บทนำ
สาระสำคัญส่วนนี้กล่าวถึง ทิศทางการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตผ่านงานวิจัย นวัตกรรม แผนงาน โครงการ โปรแกรม และสื่อ ในการสร้างเสริมสุขภาพจิต และแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ซึ่งดำเนินงานโดยกรมสุขภาพจิต และภาคีแผนงาน สสส. รวมถึงการพัฒนา translational research ในระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม และประชาชนได้อย่างเหมาะสมตามช่วงวัยของชีวิต รวมทั้ง กลุ่มประชากรเฉพาะกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในประเทศ และต่างประเทศที่น่าสนใจ สำหรับเป็นองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายและทันท่วงที ควบคู่กับการนำพาให้สังคมไทยไร้ความรุนแรง
3.1 การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประมวลองค์ความรู้สุขภาวะ เพื่อสนับสนุนการสื่อสาร และขยายผล
การรวบรวมข้อมูลเอกสารจากข้อมูลภายใน และภาคีที่ได้รับทุนสนับสนุนการดำเนินงานจากสำนักงานส่งเสริมสุขภาพจิตแห่งชาติ (สสส.) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำความเข้าใจและวิเคราะห์ภาพรวมของงานที่ดำเนินอยู่ในระดับแผนงาน โครงการ และศูนย์บริการข้อมูลต่าง ๆ ของสสส. ซึ่งเน้นไปที่เรื่องสุขภาพจิต โดยรวมมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตของประชาชนในประเทศไทย โดยการรวบรวมข้อมูลเหล่านี้สามารถทำได้จากหลายแหล่งที่มีความเกี่ยวข้อง
(1) ระดับแผนงาน : แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตปี พ.ศ.2559-2564
แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต โดย กรมสุขภาพจิต ดำเนินงานร่วมกับสสส. พบว่า
¬มีการรวบรวมชุดความรู้และเครื่องมือ: การรวบรวมความรู้และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตจากช่วงเวลาที่ผ่านมาช่วยให้มีข้อมูลฐานที่มั่นใจและเป็นประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการต่อไป
¬มีการรวบรวมสื่อและนวัตกรรม: การนำเข้าสื่อและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาช่วยให้การสร้างแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตมีการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารที่ทันสมัย
¬มีกรอบแนวคิดการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะ: การทบทวนและประมวลองค์ความรู้เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงแผนงาน เพื่อให้เกิดการแก้ไขและปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของสุขภาพจิต
¬มีการสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล: การสร้างแผนงานที่มีการสื่อสารอย่างเหมาะสมและมีการขยายผลเป็นตัวช่วยในการทำให้ความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพจิตเข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
A.กรอบการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมเชิงประเด็นสุขภาพจิต
แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิตได้รับการสนับสนุนจาก สสส.โดยมีระยะการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความรู้และการนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทยต่อไป โดยมีจุดมุ่งหมายหลักดังนี้
ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2:
¬การกำหนดขอบเขตการดำเนินงานเน้นการนำความรู้ไปสู่การขยายผลกับภาคส่วนต่างๆ ของสังคม
¬การผลักดันนโยบายทางสังคมที่ส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพจิตของประชาชน
¬การส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาสุขภาพจิตในภาคส่วนต่างๆของสังคม
ระยะที่ 3:
¬การปรับขอบเขตการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
¬การดำเนินงานที่ใช้ความรู้ในการพัฒนาสุขภาพจิตไปสู่ระดับของภาคีและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสร้างเสริมสุขภาพจิตในสังคม
การดำเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในระยะที่ 3 มีข้อสังเกตสำคัญดังนี้:
1.การใช้คำนิยามและความหมายของ "สุขภาพจิต" ที่ถูกสร้างใหม่: แม้จะเป็นระยะที่ 3 แต่การใช้คำนิยามและความหมายของ "สุขภาพจิต" ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากระยะที่แผนงานเริ่มต้นในระยะที่ 1 ซึ่งยังคงเน้นความสำคัญของคำว่า "สุข" และการเสริมสุข โดยไม่มุ่งเน้นเพียงการลดทุกข์เท่านั้น
2.การใช้ทรัพยากรจากระยะที่แล้ว: แผนงานในระยะที่ 3 ใช้ทรัพยากรที่ได้มาจากระยะที่ 1 และ 2 ส่วนใหญ่ เพื่อเสริมสร้างและขับเคลื่อนการพัฒนาสุขภาพจิตในระยะต่อไป
3.การเลือกกลุ่มเป้าหมายและผู้รับการสร้างเสริมสุขภาพจิต: การดำเนินงานยังคงเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลุ่มผู้ใช้ความรู้และผู้นำความรู้สู่การปฏิบัติการ เป็นกลุ่มเฉพาะกลุ่มเดิมที่มีการพัฒนาความรู้และทักษะตลอดระยะเวลา
4.การใช้แบบแผนกระบวนการที่แตกต่าง: แผนงานฯ ใช้แบบแผนการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกระบวนการกลุ่มเสริมพลัง แทนการเสริมพลังเป็นรายบุคคล ซึ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่กลางเพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนและการกระตุ้นจากแรงกดดันจากกลุ่ม
5.การพัฒนาบุคลากร: การสร้างผู้นำการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยใช้องค์กรหลักทางวิชาชีพเป็นกลไกการทำงานและขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพจิต และการใช้กลไกทางการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา
