทายในการดำเนินงานเช่นการขาดทรัพยากรในส่วนของเครือข่ายสนับสนุนการทำงาน ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางจิตวิทยาบางประเด็น และความแปลกแยกเชิงวัฒนธรรมในการสร้างเสริมปัจจัยทางจิตวิทยาเชิงบวก และย้ำความสำคัญของการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริมป้องกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และการสร้างเสริมสุขภาพจิตในรูปแบบที่เข้าใจและวัดประเมินผลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสรุปข้อสรุปแนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด 19 และสถานการณ์วิกฤตอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับไทย ได้แก่
- การสร้างเสริมให้บุคคลฝึกสติ เพื่อเกิดการตระหนักรู้เท่าทันถึงความคิด ความรู้สึก อารมณ์และพฤติกรรมของตนเองต่อ New Normal
- การสร้างเสริมความเมตตากรุณาต่อตนเองแบบไม่เป็นทางการ โดยสร้างเสริมองค์ประองค์ย่อยในชีวิตประจำวัน หรือผ่านการฝึกด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์
- การลดการใช้ทรัพยากรในสถานการณ์โควิด 19 โดยการสร้างเสริมการเห็นคุณค่าในตนเองในรูปแบบกลุ่ม
- การประเมินความสามารถในการฟื้นพลังของบุคคลและความพร้อมทางทรัพยากรของระบบนิเวศชุมชนสังคม
- การกำกับอารมณ์แบบมุ่งเน้นการยอมรับนับเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์
- การสร้างเสริมผ่านการปรับมุมมองความคิดอาจไม่เหมาะสม
- การสร้างเสริมสุขภาพจิตเฉพาะบางองค์ประกอบ
แนวปฏิบัตินี้มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตในชุดข้อคิดและการปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์และวัฒนธรรมไทย เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทสังคมและการปฏิบัติงานจริง
ที่มา:นางกุลยา พิสิษฐ์สังฆการ. นางสาวณัฐสุดา เต้พันธ์. การวิจัยทบทวนแนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด 19 เพื่อใช้ในประเทศไทย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะจิตวิทยา (2565) : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สถานการณ์และการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยตามบทบาทของกรมสุขภาพจิต
กรมสุขภาพจิตในฐานะองค์กรที่รับผิดชอบหลักในการดูแลสุขภาพจิตของคนไทยได้เข้าใจถึงความสำคัญของการพัฒนางานสุขภาพจิตและได้ดำเนินการที่ส่งผลดีต่อสังคมไทย ดังนี้
-
มีการจัดสรรทุนการศึกษาสําหรับฝึกอบรมพยาบาลวิชาชีพหลักสูตรปริญญาโทสาขาสุขภาพจิตและจิตเวชให้มีทั่วประเทศมากว่า 10 ปี เพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิต
-
มีการพัฒนาหลักสูตร วุฒิบัตร และอนุมัติบัตรเวชศาสตร์ป้องกันแขนงสุขภาพจิตชุมชนสําหรับแพทย์เวชปฏิบัติที่ทํางานในชุมชนเพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิต
-
ได้จัดตั้งศูนย์สุขภาพจิตที่ 1-13 เพื่อรับผิดชอบงานส่งเสริมสุขภาพจิตในเขตสุขภาพทั้ง 13 เขต เพื่อให้งานสุขภาพจิตและงานสุขภาพกายเข้ากันได้อย่างเหมาะสม
-
ได้รับการขับเคลื่อนผ่านระบบสุขภาพอําเภอ (district health system; DHS) ให้ครอบคลุมประชากรทั้ง 5 กลุ่มวัย โดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตในช่วงอายุที่สําคัญตามแต่ละกลุ่ม เช่น การส่งเสริมการพัฒนาในเด็ก การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่น และการเสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองและสร้างสุขในวัยสูงอายุ
การดำเนินงานเหล่านี้ทำให้กรมสุขภาพจิตสามารถเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการด้านสุขภาพจิตและส่งเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเข้าใจในความสำคัญของงานดังกล่าวอย่างชัดเจน
1)กลุ่มปฐมวัย (0-5 ปี)
1) กลุ่มปฐมวัย (0-5 ปี)
กระทรวงสาธารณสุข
- ¬การพัฒนาระบบการเฝ้าระวังและคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) เป็นการปฏิบัติที่สำคัญของกรมสุขภาพจิตภายใต้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย โดยมุ่งเน้นการเฝ้าระวังและคัดกรองพัฒนาการในช่วงเด็กโดยให้ความสำคัญกับการกระตุ้นพัฒนาการเด็กในระยะเวลาที่เหมาะสม หากพบว่ามีสงสัยเรื่องพัฒนาการล่าช้า จะมีการให้คำแนะนำในการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสม และหากพัฒนาการยังคงล่าช้า จะมีการส่งต่อเพื่อรับการกระตุ้นพัฒนาการเพิ่มเติม ผ่านการใช้เครื่องมือ TEDA4I ซึ่งเป็นการทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาการตามเกณฑ์อย่างเหมาะสม และสามารถกลับมาสมวัยได้เมื่อได้รับการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสม
- การสำรวจโดยสำนักพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติในปี 2560 พบว่ามีเด็กสงสัยพัฒนาการล่าช้าอยู่ในอัตราส่วนที่สูงถึง 24.1 เปอร์เซ็นต์ แสดงถึงความสำคัญของการตรวจสอบและประเมินพัฒนาการเด็กในช่วงเริ่มแรกของชีวิต
- การใช้เล่มคู่มือ DSPM โดยพ่อแม่ผู้ปกครองในปี 2561 ยังมีอัตราส่วนที่ต่ำเพียง 32.90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการพบเด็กสงสัยพัฒนาการล่าช้าที่มีอัตราส่วนสูง
- ในปี 2563 มีการพัฒนาระบบการคัดกรองพัฒนาการเด็กที่มีผลอย่างดี เพื่อครอบคลุมเด็กในช่วงอายุต่างๆ และมีการติดตามและดูแลเด็กที่มีสงสัยพัฒนาการล่าช้าอย่างเหมาะสม
- โครงการ Preschool Parenting Program (Triple-P) ได้แสดงผลที่มีนัยสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการและความฉลาดทางอารมณ์ในเด็กปฐมวัย โดยมีผลลัพธ์ที่มีขนาดใหญ่ในการเพิ่มพูนทักษะและการพัฒนาทางอารมณ์ของเด็ก แสดงถึงความสำคัญของโปรแกรมด้านการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยในการส่งเสริมการเติบโต และพัฒนาของเด็กในระยะเริ่มต้นของชีวิตของพวกเขา
- ในปี 2563 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯ สยามบรมราชกุมารี เสนอให้ขยายการดำเนินการในโรงเรียนในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร (กพด) โดยมีจำนวนโรงเรียนกว่า 870 แห่งในปี 2569 ซึ่งมีการรับรองและสนับสนุนจากกรมสุขภาพจิต
- ปัญหาที่สำคัญในพัฒนาการของเด็กและสุขภาพจิตของแม่หลังคลอด มีความสำคัญ เช่น ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งมารดาและเด็ก
- โปรแกรม THINKING HEALTHY: A manual for psychosocial management of perinatal depression ได้ถูกใช้ในการช่วยเหลือแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด โดยมีการติดตามและช่วยเหลือแม่หลังคลอด ซึ่งส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการดูแลมีการลดลงของภาวะซึมเศร้า แม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยในการดูแลและพัฒนาการของเด็ก
2)กลุ่มวัยเรียน (6-12 ปี)
2) กลุ่มวัยเรียน (6-12 ปี)
- โรคซึมเศร้ามีการเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กหญิง โดยอยู่ในอันดับที่ 8 ของภาระโรค ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ควรให้ความสำคัญในการดูแลและรับมือกับปัญหา
- การสำรวจพบว่าเด็กไทยมีระดับสติปัญญาเฉลี่ยต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากล ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการให้การสนับสนุนและปรับปรุงการศึกษาเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
- ความฉลาดทางอารมณ์มีแนวโน้มลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างและระบบการศึกษาเพื่อสนับสนุนพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก
- มีการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสพฐ. ที่เกิดเป็นคู่เครือข่ายโรงเรียน เป็นการทำให้ระบบการศึกษามีการสนับสนุนและช่วยเหลือนักเรียนในด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
- โรงพยาบาลมีบทบาทในการคัดกรองและส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กที่มีปัญหาการเรียน แต่ยังขาดระบบการดูแลที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์
- ในปี 2559 เป็นต้นมามีการใช้รูปแบบการพัฒนาเครือข่าย HERO (Health and Educational Regional Operation) โดยเชื่อมเครือข่ายทั้งเขตการศึกษา ซึ่งมีผลในการขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยมีโรงเรียนประถมศึกษาสังกัด สพฐ. และ กทม. 15,812 แห่ง (59.82%) มีระบบดูแลช่วยเหลือเด็กนักเรียนกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาพฤติกรรม อารมณ์สังคม และการเรียน โดยมีกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 92.66 ได้รับการดูแลช่วยเหลือจนดีขึ้น (94,493 คนจาก 101,982 คน)
- ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน มีการขยายงาน HERO เป็นระบบงานสุขภาพจิตโรงเรียนบนระบบดิจิตัลที่เรียกว่า "School Health HERO" โดยเชื่อมระหว่างกรมสุขภาพจิตกับ สพฐ. เป็นการช่วยเสริมแรงให้ครูสามารถเฝ้าระวัง รับรู้ ดูแล และปรึกษาส่งต่อบุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้มีการดูแลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และสังคมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพขึ้น
ความรุนแรงและประสบการณ์เชิงลบในวัยเด็ก (violence and adverse childhood experience; ACE) เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กและผู้ใหญ่ในอนาคต การศึกษาพบว่าผู้ป่วยจิตเวชอายุ 18 ปีขึ้นไปมีการสูญเสีย ACE ในอัตราสูง โดยมีปัญหาหลักเกี่ยวกับครอบครัว เช่น ถูกละเลย การหย่าร้าง และความรุนแรงในครอบครัว เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เกิดความเสื่อมถอยทางจิตใจ เช่น ความเศร้าเสียใจ ความเบื่อหน่าย และความไม่พึงพอใจในชีวิต การอยู่กับบุคคลที่สนับสนุนและครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ดีเป็นปัจจัยที่ช่วยปกป้องจากการเกิด ACE และลดผลกระทบของมัน ดังนั้น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวเป็นสิ่งสําคัญที่ควรเน้นในการลดการเกิดและผลกระทบของ ACE ในสังคมไทย
3)กลุ่มวัยรุ่น (13-18 ปี)
3) กลุ่มวัยรุ่น (13-18 ปี)
- ผลการสำรวจ Thai Mental Health Indicator ในปี 2561 พบว่าวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15-24 ปีมีระดับสุขภาพจิตต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มช่วงอายุอื่น นี้เป็นสัญญาณที่ชี้ว่าต้องมีการให้ความสนับสนุนและการดูแลเฉพาะกลุ่มนี้เพิ่มเติม
- ข้อมูลการเฝ้าระวังเชิงรับจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 พบว่าเยาวชนอายุระหว่าง 15-21 ปีมีความต้องการในการปรึกษาสุขภาพจิตมาก โดยมีจำนวนโทรขอรับการปรึกษามากกว่า 15,000 ราย และมีร้อยละของผู้โทรขอรับการปรึกษาเกี่ยวกับภาวะเครียด ปัญหาความรัก และปัญหาซึมเศร้าสูง ส่งผลให้เห็นถึงความสำคัญของการให้การสนับสนุนและการปรึกษาในด้านสุขภาพจิตให้แก่เยาวชนและเยาวชนอย่างเฉพาะเจาะจงในช่วงวัยนี้
- ผลการสำรวจภัยออนไลน์ในกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาอายุ 12-18 ปีในปี 2563 พบว่าเยาวชนส่วนใหญ่มีความรับรู้ถึงภัยออนไลน์และความเสี่ยงต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ และมีความเชื่อว่าสามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้เว็บไซต์หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือเสี่ยงต่อเด็กมีอันดับสูงสุด โดยความรุนแรง การพนัน ลามกอนาจาร และสารเสพติด เป็นสื่อที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในวัยรุ่นเมื่อเล่นเกมออนไลน์เกินเวลาที่ได้รับอนุญาตหรือเกินเวลาที่ตั้งใจไว้ ส่งผลให้มีปัญหา เช่น การเรียนที่แย่ลง ความสัมพันธ์กับครอบครัวที่แย่ลง และมักอารมณ์เสียเมื่อมีใครมาบอกให้เลิกเล่นเกม คนรอบตัวมองว่าเด็กมีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเล่นเกมออนไลน์ เช่น การหงุดหงิด การใช้ภาษาหยาบคาย และถูกมองว่าติดเกม
- การกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ (cyberbullying) เป็นปัญหาที่สำคัญในเด็กโดยพบว่ามีจำนวนมากของเด็กที่มีประสบการณ์การถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์รูปแบบของการกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์มีกหลากหลาย โดยมักจะเป็นการถูกเรียกด้วยถ้อยคําหยาบคาย ถูกด่าทอ ถูกต่อต้าน ถูกนําเรื่องส่วนตัวหรือความลับไปเผยแพร่ และถูกละเมิดทาเพศออนไลน์เมื่อโดนกลั่นแกล้งระรานแล้ว เด็กจะพยายามช่วยเหลือตนเอง บางครั้งพ่อแม่ผู้ปกครองคนในครอบครัวหรือเพื่อนก็เป็นคนช่วยเหลือ เพื่อสนับสนุนและปกป้องเด็กในสถานการณ์ที่แสดงความเดือดร้อนบนโลกออนไลน์
กรมสุขภาพจิต
โครงการ School Health HERO ได้พัฒนาระบบงานสุขภาพจิตโรงเรียนสําหรับเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นร่วมกับ สพฐ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิต โดยใช้คำถามเพื่อเฝ้าระวังและช่วยเหลือในหลายๆ ด้าน เช่น การเฝ้าระวังสุขภาพจิต การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาเฉพาะ เช่น การถูกกลั่นแกล้ง และการไม่มีเพื่อน
ผลการดําเนินงานพบว่า มีจํานวนมากของนักเรียนที่ได้รับการช่วยเหลือและดูแลเมื่อพบว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งการดูแลเหล่านี้ได้ช่วยให้สถานะสุขภาพจิตของนักเรียนมีการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในปี 2564 ได้มีการพัฒนาระบบให้การปรึกษาส่งต่อบนระบบดิจิตัลและการวิเคราะห์ฐานข้อมูลด้วย data analytics เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และทํานายสถานการณ์และวางแผนการทํางานสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการด้านสุขภาพจิตให้กับเด็กและวัยรุ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
4)กลุ่มวัยทํางาน (19-59 ปี)
4) กลุ่มวัยทํางาน (19-59 ปี)
สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ
- ในปีพ.ศ.2557 สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ รายงานว่า ความผิดปกติทางจิตเวชเป็นกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียปีสุขภาวะอันดับสองในเพศชาย และเป็นสาเหตุรองจากอุบัติเหตุโดยคิดเป็นร้อยละ 13 ของความสูญเสียทั้งหมดในเพศชาย ซึ่งเทียบเท่ากับการสูญเสียปีสุขภาวะจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และในเพศหญิง ความผิดปกติทางจิตเวชเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียปีสุขภาวะเป็นอันดับสี่ คิดเป็นร้อยละ 9 ของความสูญเสียทั้งหมดในเพศหญิง
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการให้การรักษาและการดูแลสุขภาวะจิตอย่างเท่าเทียมกันระหว่างเพศในสังคม และการเสริมสร้างสภาวะสุขภาพจิตในประชากรทั้งหญิงและชายในช่วงเวลาที่เป็นสำคัญของการพัฒนาและการเติบโต
- ผลสำรวจความสุขของคนไทย พบว่า มีแนวโน้มความสุขที่ต่ำลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยร้อยละของคนไทยที่รายงานว่ามีความสุขต่ำกว่าเกณฑ์เพิ่มขึ้นจาก 9.7% ในปี 2555 เป็นร้อยละ 16.4% ในปี 2559 และร้อยละ 14.5% ในปี 2561
การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเพื่อโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2559 มีร้อยละ 45.83 ของประชากรเข้าถึงบริการนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าโดยมีการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 74.34 ในปี 2561
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการให้การดูแลและการสนับสนุนในด้านสุขภาพจิต และการเข้าถึงบริการที่เหมาะสมเพื่อลดความเครียดและโรคซึมเศร้าในประชากรชาวไทย
- การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจและสุขภาพจิตของคนไทย โดยเกิดความเครียดและสภาวะทางจิตใจที่แย่ลง
- อัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยอัตรานี้เพิ่มขึ้นจาก 6.64 ต่อแสนประชากรในปี 2562 เป็น 8 ต่อแสนประชากรเป็นอย่างน้อย
- กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาแนวทางการฟื้นฟูจิตใจในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (C4) เพื่อส่งเสริมการเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูจิตใจของประชาชนทุกช่วงวัย และสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจในการรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน
5) กลุ่มวัยสูงอายุ(60 ปีขึ้นไป)
5) กลุ่มวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)
- กลุ่มวัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เป็นกลุ่มที่มีความต้องการความช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวันอย่างสูง โดยมีร้อยละ 7.83 ของกลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือ
- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้ฝึกอบรม care giver/care manager เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทุกตำบล เพื่อการดูแลสุขภาพของกลุ่มวัยสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุที่ติดบ้านติดเตียง
อุปสรรคสำคัญที่พบคือ การบูรณาการงานสุขภาพจิตในหลักสูตร care giver/care manager และบุคลากรในโมเดล 3 หมอ รวมถึงการวัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตที่ไม่เป็นภาระงานของพื้นที่
1.3 ทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) สสส.
