วิกฤตฝุ่นละออง PM2.5 ได้รับการยกระดับการแก้ปัญหาเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวก่อนเข้าฤดูร้อน (ต้นกุมภาพันธ์) และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลายเป็นพื้นที่ที่มีอากาศแย่ที่สุดในโลก และยอดผู้ป่วยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศมีสูงกว่า 30,000 คน
ตลอดหลายปีมานี้ เราได้เห็นนักคิด นักวิชาการ รวมถึงแพทย์จำนวนมากออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง PM2.5 ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์ ชำแหละสาเหตุ และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา จนติดตามอ่านและฟังกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ก็ดูเหมือนว่า ปัญหาดังกล่าวจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
ศ.ไทเลอร์ โคเวน นักเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน เจ้าของบล็อกด้านเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Marginal Revolution ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ Bloomberg ชื่อว่า “Air Pollution Kills Far More People Than Covid Ever Will” โดยหยิบงานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ทำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน มานำเสนอและได้ตั้งคำถามดัง ๆ ฝากไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องมลพิษอากาศ
โฟกัสของงานวิจัยคือ PM2.5 ที่มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะถ่านหิน ก๊าซ และเบนซิน ซึ่งทำให้ผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตกว่า 10.2 ล้านคน ในปี 2555 โดยร้อยละ 62 ของผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ในประเทศจีน (3.9 ล้านคน) และอินเดีย (2.5 ล้านคน) ขณะที่ไทยมีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 กว่า 71,184 คน (สูงเป็นอันดับสามของอาเซียนรองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) โดยผู้วิจัยมีความเห็นว่า PM2.5 ที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลนี้ควบคุมได้ง่ายกว่า PM2.5 ที่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ฝุ่นและควันจากไฟป่า

แม้ว่าผลกระทบจากโรคที่เกิดจาก PM2.5 จะรุนแรง ทว่าการระบาดของโควิด-19 ได้แย่งพื้นที่ข่าวและความสนใจไปจนหมด ผลกระทบจากฝุ่นพิษเลยดูเหมือนจะเป็นเรื่องรอง ๆ ที่เรามักจะหันมาสนใจเป็นครั้งคราว พออากาศดีขึ้นก็เลิกให้ความสนใจ ประหนึ่งว่า ปีหน้าฝุ่นมันจะไม่กลับมาอีก ซึ่งโคเวนให้ความเห็นว่า หากคุณเชื่อว่าการสูบบุหรี่ไม่ดี เพราะอันตรายเสียจนคร่าชีวิตคนได้ คุณภาพอากาศแย่ ๆ ก็อันตรายพอ ๆ กัน
เขายังอธิบายด้วยว่า ส่วนมากแล้วผลกระทบที่เรามักจะเห็นกัน เป็นผลกระทบที่เกิดกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกิดกับจีนและอินเดีย เราจึงคิดว่า ไม่ใช่เรื่องของเราโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยมีผู้ที่เสียชีวิตจาก PM2.5 ประมาณ 70,000 คน (ต่อปี) มากกว่ายอดผู้เสียชีวิตรวมจากโควิด-19 หลายเท่าตัว ไม่แน่ว่า…หลังจากที่ ‘ใครสักคน’ เห็นผลจากการวิจัยชิ้นนี้แล้วจะตระหนกและตระหนักกับ PM2.5 มากขึ้น (6)
กรณีศึกษาผู้ป่วยมะเร็งปอดจาก PM2.5
แม้ว่ามลพิษอากาศจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่เรามักจะไม่เห็นผลกระทบโดยตรง เพราะไม่เห็นข่าวว่าคุณลุง คุณป้า ออกไปยืนหน้าบ้านที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วเสียชีวิตโดยทันที แต่ผลของ PM2.5 ได้ซ่อนอยู่ในมะเร็งปอดและโรคหัวใจและหลอดเลือด
รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด เธอเสียชีวิตเมื่อเช้าวันที่ 18 มีนาคม 2565 โดยตัวเธอเพิ่งทราบว่า ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 เมื่อปลายปี 2564 ท่ามกลางความแปลกใจของผู้ใกล้ชิด เพราะอายุยังน้อย ไม่สูบบุหรี่หรือใกล้ชิดกับกิจกรรมเสี่ยงอื่น ยกเว้นอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่ปัญหาจากฝุ่นควัน PM2.5 มาอย่างยาวนาน
เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยจากโรคร้าย อาจารย์ภาณุวรรณ ปวารณาตัวเป็นกรณีตัวอย่างผู้ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก และติดตามการผลักดันการแก้ปัญหามลพิษฝุ่นควันมาโดยตลอด

รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูร อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)
ก่อนหน้านี้ ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยบนเวทีเสวนา “เชียงใหม่ เพื่อลมหายใจที่ดีกว่า” ตอนหนึ่งว่า เป็นเรื่องน่าใจหายถึงผลการตรวจสุขภาพของรุ่นพี่ที่รักและนับถือกัน คือ รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทรวรรณกูร อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มช. ที่เพิ่งรับทราบว่า ตัวเองเป็นมะเร็งปอด ระยะที่ 3
“อาจารย์ภาณุวรรณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผึ้งระดับโลก ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ หรือใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ เพียงแค่อยู่อาศัยในพื้นที่มีฝุ่นควัน PM2.5 ในเชียงใหม่มานานกว่า 10 ปี และอาจารย์ต้องการให้นำอาการป่วยของตัวเองมาเป็นบทเรียนและจะได้เข้าใจถึงผลกระทบจากฝุ่น PM2.5” อาจารย์ว่าน ยังระบุ
ข้อมูลจาก ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ จากหน่วยวิชาโรคระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า แนวโน้มการเสียชีวิตในช่วงที่มีค่ามลภาวะทางอากาศสูงจากปี 2559-2562 เพิ่มขึ้นกว่า 200% นอกจากนี้จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลกในส่วนของประเทศไทยพบว่า มีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 สูงเป็น 4 เท่าของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรทางบก (7)
ข้อมูลจากหลายหน่วยงานหลายสถาบันตอกย้ำว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นสาเหตุที่มีความเชื่อมโยงกับการป่วยมะเร็งปอดและโรคอื่น ๆ ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ดังนั้น ตัวเลขความสูญเสียจากฝุ่นพิษในแต่ละปีน่าจะช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ถึงต้นตอของปัญหาได้เป็นอย่างดี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรต้องลงมือแก้ปัญหามลพิษอากาศอย่างจริงจังเสียตั้งแต่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0