6.การพัฒนาสื่อ: การพัฒนาสื่อที่สอดคล้องกับกลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริมสุขภาพจิต
7.การดำเนินงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการ: แผนงานในระยะที่ 3 มุ่งเน้นการทำงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการเป็นหลัก โดยไม่ใช้กลไกเชิงยุทธศาสตร์โดยตรง
8.การพัฒนาความรู้ผ่านกลุ่มตัวอย่างเชิงทดลอง: การพัฒนาความรู้ในแต่ละประเด็นผ่านกลไกเครือข่ายวิชาการที่ใช้กลุ่มตัวอย่างเชิงทดลอง เพื่อการนำความรู้ไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ
9.การดำเนินงานกับผู้บริหารและศาลอาญา: การใช้กลไกเชิงยุทธศาสตร์โดยตรงในการดำเนินงานกับผู้บริหารและศาลอาญาเพื่อขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างรวดเร็ว
10.การดำเนินการของแผนงานภายในระยะที่ 3 มีการเน้นการทำงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการ (Boundary Partner) เป็นหลัก: โดยไม่ตรงจับคู่กับกลไกเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partner) ที่จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเชิงนโยบายหรือการเคลื่อนงานไปยังหน่วยต่าง ๆ โดยตรง ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้:
1)นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนาสกุล ผู้จัดการแผนงานฯ มีตำแหน่งบริหารวิชาการในกรมสุขภาพจิต ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับกลไกยุทธศาสตร์ ทำให้การเคลื่อนงานไปในทิศทางของภาควิชาการของกระทรวงสาธารณสุขได้รับการขับเคลื่อนพร้อมกับแผนงานภายในระยะที่ 3
2)การขับเคลื่อนงานศาลอาญาเป็นการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลไกยุทธศาสตร์โดยตรง ซึ่งเป็นกลไกที่เป็นผู้บริหารและตัดสินใจโดยตรง ทำให้สามารถขยายการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตทั้ง 2 รูปแบบ (แบบทางการและแบบไม่ทางการ) มีความแตกต่างกันในหลายด้านเชิงการวางกรอบและการมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์ดังนี้:
แบบทางการ:
¬การวางกรอบ: มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกและขั้นตอนทางวิชาการและระเบียบการที่เป็นทางการ
¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: เน้นการวัดและประเมินผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรหรือระบบ
แบบไม่ทางการ:
¬การวางกรอบ: มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เจตจำนง หรือขั้นตอนที่เป็นทางไม่เป็นทางการ เช่น การเล่าเรื่องราว การแบ่งปันประสบการณ์ หรือกิจกรรมกลุ่มที่ออกเสียงอิสระ
¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจของบุคคล การพัฒนาความสัมพันธ์ การเสริมสร้างความเข้าใจและสอนรู้ และการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเข้าใจในตนเอง
ดังนั้น แบบทางการมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านการวางกรอบและการวัดผลที่มีลักษณะเป็นทางการ ส่วนแบบไม่ทางการมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่อิสระและมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจและความสุขของบุคคลในระดับบุคคลและระดับกลุ่มโดยตรง
1. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการ
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการเป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาภายใต้การปฏิบัติขององค์กรหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้
ข้อดี:
¬ความชัดเจนในการกำหนดกลยุทธ์และวิธีการทำงาน: มีกรอบแนวทางปฏิบัติการที่เป็นขอบข่าย และมีขั้นตอนการปฏิบัติการที่เข้าใจง่าย ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: มุ่งเน้นการวัดและประเมินผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรหรือระบบ
¬การพัฒนากระบวนการ: มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยทำให้หน่วยปฏิบัติการสามารถดำเนินงานกับกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิผล
ข้อจำกัด:
¬ข้อจำกัดในการติดตามผลลัพธ์: มีความยากลำบากในการติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิต โดยองค์กรหรือหน่วยงานอาจมีข้อจำกัดในการขอบุคลากรที่จะปฏิบัติงานโดยตรง
รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการช่วยเสริมศักยภาพและความเข้มแข็งของหน่วยปฏิบัติการในการดำเนินงานต่อไป แต่ก็มีความยากลำบากในการติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยตรง
2. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการ
การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการเน้นการพัฒนาภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคม โดยมีลักษณะข้อดีและข้อจำกัดดังนี้:
ข้อดี:
¬การตอบสนองต่อความซับซ้อนของสังคม: กระบวนการทำงานนี้สามารถปรับตัวตามโครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มในพื้นที่ได้ เน้นการทำงานในบริบทของสังคมและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง
¬การพัฒนากระบวนการเชิงความสัมพันธ์: การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการใช้วิธีการปฏิสัมพันธ์กลุ่มและมุ่งเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ร่วมกัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ข้อจำกัด:
¬ความซับซ้อนและความเปลี่ยนแปลง: กระบวนการนี้มีความซับซ้อนในการทำงานและการปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจมีความยากลำบากในการควบคุมและการปรับตัว
¬การใช้ทรัพยากร: การพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพจิตต้องใช้ทรัพยากรมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาและความมีคุณภาพของบุคลากร
การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการช่วยสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฏิบัติการทางสังคม แต่ก็มีความยากลำบากในการจัดการและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
แสดงการเปรียบเทียบกลไกแบบทางการและกลไกแบบไม่ทางการ
B.การรวบรวมข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้เชิงประเด็นสุขภาพจิต
การรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์จัดกลุ่มความรู้และแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มวัย
ส่วนที่ 1: การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตแบ่งตามกลุ่มวัย (ปฐมวัย, วัยเรียน, วัยรุ่น, วัยทำงาน/ผู้ใหญ่):
-จำนวนรวม 45 เรื่อง
-การจัดกลุ่มความรู้และแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับความต้องการและลักษณะพิเศษของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ซึ่งรวมถึงการจัดการกับปัจจัยทางสังคมและสภาวะที่พบได้ในแต่ละกลุ่มวัย
1. กลุ่มปฐมวัย อายุ 0-5 ปี
1.1 คู่มือ/แนวปฏิบัติในการเยี่ยมบ้านของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอด
1.2 รายงานผลการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่ซึมเศร้าหลังคลอด
1.3 รายงานผลการศึกษา ต้นทุนประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัยใน พื้นที่ทุรกันดาร (cost-effectiveness study of DSPM-based Preschool Parenting Program :Triple-P)
2. กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี
2.1 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยเรียน “การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต ป.1-ป.6”
ที่มา1.https://www.jitdee.com/downloads/Life%20Skill1‐3/ 2.https://www.jitdee.com/downloads/Life%20Skill4-6/)
2.2 คู่มือ 6 คำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์สำหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/026quationforlifeskill.pdf
2.3 สื่อการเรียนรู้แบบเสียง พร้อมคู่มือ ชุด “พ่อแม่เลี้ยงบวก” เป็นรูปแบบละครสั้น(เสียง) จบในตอน และรูปแบบละครสั้น(เสียง)จบในตอน ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/PositiveParent/
2.4 คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่ ที่มา:www.jitdee.com
2.5 รายงานผลการศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัว และโรงเรียนเพื่อการปรับ พฤติกรรมเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม (SAFE B-MOD) ในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร
3. กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี
3.1 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”
ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/resilience
3.2 คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/guide/
3.3 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่น ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/05talkteen.pdf
3.4 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า) คุยกับลูกเรื่องเพศ ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/05talkteen.pdf
3.5 คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่
3.6 รายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มฝึกสติ เพื่อการยอมรับและพัฒนา (โปรแกรมจับใจ) ต่อปัญหาทางอารมณ์และ พฤติกรรมในวัยรุ่น
3.7 “กำแพงพักใจ” การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่น เชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล การส่งต่อแบบไร้รอยต่อ เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน
3.8 ภาพยนตร์สั้นบำบัด เพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงบวก ลดภาวะความเครียดและปรับเปลี่ยนวิธีการเผชิญกับปัญหาสำหรับกลุ่มนักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวด้วยการใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM
3.9 เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึกสำหรับชาวดิจิทัลโดยกำเนิดในโลกออนไลน์ (Deep Listener)
ที่มา : https://moommong.com/deep/learn
3.10 งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ต่อความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา
4. กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี และกลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี
4.1 ระบบงานสุขภาพจิตในโรงเรียนบนระบบดิจิตัล “School Health HERO” เชื่อมระหว่างกรมสุขภาพจิตกับสพฐ. โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทย (FIRST-EPISODE PSYCHOSIS INTERVENTION PROGRAM)