สรุปทิศทางและเป้าหมายระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้มีกระบวนการ ดังนี้:
- การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน: สสส. มุ่งเน้นให้มีการร่วมมือกันระหว่างภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม รวมถึงบุคลากรและผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกด้านของสุขภาพ
- คัดเลือกประเด็นสำคัญ: โดยใช้กระบวนการการประชุมและการสร้างพันธกิจร่วมกัน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการในระยะ 10 ปีข้างหน้า เพื่อให้การดำเนินงานมีเป้าหมายชัดเจนและมีประสิทธิผล
- การทบทวนสถานการณ์: การทบทวนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การวิเคราะห์ปัจจัยภายในและภายนอก และการพิจารณาข้อเสนอแนะที่มาจากการประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมต่อไปให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคต
แบบจำลองบ้าน (Housing Model)กับ สุขภาพดี 4 มิติ
แบบจำลองบ้าน (housing model) มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วนดังนี้:
ส่วนที่ 1 เป้าหมายการมีสุขภาพดี 4 มิติ: เป้าหมายสูงสุดของการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งรวมถึงมิติทั้ง 4 ด้านคือ
การมีสุขภาพกายดี
การมีสุขภาพจิตดี
การมีสุขภาวะทางปัญญาดี
การมีสังคมที่ดี
เป้าหมายนี้เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมและการเตรียมความพร้อมให้บุคคลมีสุขภาพที่ดีในทุกด้านตามวิสัยทัศน์ขององค์กรนั้นๆ
ส่วนที่ 2 เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ เน้นการทำงานที่เป็นเป้าหมายหลัก 7 เป้าหมาย และ 1 เป้าหมายพิเศษ เพื่อรองรับและสนับสนุนการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ โดยใช้เป็นเป้าหมายร่วมของ สสส. และภาคีเครือข่ายในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ ได้แก่ (1) การลดการบริโภคยาสูบ
(2) การลดการบริโภคสุราและสารเสพติด (3) การเพิ่มการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ (4) การเพิ่มกิจกรรมทางกาย
(5) การลดการตายจากอุบัติเหตุทางถนน (6) การเพิ่มจำนวนผู้มีสุขภาพจิตดี
(7) การลดผลกระทบจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
(8) เตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาสุขภาพอุบัติใหม่และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
การคำนึงถึงบริบทและความต่างกันของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย: การดำเนินการในทุกประเด็นจะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดช่องว่างและป้องกันความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในบริบทนั้นๆ โดยการดำเนินการต้องไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเหลื่อมล้ำทางสุขภาพอย่างมากขึ้นในกลุ่มนั้นๆ ดังนั้น การทำงานจึงต้องใช้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้เพื่อป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
ส่วนที่ 3 ยุทธศาสตร์การทำงาน ในการทำงานของกองทุนภายใต้กรอบการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย:
(1) การสนับสนุนงานวิชาการและรังสรรค์นวัตกรรม: การสนับสนุนงานวิชาการและรังสรรค์นวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งในด้านสุขภาพและสนับสนุนให้มีการนำความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพ
(2) พัฒนาศักยภาพ บุคคล ชุมชน และองค์กร: การพัฒนาศักยภาพของบุคคล ชุมชน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างพลังงานที่สามารถสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
(3) สานเสริมพลังเครือข่าย: การสานเสริมพลังเครือข่ายระหว่างองค์กร หน่วยงาน และกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนกันในการทำงานด้านสุขภาพ
(4) พัฒนากลไกทางนโยบาย สังคม และสถาบัน: การพัฒนากลไกทางนโยบาย เพื่อสร้างสังคมที่สนับสนุนและกระตุ้นการเติบโตทางด้านสุขภาพ
(5) สื่อสาร จุดประกาย ชี้แนะสังคม: การสื่อสารเพื่อเป็นจุดประกายและชี้แนะสังคมเกี่ยวกับความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ และการกระทำที่ส่งเสริมสุขภาพในสังคม
การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้านนี้จะอยู่บนฐานของการบูรณาการสานพลัง 3 ด้านคือ พลังนโยบาย พลังความรู้ และพลังสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์และความยั่งยืนในสังคมโดยรวมในระยะยาว
ส่วนที่ 4 การจัดโครงสร้างแผนและกลไกสนับสนุน เป็นการกล่าวถึงการจัดโครงสร้างแผนและกลไกสนับสนุนในการทำงานที่สำคัญตามบริบทของงานสร้างเสริมสุขภาพ โดยมีดังนี้:
กลุ่มแผนเชิงประเด็น: การจัดโครงสร้างแผนเพื่อการบริหารจัดการตามเป้าหมายและปัญหาสำคัญในสุขภาพที่ต้องการแก้ไขหรือพัฒนา
กลุ่มแผนเชิงพื้นที่: การจัดโครงสร้างแผนเพื่อให้การสนับสนุนและการบริหารจัดการสามารถปรับเปลี่ยนตามลักษณะพื้นที่และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มแผนเชิงองค์กรและกลุ่มประชากร: การจัดโครงสร้างแผนเพื่อการบริหารจัดการภายในองค์กรและการจัดการกับกลุ่มประชากรเป้าหมาย
กลุ่มแผนเชิงระบบ: การจัดโครงสร้างแผนเพื่อให้การทำงานเป็นระบบและมีความเชื่อถือได้โดยมีการวางระบบที่มีลำดับขั้นตอนเหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีกลไกสนับสนุนในการทำงานตามยุทธศาสตร์และการจัดโครงสร้างแผน ประกอบด้วย:
(1)การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร สสส. และภาคีเครือข่าย: การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมความสามารถในการดำเนินงาน
(2) ระบบงบประมาณและการสนับสนุนโครงการ: การจัดการระบบงบประมาณและการสนับสนุนโครงการเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
(3) ระบบฐานข้อมูลและการจัดการความรู้: การจัดการฐานข้อมูลและการแบ่งปันความรู้เพื่อให้มีข้อมูลที่สมบูรณ์และเชื่อถือได้
(4) การกำกับ ติดตาม และการประเมินผล: การดำเนินการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการทำงานเพื่อให้มีการปรับปรุงและพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
(5) การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล: การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
กลุ่มแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2 )
กลุ่มแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตและแผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2) มุ่งเน้นในการสอดคล้องกับทิศทางและเป้าหมายระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) โดยเน้นการเพิ่มสัดส่วนของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีการเน้นมากขึ้นในช่วงเวลา 10 ปีนี้ เพื่อตอบสนองสถานการณ์ปัญหาด้านสุขภาพจิตและปัจจัยแวดล้อมที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยส่งเสริมและป้องกันปัจจัยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต ด้วยการดำเนินการของสสส. ที่สนับสนุนตามนโยบายหลักของประเทศ คือพ.ร.บ. สุขภาพจิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ที่กำหนดมาตรการคุ้มครองประชาชนให้ได้รับการสร้างเสริมสุขภาพจิต และการป้องกัน รวมถึงการสอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) โดยมุ่งเน้นให้คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดี และมีความสุขในสังคม โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ที่ 1 ที่ส่งเสริมการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต และมีเป้าหมายที่คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปจะมีความสุขเท่าเทียมหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้ ในยุทธศาสตร์นี้มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัจจัยที่เสี่ยงต่อสุขภาพจิตอย่างเป็นรูปธรรมในสังคมไทยอย่างยั่งยืนและมีความยั่งยืนทั้งด้านสุขภาพจิตและสังคมทั้งๆ ที่แสดงออกที่เป็นไปได้ที่สูงขึ้นในระยะยาว
การดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงปี 2561-2563 ได้เสนอการพัฒนาและสนับสนุนแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ พ.ศ. 2561-2580 ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่ส่งผลให้ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมนำมาใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในการสร้างเสริมสุขภาพจิตของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยมีการผลิตชุดความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาคู่มือผู้ปกครองสำหรับการดูแลบุตรหลาน การพัฒนาหลักสูตรการสร้างความเข้มแข็งทางใจ เพื่อเสริมความพร้อมในการเผชิญปัญหาและจัดการกับวิกฤตต่าง ๆ รวมถึงชุดความรู้การเฝ้าระวังความรุนแรงและปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มนักเรียน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสื่อบ้านพลังใจเพื่อส่งเสริมการสร้างวัคซีนใจในการเผชิญเหตุการณ์วิกฤตของชีวิต และเครื่องมือในการจัดการความเครียดหรือความรุนแรงในครอบครัวและโรงเรียน การพัฒนานี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัจจัยที่เสี่ยงต่อสุขภาพจิตอย่างเป็นรูปธรรมในสังคมไทยอย่างยั่งยืน
ในปี 2564 มีเครื่องมือและโปรแกรมหลักสูตรที่พร้อมที่จะขยายผลกระทบ โดยมีการส่งเสริมการพัฒนาการเด็กปฐมวัยผ่านโปรแกรม Triple P (Positive Parenting Program) ที่ให้ความร่วมมือกับครอบครัวในการสร้างวินัยแบบบวก นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรออนไลน์เพื่อเสริมความพร้อมของนักฟังเชิงลึก การพัฒนาศักยภาพผู้นำและการขับเคลื่อนชุมชนเพื่อสร้างสุขและลดความทุกข์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดคลินิกจิตสังคมในระบบศาลและกระบวนการในการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบไปสู่ศาลทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมและการเสริมสร้างศักยภาพในด้านสุขภาพจิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่มีผลต่อการพัฒนาทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
แนวทางการทำงานโดยใช้มุมมองตลอดช่วงวัยของชีวิต
แนวทางการทำงานโดยใช้มุมมองตลอดช่วงวัยของชีวิต เป็นแนวทางหลักๆ ที่ปรับใช้กรอบแนวคิดตามกฎบัตรออตตาวาในการกำหนดกลไกยุทธศาสตร์ มีความสำคัญอย่างมาก โดยมีแนวทางการดำเนินงานดังนี้
1.การเสริมศักยภาพชุมชนเข้มแข็ง: การสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในด้านต่างๆ เพื่อให้พร้อมที่จะรับมือกับทั้งปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้น
2.การพัฒนานโยบายสาธารณะ: การกำหนดและสร้างนโยบายที่ส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาชุมชนในทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม
3.การปรับเปลี่ยนเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม: การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
4.การเพิ่มขีดความสามารถบุคคลเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีชีวิต: การพัฒนาศักยภาพและทักษะให้แก่บุคคล เพื่อเสริมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่ดีขึ้น
5.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ: การปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในทุกช่วงชีวิตของประชาชน
1.4 การวิเคราะห์ช่องว่างงานสุขภาพจิตของประเทศ
การดำเนินงานทางด้านสุขภาพจิตเป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานในระบบสาธารณสุข แม้กรมสุขภาพจิตฯ จะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ แต่การดำเนินงานต้องพึ่งพลังภาคีเครือข่ายจากหลายภาคส่วน โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้
¬ความต้องการภาครัฐและเอกชน: การดำเนินงานสุขภาพจิตต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้มีทรัพยากรและงบประมาณเพียงพอในการดำเนินงาน
¬การสนับสนุนงานวิจัย: การสนับสนุนงานวิจัยเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มีการพัฒนาแนวทางและนโยบายที่มีความเป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ
¬การดำเนินงานของหน่วยงานอื่น ๆ: หน่วยงานอื่น ๆ ในระบบสาธารณสุข เช่น สภาวิจัยแห่งชาติ (วช) หรือสำนักวิจัยระบบบริการสาธารณสุข (สวรส) มีบทบาทในการสนับสนุนและดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต
¬ความสอดคล้องระหว่างแผนงาน: แม้ว่าจะมีการดำเนินงานโดยกรมสุขภาพจิตฯ หรือแผนงานสุขภาพจิตเป็นเอกภาพ ก็ยังต้องพบปัญหาในการสอดคล้องและการปรับปรุงงานสุขภาพจิตของประเทศให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชน
งานส่งเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัย
งานส่งเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัย
การส่งเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยเป็นส่วนสำคัญของงานสุขภาพจิตของประเทศ โดยมุ่งเน้นการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้แก่เด็กเล็ก วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ
การดำเนินงานในระยะ 2559-2561 ได้มีผลดังนี้:
¬ส่งเสริมพัฒนาการในเด็กปฐมวัย (แรกเกิด-5 ปี): มีการพัฒนาและส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กในช่วงอายุนี้
¬ส่งเสริมทักษะชีวิตและความฉลาดทางอารมณ์ในเด็กวัยเรียน: การดำเนินโปรแกรมการฝึกสมองและทักษะชีวิตเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์และการปรับตัวในวัยรุ่น
¬ส่งเสริมทักษะชีวิตและลดพฤติกรรมเสียงในวัยรุ่น: การพัฒนาโปรแกรมการฝึกสมองเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในวัยรุ่น
¬ส่งเสริมสุขภาพจิตและลดพฤติกรรมเสียงในวัยทำงาน: มุ่งเน้นการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิตและการลดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพจิตในวัยทำงาน
¬ส่งเสริมสุขภาพจิตและสร้างคุณค่าในตนในผู้สูงอายุ: การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิตและการสร้างคุณค่าส่วนบุคคลในผู้สูงอายุ
การวิเคราะห์ช่องว่างและโอกาสในการพัฒนางานสุขภาพจิต สามารถสรุปได้ดังนี้
แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: ควรศึกษาค่ามาตรฐานของแบบทดสอบตามช่วงอายุของเด็กไทยเพื่อจัดกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มป่วย และนำมาใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้
พัฒนาช่องทางสื่อสารฐานข้อมูลวิชาการ: การพัฒนาช่องทางสื่อสารฐานข้อมูลวิชาการเพื่อการนำไปใช้โดยภาคีเครือข่ายอย่างมีประโยชน์สูงสุด เพื่อเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต
การติดตามระดับสุขภาพจิตของคนไทย: การติดตามและประเมินระดับสุขภาพจิตของประชากรไทยเป็นการสำคัญเพื่อเข้าใจและปรับปรุงมาตรการที่เกี่ยวข้อง
พัฒนามาตรวัดสุขภาพจิต/ความสุขให้เทียบเคียงสากล: การพัฒนามาตรวัดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและประเมินผลสุขภาพจิตของประชากรไทย
เสริมสร้างความเข้มแข็งของงานสุขภาพจิตในระบบสุขภาพอำเภอ (DHS): การเสริมความเข้มแข็งของงานสุขภาพจิตในระบบสุขภาพอำเภอด้วยหลักฐานทางวิชาการเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพ
การคัดเลือกมาตรการและขยายผลมาตรการสู่ระบบ: การคัดเลือกและขยายผลมาตรการที่มีประสิทธิภาพสู่ระบบเพื่อการปรับปรุงและพัฒนางานสุขภาพจิตให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม
การสร้างความตระหนักและความเข้าใจต่อปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งลดอคติต่อผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต
การสร้างความตระหนักและความเข้าใจ ต่อปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งลดอคติต่อผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิต
งานสุขภาพจิตของประเทศ มีดังนี้
¬การสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต: การแสดงความคิดเห็นและการกระทำเพื่อเสริมสร้างการเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสุขภาพจิตและความเจ็บป่วยทางจิต โดยการไม่เลือกปฏิบัติและปราศจากอคติเรียกว่า Stigma & Discrimination
¬การสื่อสารปัญหาสุขภาพจิตกับประชาชน: โดยกรมสุขภาพจิตเน้นการตอบสนองต่อข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตในลักษณะที่เป็น proactive มากกว่าการรอการตอบสนองจากปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว (reactive)
¬สรุปผลการดำเนินงานของแผนงานฯ ในระหว่างปี 2559-2561 ได้แก่:
จัดทำเอกสารวิชาการ: มีการจัดทำเอกสารวิชาการที่สำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ "Promoting mental health", "Prevention of mental disorders", และ "Social determinants of mental health" เพื่อเสนอความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจในฐานะนักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานทางด้านสุขภาพจิต
ทบทวนองค์ความรู้ Adverse Childhood Experiences (ACEs): มีการทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก (ACEs) เพื่อให้เข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตของบุคคลในอนาคต
¬สรุปการวิเคราะห์ช่องว่างและโอกาสในการพัฒนาด้านสุขภาพจิต ได้ดังนี้
1.จัดแปลงองค์ความรู้สู่การสื่อสาร: การสร้างความรู้และการเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตจำเป็นต้องมีการจัดแปลงองค์ความรู้เพื่อให้เหมาะสมและเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ประสานงานร่วมกับชมรมความรอบรู้แห่งประเทศไทย: การทำงานร่วมกับองค์กรและชมรมที่มีความเชี่ยวชาญในด้านสุขภาพจิตจะช่วยในการพัฒนาแนวทางการสร้างความรู้ให้กับประชาชน
3.การสนับสนุน/ส่งเสริม/เชื่อมโยง advocacy group: การสนับสนุนกลุ่มที่มีการทำ advocacy เพื่อสร้างความเข้าใจในการสร้างเสริมสุขภาพจิต การป้องกันปัญหาสุขภาพจิต และการยอมรับสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต
4.การจัดการ stigma discrimination อย่างเป็นระบบ: การจัดการปัญหา stigma และ discrimination เกี่ยวกับสุขภาพจิตจำเป็นต้องเป็นการจัดการอย่างเป็นระบบที่มีการทำงานร่วมกันทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม
การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการเจ็บป่วยทางจิตเวช
การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการเจ็บป่วยทางจิตเวช
สรุปงานสุขภาพจิตของประเทศที่เน้นการสร้างเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพ (PP program) ตามกลุ่มวัยได้ดังนี้:
เด็กเล็ก: การคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการเด็กกลุ่มเสี่ยงเพื่อให้เด็กได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็กเล็ก
วัยเรียน: เพิ่มการเข้าถึงบริการของเด็กที่มีปัญหาการเรียนเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาตนเองและปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมการเรียนรู้
วัยรุ่น: การจัดการเรื่องการตั้งครรภ์และป้องกันการสารเสพติดเพื่อลดความเสี่ยงในกลุ่มนี้
วัยทำงาน: เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตเพื่อการรักษาโรคซึมเศร้า โรคจิต และปัญหาสุราสารเสพติดในวัยทำงาน
วัยสูงอายุ/ผู้พิการ: เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตเพื่อการรักษาโรคซึมเศร้าและสมองเสื่อมในกลุ่มนี้เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพจิตที่ดี
สรุปผลการดำเนินงานของแผนงานในปี 2559-2561 ได้ดังนี้
¬การดูแลทารกและแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด: โปรแกรมเยี่ยมบ้านและส่งเสริมพัฒนาการเด็กในแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้รับการดูแลโดยอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
¬โปรแกรมป้องกันความรุนแรงในครอบครัว: มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อป้องกันการกระทำรุนแรงในครอบครัวโดยเฉพาะรายเพื่อป้องกันการกระทำซ้ำ
¬โปรแกรมป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน: การพัฒนาโปรแกรมเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน
¬การศึกษาประสิทธิผลของกลุ่มฝึกสติ: การศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเองในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นเพื่อป้องกันโรคซึมเศร้า
¬การศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียน: การศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กนักเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร
วิเคราะห์ช่องว่าง/โอกาสพัฒนา:
¬การสำรวจสถานการณ์ Adverse childhood experience เพื่อนำไปสู่การวางแผนป้องกัน
¬โปรแกรมเยี่ยมบ้านหลังคลอด: ควรเพิ่มการประเมินผลลัพธ์จากการนำไปใช้ในระบบ และพัฒนาคุณภาพของโปรแกรมหลังการนำไปใช้
¬โปรแกรมป้องกันความรุนแรง: ควรขยายผลและศึกษาผลลัพธ์เชิงระบบร่วมกับเครือข่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพัฒนาสังคม ยุติธรรม และสาธารณสุข
¬โปรแกรมป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน: ควรขยายผลและศึกษาผลลัพธ์เชิงระบบร่วมกับเครือข่ายด้านการศึกษา
¬โปรแกรมฝึกสติป้องกันโรคซึมเศร้า: ควรขยายผลและศึกษาผลลัพธ์เชิงระบบร่วมกับเครือข่ายในด้านการศึกษาหรือประยุกต์ใช้ในลักษณะ early intervention ในระบบบริการสาธารณสุข
¬โปรแกรมปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน: ควรศึกษาผลลัพธ์เชิงระบบร่วมกับเครือข่ายในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงโปรแกรมให้เหมาะสมแก่นโยบายและความต้องการของระบบการศึกษาของประเทศ
ลดผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิตและภาระโรคจากการเจ็บป่วยทางจิต
ลดผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิตและภาระโรคจากการเจ็บป่วยทางจิต เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญในงานสุขภาพจิตของประเทศ โดยมีการดำเนินงานในแนวทางการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขด้านจิตเวชและสารเสพติดเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ โปรแกรมการดูแลช่วยเหลือวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีอาการโรคจิตครั้งแรกเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้ เพื่อให้เข้าถึงบริการในขั้นตอนแรกของโรคและได้รับการรักษาอย่างทันเวลา เพื่อลดความรุนแรงและภาระโรคในอนาคต
การวิเคราะห์ช่องว่างและโอกาสในการพัฒนา เน้นที่การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเชิงระบบ เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิตและภาระโรคจากการเจ็บป่วยทางจิต โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการเริ่มแสดงอาการครั้งแรก (early intervention) ในโรคที่มีภาระโรคสูง เช่น ซึมเศร้า และจิตเภท การพัฒนานวัตกรรมและการใช้องค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อเสริมสร้างโปรแกรมการรักษาและการดูแลเชิงระบบอาจมีผลมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงและเสริมสุขภาพจิตของประชาชนในระยะยาว
เสริมสร้างพลังความเข้มแข็งของเครือข่ายทุกภาคส่วนในการร่วมดูแลสุขภาพจิต
เสริมสร้างพลังความเข้มแข็งของเครือข่ายทุกภาคส่วนในการร่วมดูแลสุขภาพจิต เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในงานสุขภาพจิตของประเทศ โดยการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรสุขภาพทุกวิชาชีพที่
เกี่ยวข้อง เพื่อให้พวกเขามีความรู้และทักษะในด้านสุขภาพจิต เป็นที่สำคัญ เช่นบุคลากรในกรมสุขภาพจิตและระบบสาธารณสุข
ผลการดำเนินงานในระยะ 2559-2561 เน้นการสร้างหลักสูตรการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตสำหรับสหวิชาชีพและเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาวะ โดยได้บูรณาการงานสุขภาพจิตไปยังเครือข่ายนอกระบบสาธารณสุข
ในการวิเคราะห์ช่องว่างและโอกาสการพัฒนา เป็นการยกระดับการเสริมสร้างหลักสูตรการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตไปยังเครือข่ายวิชาชีพและผู้นำที่ปฏิบัติงานในภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ผลประโยชน์ด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เจ็บป่วยทางจิตและครอบครัวที่ยังขาดความรู้ทักษะในการเป็นผู้นำและสร้างพลังสังคมในการสนับสนุนนโยบายและการดูแลสุขภาพจิตในสังคม การแก้ไขข้อนี้จะช่วยให้มีการดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้นในสังคมได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต
1.5 การประเมินผลสุขภาพจิต และดัชนีความสุขคนไทย
งานวิจัยความสุขจากต่างประเทศ พบว่า ปัจจัยภายนอกตัว เช่น รายได้ สถานภาพสมรส และสุขภาพ เพียงเพื่อนำมาเป็นส่วนน้อยของความสุขของบุคคล ร้อยละ 10 เท่านั้น
ส่วนใหญ่ของความสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยที่อยู่ในการควบคุมของบุคคล เช่น วิธีคิดและกิจกรรมที่เลือกทำ ซึ่งส่งผลต่อความสุขได้ถึงร้อยละ 40 ของความสุขทั้งหมด
วิธีคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันถือเป็นปัจจัยความสุขที่เราสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง
ผู้ที่มีความสุขในชีวิตมักมีลักษณะเฉพาะ เช่น ให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง มีความสัมพันธ์ที่ดี มีสำนึกขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น มองโลกแง่ดี และมีเป้าหมายระยะยาวในชีวิต เช่น สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของชีวิตและมุ่งหวังสิ่งที่สำคัญในชีวิต
งานวิจัยระยะยาว พบว่า ปัจจัยที่สำคัญสำหรับความสุขและการใช้ชีวิตที่ดีรวมถึงการไม่ดื่มสุรา, ออกกำลังกาย, ควบคุมน้ำหนัก, มีสุขภาพการเงินดี, มีการศึกษาและงานที่ดี, และมีวิธีการแก้ปัญหาชีวิตที่เหมาะสม
ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อความสุขอีกส่วนหนึ่งมาจากทักษะส่วนบุคคล เช่น การจัดการปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี การมีอารมณ์ขัน และความเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น ความสุขในชีวิตขึ้นอยู่กับทักษะส่วนบุคคลอีกมากถึงร้อยละ 40 ของความสุขทั้งหมด
ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ มีส่วนรับผิดชอบในร้อยละ 50 ของความสุขของมนุษย์แต่ละคนมีระดับความสุขที่กำหนดไว้แล้ว และมีการปรับตัวให้กลับมามีความสุขในระดับเดิมหากมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบด้านความสุข หรือกลับมามีความสุขมากขึ้นหากมีเหตุการณ์ที่ส่งผลด้านความสุขลงไปช่วงหนึ่ง
ความสุขของคนไทย
ความสุขของคนไทย เมื่อรวบรวมข้อมูลความสุขคนไทยจากการศึกษาต่าง ๆ เข้ากับรายงานวิจัยความสุขจากต่างประเทศ มีข้อสรุปเพื่อการสร้างสุขในชุมชน ดังนี้
1.ความสุขเป็นทักษะและเป็นเรื่องของการเลือกทำ: ความสุขไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการเลือกทำและวิถีชีวิตที่เลือก เป็นทักษะส่วนบุคคลที่ฝึกฝนได้ การสร้างฝ่ายหรือมุมมองต่อชีวิตที่เกิดขึ้นจากวิกฤติอาจช่วยให้มีความสุขมากขึ้น
2.ความสุขเป็นสิ่งที่ชุมชนสร้างขึ้นร่วมกัน: การสร้างสุขในชุมชนต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างพื้นที่เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน และพัฒนาวิถีชีวิตที่เอื้อต่อความสุข โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน มีความปลอดภัย และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น นอกจากนี้ ชุมชนยังควรมีแนวทางการช่วยเหลือผู้ที่มีความเดือดร้อนในชีวิต
3.นโยบายรัฐบาลมีผลต่อความสุขของคนในสังคม: นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลมีผลต่อความสุขของคนในสังคม โดยเฉพาะเรื่องที่สัมพันธ์กับสถาบันครอบครัว การเข้าถึงบริการภาครัฐ และปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างสุขในชุมชนและสังคมอย่างกว้างขวาง
ผลการวิเคราะห์ความสุข
การวิเคราะห์ความสุขที่ได้รับการเก็บข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น กรมสุขภาพจิต สำนักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีความสำคัญที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสุขของประชากร โดยสรุปได้ดังนี้:
1.การวิเคราะห์และเก็บข้อมูลเชิงสถิติ: การรวบรวมข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับความสุขช่วยให้เราเข้าใจถึงสภาพความสุขของประชากรในด้านต่าง ๆ อย่างเช่น สุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และปัจจัยที่มีผลต่อความสุข
2.การวิจัยและการสร้างแผนงาน: ข้อมูลที่เก็บรวบรวมนี้นำมาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการวิจัยและการสร้างแผนงานเพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตให้กับประชากร โดยการมองถึงปัญหาที่สำคัญที่ส่งผลต่อความสุขและการพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
3.การจัดการและการบริหาร: ข้อมูลที่ได้รับการวิเคราะห์ช่วยในการบริหารและการจัดการด้านสุขภาพจิต ทั้งในระดับนโยบายและการดำเนินงานที่ระดับภูมิภาคและชุมชน
4.การพัฒนานโยบาย: การวิเคราะห์ข้อมูลความสุขช่วยให้รัฐบาลสามารถพัฒนานโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชากร และตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม
การวิเคราะห์ข้อมูลความสุขจึงเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการการบริหารและการพัฒนาด้านสุขภาพจิตในประเทศ
การพัฒนาเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตคนไทย
การพัฒนาเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตคนไทย มีความสำคัญเนื่องจากช่วยให้เราสามารถวัดและประเมินระดับความสุขของประชากรได้อย่างเป็นระบบ โดยมีจำนวนข้อคำถามที่หลากหลายเพื่อช่วยในการประเมินทั้งความรู้สึกและสภาพจิตใจของบุคคล มีเวอร์ชันที่ฉบับเต็มที่มีข้อคำถามทั้งหมด 55 ข้อและฉบับย่อที่มีข้อคำถาม 15 ข้อ เรียกแบบประเมินนี้ว่า "แบบประเมินความสุขคนไทย"
ความสุขในที่นี้มีความหมายที่ครอบคลุมองค์ประกอบทั้งสี่ตามนิยามต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยความพึงพอใจ สมรรถภาพจิตใจดี คุณภาพจิตใจดี และปัจจัยสนับสนุนดี โดยสามารถแบ่งความสุขออกเป็นส่วนย่อยได้เป็นคุณลักษณะต่าง ๆ ของสุขภาพจิต
การใช้เครื่องมือนี้ช่วยให้เราทราบถึงสถานะของสุขภาพจิตของประชากรไทยอย่างครอบคลุม และช่วยในการวางแผนและดำเนินการทางด้านสุขภาพจิตให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพความเป็นอยู่ของประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คณะทำงานทางวิชาการของโครงการรายงานสถานการณ์สุขภาพจิตคนไทย เลือกใช้แบบประเมินความสุขคนไทยของกรมสุขภาพจิตเป็นเครื่องมือในการสำรวจเนื่องจากมีขั้นตอนการพัฒนาที่มีคุณภาพ นิยามชัดเจน และใช้วิธีการสำรวจที่เชื่อถือได้ โดยใช้ข้อคำถามที่ผนวกเข้ากับมาตรฐานการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งช่วยลดการสำรวจซ้ำซ้อน และเพิ่มความน่าเชื่อถือในกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์คะแนนความสุขคนไทยร่วมกับตัวแปรอื่น ๆ ในการสำรวจต่าง ๆ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้อีกด้วย การใช้แบบประเมินความสุขคนไทยนี้จึงช่วยให้การสำรวจเกิดประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นในการวิเคราะห์สุขภาพจิตของประชากรไทยในมุมมองทางวิชาการ
แบบประเมินความสุขคนไทย
การใช้แบบประเมินความสุขคนไทย ที่พัฒนาขึ้นมาด้วยการต่อเนื่องมีความสำคัญในการวัดและประเมินสุขภาพจิตของประชากรไทย โดยเครื่องมือนี้มีข้อคำถามจำนวน 15 ข้อ และได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความเหมาะสมและเชื่อถือได้ การกำหนดจุดตัดแบ่งกลุ่มประชากรออกเป็น 3 ระดับตามคะแนนที่ได้ ช่วยให้สามารถแบ่งกลุ่มคนไทยออกเป็นกลุ่มที่มีระดับความสุขต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มสุขน้อย กลุ่มสุขปานกลาง และกลุ่มสุขมาก ผลการสำรวจที่ได้จึงเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญ เพราะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิตกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งจะช่วยในการกำหนดนโยบายด้านสังคมที่มีผลต่อสุขภาพจิตหรือความสุขของคนไทยในอนาคต
1.6 การวิเคราะห์และสังเคราะห์ระบบข้อมูลความสุขคนไทยในมิติสุขภาพ
ส่วนที่ 1 มุมมองความสุข
การศึกษาเกี่ยวกับความสุขมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องทั้งในฝั่งตะวันตกและตะวันออกของโลก ตั้งแต่มุมมองทางปรัชญาและนักคิดร่วมไปจนถึงมุมมองทางศาสนา นักเศรษฐศาสตร์ และนักสังคมวิทยา ซึ่งการศึกษาเรื่องนี้ได้ขยายความสนใจไปยังนักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ด้วย เรื่อยมาตลอดเวลา แม้ว่าจะมีการยอมรับกันว่าความสุขคือความรู้สึกที่ดี แต่เนื่องจากเกณฑ์ในการประเมินความสุขขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของบุคคลหรือเกณฑ์ที่บุคคลหรือสังคมยึดถือและให้คุณค่า ทำให้มุมมองที่มีต่อความสุขสามารถแบ่งแยกและแตกต่างกันไปได้
1.1 ความสุขในรูปแบบของเฮโดนิกส์ ( Hedonic) และความสุขในรูปแบบของยูไดโมนิกส์ (Eudaimonia
1.1 ความสุขในรูปแบบของเฮโดนิกส์ (Hedonic) และความสุขในรูปแบบของยูไดโมนิกส์ (Eudaimonia)
(1) ความสุขในรูปแบบของเฮโดนิกส์หรือความสุขเชิงอัตวิสัย (SWB) เน้นการให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกที่บุคคลมีต่อเป้าหมายในการใช้ชีวิต โดยเน้นการมุ่งหมายในการเพิ่มความสุขมากที่สุดและลดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ที่สุด รวมถึงความรู้สึกของความยินดีและความพึงพอใจที่บุคคลบรรลุจุดมุ่งหมายในตนเอง
ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความสุข ในแนวคิดนี้ได้แก่ Satisfaction With Life Scale (SWLS) ซึ่งนับเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความพึงพอใจในชีวิต โดยการประเมินความพึงพอใจนี้เกิดจากความรู้สึกของบุคคลภายในเกี่ยวกับคุณภาพทั้งหมดของชีวิต นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ เช่น The Positive and Negative Affect Schedule (PANAS) ซึ่งใช้ในการประเมินอารมณ์ทางบวกและอารมณ์ทางลบของบุคคล ทั้งนี้การประเมินในแนวคิดนี้เป็นการประเมินผลโดยรวมทั้งหมดไม่แยกเป็นองค์ประกอบย่อย ซึ่งมุ่งเน้นที่ความสุขในทางกว้างขวางและรวมทั้งด้านอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล
(2) ความสุขในแนวคิดของยูไดโมนิกส์หรือสุขภาวะทางจิต (PWB) ให้ความสำคัญกับคุณลักษณะทางจิตด้านบวกที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการพัฒนาศักยภาพของบุคคล โดยเน้นความยินดีและความมีคุณภาพของการดำรงอยู่ที่มากกว่าการเพลิดเพลินในสิ่งที่เพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว การศึกษาความสุขในแนวคิดนี้มองว่าความสุขแท้จริงมาจากความเจริญที่ตนเองประสบ และการที่เราสามารถมีผลต่อสังคมและโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
ตัวอย่างการประเมินตามแนวคิดนี้ ได้แก่มาตรวัดสุขภาวะทางจิต (The Psychological Well-Being Scale) ของ Ryff ซึ่งมีหลัก 6 ด้าน ได้แก่ การยอมรับตนเอง ความสามารถในการจัดการกับสภาพแวดล้อม การมีสัมพันธภาพเชิงบวกกับผู้อื่น การมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ความงอกงามในตน และการพึ่งตนเองได้
การศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่าการศึกษาความสุขทั้งแนวเฮโดนิกส์และยูไดโมนิกส์เป็นกรอบมโนทัศน์ความสุขที่มีบริบทของวัฒนธรรมทางตะวันตก แต่มีความแตกต่างกันที่สนับสนุนความเป็นอิสระและการพึ่งตนเองในแนวเฮโดนิกส์ ในขณะที่ยูไดโมนิกส์เน้นการมีผลต่อสังคมและโลกให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นโดยการมีส่วนร่วมและการรับใช้ผลกระทบจากสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กว้างขวาง
ความแตกต่างของบริบททางวัฒนธรรมในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความสุขในต่างประเทศในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้เกิดการขยายกรอบมโนทัศน์ในเรื่องความสุข โดยผสมผสานองค์ความรู้เรื่องความสุขในบริบทวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก
มุมมองของความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีไม่ได้มีเพียงความสุขที่เป็นความรู้สึกของอารมณ์เท่านั้น แต่ยังความสุขที่เกิดจาก
สภาพจิตใจที่สงบประณีตและกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ
การศึกษาเปรียบเทียบโมเดลเชิงสาเหตุของความสุขของคนในสังคมตะวันตกและตะวันออก พบว่า ความสุขของคนในสังคมตะวันตกมักเกิดจากการที่เขารับรู้ว่าตนเองประสบความสําเร็จ ในขณะที่ความสุขของคนในสังคมตะวันออกมักเป็นความรู้สึกสงบ กลมกลืนกับสิ่งรอบตัวที่เกิดจากการไม่ครุ่นคิดถึงแต่ตนเองและการพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์
1.2 โครงสร้างของความสุข และสุขภาวะ ในจิตวิทยาเชิงบวก
1.2 โครงสร้างของความสุขและสุขภาวะในจิตวิทยาเชิงบวก (The structure of happiness and well-being in positive psychology)
จิตวิทยาเชิงบวก เน้นการศึกษาสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์มีคุณค่า มีความสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง โดยให้ความสำคัญกับจุดแข็งและคุณลักษณะด้านบวกของมนุษย์ โดยยังไม่ละเลยจุดอ่อนของมนุษย์ แต่นำจุดแข็ง
ของมนุษย์มาเป็นหลักในการป้องกัน รักษา ปรับเปลี่ยนและแก้ไขข้อบกพร่อง
Dr. Martin Seligman ผู้นำทางจิตวิทยาเชิงบวก ได้เสนอทฤษฎีความสุขที่แท้จริง (Authentic Happiness) ในปี ค.ศ. 2002 เกี่ยวกับชีวิตที่ดี ความรู้สึกที่ดีและวิธีการที่บุคคลเลือกชีวิตที่พยายามให้มีความสุขมากที่สุด โดยมีสามองค์ประกอบหลัก คือ
1.อารมณ์ทางบวก (Positive Emotion) หมายถึง การที่บุคคลมีความรู้สึกที่พึงพอใจในชีวิต และมีประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความสุข
2.ความยึดมั่นผูกพัน (Engagement) หมายถึง การที่บุคคลมีชีวิตที่มุ่งมั่นทุ่มเท เอาใจใส่จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และมีประสบการณ์ของภาวะลื่นไหล (Flow)
3.ความหมาย (Meaning) หมายถึง การที่บุคคลใช้จุดแข็งและคุณธรรมของตนเองเพื่อทำอะไรบางอย่างที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ความสุขแบบนี้ถือว่ามีคุณค่าสูงสุดและเป็นความสุขที่ถาวร และเรียกว่า ชีวิตที่มีความสุขแบบแท้จริง (Authentic Happiness) หรือ ชีวิตที่ดี (Good Life)
ที่มา:รองศาสตราจารย์ดร.อรพินทร์ ชูชม. (2559). โครงสร้างของความสุขและสุขภาวะในจิตวิทยาเชิงบวก สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในวารสารจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, 1-7.