4.2 หลักสูตรออนไลน์การดูแลเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อนำไปเชื่อมต่อ “School Health Hero Platform” ที่มา :ระบบงานสุขภาพจิตโรงเรียนบนระบบดิจิตัล “School Health HERO”เชื่อมระหว่างกรมสุขภาพจิตกับ สพฐ.http://learning.hero-app.in.th/manual_school_admin
4.3 โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด .. ภัยรังแก) ANTIBULLY PROGRAM
4.4 เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS)
4.5 คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ
4.6 รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้: กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Standardized Achievement Test for Thai Learners)
5. กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่
5.1 หมวดงานปรับพฤติกรรมสุขภาพ
1) สร้างสุขด้วยการปรับพฤติกรรม(ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: Motivation Theory, Transtheoretical Model, Personal Action Plan)
2) คู่มือและสื่อการเรียนรู้ปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับบุคลากรสาธารณสุข ที่มา : https://www.jitdee.com/downloads/Change
3) คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสำหรับบุคลากรสาธารณสุขใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกเบาหวาน ที่มา : https://www.jitdee.com/downloads/14ChangeDM.pdf
4) เว็บไซต์ www.go2change.com การปรับพฤติกรรมสุขภาพ
5) Application “สร้างสุขภาพ”
5.2 หมวดงานสำนักงานศาลยุติธรรม
1) งานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: Methods of Counseling, Motivation Theory, Transtheoretical Model, Personal Action Plan)
2) หลักสูตรแกนกลางการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล(สำหรับผู้ให้คำปรึกษา: การให้คำปรึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการภาวะเสพติด การให้คำปรึกษาครอบครัว)
3) หลักสูตรวิทยากรให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล
4) การให้คำปรึกษารายกลุ่มและดุแลผู้รับคำปรึกษารายกรณี
5) คู่มือการดำเนินงานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล
6) รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล กรณีศึกษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
7) ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล
5.3 หมวดสหวิชาชีพ
1) หลักสูตรส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตสำหรับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย สร้างเสริมสุขภาวะด้วยการเรียนรู้แบบ Transformative Learning 1 หลักสูตร โดย (Draft 1) ประกอบด้วย 2 module ได้แก่ Module 1 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน-วัยสูงอายุ (Ottawa Charter Motivation Theory, Counseling) และModule 2 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยปฐมวัย-วัยเรียน-วัยรุ่น
5.4 หมวดประเมินเพิ่มสุขสดทุกข์ในระดับบุคคลและชุมชน
1) เครื่องมือประเมินสร้างสุขลดทุกข์ด้วยตนเอง ที่มา : www.jitdee.com
2) Application ความสุขคนไทย
3) คู่มือและแผ่นพับบัญญัติสุข 10 ประการ
4) Application /อุปกรณ์ “เซียมซีความสุข”
5.5 หมวดวัดและชุมชน
1) หนังสือวัดเพื่อพัฒนาเยาวชนและครอบครัว ที่มา : www.jitdee.com
2) รายงานการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์โรงพยาบาล และชุมชนในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย
5.6 หมวดชุมชนและกลุ่มเปราะบางในชุมชน
1) รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม
2) คู่มือการนำโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำนำไปใช้ในพื้นที่ชุมชนและขยายผลพื้นที่ได้
ส่วนที่ 2 การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย และทบทวนองค์ความรู้
ส่วนที่ 2: การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย (ระดับนโยบาย) และทบทวนองค์ความรู้:
-จำนวนรวม 15 เรื่อง
-การนำเสนอแผนงานที่เน้นการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิตและความสุขคนไทยในระดับนโยบาย และการทบทวนและปรับปรุงองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิตของประชากรไทย
การจัดกลุ่มความรู้และแผนงานในทั้งสองส่วนนี้เป็นการวางแผนที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการและบริบทที่พบเจอในสาขาสุขภาพจิตของประชากรไทยในแต่ละกลุ่มวัยและระดับนโยบายที่ต่างกัน
2.1 ระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย
1) คู่มือสร้างสุขระดับจังหวัด ที่มา : www.jitdee.com
2) รายงานการทบทวนองค์ความรู้และวิเคราะห์สถานการณ์เรื่องการประเมินสุขภาพจิต(ความสุข) คนไทย
3) รายงานประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561-2580) ระยะที่ 1 (พ.ศ.2561-2565) และการประเมินแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) ของกรมสุขภาพจิต ในวาระแรก ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565)
4) รายงานการสำรวจความสุขคนไทย 2561
2.2. งานแปลข้อมูลจากต่างประเทศและทบทวนองค์ความรู้ และจัดทำรายงาน
1) แปลเอกสารวิชาการ Promoting Mental Health Summary Report
2) แปลเอกสารวิชาการ preventing of mental disorder summary report WHO2004
3) แปลเอกสารวิชาการ social determinant of mental health _WHO2014