สุขภาวะตามมุมมองแบบเฮโดนิกส์ เน้นความสุขในทางอารมณ์และความรู้สึกต่อชีวิตของบุคคล โดยนิยามสุขภาวะเชิงอัตวิสัย (Subjective Well-Being or Hedonic Well-Being) ว่าเป็นการประเมินความรู้สึกและความคิดชีวิตของบุคคล โครงสร้างของสุขภาวะเชิงอัตวิสัยประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่
1.องค์ประกอบการรู้คิด (Cognitive) หรือความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) เป็นการประเมินความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมของบุคคลในมุมมองทั่วไปและในด้านที่เฉพาะเจาะจง เช่น ชีวิตการงาน หรือครอบครัว
2.อารมณ์ความรู้สึกเชิงบวก (Positive Affects) คือ ความรู้สึกเชิงบวกเกี่ยวกับชีวิตและประสบการณ์ที่บุคคลมี เช่น ความสนุกสนาน ความยินดี และความรัก
3.อารมณ์ความรู้สึกเชิงลบ (Negative Affects) คือ ความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับชีวิตและประสบการณ์ที่บุคคลมี เช่น ความเศร้า ความกังวล และความโกรธ
การวัดสุขภาวะเชิงอัตวิสัยใช้วิธีการประเมินค่าแบบให้รายงานตนเอง ซึ่งหมายถึงการให้บุคคลทำการประเมินความสุขของตนเองโดยตรงโดยใช้เกณฑ์และมาตรวัดที่วิเคราะห์จากความรู้สึกและความคิดของบุคคลในชีวิตประจำวัน
สุขภาวะตามมุมมองแบบยูไดโมนิกส์เน้นความเจริญรุ่งเรืองของจิตใจและการเติบโตทางจิตวิญญาณของบุคคล นักจิตวิทยาเชิงบวกนิยามสุขภาวะในแง่ของการมีความตระหนักรู้ถึงตัวเองและการเติบโตทางจิตใจ โดยรวมแล้วสุขภาวะแบบนี้เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความรู้สึกอย่างเต็มที่ การทำหน้าที่ต่างๆในชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ และ/หรือการเติบโตทางจิตวิญญาณ
รูปแบบสุขภาวะทางจิต โดยมุ่งเน้นไปที่ความเจริญรุ่งเรืองของจิตใจ มีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1.การยอมรับตนเอง (Self-Acceptance)
2.การเติบโตส่วนบุคคล (Personal Growth)
3.การมีจุดมุ่งหมายในชีวิต (Purpose in Life)
4.การมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น (Positive Relations with Others)
5.ความรอบรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Mastery)
6.ความเป็นตัวของตนเอง (Autonomy)
โครงสร้างนี้เน้นที่คุณลักษณะทางบวกที่แสดงความเจริญงอกงามและมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกทางบวกตามมุมมองเฮโดนิกส์ การวัดสุขภาวะตามมุมมองแบบยูไดโมนิกส์ ใช้วิธีการประเมินค่าแบบรายงานตนเองโดยใช้มาตราประเมินค่าที่มุ่งเน้นไปที่ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขทางจิตใจ
ส่วนที่ 2 การวัดความสุข
2.1 แนวคิด “ความสุข”
2.1 แนวคิด “ความสุข”
การวัด "ความสุข" สามารถแบ่งออกเป็นการวัดเชิงอัตวิสัยและการวัดเชิงภาวะวิสัย โดยทั้งสองแนวคิดนี้มีแนวโน้มการใช้คำว่า "ความสุข" ในทางเดียวกันและใช้คำทั้งสามนี้เหมือนกันในทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากปัจจัยบุคลากรเลือกการกระทำต่างๆในชีวิตเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดแห่งตน โดยความพึงพอใจนี้เป็นความต้องการที่ไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ นักจิตวิทยามองว่า "ความสุข" เป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเน้นไปที่ความพึงพอใจทางอารมณ์เท่านั้น แต่ถ้าเป็น "ความอยู่ดี" ก็จะวัดรวมเอามิติของสุขภาพกายและสุขภาพจิตเข้าไปด้วย โดยการวัด "ความอยู่ดีเชิงอัตวิสัย" มุ่งเน้นไปที่ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขทางจิตใจ และใช้วิธีการประเมินค่าแบบรายงานตนเองโดยใช้มาตราประเมินค่าแบบให้รายงานตนเอง
นักจิตวิทยาแบ่ง "ความอยู่ดีทางอารมณ์" ออกเป็นสามมิติ คือ
1) ความรู้สึกทางบวก: ความถี่ของอารมณ์ที่เป็นบวก
2) ความรู้สึกทางลบ: ความถี่ของอารมณ์ที่เป็นลบ
3) ความพึงพอใจในชีวิต: การประเมินความพึงพอใจในชีวิตของตนเองในภาพรวมว่ามีค่าอย่างไร
นอกจากนี้ นักจิตวิทยา Ed Diener ได้ให้แนวคิด "ความอยู่ดีทางอารมณ์" โดยการแบ่งออกเป็นสามมิติ โดยการวัดค่าแต่ละมิติด้วยการสำรวจความรู้สึกของบุคคลเองและการประเมินค่าในแง่ของความพึงพอใจและความสุขทางจิตใจโดยใช้มาตราการประเมินค่าของตนเองเป็นหลัก
ที่มา:รศรินทร์ เกรย์, วรชัย ทองไชย, และเรวดีสุวรรณนพเก้า. (2553). ความสุขเป็นสากล. กรุงเทพ: บริษัทจรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จํากัด
2.2 ความสุขกับสุขภาพจิต
2.2 ความสุขกับสุขภาพจิต หนึ่งในเรื่องสำคัญในการเข้าใจความสุขและสุขภาพจิตคือเครื่องมือวัดสุขภาพจิตที่พัฒนาขึ้นโดยอภิชัย มงคล และคณะในปี 2552 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักคือ
1.สภาพจิตใจ (Mental state): มุ่งเน้นการวัดความพึงพอใจและความสบายใจ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับมิติของความสุขที่ได้รับการจำกัดของ Diener โดยมีความหมายใกล้เคียงกัน
2.สมรรถภาพของจิตใจ (Mental capacity): เน้นการวัดความสามารถของจิตใจที่สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.คุณภาพของจิตใจ (Mental quality): ในทางนี้เป็นการวัดคุณภาพของจิตใจโดยรวม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความสุขทั่วๆ ไป
4.ปัจจัยสนับสนุน (Supporting factors): เน้นการระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขและสุขภาพจิต ที่อาจช่วยสนับสนุนให้บุคคลมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น
การเปรียบเทียบกับความจำกัดของ Diener ในด้านความสุข พบว่า องค์ประกอบที่ 1 เกี่ยวกับสภาพจิตใจมีความหมายใกล้เคียงกัน ซึ่งมุ่งเน้นการวัดความพึงพอใจและความสบายใจ ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ของเครื่องมือวัดสุขภาพจิตคนไทยเน้นไปที่การบ่งชี้ความสุขหรือความพึงพอใจของบุคคลได้มากน้อยอย่างไร้เสียง
2.2.1 สุขภาพจิตและความสุขคือเรื่องเดียวกัน
2.2.1 สุขภาพจิตและความสุขคือเรื่องเดียวกัน
การศึกษาและประเมินความสุขและสุขภาพจิต ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของวิชาการในห้องสมุดเท่านั้น แต่ยังได้รับการพูดถึงจากปราชญ์ชาวบ้านและพระสงฆ์ในสังคมไทยด้วย
การพูดถึงความสุขในแง่มุมต่างๆ นี้ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกัน จะเห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับความสุขและวิธีการวัดความสุขของกรมสุขภาพจิตมีความสอดคล้องกับแนวคิดต่างๆ ในบริบทของสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของความสุขและสุขภาพจิตในวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยทั่วไป การให้ความสำคัญกับความสุขไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของสุขภาพกายเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพจิตที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นการพัฒนาและใช้เครื่องมือวัดสุขภาพจิตที่เหมาะสมสำหรับสังคมไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทั้งสอดคล้องกับความเชื่อและวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคมไทย
พระธรรมโกศา ให้การกล่าวถึงว่า ความสุขมาจากสภาพจิตที่เป็นปกติดี ซึ่งเรียกว่า "ความสุขสุข" เนื่องจากจิตใจที่ปกติมิได้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการหงุดหงิดหรือทรุดโทรมไปกว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบนี้เรียกว่า "ปกติ" จิตใจที่ปกตินั้นไม่มีการมีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่ต้องการที่จะเกิดขึ้น จิตใจมีอิสระและไร้ข้อผูกมัด ทำให้สบายใจและไม่มีปัญหา ซึ่งการรักษาใจให้เป็นปกติตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความสุขทั้งกายและใจ ดังนั้น ความสุขที่แท้จริงและสมบูรณ์มีทั้งสุขกายและสุขจิตโดยต้องมีการดูแลและรักษาสภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสม่ำเสมอโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อนและการดูแลสุขภาพทั้งกายและจิตใจอย่างเหมาะสมและมีสติ
พระธรรมปิฎก กล่าวถึงว่าความสุขมีทั้งสองแบบคือความสุขที่มาจากภายในและภายนอก:
1.ความสุขที่มาจากภายใน: หมายถึงการมีความสงบใจและมีความสุขจากในใจตนเอง หรือการรู้เท่าทันและเข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย เป็นความสุขทางปัญญาที่เห็นแจ้งความจริงและไม่มีการติดขัดหรือบีบคั้นใจ ความสุขภายในของบุคคลเกิดขึ้นเมื่อจิตใจไร้กังวลและอิสระจากปัญหาต่างๆ
2.ความสุขที่มาจากภายนอก: แบ่งเป็น 3 ระดับประโยชน์สุข:
ระดับที่ 1 เกี่ยวกับสิ่งที่เห็นได้ และรู้สึกได้ ได้แก่ การมีสุขภาพดี การมีทรัพย์สิน การมีอาชีพ การมีสถานะ การมีมิตรสหายและครอบครัวที่ดี
ระดับที่ 2 เกี่ยวกับคุณธรรมที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความมั่นใจในคุณค่าของชีวิต การเป็นที่ชื่นชมในสิ่งที่ดีงาม การช่วยเหลือผู้อื่น ความเชื่อมั่นในความดีงามของจิตใจและการมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ระดับที่ 3 เกี่ยวกับความเข้าใจลึกซึ้งที่เกี่ยวกับโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งทำให้เรามีสติและปฏิบัติตามเหตุการณ์ต่างๆอย่างถูกต้อง และสามารถรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง ดังนั้น ความสุขในระดับนี้เกิดจากความเข้าใจและความสามารถในการปฏิบัติตามความเป็นจริง ทำให้ชีวิตเป็นอยู่ได้อย่างสมบูรณ์และมีความสุข
พุทธทาสภิกขุ กล่าวถึงความสุขใน 3 ระดับดังนี้
1.สุขเพราะไม่เบียดเบียน: ความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีการเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น เป็นความสุขที่เกิดขึ้นในสังคมหรือกลุ่มคน โดยถ้าไม่มีการเบียดเบียนกัน ก็จะสร้างความสุขหรือความพึงพอใจในกลุ่มคน
2.สุขเพราะอยู่เหนืออำนาจของการเคลื่อนไหว: ความสุขที่มาจากการเอาตัวเองออกจากอำนาจหรือความเจริญที่มีผลต่อตัวเรา ไม่ตกอยู่ในการกระทำของความรักหลงใหลหรือความพอใจที่เกิดขึ้น ความสุขในระดับนี้เกิดขึ้นเมื่อเราสามารถเห็นความรู้สึกและความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ โดยไม่เสียใจในการที่เราหลงใหลหรือกระทำตามความปรารถนาของเรา
3.สุขเพราะละตัวตนเสียได้: ความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อเราสามารถเผชิญกับการสูญเสียตัวตนหรือสิ่งที่สำคัญกับเรา ความสุขในระดับนี้เกิดขึ้นเมื่อเราสามารถยอมรับการเสียสละและไม่มีความผูกมัดตัวเราเอง
สําคัญที่สุดใน 3 ข้อนี้คือความเข้าใจว่าไม่มีตัวตนที่คงที่อยู่ตลอดไป หากเรารู้แล้วว่าตัวตนเราเป็นแบบไหน เราก็จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและจะไม่มีความเห็นแก่ตัวอย่างได้
นายแพทย์อภิสิทธิ์ ธํารงวรางกูร เน้นว่าสุขภาพจิตไม่สามารถแยกจากสุขภาพกายได้ และมี 8 เรื่องซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสุขภาพจิตดังนี้:
1.ความสุขจากการมีหลักประกันในชีวิต: เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในเรื่องของสุขภาพและการเงิน มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะได้รับการดูแลในกรณีที่มีเหตุการณ์เช่นการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต
2.ความสุขจากการมีสุขภาพกายและทางใจดี: เน้นความสำคัญของการดูแลสุขภาพทั้งกายและจิตใจให้เหมาะสม
3.ความสุขจากการมีครอบครัวอบอุ่น: มีความสำคัญในการมีสัมพันธภาพและความอบอุ่นในครอบครัว
4.ความสุขจากการมีชุมชนที่เข้มแข็ง: การมีชุมชนที่สนับสนุนและเป็นกำลังใจสำหรับสมาชิก
5.ความสุขจากการมีความภาคภูมิใจในลูกหลานและการส่งเสริมปัญญา: การเติบโตและการที่ลูกหลานมีความสำเร็จเป็นปัจจัยสำคัญ
6.ความมีอิสระภาพ: การมีอิสระในการคิดและทำ โดยไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนในตนเองหรือสิ่งแวดล้อม
7.ความสุขจากการบรรลุธรรม: การมีปัญญาที่เข้าใจและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในตนเองและสิ่งแวดล้อม
8.มีสิ่งแวดล้อมที่ดี: การมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและเหมาะสม เช่น ดินน้ำป่าต้นไม้ใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสุขภาพจิตของบุคคล
ที่มา:รายงานเอกสารของ นพ.อภิชัย มงคล และคณะ (2544)
2.3 การวัดระดับความสุข
2.3 การวัดระดับความสุข
ประเทศภูฏาน มุ่งเน้นการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ โดยใช้ดัชนีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญดังนี้:
การพัฒนาที่มีความยั่งยืน: การใช้ Gross National Happiness เป็นตัวชี้วัดหลักช่วยให้ประเทศมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน เน้นการพัฒนาที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยไม่เพิ่มการบริโภคที่ไม่จำเป็นและไม่
สร้างคุณค่าต่อชีวิตของประชาชนในระยะยาว
การให้ความสำคัญกับความสุข: ประเทศภูฏานเน้นการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน เช่น การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง การส่งเสริมการศึกษา และการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี
การลดความไม่เสมอภาค: ประเทศภูฎานมุ่งเน้นให้ทุกคนมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง การศึกษา หรือการเข้าถึงบริการสุขภาพ
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในสังคม: การเชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญ ประเทศภูฏานสนับสนุนการสร้างชุมชนที่มีความสามัคคี และสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจและความสัมพันธ์ในชุมชน
ดังนั้น การใช้ Gross National Happiness เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาของประเทศภูฏานช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างแท้จริงโดยไม่เพิ่มการบริโภคหรือเพิ่มเงินในกระเป๋าเป็นสำคัญ
มูลนิธิเศรษฐกิจใหม่ (New Economics Foundation) ได้จัดทำดัชนีความสุขโลก (Happiness Planet Index - HPI) โดยใช้ความพึงพอใจในชีวิตเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของดัชนีนี้ (Marks et al. 2006) เพื่อวัดความสุขของประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องบริโภคทรัพยากรจนเกินพอดี จุดสำคัญของดัชนีความสุขโลกคือ:
การให้ความสำคัญกับความพึงพอใจในชีวิต: ดัชนีความสุขโลกให้ความสำคัญกับความพึงพอใจในชีวิตของประชาชน เป็นตัวชี้วัดหลักที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่มีค่าและมีความสุข
การลดการใช้ทรัพยากร: ดัชนีนี้เน้นการวัดความสุขโดยไม่ต้องบริโภคทรัพยากรจนเกินไป เช่น การลดการใช้พลังงานหรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการบริโภค: การวัดความสุขโดยไม่พึงประสงค์ให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น เช่น การเน้นความสุขจากความสัมพันธ์ที่ดีและการเชื่อมโยงกับสังคม
ดัชนีความสุขโลกช่วยให้เห็นภาพรวมของความสุขของประชาชนที่เกิดขึ้นโดยมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีสติและอย่างยั่งยืน และช่วยเน้นความสำคัญของความสุขที่มากกว่าเพียงการบริโภคหรือการสะสมทรัพย์สินในการวัดความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co – operation and Development – OECD) ได้จัดทำโครงการการวัดความก้าวหน้าสังคมโลก พ.ศ. 2551 (Global Project on Measuring the Progress of Societies) เน้นความสำคัญดังนี้
พัฒนาชุดตัวชี้วัดอย่างครอบคลุม: โครงการนี้เน้นการพัฒนาชุดตัวชี้วัดที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถวัดและประเมินสถานะและความก้าวหน้าของสังคมได้อย่างครอบคลุมและเป็นรูปธรรม
การสะท้อนความอยู่ดีทั่วไปของสังคม: โครงการนี้ช่วยให้สามารถสะท้อนความอยู่ดีทั่วไปของสังคมได้โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดที่มีความเชื่อถือได้และมีความสัมพันธ์กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
การสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูล: โครงการนี้เป็นการสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้ข้อมูลที่เป็นรากฐานแก่นโครงการนี้ทำให้ผู้ตัดสินใจสามารถทำการวิเคราะห์และการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างมีความรับผิดชอบและแม่นยำ
ดังนั้น โครงการการวัดความก้าวหน้าสังคมโลกของ OECD เป็นการสร้างเครื่องมือที่สำคัญในการวัดและประเมินความก้าวหน้าและสถานะของสังคมให้เป็นรูปธรรมและมีความเชื่อถือได้ และช่วยสนับสนุนการตัดสินใจที่มีข้อมูลให้มีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
ที่มา:รศรินทร์ เกรย์, วรชัย ทองไชย, และเรวดีสุวรรณนพเก้า. (2553). ความสุขเป็นสากล. กรุงเทพ: บริษัทจรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จํากัด
นโยบายระดับชาติในประเทศไทย ได้เริ่มให้ความสนใจในเรื่องความสุขช้ากว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมาก เมื่อตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2506 ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยใช้ GDP เป็นตัววัดความก้าวหน้าของประเทศ จนไปถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับแรกที่เน้นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญโดยตรงความสำคัญของนโยบายที่เน้นความสุขได้สะท้อนอย่างชัดเจนในการที่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ได้กล่าวถึงความสุขและมุ่งหมายที่จะทำให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาให้คนมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในการมองเส้นทางการพัฒนาของประเทศ จากการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไปสู่การพิจารณาความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาชุมชนและสังคมทั้งหมด
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ได้จัดทำหนังสือและจัดประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 14 เรื่อง "ความอยู่ดีมีสุขในสังคมไทย: ความฝันหรือความจริง" ซึ่งนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขที่ครอบคลุมทุกมิติสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในแนวคิดและบริบทของการจัดทำแผนพัฒนาประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540-2544 ได้เน้นให้คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งความอยู่ดีมีสุขกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของแผนฯ ฉบับดังกล่าว รวมถึงฉบับต่อๆ มา แต่ด้วยแนวคิดและบริบทของการจัดทำแผนพัฒนาประเทศ ทำให้ความอยู่ดีมีสุขถูกมองจากแนวทางการพัฒนากระแสหลักซึ่งเน้นความอยู่ดีมีสุขในเชิงภววิสัยหรือคุณภาพชีวิตจากภายนอกที่กำหนดโดยนักวิชาการหรือผู้กำหนดนโยบาย การพัฒนาทางวัตถุโครงสร้างและสาธารณูปโภค ทำให้การพัฒนามุ่งไปที่มิติความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและไม่อาจก้าวพ้นจากความอยู่ดีมีสุขเชิงภววิสัยที่ใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัด
ดังนั้น มุ่งไปสู่ความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยหรือคุณภาพชีวิตจากภายในทางด้านจิตใจเป็นสิ่งที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหิดลเน้นอย่างมากในการวิจัยและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในสังคมไทย
สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นิยาม "ความอยู่ดีมีสุข" ว่าเป็นการมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ มีความรู้ มีงานทำอย่างทั่วถึง มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต มีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี และอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่ดีของภาครัฐ
ในแผนพัฒนาฉบับที่ 10 และ 11 (พ.ศ. 2550-2559) ได้ใช้คำว่า "ความอยู่เย็นเป็นสุข" แต่กลับมาใช้คำว่า "ความอยู่ดีมีสุข" ในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งเป็นแนวทางปัจจุบัน
คำว่า "สุขภาวะ" ปรากฏในวรรณกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและการสาธารณสุข โดยมักมีการขยายความหมายออกเป็นสุขภาวะในด้านต่างๆ เช่น สังคมสุขภาวะ สุขภาวะทางจิต และความสุขเชิงอัตวิสัย
ดัชนีที่รวบรวมมีทั้งหมด 20 ตัว ประกอบด้วย 3 กลุ่ม
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับนานาชาติ (8 ตัว) โดยพัฒนาโดยองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN, OECD, EU
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ ริเริ่มโดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ (7 ตัว) เช่น MAP, GNH, UK's National Well-being
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ ริเริ่มโดยสถาบันการศึกษาภาคเอกชน และองค์กรสาธารณกุศล (5 ตัว) เช่น AUNWI, CIW, GLOWING, OHIS, HAI
ที่มา:ประธาน: รศรินทร์ เกรย์, ผู้เขียน: กัญญา อภิพรชัยกุล, จงจิตต์ ฤทธิรงค์, พลอยชมพู สุตัสถิตย์, ภูเบศร์ สมุทรจักร , มาร์ก เฟลแคร์, มนสิการ กาญจนะจิตรา, รศรินทร์ เกรย์, วากาโกะ ทาเคดะ, วรรณี หุตะแพทย์ และอุมาภรณ์ ภัทรวาณิชย์(2561). บทที่ 1 ความอยู่ดีมีสุข (Well-being): แนวคิด ดัชนีรวม องค์ประกอบ ตัวชี้วัด และการวัด ในหนังสือ ความอยู่ดีมีสุขในสังคมไทย: ความฝันหรือความจริง. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.
2.3.1 ความเป็นมาแนวคิดความอยู่ดีมีสุข และตัวชี้วัด
2.3.1 ความเป็นมาของแนวคิดเรื่องความอยู่ดีมีสุข และพัฒนาการของตัวชี้วัด
ในระหว่างก่อนปี พ.ศ. 2503 แนวคิดในการพัฒนาประเทศและความอยู่ดีมีสุขของคนมักเน้นที่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นหลักการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งมีผลต่อระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ มี 4 ด้านคือ 1) การบริโภค 2) การสะสมต้นทุนและทรัพยากรการผลิต 3) การกระจายรายได้ และ 4) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในช่วงทศวรรษ 1950 การพัฒนาทางเศรษฐกิจถูกมองว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับความอยู่ดีมีสุขของคนในประเทศ โดยมีการใช้ GNP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในการวัดระดับรายได้ ซึ่งเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการที่ใช้ทรัพยากรของประเทศ ในระดับนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมักเชื่อว่า การเพิ่มขึ้นของ GDP จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ โดยมองว่าคุณภาพชีวิตของบุคคลและชุมชนมีความสัมพันธ์กับรายได้
2.3.2 ข้อจํากัดของ GDP ในการวัดความอยู่ดีมีสุข
2.3.2 ข้อจํากัดของ GDP ในการวัดความอยู่ดีมีสุข
การใช้ GDP เพื่อวัดระดับความอยู่ดีมีสุขของสังคมมีข้อจำกัดหลายประการ เนื่องจาก GDP ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้ชี้วัดระดับคุณภาพชีวิตหรือความอยู่ดีมีสุขของบุคคลหรือชุมชน แต่เป็นเพียงตัวเลขที่แสดงถึงจำนวนสินค้าและบริการที่ถูกขายและซื้อภายในประเทศเท่านั้น ดังนั้น การใช้ GDP เพื่อวัดความเจริญเติบโตของประเทศพบข้อจำกัดมากมาย
มิติที่กว้างขวาง: ความอยู่ดีมีสุขมีมิติที่หลากหลาย ไม่เฉพาะด้านเศรษฐกิจเท่านั้น การใช้ GDP เพียงอย่างเดียวจึงเป็นการละเลยมิติอื่นๆ ของความอยู่ดีมีสุข เช่น สุขภาพ การมีเวลาพักผ่อน ความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ หรือความรู้สึกมีส่วนร่วม
ไม่สามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ: GDP สามารถบอกถึงระดับรายได้เฉลี่ยของประเทศได้ แต่ไม่สามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำภายในประเทศได้ เนื่องจากมันไม่สามารถเห็นความอยู่ดีมีสุขในระดับบุคคล ครอบครัว หรือชุมชนได้
ไม่คำนึงถึงการเสื่อมของทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม และทุนทางสังคม: GDP ไม่คำนึงถึงรายได้ที่เกิดจากงานที่มีคุณค่าทางสังคมแต่ไม่มีค่าเป็นตัวเงิน เช่น งานอาสาสมัคร หรืองานบ้าน ซึ่งทำให้มีการละเลยที่เกี่ยวกับทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม และทุนทางสังคม
สรุปทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ระดับความอยู่ดีมีสุขของสังคมไม่ได้มีสาเหตุมาจากระดับรายได้ที่สูงขึ้นโดยตรง แต่อาจมีมาจากปัจจัยด้านสังคมอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับรายได้ ดังนั้น การใช้ GDP เพื่อวัดความอยู่ดีมีสุขต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติอื่นๆที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลและชุมชนอีกด้วย
2.3.3 เมื่อมิติเศรษฐกิจไม่เพียงพอสะท้อนความอยู่ดีมีสุข
2.3.3 เมื่อมิติทางเศรษฐกิจไม่เพียงพอในการสะท้อนความอยู่ดีมีสุข
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เกิดการตีความใหม่เกี่ยวกับการพัฒนาของประเทศ โดยมองกว้างขึ้นว่าไม่ใช่เพียงระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ควรครอบคลุมมิติทางด้านสังคมด้วย การพิจารณาเริ่มต้นจากความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่พัก อาศัย และการเข้าถึงสินค้าและบริการสาธารณะ และมีการคำนึงถึงตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างมีความยั่งยืนและเป็นระบบทั้งภายในและภายนอกประเทศ การนำเอามิติทางสังคมมาเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการพัฒนานี้ช่วยให้การพัฒนามีความสมดุลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
ที่มา:Baster, 1979 Hicks &Streeten, 1979: McGranahan et al., 1985
แนวคิดเกี่ยวกับสวัสดิการทางเศรษฐกิจ (Economic welfare) เน้นที่การพัฒนาตัวชี้วัดที่มีมิติมากขึ้นเพื่อให้สะท้อนคุณภาพชีวิตของประชากรได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ในปีค.ศ. 1972 นักเศรษฐศาสตร์สองท่านคือ William Nordhaus และ James Tobin ได้สร้างตัวชี้วัดสวัสดิการทางเศรษฐกิจ (Measure of Economic Welfare: MEW) เพื่อขยายมุมมองของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มการวัดมูลค่าของเวลาว่าง/พักผ่อน การทำงานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง และความเสียหายที่เกิดจากการผลิตและการบริโภค รวมถึงคำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตและการบริโภคด้วย ด้วยการเพิ่มมิติให้กับตัวชี้วัดด้านเศรษฐศาสตร์นี้ เป็นการเข้าใจและวัดความเจริญเติบโตของประชากรและสังคมที่ครอบคลุมและครบถ้วนมากขึ้น โดยไม่เน้นเพียงแต่มูลค่าของการผลิตเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและสังคมอย่างแท้จริง
-นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล Amartya Sen วิจารณ์การใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในการประเมินระดับความอยู่ดีมีสุขโดยระดับความมั่งคั่งไม่สามารถสะท้อนระดับคุณภาพชีวิตของคนได้เนื่องจากคนแต่ละคนมีความสามารถในการใช้ทรัพยากรไม่เท่ากัน วิธีการที่ Sen นำเสนอคือการใช้ Capabilities approach ในการพิจารณาความสามารถของแต่ละคนในการเป็นและทำอะไรได้ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่แต่ละคนสามารถจะมีได้จริงๆ โดยใช้แนวคิดของ Functioning คือ สภาวะการเป็นและการทำ ในขณะที่ Capability หมายถึงความสามารถของคนในการเลือกทำสิ่งที่ตนให้คุณค่า (Sen, 1993) แนวคิด Capabilities approach นี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาดัชนีการพัฒนาคน (Human Development Index HDI) ในเวลาต่อมา
- มีการสร้างตัวชี้วัดใหม่ในการวัดความเจริญเติบโตของประเทศที่เรียกว่า "ตัวชี้วัดทางสังคม" (Social Indicators) เพื่อนำมาใช้ในการศึกษาและชี้วัดความอยู่ดีมีสุขเชิงสังคม (Social well-being) โดยการประเมินลักษณะหรือสิ่งแวดล้อมทางสังคม (Circumstance) และหน้าที่ (Function) ของบุคคล เช่น Keyes (1998) เสนอมิติของความอยู่ดีมีสุขทางสังคมไว้ดังนี้:
การบูรณาการทางสังคม (Social integration): การรวมกลุ่มหรือเชื่อมโยงกับสังคมและชุมชนในระดับที่เหมาะสม
การยอมรับทางสังคม (Social acceptance): ความยินยอมและการยอมรับตนเองและผู้อื่นในสังคม
การทำประโยชน์ต่อสังคม (Social contribution): การมีส่วนร่วมและการทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคมและชุมชน
การบรรลุเป้าหมายเชิงสังคม (Social actualization): การพัฒนาและการเติบโต
ของบุคลากรในทางที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสังคม
การเชื่อมโยงกันทางสังคม (Social coherence): ความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่างบุคคลและกลุ่มในสังคม
ตัวชี้วัดทางสังคมนี้ช่วยให้เราเข้าใจและประเมินความอยู่ดีมีสุขของบุคคลและชุมชนอย่างครอบคลุมมากขึ้นโดยไม่ขาดความสำคัญในมิติทางสังคมของสังคมและชุมชนในการพัฒนาและการประเมินโดยรวมของความเจริญเติบโตของประเทศ
2.3.4 คุณภาพชีวิต และความอยู่ดีมีสุข (Well-being
2.3.4 คุณภาพชีวิต (Quality of Life) และความอยู่ดีมีสุข (Well-being)
คำว่า "คุณภาพชีวิต" และ "ความอยู่ดีมีสุข" ประกอบด้วยหลายมิติทั้งทางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรมและอื่นๆ มีพัฒนาการในเชิงการวัดที่เริ่มจากภววิสัย (Objective) ที่คิดค้นโดยนักวิชาการหรือ "คนนอก" ซึ่งสามารถวัดได้เชิงปริมาณหรือความถี่
วิธีการวัดคุณภาพชีวิตจากภายในหรือ "ความสุข" (Happiness) หรือ "ความพึงพอใจในชีวิต" (Life satisfaction) ที่เป็นที่นิยม คือ การถามคำถามเดียว (Single question) ที่เกี่ยวกับความรู้สึกรวบยอดชีวิต "ความพึงพอใจในชีวิต" ถูกนำมาใช้ในการวัดความอยู่ดีมีสุขของบุคคลอย่างแพร่หลาย และยังเชื่อว่า "ความพึงพอใจในชีวิต" นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลามากนัก มีลักษณะคงที่มากกว่าความสุข เนื่องจากเป็นผลจากกระบวนการประเมินชีวิตของตนเองในทุกด้าน
การนิยามคำว่า "คุณภาพชีวิต" (Quality of life) หรือ "ความอยู่ดีมีสุข" (Well-being) มี 2 แนวทางหลัก คือ คุณภาพชีวิตจากภายนอกหรือคุณภาพชีวิตเชิงภววิสัย (Objective quality of life) และคุณภาพชีวิตจากภายในหรือคุณภาพชีวิตเชิงอัตวิสัย (Subjective quality of life) (Campbell et al.1976)
นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าคุณภาพชีวิตของบุคคลจะต้องมีการวัดทั้งจากภายในและจากภายนอกรวมกัน และไม่สามารถแยกจากกันได้ทั้งหมด (Lawton, 1991; Romney et al., 1994)
ในขณะที่บางคนไม่เห็นด้วยเพราะเชื่อว่าคุณภาพชีวิตจากภายนอกเป็นผลที่เกิดจากการรับรู้และเข้าใจคุณภาพชีวิตจากภายใน Andrews และ Whitney (1976) กล่าวไว้ว่า "การวัดคุณภาพชีวิตของประชากรจากองค์ประกอบภายนอก ไม่มีความชัดเจนและไม่มีประโยชน์ แม้ว่าการวัดคุณภาพชีวิตจากการเกิด การตาย และการนิยามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์นั้นจะถูกกฎหมาย และแสดงให้เห็นถึงการแพทย์ที่ก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลยกับคุณภาพชีวิตของประชากรจากภายใน เช่น การประเมินตนเองจากภายใน แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการวัดหรือตัวชี้วัดที่นักวิชาการสร้างขึ้นเองมากกว่า"
"ความอยู่ดีมีสุข" (Well-being) มักปรากฏพร้อมคำคุณศัพท์เพื่อขยายความให้มีความหมายเฉพาะเจาะจงเสมอ เช่น ความอยู่ดีมีสุขเชิงจิตวิทยา (Psychological well-being) ความอยู่ดีมีสุขเชิงกายภาพ (Physical well-being) ความอยู่ดีมีสุขเชิงสุขภาพจิต (Mental well-being) ความอยู่ดีมีสุขเชิงเศรษฐกิจ (Economic well-being) และความอยู่ดีมีสุขเชิงวัตถุ (Material well-being) (Breslow, 1972; Heliwell & Putnam, 2004; Ryff, 1989)
การวัดระดับความอยู่มีสุขเชิงภววิสัย เป็นการวัดที่ตรงไปตรงมาไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก การรับรู้ซึ่งแตกต่างจากการวัดเชิงอัตวิสัย ซึ่งมีความยากเนื่องจากเป็นการวัดความรู้สึก
2.3.5 การวัดระดับความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย
2.3.5 การวัดระดับความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย เป็นกระบวนการที่ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อวัดและประเมินความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิตของบุคคลโดยตรงจากบุคคลเอง มีหลายแบบเช่นกันที่สามารถจำแนกได้ตามจำนวนและลักษณะของชุดคำถามที่ใช้ เช่น
การวัดด้วยข้อคำถามเดียว (Single-item measurement): เป็นการใช้คำถามเดียวในการวัดความพึงพอใจในชีวิตหรือความสุข โดยบุคคลจะต้องให้คะแนนตามระดับของความพึงพอใจของตนเอง เช่น "คุณพอใจกับชีวิตของคุณในปัจจุบันหรือไม่?" โดยบุคคลต้องเลือกตอบตามความเห็นของตนเองว่าพอใจหรือไม่พอใจ
การวัดด้วยชุดคำถามหลายมิติ (Multi-dimensional scales): เป็นการใช้ชุดคำถามที่มีมิติหลายประการในการวัดความอยู่ดีมีสุข เช่น มีการใช้มิติต่าง ๆ เช่น มิติทางจิตวิทยา ทางสังคม ทางสุขภาพ หรือมิติทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้การวัดมีความเป็นระเบียบและครอบคลุมมากขึ้น และช่วยให้เข้าใจความอยู่ดีมีสุขของบุคคลได้อย่างครอบคลุมและลึกซึ้งมากขึ้นด้วย
ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความต้องการของการวิจัยหรือการประเมินที่ต้องการทราบ โดยการใช้วิธีการวัดด้วยข้อคำถามเดียวอาจจะมีความสะดวกและง่ายต่อการใช้งาน ในขณะที่การวัดด้วยชุดคำถามหลายมิติอาจจะให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น แต่อาจจะใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่มากกว่า
การวัดด้วยข้อคำถามเดียว (Single-item measurement) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดระดับความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย เช่น ความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิต โดยใช้ข้อคำถามเพียงคำถามเดียวเท่านั้น มักได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวัดความอยู่ดีมีสุขของประชากรทั่วไป
การใช้ข้อคำถามเดียวนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการสำรวจทางสังคมทั่วโลก เช่น ในรายงานความสุขโลก ที่เผยแพร่โดย Heliwell, Layard & Sachs (2018) และเครื่องมือนี้ยังได้รับการใช้งานในการวิจัยของนักวิชาการอื่น ๆ เช่น Gray et al. (2013) และ Winzer และ Gray (2018) มีความพึงพอใจที่เห็นความสะดวกสบายและความเป็นมาตรฐานของเครื่องมือนี้
ในทางปฏิบัติ คำถามเดียวนี้มักถูกใช้ในการสำรวจทางสังคมในหลายประเทศ รวมถึงการสำรวจทางสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติของประเทศไทยด้วย โดยมีจุดประสงค์เพื่อทราบระดับความพึงพอใจหรือความสุขของประชากรในประเทศนั้น ๆ อย่างทั่วไป
การวัดด้วยชุดคําถามหลายมิติ (Multidimensional measurement)
การวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยด้วยชุดคำถามหลายมิติเป็นเครื่องมือที่สามารถระบุระดับคะแนนความสุขและความพึงพอใจในชีวิตได้จากมุมมองหลายมิติ โดยการนำเสนอผลรวมของคะแนนจากข้อคำถามต่าง ๆ ในชุดคำถาม แบบนี้เรียกว่าเป็นแบบล่างสู่บนหรือ Bottom-up approach
ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้วัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยด้วยชุดคำถามหลายมิติ เช่น PGC Morale Scale ที่พัฒนาโดย Lawton et al. (2003) หรือ Satisfaction with Life Scale (SWLS) โดย Diener et al. (1985) และ Ryff's Scales of Psychological Well-being (RPWB) โดย Springer & Hauser (2006) และงานของ Cummins et al. (2003)
งานของ Cummins et al. (2003) ได้รวมกันการวัดระดับความพอใจของตนเองในด้านที่หลากหลาย เช่น มาตรฐานความเป็นอยู่ สุขภาพ ความสําเร็จในชีวิต ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความปลอดภัย ชุมชน และความมั่นคงในอนาคต เพื่อทำให้การวัดความอยู่ดีมีสุขมีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้นในการทดสอบและวิเคราะห์
ในประเทศไทย เครื่องมือวัดความสุขด้วยตนเองที่พัฒนาขึ้นคือ HAPPINOMETER โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบด้วย 9 มิติที่สำคัญของความสุข
1.สุขภาพดี (Happy body)
2.ผ่อนคลายดี (Happy relax)
3.น้ำใจดี (Happy heart)
4.จิตวิญญาณดี (Happy soul)
5.ครอบครัวดี (Happy family)
6.สังคมดี (Happy society)
7.ใฝ่รู้ดี (Happy brain)
8.สุขภาพเงินดี (Happy money)
9.การงานดี (Happy work-life)
แต่ละมิติมีตัวชี้วัดและคะแนนที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถวิเคราะห์และคำนวณค่าเฉลี่ยของแต่ละมิติได้ ผลการศึกษาจะสามารถแปลผลเพื่อให้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความสุขโดยรวมขององค์กร ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาองค์กรต่อไป
ที่มา:ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต และคณะ 2560
2.3.6 ระดับของการวัด
2.3.6 ระดับของการวัด
การศึกษาเกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขของประชากรสามารถดำเนินการในกลุ่มประชากรหลากหลายแบบ ดังนี้
ระดับปัจเจกบุคคล: การศึกษาอาจโฟกัสไปที่บุคคลแต่ละคนในเรื่องของความพึงพอใจ ความสุข และคุณภาพชีวิตของตนเอง โดยวิเคราะห์ผลกระทบจากตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อความอยู่ดีของแต่ละบุคคล
ระดับชุมชน: การศึกษาอาจสำรวจความอยู่ดีของชุมชนโดยรวบรวมข้อมูลจากประชากรในพื้นที่เดียวกัน เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขและคุณภาพชีวิตของชุมชนนั้นๆ
ระดับประเทศ: การศึกษาเกี่ยวกับความอยู่ดีของประชากรในประเทศจะส่งผลต่อการทำนุบาล นโยบายสาธารณะ และการพัฒนาของประเทศ
ระดับโลก: การศึกษาระดับโลกจะสำรวจแนวโน้มของความอยู่ดีของมวลมนุษย์ทั่วโลก และหาวิธีในการพัฒนาโลกให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม
นอกจากนี้ การศึกษาเกี่ยวกับความอยู่ดีมีสุขยังสามารถดำเนินการกับกลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเยาวชน หรือกลุ่มผู้เคลื่อนย้ายถิ่นฐาน โดยการศึกษาเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของกลุ่มประชากรต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์
2.3.7 ดัชนีรวม และตัวชี้วัดที่สําคัญทั่วโลก
2.3.7 ดัชนีรวม และตัวชี้วัดที่สําคัญทั่วโลก
การสร้างดัชนีรวม (Composite index) เป็นการรวมองค์ประกอบหรือมิติที่สำคัญของปัจจัยหลายๆ ด้านเข้าด้วยกันเพื่อแสดงสถานการณ์ทางสังคมและคุณภาพชีวิตของสังคมหรือประชากรในระดับต่างๆ โดยจะมีตัวชี้วัด (indicator) ต่างๆ ภายใต้องค์ประกอบดัชนีรวมเหล่านั้นเพื่อให้สามารถวัดและเปรียบเทียบได้ รูปแบบดัชนีรวมที่สำคัญได้แก่
1.ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI): วัดระดับคุณภาพชีวิตของประชากรจากมิติต่างๆ เช่น รายได้เฉลี่ยต่อคน อายุขัยการศึกษา และอื่นๆ
เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs): กำหนดเป้าหมายทางการพัฒนาที่สำคัญในระดับโลก เช่น การลดความยากจน การเพิ่มการเข้าถึงสาธารณสุข และการศึกษา
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs): เป้าหมายที่ต่อเนื่องมาจาก MDGs โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตและรักษาสิ่งแวดล้อมได้
ดัชนีความสุขโลก (Happy Planet Index: HPI): วัดความสุขของประชากรโดยใช้สถานการณ์ของโลกและการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
ดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD (OECD Better Life Index): วัดคุณภาพชีวิตของประชากรจากมิติต่างๆ เช่น การมีงานทำ การศึกษา และการสุขภาพ
รายงานความสุขโลก (World Happiness Report: WHR): วิเคราะห์และรายงานเกี่ยวกับระดับความสุขของประชากรทั่วโลก
ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม (Social Progress Index: SPI): วัดความก้าวหน้าของสังคมจากมิติต่างๆ เช่น การมีบริบททางวัฒนธรรม การเข้าถึงการศึกษา และคุณภาพชีวิต
ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของสหภาพยุโรป (EU’s Quality of Life Indicator: EUQLI): วัดคุณภาพชีวิตของประชากรในสหภาพยุโรปจากมิติต่างๆ เช่น สุขภาพ การมีงานทำ และความสุข
2. ดัชนีวัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ (พัฒนา/ริเริ่มโดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ)
การสร้างดัชนีวัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติเป็นการพัฒนาหรือริเริ่มโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศเพื่อวัดและประเมินคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีของประชาชาติในระดับชาติ ซึ่งรวมถึง
ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของออสเตรเลีย (Measures of Australia’s Progress: MAP): ดัชนีที่วัดและประเมินความก้าวหน้าของประชาชาติออสเตรเลียในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเท่าเทียม
ตัวชี้วัดความสุขมวลรวมประชาชาติภูฎาน (Bhutan’s Gross National Happiness: GNH): ระบบวัดและประเมินความสุขและคุณภาพชีวิตของประชาชาติภูฎาน โดยให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของประชาชาติมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม
ความอยู่ดีมีสุขประชาชาติของสหราชอาณาจักร (UK’s National Well-being): ดัชนีที่ใช้ในการวัดและประเมินความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติสหราชอาณาจักร
ความอยู่ดีมีสุขของญี่ปุ่น (Japan’s National Well-being) และการสํารวจคุณภาพชีวิตของญี่ปุ่น (Japan’s Quality of Life Survey: JQOLS): ญี่ปุ่นมีการวิจัยและสำรวจคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีของประชาชาติเพื่อนำมาปรับปรุงการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชาติ
ตัวชี้วัดของอิตาลี Benessere equo e sostenibile (BSE): อิตาลีมีดัชนีที่วัดความเท่าเทียม ความยุติธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) (National Wellbeing Indicators in Republic of China, Taiwan) 2556: ไต้หวันมีการสร้างตัวชี้วัดเพื่อวัดและประเมินความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติ
ตัวชี้วัดชีวิตที่ดีของเยอรมนี (Gut leben in Deutschland): เยอรมนีมีดัชนีที่ใช้ในการวัดคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีของประชาชาติ เพื่อการวางแผนและพัฒนาในด้านต่างๆ
3. ตัวชี้วัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ (พัฒนา/ริเริ่มโดยสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน องค์กรสาธารณกุศล)
ตัวชี้วัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติที่พัฒนาหรือริเริ่มโดยสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณกุศลมีความสำคัญเนื่องจากช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติได้อย่างละเอียดและครอบคลุม นำมาใช้ในการวางแผนและพัฒนานโยบายที่เหมาะสมด้วยดัชนี ต่อไปนี้
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของออสเตรเลีย (Australia Unity National Wellbeing index: AUNWI): ช่วยในการวัดและประเมินความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติออสเตรเลีย
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขแคนาดา (Canadian Index of Wellbeing: CIW) 2554: ช่วยในการวัดและประเมินความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติแคนาดา
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของโลกสำหรับกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง (Global Index of Wellbeing for Low to Middle Income Countries: GLOWING): ช่วยใน
การวัดและประเมินความอยู่ดีและคุณภาพชีวิตของประชาชาติในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง
ดัชนีมนุษย์อ๊อกซ์แฟมสำหรับสก๊อตแลนด์ (Oxfam Humankind index for Scotland: OHIS): ช่วยในการวัดและประเมินคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีของประชาชาติสก๊อตแลนด์
ดัชนีความก้าวหน้าของคนไทย (Human Achievement Index, Thailand: HAI) 2546: ช่วยในการวัดและประเมินความก้าวหน้าและความพึงพอใจในชีวิตของประชาชาติไทยในระดับต่างๆ
ก่อน พ.ศ. 2550 สหประชาชาติได้พัฒนาดัชนีการพัฒนาคน (Human Development Index: HDI) และเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs) เพื่อกำหนดเป้าหมายของความสำเร็จในพัฒนา ในปี พ.ศ. 2558 HDI และ MDG มีองค์ประกอบและตัวชี้วัดที่แตกต่างกันไป แต่ใช้การวัดแบบภววิสัยทั้งหมด
ต่อมา MDG5 ได้พัฒนาเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนอยู่ โดยกลายเป็น Sustainable Development Goals (SDGs) ในระหว่าง พ.ศ. 2558-2573 โดยยังคงใช้หลักการวัดแบบภววิสัยในการประเมินความสำเร็จของเป้าหมายดังกล่าว
ช่วงปีที่มีวิกฤติการเงินทั่วโลกในช่วงพ.ศ. 2551-2552 เป็นจุดเปลี่ยนแนวคิดในการตั้งตัวชี้วัดและวิธีการวัดความอยู่ดีมีสุข โดยเริ่มมีการเปลี่ยนจากการวัดค่อย ๆ เป็นการวัดความสุข, ความอยู่ดีมีสุข, หรือความพอใจในชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องเชิงอัตวิสัยที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวัด
ผู้พัฒนาส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากรายงานซึ่งรัฐบาลของฝรั่งเศสให้จัดทำขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ 3 คน (Stiglitz, Sen, & Fitoussi, 2009) ซึ่งเริ่มมีการวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย โดยรายงานเหล่านี้ให้ความสำคัญทั้งตัวชี้วัดเชิงภววิสัยและอัตวิสัย
เท่าเทียมกัน และสนับสนุนให้รัฐบาลและสำนักงานสถิติของแต่ละประเทศเก็บข้อมูลใหม่โดยใช้ตัววัดผลเชิงอัตวิสัย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเครื่องมือวิจัยใหม่และการเก็บข้อมูลใหม่ที่มีคุณภาพเป็นเรื่องยาก และอาจทำได้เฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว
2.3.8 ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับนานาชาติ
2.3.8 ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับนานาชาติ ที่พัฒนาโดยองค์กรระหว่างประเทศ
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับนานาชาติ มี 8 ตัวดังนี้
1) ดัชนีการพัฒนาคน (Human Development Index: HDI) พ.ศ. 2533 (1990)-ปัจจุบัน เป็นดัชนีรวมที่วัดอายุคาดเฉลี่ย การศึกษา (จำนวนปีเฉลี่ยหรือจำนวนปีที่คาดว่าจะได้รับการศึกษาในโรงเรียน) และรายได้มวลรวมประชาชาติต่อหัว ตามแนวคิดการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ของ Amartya Sen โดย HDI ให้ความสำคัญกับความสามารถของมนุษย์และใช้วัดการพัฒนาของประเทศ โดย HDI มีการปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยและตัวชี้วัดในรายงาน
2) เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs) พ.ศ.2543-2558 (2000-2015) เป็นแนวทางที่กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาต่าง ๆ ที่ต้องบรรลุภายในระยะเวลา พ.ศ. 2543-2558 (2000-2015) ซึ่งเน้นไปที่เรื่องสำคัญ 8 ประการ ประกอบด้วย
1.กำจัดความหิวหนาและความโศกนาฏกรรม
2.การศึกษามาตรการเพื่อส่งเสริมการศึกษามวลชน
3.เพศเท่าเทียมและความเป็นธรรมทางเพศ
4.การลดอัตราการตายของเด็ก
5.การป้องกันและรักษาโรค
6.การพัฒนาสิ่งแวดล้อม
7.การสร้างพื้นที่ในการทำงานที่ยั่งยืน
8.ความร่วมมือในการพัฒนา
MDGs สร้างแนวคิดใหม่ในการพัฒนาโดยเน้นการกระทำจริงจังและการรับผิดชอบของประเทศทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดและข้อบกพร่องที่ต้องพบเจอ เช่น ข้อจำกัดในการประชุมหารือระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาและขาดแคลนกระบวนการให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจและการเป็นเจ้าของของกระบวนการ (Febling, Nelson, & Benkatapuram, 2013)
3) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(Sustainable Development Goals: SDGs) พ.ศ. 2558-2573 (2015-2030)
มีเป้าหมายทั้งหมด 17 ข้อและเป้าประสงค์ 169 ข้อที่ต้องบรรลุ ซึ่ง SDGs เป็นการต่อยอดจาก Millennium Development Goals (MDGs) เพื่อแก้ไขประเด็นที่ MDGs ยังไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ เช่น สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ทางเพศ และการสร้างพลังอำนาจให้กับสตรีและเด็กผู้หญิง ใน SDGs มีการผนวกการพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติคือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลกในอนาคต
4) ดัชนีความสุขโลก (Happy Planet Index: HP) พ.ศ. 2549 (2006)-ปัจจุบัน
เป็นดัชนีรวมที่วัดความอยู่ดีมีสุขและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 (2006) โดย New Economics Foundation (NEF) ซึ่งเป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในสหราชอาณาจักร รายงาน HPI เน้นไปที่ประเด็นที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ G8 เรื่องการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ประชาชาติและการสร้างเศรษฐกิจ โดยเน้นว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ควรเป็นจุดหมายสูงสุดของมนุษย์และธรรมชาติ นอกจากนี้ HPI เน้นการวัดความสุขมวลรวมของประชาชาติภูฏานเป็นแนวทางที่ดีในการประเมินคุณค่าของสังคมที่เกินกว่าการวัดด้วย GDP ตามแนวคิดของรายงานนี้ (Marks et al., 2006)
5) ดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD (OECD Better Life Index) หรือรายงานที่ชื่อว่า “ชีวิตเป็นอย่างไร” (How's Life Report) เป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบรอบปีที่ 50 ของ OECD เมื่อ พ.ศ. 2554 (2011) ซึ่งเป็นผลจากความพยายามนับสิบปีของ OECD ในการวัดความก้าวหน้าของประเทศและความอยู่ดีมีสุขของประชาชน (Durand, 2015) ดัชนีนี้ใช้เพื่อวัดความอยู่ดีมีสุขของประชาชนโดยให้ความสำคัญกับแง่มุมที่หลากหลายของชีวิต ไม่เน้นแค่เศรษฐกิจและการเจริญเติบโตของประเทศ แต่เน้นการวัดคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของประชาชนในแต่ละมิติ รวมถึงความเป็นอยู่ของสิ่งแวดล้อม เช่น สุขภาพ การศึกษา สิ่งอำนวยความสะดวก และคุณภาพชีวิตทางสังคม โดยใช้ทั้งเชิงภววิสัยและอัตวิสัยในการวัด การนำเสนอของ OECD ยังเน้นการดูแลเฉพาะเจาะจงต่อเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมของประชาชนทุกคน และวัดความอยู่ดีมีสุขในมิติภววิสัยและอัตวิสัยโดยใช้กรอบแนวคิดที่มีลักษณะเด็ดขาด ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 24 ตัว และมีการให้ความสำคัญกับความสุขและความพึงพอใจของบุคคลและครอบครัว การนำไปใช้ในการวางแผนนโยบายของประเทศหลายประเทศ โดยเน้นการวัดความอยู่ดีมีสุขในมิติภววิสัยและอัตวิสัยแบบครอบคลุมและอย่างหลากหลาย (Durand, 2015)
6) รายงานความสุขโลก (World Happiness Report: WHR) พ.ศ. 2555 (2012)-ปัจจุบัน
เป็นรายงานประจำปีที่สร้างขึ้นโดยเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Solutions Network หรือ SDSN) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องของความสุขและการวัดค่าความสุขของประชากร รายงานความสุขโลกเน้นการวัดและส่งเสริมความสุขผ่านการรวมความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 (2012) รายงานความสุขโลกให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อความสุขของประชากร เช่น เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิต อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี การสนับสนุนทางสังคม และการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Hellwell, Layard, & Sachs, 2012) รายงานฉบับต่อๆ มายังรวมการจัดอันดับความสุขของประเทศตามคะแนนรวมที่คำนวณมาจากตัวชี้วัดต่างๆ และเน้นการใช้คำถามเดียวในการวัดค่าความสุขเชิงอัตวิสัย (Hellwell, Layard, & Sachs, 2018) รายงานความสุขโลกคล้ายกับ Human Development Index (HDI) ในการจัดอันดับความสุขของประเทศตามค่าคะแนนรวม แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดของคะแนนแต่ละองค์ประกอบและตัวชี้วัดเช่นเดียวกับดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD (OECD Better Life Index) และ Sustainable Progress Index (SPI) (Hellwell, Layard, & Sachs, 2018)
7) ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม (Social Progress Index: SPI) พ.ศ. 2557 (2014)-ปัจจุบัน เป็นดัชนีรวมที่วัดผลการดำเนินงานของประเทศโดยดูจากความก้าวหน้าทางสังคมใน 3 มิติคือ ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ พื้นฐานของความอยู่ดีมีสุข และโอกาส (Social Progress imperative, 2017) รายงาน SPI ได้รับการตีพิมพ์ทุกปีโดย
Social Progress Imperative ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากําไร
SPI มีหลักการ 4 ข้อ ดังนี้
1.SPI เจาะจงตัวชี้วัดทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ขณะที่ดัชนีตัวอื่น เช่น HDI และ SDGs เน้นผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ
2.SPI เน้นผลลัพธ์มากกว่าปัจจัยนําเข้า
3.SPI ใช้แนวคิดแบบองค์รวมวัดความก้าวหน้าทางสังคมของทุกประเทศ และพิจารณาปัญหาทางสังคมที่ประเทศร่ำรวยกําลังเผชิญ ซึ่งต่างจากการวัดของสหประชาชาติที่เน้นประเด็นปัญหาในประเทศยากจน
4.SPI ต้องการช่วยให้ผู้นําและนักปฏิบัติในภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ได้ขับเคลื่อนนโยบายและโครงการที่จะเอื้อให้เกิดความก้าวหน้าทางสังคมที่เร็วขึ้น
หลักการข้อ 2 และ 3 คล้ายกับดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD ซึ่งเน้นผลลัพธ์และวัดความก้าวหน้าทางสังคมของประเทศ ณ ขณะใดๆ ในชีวิตประจำวันของประชากร
8) ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของสหภาพยุโรป (EU's Quality of Life Indicator) พ.ศ. 2558 (2015)-ปัจจุบัน เป็นผลลัพธ์จากพันธกิจระยะยาวในการพัฒนาตัวชี้วัดที่ใช้แทน GDP (Beyond GDP Initiative) ในปี พ.ศ. 2558 Eurostat นำเสนอเกณฑ์การวัดความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยในรูปแบบสถิติของรายได้และสภาพความเป็นอยู่ (EU-SILC) ทำให้สามารถเก็บข้อมูลความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยได้ทั้งยุโรป ความพยายามต่อมาคือการมีตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตตัวใหม่ที่มีชุดตัวชี้วัดเชิงภววิสัยและอัตวิสัยที่จะวัดใน 8 องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ (Capacity) ของประชาชนที่นำไปสู่ความอยู่ดีมีสุข และการรับรู้คุณภาพชีวิตของตนโดยรวม (Eurostat, 2015) ซึ่งไม่ต่างจากดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD ที่เสนอคะแนนความอยู่ดีมีสุขของประเทศและประชาชนในแต่ละองค์ประกอบ โดยเสนอผ่านอินโฟกราฟิก ในเว็บไซต์ของ Eurostat (Eurostat, 2018)
2.3.9 ตัวชี้วัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ
2.3.9 ตัวชี้วัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ(พัฒนา/ริเริ่มโดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ)
ตัวชี้วัดและดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ มีจำนวน 7 ตัว ดังนี้
1) ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของออสเตรเลีย (Measures of Australia's Progress: MAP) พ.ศ.2545-2556 ได้ถูกพัฒนาโดยสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (Australian Bureau of Statistics หรือ ABS) เพื่อวัดความก้าวหน้าของประเทศในหลายองค์ประกอบ และกําหนดองค์ประกอบหลักที่จะวัด รวมทั้งอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบ (แนวคิดชุดตัวชี้วัด) รายงานฉบับแรกของ MAP ได้รับการตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2545 เพื่อขอทราบความเห็นของประชาชน (Australian Bureau of Statistics, 2002) แต่มีการแย้งเรื่องการรับฟังความเห็นจากประชาชนที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยกํากับทําให้ยากต่อการกําหนดตัวชี้วัด เนื่องจากวิจารณ์ว่าประชาชนแต่ละคนมุมมองที่ไม่เหมือนกันเกี่ยวกับความก้าวหน้า (Howard & Chambers, 2016) การวัดความก้าวหน้าเริ่มต้นใน พ.ศ. 2545 และได้มีการปรับองค์ประกอบและตัวชี้วัดเรื่อยมา ใน พ.ศ. 2556 รัฐบาลนายก รัฐมนตรี Tony Abbott ได้ยกเลิก MAP แต่ใน พ.ศ. 2558 MAP ได้รับความสนใจอีกครั้งจากนานาประเทศในการประชุม OECD World Forums เนื่องจากประเทศพัฒนาแล้วได้นํา MAP มาใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ (Shaw, 2015)
2) ตัวชี้วัดความสุขมวลรวมประชาชาติภูฏาน (Bhutan's Gross National Happiness: GNH) พ.ศ. 2550-ปัจจุบัน
มีต้นกำเนิดครั้งแรกใน พ.ศ. 2515 โดยจัดทำโดย สมเด็จพระราชาธิบดี Jigme Singye Wangchuck กษัตริย์องค์ที่ 4 ของภูฏาน และใน พ.ศ. 2548 รัฐบาลภูฏานมอบหมายให้ศูนย์ศึกษาภูฏาน (Centre for Bhutan Studies หรือ CBS) พัฒนาตัวชี้วัด GNH ภายหลังใน พ.ศ. 2550 มีการสำรวจความสุขมวลรวมประชาชาติครั้งแรก โดยใช้ตัวชี้วัดกว่า 640 ตัว และเป็นที่มาของดัชนีความสุขมวลรวมประชาชาติ ใน พ.ศ. 2551 ซึ่งได้กำหนดให้ GNH เป็นเป้าหมายของรัฐบาลภูฏาน (Royal Government of Bhutan, 2008) นอกจากนี้หลังจากการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2551 รัฐบาลภูฏานพยายามเชื่อมโยง GNH เข้ากับนโยบายและโครงการต่างๆ ของประเทศ (Ura et al., 2012) การสำรวจ GNH ครั้งที่สองมีขึ้นใน พ.ศ. 2553 โดยใช้ตัวชี้วัด 33 ตัว และใน พ.ศ. 2558 มีการสำรวจ GNH ทั่วประเทศโดยมีการสนับสนุนจาก JICA (Japan International Cooperation Agency) และรัฐบาลภูฏาน (Centre for Bhutan Studies & GNH Research, 2016) การคํานวณหาดัชนี GNH เป็นการประยุกต์จากวิธีการวัดความยากจนในหลายมิติของ Alkire และ Foster (Alkire, 2007; Alkire & Foster, 2011)
3) ความอยู่ดีมีสุขประชาชาติของสหราชอาณาจักร (UK's National Well-being) พ.ศ. 2553-ปัจจุบัน
โครงการวัดความอยู่ดีมีสุขแห่งชาติ (Measuring National Well-being หรือ MNW) ถูกเริ่มต้นขึ้นโดยนายกรัฐมนตรี Devid Cameron แห่งสหราชอาณาจักร โดยมีสํานักงานสถิติแห่งชาติเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาวิธีการวัดที่มีผลต่อประชาชน เช่น การวัดความอยู่ดีมีสุขของบุคคลในเชิงอัตวิสัย นับจากรายงานของ Allin (2015) ตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขในประเทศที่พัฒนาที่ได้รับอิทธิพลมาจากการประชุมและการริเริ่มต่างๆ ในระดับนานาชาติ และหลักการพื้นฐานของสถิติทางการของสหประชาชาติ (United Nations General Assembly, 2014) การสำรวจประชากรประจําปีตั้งแต่ พ.ศ. 2554 มีการใช้ข้อคําถามเชิงอัตวิสัย 4 ข้อ และตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขเชิงภววิสัย
ผลงานของสํานักงานสถิติแห่งชาติได้รับความยอมรับและถูกอ้างอิงในเอกสารทั่วโลก เนื่องจากตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขแห่งสหราชอาณาจกรได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจึงยุติการตีพิมพ์รายงานผลการวัดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับรายงานความอยู่ดีมีสุขของประเทศ (Office for National Statistics, 2016)
4) ความอยู่ดีมีสุขของญี่ปุ่น (Japan's National Well-being) พ.ศ. 2554 และการสํารวจคุณภาพชีวิตของญี่ปุ่น (Japan's Quality of Life Survey: JaOLS) พ.ศ. 2555-2556
ในพ.ศ. 2553 รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มโครงการที่เรียกว่า "ความอยู่ดีมีสุขของญี่ปุ่น" โดยเรียกร้องให้นักวิชาการชั้นนำในด้านความสุขพัฒนาตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ ซึ่งเป็นการสร้างโครงข่ายที่ใช้ในการวัดความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนและสังคม นักวิจัยได้ศึกษาและเสนอร่างตัวชี้วัดมากถึง 132 ตัว ในพ.ศ. 2555 ญี่ปุ่นเริ่มดำเนินการสำรวจคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยใช้ชุดคำถามที่ประกอบด้วยหลายด้านเพื่อประเมินความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย เช่น ความพึงพอใจในชีวิต ความสมดุลทางจิตใจ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การสำรวจนี้เพิ่มเติมมีการดำเนินการในพ.ศ. 2556 และ 2557 อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่มีการสำรวจเพิ่มเติม เนื่องจากความพยายามในการวัดความอยู่ดีมีสุขในระดับชาติเริ่มย้ายไปที่รัฐบาลท้องถิ่นและเทศบาลเพื่อพัฒนาตัวชี้วัดและดัชนีของชุมชนและประชาชนในพื้นที่ที่อยู่อาศัย
5) ตัวชี้วัด Benessereequo e sostenibile (BSE) ของอิตาลี พ.ศ. 2556-ปัจจุบัน
ตัวชี้วัด Benessere equo e sostenibile (BSE) ของอิตาลี พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2556 โดยคณะทำงานขับเคลื่อนวิธีการวัดความก้าวหน้าในประเทศ ซึ่งเป็นโครงการร่วมกันระหว่างสภาเศรษฐกิจและแรงงาน
แห่งชาติ (CNEL) และสถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี การพัฒนานี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานในระดับนานาชาติ เช่น ดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD และรายงานของ Stiglitz, Sen และ Fitoussi ในปี 2552
BSE มีการวัดความอยู่ดีมีสุขใน 11 มิติเช่นเดียวกับดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD แต่ได้เพิ่มมิติภูมิทัศน์และมรดกทางวัฒนธรรมเป็นมิติที่ 12 เพื่อให้การวัดความเจริญรุ่งเรืองมีความครอบคลุมและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น (Benessere equo e sostenibile) หลักการของ BSE นี้เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมในการเข้าถึงและการแบ่งปันทรัพยากรที่สำคัญแก่ความเจริญรุ่งเรือง โดยให้ความสำคัญกับความสมดุลทางสังคมและความยั่งยืนในการพัฒนาที่สามารถรักษาได้ในระยะยาว
6) ตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) (National Well-being Indicators In Republic of China, Taiwan) พ.ศ. 2556-ปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2555 ประธานาธิบดี Ma Ying-Jeou ของไต้หวันได้ประกาศเริ่มการพัฒนาตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขของประชาชาติ โดยเน้นการวัดในมิติเดียวและใช้ตัวชี้วัด 24 ตัวจากดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD โดยเพิ่มเติมตัวชี้วัดอีก 40 ตัว การประกาศนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ตัวชี้วัดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2556 โดยมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงและติดตามความก้าวหน้าของคุณภาพชีวิตของประชาชาติไต้หวันต่อไป
ที่มา:National Statistics of Republic of China Taiwan), 2013
7) ตัวชี้วัดชีวิตที่ดีของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Gut Leben in Deutschland) พ.ศ. 2560-ปัจจุบัน
ในปี 2560 รัฐบาลเยอรมนีออกรายงานฉบับแรกเกี่ยวกับการทบทวนตัววัดผลและรายงานระดับชาติและนานาชาติในกลุ่มประเทศตะวันตก โดยในรายงานนี้เน้นการใช้ตัวชี้วัดที่มาจากหลายแหล่งที่ได้รับความสนใจในการวัดคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่
ของประชาชน ซึ่งรวมถึง HDI, ดัชนีชีวิตที่ดีกว่าของ OECD, ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของ EU, ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของออสเตรเลีย (MAP), ดัชนีมนุษย์ในสก็อตแลนด์ของ Oxfam, ตัวชี้วัดความอยู่ดีมีสุขประชาชาติของสหราชอาณาจักร (UK's National Well-being), BSE ของอิตาลี, และรายงานของ Stiglitz, Sen, และ Fitoussi (2009) ในข้อมูลเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 เยอรมนีใช้ตัวชี้วัดทั้งหมด 46 ตัวใน 12 มิติ โดยตัวชี้วัดส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่ความเป็นจริงและข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อการศึกษาแนวโน้มของคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในเยอรมนีโดยสรุปผลอย่างเป็นระบบและรอบคอบ
ที่มา:The FederalGovernment of Germany, 2017
2.3.10 ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ (พัฒนา/ริเริ่มโดยสถาบันการศึกษา เอกชน องค์กรสาธารณกุศล)
2.3.10 ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ (พัฒนา/ริเริ่มโดยสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน องค์กร สาธารณกุศล)
ดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติ มีทั้งหมด 5 ดัชนี ดังนี้
1) ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของออสเตรเลีย ( Australia Unity National Well-being Index:AUNWI) พ.ศ. 2544-ปัจจุบัน
เป็นผลงานร่วมกันระหว่าง Australian Unity และ Deakin University เพื่อพัฒนาและใช้ดัชนีนี้ในภารกิจของโครงการความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดย Australian Unity เป็นบริษัทประกันภัยในออสเตรเลีย และ Deakin University เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในออสเตรเลีย การสำรวจความพึงพอใจในชีวิตและความมีชีวิตในออสเตรเลียได้ถูกดำเนินการทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2544 โดยมีการรายงานผลสำรวจประจำปี ที่ทําให้เกิดดัชนี 2 ตัวคือ ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของบุคคล (Personal Well-being Index: PWI) และ ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของประชาชาติ (National Well-being Index: NWI) โดย PWI เป็นค่าเฉลี่ยความพอใจในชีวิตของบุคคลใน 7 ด้าน และ NWI เป็นคะแนนความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมใน 6 ด้านในระดับประเทศ ขั้นตอนการพัฒนาดัชนีของประเทศได้ระบุในงานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Cummins et al. (2003)
2) ดัชนีความอยู่ดีมีสุขแคนาดา (Canadlan Index of Well-being: CIW) พ.ศ. 2554-ปัจจุบัน
CIW เป็นดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับชาติที่พัฒนาขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในปี พ.ศ. 2542 (1999) โดยมูลนิธิ Atkinson Foundation (AF) ได้จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญแคนาดาเพื่อสร้างเครื่องมือวัดความอยู่ดีมีสุขของชาวแคนาดา ซึ่งมูลนิธิก็ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาต้นแบบตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตระดับชาติในช่วงเวลาต่อมา ในระหว่าง พ.ศ. 2543 ถึง 2548 นี้เป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการพัฒนาองค์ประกอบของ CIW และมีการจัดประชาพิจารณ์ในชุมชนทั่วประเทศ รายงาน CIW ฉบับแรกได้รับการตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2554 โดย Faculty of Applied Health Research ที่มหาวิทยาลัยเวเตอร์ลู เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ CIW ซึ่งรายงานนั้นพบว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของแคนาดาในช่วง พ.ศ. 2537-2551 ไม่สามารถเปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นของความอยู่ดีมีสุขของชาวแคนาดาได้
3) ดัชนีความอยู่ดีมีสุขของโลกสําหรับกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง (Global Index of Wellbeing for Low to Middle Income Countries: GLOWING) พ.ศ. 2558-ปัจจุบัน
GLOWING เป็นดัชนีความอยู่ดีมีสุขระดับโลกที่พัฒนาขึ้นโดยผู้พัฒนา CIW โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2558 ในประเทศเคนยา โดยใช้ข้อมูลเดิมจาก CIW และเสนอวิธีการวัดเชิงภววิสัยเพื่อวัดความอยู่ดีมีสุขของประชาชนในประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง โดยการใช้ข้อมูลที่มีอยู่มาก่อนเพื่อประเมินความเป็นอยู่เชิงอัตวิสัยและภววิสัยในกลุ่มประชากรนั้นๆ ในการพัฒนาดัชนีนี้ การใช้ข้อมูลเดิมจาก CIW ช่วยให้ GLOWING สามารถวัดและเปรียบเทียบความอยู่ดีของประชาชนในประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลางได้อย่างเป็นระบบและมีความเชื่อถือได้
4) ดัชนีมนุษย์อ็อกซ์แฟมสําหรับสก็อตแลนด์ (Oxfam Humankind Index for Scotland : OHIS) พ.ศ. 2555-2556
OHIS เป็นดัชนีที่พัฒนาขึ้นโดย Oxfam Scotland เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2555 ร่วมกับ New Economic Foundation (NEF) Fraser of Allander Institute (FAI) ที่มหาวิทยาลัยแห่ง Strathclyde และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ โครงการนี้มุ่งเน้นในการเข้าถึงชุมชนและกลุ่มผู้มีความสนใจที่มักถูกละเว้นออกจากกระบวนการจัดทำนโยบาย ดัชนีนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยอิงจากการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่ม การสนทนากลุ่ม และการอบรมเชิงปฏิบัติการในชุมชน โดยประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย 18 องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในสก็อตแลนด์ และแต่ละองค์ประกอบถูกให้น้ำหนักตามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทำที่มีต่อความสามารถในการมีชีวิตที่ดีในชุมชนของตน
ที่มา:The Frator of Allander Institute with Oxfam, 2012
5) ดัชนีความก้าวหน้าของคนสำหรับประเทศไทย (Human AchlovementIndox : HAI) พ.ศ.2546- ปัจจุบัน
เป็นดัชนีรวมที่นำแนวคิดและวิธีการคำนวณจากดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) มาใช้เพื่อแสดงความก้าวหน้าในการทำงานและพัฒนาของคน โดยพัฒนาขึ้นโดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประเทศไทย (UNDP, Thailand) เพื่อใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของการพัฒนาคนในระดับจังหวัดของประเทศไทย โดยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2546 โดยมีการเสนอรายงานตามระยะเวลาต่างๆ ดัชนี HAI ช่วยให้เห็นแนวโน้มการดำเนินชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนถึงการเติบโต โดยแบ่งออกเป็น 8 ด้านหลัก ประกอบด้วย สุขภาพ การศึกษา การทำงาน รายได้ ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม ชีวิตครอบครัวและชุมชน การคมนาคมและการสื่อสาร และการมีส่วนร่วม โดยในแต่ละด้านยังมีตัวชี้วัดย่อยซึ่งมีจำนวนต่างกัน รวมเป็น 40 ตัวชี้วัด ในปี พ.ศ. 2560 มีการปรับตัวชี้วัดโดยยังคงจำนวนด้านเดิม แต่ปรับให้มีตัวชี้วัดย่อยในแต่ละด้านเหลือ 4 ตัว รวมทั้งสิ้น 32 ตัวชี้วัด โดยใช้ข้อมูลระดับจังหวัดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคำนวณ และดัชนีนี้มุ่งเน้นที่จะให้มองเห็นภาพรวมของความก้าวหน้าของคนในประเทศไทยในด้านต่างๆ ตลอดจนการเปรียบเทียบระหว่างภูมิภาคและกลุ่มคนในประเทศไทยแต่ละภาค
ที่มา:สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ, 2560
ส่วนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความสุข
3.1 แหล่งข้อมูลที่ใช้
3.1 แหล่งข้อมูลที่ใช้
การเก็บข้อมูลความสุขของคนไทยใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจขนาดใหญ่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 - 2558 โดยมีการสำรวจตามปกติและการเก็บข้อมูลตามหลักวิชาการสถิติที่เป็นที่ยอมรับและชัดเจน โครงการประกอบด้วยหลายวัตถุประสงค์และมีขนาดตัวอย่างที่แตกต่างกันดังนี้
การสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม (ข้อมูลระดับภาค) ในปี พ.ศ. 2551, 2554, และ 2557 มีขนาดตัวอย่างประมาณ 28,000 คน
การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (ข้อมูลระดับจังหวัด) ในปี พ.ศ. 2552, 2553, และ 2555 มีขนาดตัวอย่างประมาณ 80,000 คน
การสำรวจอนามัยและสวัสดิการ (ข้อมูลระดับภาค) ในปี พ.ศ. 2554 และ 2556 มีขนาดตัวอย่างประมาณ 31,000 คน
การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร (ข้อมูลระดับจังหวัด) และเก็บข้อมูลเป็นรายไตรมาส ได้แบ่งเป็น 1 เดือนต่อไตรมาส ในปี พ.ศ. 2557 และ 2558 มีขนาดตัวอย่างประมาณ 70,000 คน
การเก็บข้อมูลความสุขนี้เป็นส่วนสำคัญในการทำนุบาลและการวางแผนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชากรไทยในด้านต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขาในอนาคต
3.1.1 การสํารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม(ข้อมูลระดับภาค) ขนาดตัวอย่างปีละประมาณ 28,000 คน
ก. พ.ศ.2551 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม
ในปี พ.ศ. 2551 มีการสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม โดยมีการจัดคําถามเป็นกลุ่มที่หนึ่งตามข้อมูลพื้นฐานของประชากร และกลุ่มที่สองตามข้อมูลเกี่ยวกับศาสนา และสังคม วัฒนธรรม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของประชากรทั้งในด้านพื้นฐานและด้านสังคมวัฒนธรรม ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการวางแผนและปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวกับพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมในประเทศไทย
ข. พ.ศ.2554 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม
ในปี พ.ศ. 2554 มีการสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม และได้เพิ่มข้อคำถามจากชุดเต็มของแบบประเมินสุขภาพจิตเข้าไปเพื่อใช้เป็นตัวแปรอิสระในการวิเคราะห์ โดยทำให้มีความสามารถในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างสภาพความเป็นอยู่ของประชากรและสุขภาพจิตของพวกเขาได้อย่างครอบคลุม การเพิ่มข้อคำถามจากชุดแบบประเมินสุขภาพจิตนั้นไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจุดตัดของตัวแปรตามคะแนนสุขภาพจิต เนื่องจากเป็นข้อมูลเพิ่มเติมที่ใช้ในการวิเคราะห์และไม่ได้มีผลต่อการประมวลผลคะแนนสุขภาพจิตที่ได้จากแบบประเมินในช่วงเวลานั้น ทำให้การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง
ค. พ.ศ.2557 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม
ในปี พ.ศ. 2557 มีการเพิ่มข้อคำถามจากปัจจัยข้อมูลการประเมินด้านต่าง ๆ ของชีวิต (Domain Evaluation) จำนวน 16 ข้อ เข้าไปในการสำรวจสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม โดยข้อคำถามเหล่านี้ได้รับการสร้างจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและความสุขในประเทศไทย เพื่อให้การสำรวจมีความครอบคลุมและสามารถวัดและวิเคราะห์ปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรได้อย่างเต็มที่ การเพิ่มข้อคำถามจากปัจจัยข้อมูลการประเมินด้านต่าง ๆ ของชีวิต (Domain Evaluation) มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงและสมบูรณ์เพื่อใช้ในการวางแผนและดำเนินการในด้านสุขภาพจิตและความสุขของประชากร
ไทยให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอย่างมีคุณภาพ
3.1.2 การสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (ข้อมูลระดับจังหวัด) ขนาดตัวอย่างปี ละประมาณ 80,000 คน
ก. พ.ศ.2552 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
ในปี พ.ศ. 2552 มีการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยมีการจัดกลุ่มปัจจัยตามข้อมูลดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง: ปัจจัยจากข้อมูลพื้นฐานของประชากร
กลุ่มที่สอง: ปัจจัยจากข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
ข. พ.ศ.2553 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
ในปี พ.ศ. 2553 มีการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน โดยมีการจัดกลุ่มปัจจัยตามข้อมูลดังนี้:
กลุ่มที่หนึ่ง: ปัจจัยจากข้อมูลพื้นฐานของประชากร
กลุ่มที่สอง: ปัจจัยจากข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
ค. พ.ศ.2555 : คําถามตามแบบสํารวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
โดยมีการจัดกลุ่มปัจจัยตามข้อมูลดังนี้
กลุ่มที่หนึ่ง: ปัจจัยจากข้อมูลพื้นฐานของประชากร
กลุ่มที่สอง: ปัจจัยจากข้อมูลเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน
3.1.3 ผลสํารวจภาพรวม พ.ศ.2558
ในปี พ.ศ. 2558 คณะทำงานเลือกทำการเก็บข้อมูลเป็นรายไตรมาสเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของความสุขของคนไทยตลอดปี โดยการผนวกแบบประเมินสุขภาพจิต (ความสุข) คนไทยที่จัดทำโดยกรมสุขภาพจิตเข้ากับโครงการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นการบูรณาการข้อมูลสองประเภทเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพการทำงานและสุขภาพจิตของประชากรได้อย่างครอบคลุมและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้นในแง่ของเวลาและความถี่ของการรายงานข้อมูล
3.2 สรุปปัจจัยความสุข โดย นพ.ประเวช ตันติพิพัฒนสกุล
3.2 สรุปปัจจัยความสุข โดย นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล
ปัจจัยความสุขที่สําคัญในชีวิตคนเรา
-บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เช่น การพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเอง เพื่อเติบโตและปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
-บางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือและช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น การสนับสนุนและการช่วยเหลือจากครอบครัว และเพื่อน ในการเผชิญกับท้าทายและปัญหาในชีวิต
-บางเรื่องเป็นสิ่งที่คนในชุมชนและสังคมต้องช่วยกันแก้ไข เช่น การสนับสนุนกิจกรรมชุมชน การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีใน
ชุมชน เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรงและเป็นกันเอง
-บางเรื่องควรเป็นนโยบายของรัฐ เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและการพัฒนาของบุคคลและสังคม การสนับสนุนในด้านการศึกษา สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งหมดในสังคม
ในระดับบุคคล
การสร้างสุขในระดับบุคคลเริ่มต้นด้วยการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตให้ดี เช่น การออกกำลังกายอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ
มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี
วางแผนการเงินอย่างมีวินัย เก็บเงินออมให้เพียงพอสำหรับความต้องการของตน รู้จักการใช้จ่ายอย่างมีสติ เพื่อให้มั่นคงในเรื่องการเงิน
การค้นหาตนเองและวางแผนการทำงานให้เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจ เพื่อให้สามารถทำงานอย่างมีความสุขและสำเร็จ
การจัดเวลาศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา เพื่อพัฒนาตนเองและเสริมความเชื่อมั่นในชีวิต และเรียนรู้จากประสบการณ์และคำแนะนำที่มีค่าจากศาสนา
ในระดับครอบครัว
การสร้างความสุขในระดับครอบครัวเกิดขึ้นผ่านการสร้างความสัมพันธ์และการมีสัมฤทธิ์ร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว การให้เวลากันอย่างเพียงพอและมีการสื่อสารอย่างเปิดเผย ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัว
การแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติสุขและเติมเต็มด้วยความเข้าใจ การเจรจาและการให้โอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความคิดเห็น และการหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เป็นการ
สร้างพื้นฐานที่มั่นคงในความสัมพันธ์ครอบครัว
นอกจากนี้ การมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในครอบครัว เช่น การกำหนดเป้าหมายที่ร่วมกัน การร่วมกันสนับสนุนในการตั้งเป้าหมายและการทำภารกิจ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและมั่นคงในครอบครัวให้เกิดความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
ในระดับชุมชน
การสร้างสุขในระดับชุมชนเกิดขึ้นด้วยการร่วมมือกันของสมาชิกในชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ เช่น การจัดพื้นที่เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ การสร้างพื้นที่สาธารณะที่เป็นที่พบปะและการพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชากรในชุมชน การสนับสนุนกิจกรรมร่วมกันและการพัฒนาระบบกิจกรรมจิตอาสาในชุมชน เพื่อให้มีการช่วยเหลือกันและเสริมสร้างความสามารถในการแก้ไขปัญหา และการสร้างทุนทางสังคมภายในชุมชนเพื่อสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกในชุมชนทั้งหมด โดยทั้งหมดนี้เป็นการสร้างพื้นที่และวัฒนธรรมในชุมชนที่ส่งเสริมความสุขและความเจริญอย่างยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งในชุมชนให้สามารถเผชิญกับทักษะชีวิตและปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในระดับประเทศ
การสร้างสุขในระดับประเทศเกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบายที่สนับสนุนและส่งเสริมความสุขให้กับประชาชน โดยการจัดทำนโยบายที่เน้นการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น นโยบายที่สนับสนุนให้ผู้นำครอบครัวไม่ต้องย้ายที่พักเพื่อหางาน การจัดการหนี้ที่ไม่มีระบบ นโยบายเกี่ยวกับที่ดินเพื่อการเกษตร นโยบายการศึกษาที่เน้นการพัฒนาทักษะชีวิตและการเรียนรู้ร่วมกัน นโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการดูแลสุขภาพของผู้ว่างงาน นโยบายที่เน้นการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่นและการสร้างธรรมาภิบาล นั่นเป็นเพียงต้นแบบของการพัฒนานโยบายที่มุ่งเน้นการเพิ่มพูนคุณความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระดับประเทศ
3.3 การศึกษาเชิงคุณภาพความสุขคนไทย
3.3 การศึกษาเชิงคุณภาพความสุขคนไทย
การศึกษาความสุขของคนไทยได้รับการทำแบบประเมินความสุขคนไทยที่มีคำถามจำนวน 15 ข้อ จากกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่เป็นหลายหมื่นคนในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เจาะลึกกับผู้แทนประชากรในกลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัดตรัง พังงา และภูเก็ต การวิจัยเชิงคุณภาพช่วยให้เข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความสุขของคนไทยในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งอาจช่วยให้นโยบายหรือมาตรการด้านสุขภาพและความสุขของประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นตามความต้องการและสภาพการณ์ในแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิผล
3.3.1 ความสุขคนเมืองตรัง
การประกาศจังหวัดตรังให้เป็น "เมืองแห่งความสุข" เป็นการทำให้มีการรวมกันของหลายภาคส่วน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำ มีการร่วมมือจากหลายภาคส่วน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สื่อมวลชน และระบบราชการ โดยมีทีมงานสาธารณสุขเป็นจุดประสาน การประกาศเมืองให้เป็นเมืองแห่งความสุขนี้อาจสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขให้กับประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ โดยการร่วมมือกันของหลายภาคส่วนและการมีทีมงานสาธารณสุขเป็นจุดประสานให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตและพัฒนาของเมืองในทิศทางที่เป็นประโยชน์แก่ทุกคนในชุมชน
ที่มา:งานวิจัยความสุขคนเมืองตรัง ดําเนินการ โดยทีมวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นําโดยรองศาสตราจารย์แพทย์หญิง ดร. สาวิตรี อัษณางค์กรชัย หน่วยระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์
3.3.2 การศึกษาเปรียบเทียบความสุขคนพังงาและภูเก็ต
การเปรียบเทียบระดับความสุขระหว่างจังหวัดพังงาและภูเก็ตเป็นการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ เนื่องจากทั้งสองจังหวัดเป็นจังหวัดที่ติดกันและมีความสำคัญในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองและมีชายหาดที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม คะแนนความสุขของประชากรในทั้งสองจังหวัดมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยที่พังงาได้อันดับต้นๆ ของประเทศ ในขณะที่ภูเก็ตได้อันดับท้ายของประเทศ
ความแตกต่างในระดับความสุขนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น สภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างจังหวัดสองแห่ง ระดับคุณภาพชีวิตของประชากร การเข้าถึงบริการสาธารณสุข สภาพแวดล้อมสังคม และปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อความพึงพอใจและความสุขของประชากรในแต่ละพื้นที่ เป็นต้น
การศึกษาเหล่านี้อาจช่วยให้เข้าใจถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขและคุณภาพชีวิตของ
ประชากรในพื้นที่ต่าง ๆ และเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาและนโยบายสำหรับพื้นที่นั้น ๆ ในอนาคต
ที่มา:การศึกษาความสุขของประชาชนในจังหวัดพังงาและภูเก็ต โดยทีมวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล นําโดย รศ.ดร.รศรินทร์ เกรย์
อ้างอิง
เอกอนงค์ สีตลาภินันท์ .(2566).รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต.
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพลินพาดี ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เพลินพาดีและคณะ.(2566). รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต
เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ฉบับสมบูรณ์ .ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
1 ถูกใจ 3.1K การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0