4) แปลเอกสารวิชาการWHO - Risk reduction of cognitive decline and dementia 2019
5) ทบทวนวรรณกรรมเรื่องเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็ก (adverse childhood experience)
6) รายงานการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มของมารดาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็กและบทบาทหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกของมารดาและการเกิดปัญหาพัฒนาการล่าช้าหรือทางจิตเวชของลูก
7) รายงานความชุกของเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็กในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชและผู้ป่วยติดสารเสพติคและมุมมองเกี่ยวกับความสุขและความสำเร็จในชีวิต
8) ทบทวนองค์ความรู้ Cannabis psychosis: risk and protective factor
9) ทบทวนองค์ความรู้ผลกระทบของเด็กและวัยรุ่นจากการที่มีมารดาป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
10) ทบทวนวรรณกรรม pesticide กับสุขภาพจิต
11) ทบทวนเพศภาวะกับสุขภาพจิต
C.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มวัย
กลุ่มปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้:
1.คู่มือ/แนวปฏิบัติในการเยี่ยมบ้านของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอด:
เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและความมั่นคงของแม่และทารกในช่วงสำคัญของชีวิต
ช่วยให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมมีคำแนะนำและแนวทางในการให้การดูแลที่เหมาะสมสำหรับแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอดและทารก
2.รายงานผลการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่ ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัยใน พื้นที่ทุรกันดาร (ost-effectiveness study of DSPM-basedซึมเศร้าหลังคลอด:
เป็นการศึกษาที่วิจัยประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่และโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการในเด็กปฐมวัยในพื้นที่ทุรกันดารอช่วยให้ข้อมูลเชิงกลุ่มเกี่ยวกับประสิทธิผลของโปรแกรมทั้งสองต่อการพัฒนาของเด็กและสุขภาพจิตของแม่
3.รายงานผลการศึกษา ต้นทุน Preschool Parenting Program :Triple-P):เป็นการศึกษาที่วิจัยค่าใช้จ่ายของโปรแกรมการพัฒนาพ่อแม่ในการดูแลเด็กที่อายุต่ำกว่าวัยเรียน ช่วยให้ผู้บริหารและนักวิจัยทราบถึงความสำคัญของการลงทุนในโปรแกรมการพัฒนาพ่อแม่เพื่อสร้างผลประโยชน์ที่ยั่งยืนในการพัฒนาเด็กและครอบครัว
กลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้
1.สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยเรียน “การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต ป.1-ป.6”:
เป็นเครื่องมือที่มีสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจและน่าสนใจสำหรับเด็กวัยเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะชีวิตและการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ผ่านการ์ตูนที่มีความเข้าใจง่าย
2.คู่มือ 6 คำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์สำหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้:
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูมีแนวทางในการสร้างทักษะชีวิตให้กับนักเรียนในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
3.สื่อการเรียนรู้แบบเสียง พร้อมคู่มือ ชุด “พ่อแม่เลี้ยงบวก” เป็นรูปแบบละครสั้น(เสียง)จบในตอน:
เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกด้วยเรื่องราวและเสียงที่น่าสนใจ
4.คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่:
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจและจัดการกับพื้นที่ในบ้านและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเหมาะสม
5.รายงานผลการศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัว และโรงเรียนเพื่อการปรับ พฤติกรรมเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม (SAFE B-MOD) ในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร:
เป็นการศึกษาที่วิจัยประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรับพฤติกรรมของเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมในพื้นที่ที่ขาดแคลนทรัพยากร ที่มา : www.jitdee.com
กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้:
1.สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”:
2.เครื่องมือที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งทางจิตในวัยรุ่นผ่านสื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์และคู่มือที่เป็นประโยชน์
คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ: เครื่องมือสำหรับครูในการให้คำแนะนำและปฏิบัติต่อนักเรียนในวัยรุ่น
สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิค
3.การคุยกับลูกวัยรุ่น: เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่และผู้ปกครองในการสื่อสารและเข้าใจลูกในวัยรุ่น
สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า)
4.คุยกับลูกเรื่องเพศ:เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่ในการสนับสนุนสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศของลูก
5.คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่:
เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่ในการจัดการพื้นที่และสนับสนุนการเรียนรู้ของวัยรุ่น
6.รายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มฝึกสติ เพื่อการยอมรับและพัฒนา (โปรแกรมจับใจ):
การศึกษาที่ตีความผลของโปรแกรมการฝึกสติที่ช่วยให้วัยรุ่นยอมรับและพัฒนาตนเองในด้านทางอารมณ์และพฤติกรรม
7.“กำแพงพักใจ”:โครงการที่มุ่งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการการปรึกษาให้แก่วัยรุ่น โดยรวมเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลและบริการในโรงพยาบาลเพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน
8.ภาพยนตร์สั้นบำบัด:ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมคุณค่าเชิงบวก ลดความเครียด และช่วยให้นักศึกษาปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวปรับตัวและเผชิญกับปัญหาของตนเอง โดยใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM
9.เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึก:เครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยชาวดิจิทัลในการฟังและเข้าใจปัญหาและความรู้สึกอย่างลึกซึ้งในโลกออนไลน์ ที่มา :https://moommong.com/deep/learn
10.งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์:งานวิจัยที่ศึกษาผลของการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาออนไลน์เพื่อลดระดับความเครียดและคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา ที่มา : www.jitdee.com
กลุ่มวัยเรียน 6-12 ปี และวัยรุ่น 13-24 ปี มีการพัฒนาและนำเสนอหลากหลายโครงการและเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิต ดังนี้:
1.ระบบงานสุขภาพจิตในโรงเรียนบนระบบดิจิตัล "School Health HERO": เป็นระบบที่เชื่อมโยงระหว่างกรมสุขภาพจิตกับสพฐ. เพื่อสนับสนุนการดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียน ทำให้ข้อมูลและบริการสามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
2.หลักสูตรออนไลน์การดูแลเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์: เป็นการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ที่เน้นการดูแลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อเสริมสร้างทักษะและเครื่องมือในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเป็นอันดับแรก
3.โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด .. ภัยรังแก): เป็นโปรแกรมที่เน้นการป้องกันและช่วยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยจากการรังแก มุ่งเสริมสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเรียน
4.เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS): เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินและวินิจฉัยภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น ช่วยให้ผู้ดูแลรับรู้และให้การช่วยเหลือที่เหมาะสม
5.คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ: เป็นคู่มือที่เน้นการให้คำแนะนำและการสนับสนุนเชิงจิตวิทยาให้กับเด็กและเยาวชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางจิตใจที่รุนแรง
6.รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย: เป็นการศึกษาที่วิเคราะห์และกำหนดเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยและการวางแผนการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษในการเรียนรู้
กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ แบ่งเป็น 6 หมวด
1. หมวดงานปรับพฤติกรรมสุขภาพ
กลุ่มวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่สำคัญดังนี้:
¬สร้างสุขด้วยการปรับพฤติกรรม: การสร้างความเข้าใจในการปรับพฤติกรรมที่เป็นสุขสำหรับบุคลากรผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ
¬คู่มือและสื่อการเรียนรู้ปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับบุคลากรสาธารณสุข: เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลและแนวทางในการปรับพฤติกรรมสุขภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพของตนเองและผู้ที่ได้รับบริการ
¬คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสำหรับบุคลากรสาธารณสุขใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกเบาหวาน: ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในการรักษาและปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานในคลินิกทางการแพทย์
¬เว็บไซต์ www.go2change.com การปรับพฤติกรรมสุขภาพ: เป็นแหล่งข้อมูลและแพลตฟอร์มการเรียนรู้เกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่มีเนื้อหาหลากหลายและสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต
¬Application “สร้างสุขภาพ": แอพพลิเคชั่นที่ให้คำแนะนำและแนวทางในการปรับพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามและบริหารจัดการสุขภาพของตนเองได้ในทุกวัน
2. หมวดงานสำนักงานศาลยุติธรรมมีบทบาทสำคัญในการให้บริการคำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล เพื่อสนับสนุนการดำเนินคดีและการยุติคดีอย่างเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้:
¬งานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้กับผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการทางกฎหมายเพื่อช่วยเสริมสร้างสภาพจิตใจที่เหมาะสมในการเผชิญหน้ากับปัญหาทางกฎหมาย
¬หลักสูตรแกนกลางการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมความรู้และทักษะของผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาที่มีคุณภาพ รวมถึงการจัดการภาวะเสพติดและการให้คำปรึกษาครอบครัว
¬หลักสูตรวิทยากรให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลเพื่อให้การประสานงานและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ
¬การให้คำปรึกษารายกลุ่มและดูแลผู้รับคำปรึกษารายกรณี: การจัดการและให้คำปรึกษากับกลุ่มผู้รับบริการที่มีความต้องการเฉพาะเรื่องและการดูแลบุคคลรายกรณีตามความเหมาะสม
¬คู่มือการดำเนินงานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: คู่มือที่ช่วยในการปฏิบัติงานและให้บริการในด้านคำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลอย่างมีประสิทธิภาพ
¬รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล กรณีศึกษา ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา: การศึกษาและรายงานผลเพื่อปรับปรุงกระบวนการให้บริการและเสริมสร้างคุณภาพการให้คำปรึกษา
¬ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อการจัดการข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมอย่างมีประสิทธิภาพในระบบศาล
3. หมวดสหวิชาชีพ เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของประชากรผ่านหลักสูตรที่เน้นการเรียนรู้แบบ Transformative Learning ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:
หลักสูตรส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตสำหรับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย: เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบ Transformative Learning เพื่อสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจให้กับทีมสหวิชาชีพและผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 2 module
Module 1 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน-วัยสูงอายุ: โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Ottawa Charter Motivation Theory และ Counseling เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
Module 2 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยปฐมวัย-วัยเรียน-วัยรุ่น: มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายในช่วงวัยทำงาน-วัยสูงอายุ
โดยหลักสูตรเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจให้กับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย ซึ่งเป็นการเข้ามาช่วยสนับสนุนและเสริมสุขภาพจิตในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกช่วงวัยของประชากร
4. หมวดประเมินเพิ่มสุขสดทุกข์ในระดับบุคคลและชุมชน มีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและชุมชน ดังนี้:
¬เครื่องมือประเมินสร้างสุขลดทุกข์ด้วยตนเอง: เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บุคคลสามารถประเมินสุขภาพทางจิตและการรับมือกับความเครียดหรือทุกข์ใจได้ด้วยตนเอง โดยสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน เช่น การจัดกิจกรรมในชุมชน การจัดค่าย หรือการประชุม
¬Application "ความสุขคนไทย": เป็นแอปพลิเคชันที่มุ่งเสนอเครื่องมือและข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินสุขภาพจิตและการบริหารจัดการความเครียดในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนไทย
¬คู่มือและแผ่นพับบัญญัติสุข 10 ประการ: เป็นเอกสารที่นำเสนอหลักสูตรสำหรับการสร้างสุขภาวะที่ดีทางจิตใจ โดยให้คำแนะนำและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาความสุขในทุกด้านของชีวิต
¬Application/อุปกรณ์ "เซียมซีความสุข": เป็นเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยในการสนับสนุนการบริหารจัดการความเครียดและการเสริมสุขภาวะ มีคำแนะนำและเคล็ดลับเพื่อส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให้กับผู้ใช้
การใช้เครื่องมือและแอปพลิเคชันเหล่านี้ช่วยให้บุคคลและชุมชนมีทักษะในการประเมินและจัดการกับสุขภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปแบบที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ง่ายในชุมชนและระดับบุคคล
5. หมวดวัดและชุมชน มุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชนและระดับบุคคล ดังนี้:
¬หนังสือวัดเพื่อพัฒนาเยาวชนและครอบครัว: เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการวัดและพัฒนาสุขภาพจิตของเยาวชนและสมาชิกในครอบครัว โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวและการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาทางจิตใจ ที่มา : www.jitdee.com
¬รายงานการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์โรงพยาบาล และชุมชนในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย: มุ่งเน้นการสนับสนุนและเสริมสร้างบทบาทของพระสงฆ์ในการให้การช่วยเหลือและการสนับสนุนทางจิตใจให้แก่ผู้ป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมจากชุมชนในการดูแลและสนับสนุนผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงและระยะสุดท้าย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและสนับสนุนให้ผู้ป่วยรู้สึกมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตของตน
6. หมวดชุมชนและกลุ่มเปราะบางในชุมชน มีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาทางจิตใจในกลุ่มที่เปราะบาง ดังนี้:
¬รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม: เป็นการสร้างการเข้าร่วมและร่วมมือกันของชุมชนในการวางแผนและดำเนินการเพื่อป้องกันและระบาดปัญหาการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมและจิตใจที่มีความรุนแรงและต่อเนื่อง
¬รายงานเชิงรุกและการแก้ไขและรับมือกับปัญหานี้จากภาครัฐและชุมชนคู่มือการนำโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างความเข้าใจและการจัดการกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการเกิดการกระทำผิดซ้ำและสนับสนุนให้ผู้กระทำมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การใช้คู่มือนี้ในพื้นที่ชุมชนช่วยให้มีการรับรู้และการกระทำที่เข้มงวดเพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับสมาชิกในครอบครัว
D.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามระบบเชิงนโยบาย
การพัฒนาระบบข้อมูลและการนำเสนอข้อมูลที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของคนไทยและประชากรทั่วไป ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:
1.ระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย: เน้นการเสนอคู่มือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการสร้างสุขภาพทางจิตและการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย รวมถึงการประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติและรายงานการสำรวจความสุขของคนไทย
2.งานแปลข้อมูลจากต่างประเทศและทบทวนองค์ความรู้ และจัดทำรายงาน: การรวบรวมและแปลเอกสารวิชาการเกี่ยวกับสุขภาพจิตจากองค์กรระดับโลกเพื่อเพิ่มข้อมูลและความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตและปัญหาที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิต การป้องกันโรคจิตเภทต่าง ๆ และผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ต่อสุขภาพจิต
2.ระดับโครงการต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนทุนจาก สสส.
A.การรวบรวมข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้
คู่มือ/เครื่องมือ/วิชาการและสื่อที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและการเติบโต
1.กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) มีดังนี้:
1.1 ชุดเครื่องมือส่งเสริมการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต "การเดินทางบนเกาะปลาวาฬ": เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะและการเติบโตของวัยรุ่นผ่านกิจกรรมการเดินทางและการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ซึ่งสามารถช่วยให้วัยรุ่นรู้จักตนเองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้
1.2 แพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ Facebook Closed Group: เป็นช่องทางการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวัยรุ่นในกลุ่มที่มีปัญหาทางจิตใจหรือต้องการความช่วยเหลือ โดยการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์นี้สามารถสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์และคำปรึกษากันระหว่างเพื่อนร่วมกลุ่ม
1.3 สถานีตรวจวัดสุขภาพจิตเยาวชน 15 ปี: เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นสามารถได้รับบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตอย่างรวดเร็วและสะดวก และสามารถเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำในการดูแลสุขภาพจิตได้โดยไม่มีความล่าช้าหรือยุ่งเหยิง
1.4 สำรวจสาเหตุ "ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น": เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาซึมเศร้าในวัยรุ่น เพื่อให้สามารถพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม
2. กลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) และวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพื่อการเติบโตและพัฒนาของผู้เรียน มีดังนี้:
2.1 กิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: การส่งเสริมกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมในวัยเรียนช่วยให้พัฒนาการร่างกายและสุขภาพทั้งกายและจิต เช่น การเล่นกีฬา การท่องเที่ยว หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เน้นการเคลื่อนไหวและการเพลิดเพลินที่สร้างความสุขและลดความเครียด
2.2 คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้คำปรึกษาเข้าใจและสามารถให้การสนับสนุนแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตให้กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการให้คำปรึกษาที่ถูกต้องและเหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตและการปรับตัวให้กับนักเรียนได้ดีขึ้น
3.กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ มีความสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้:
3.1 คู่มือสร้างสุขลดทุกข์แรงงานนอกระบบ/คนจนเมือง: ชุดคู่มือนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพจิตของแรงงานที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ยากและคนจนในเมือง โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งทั้งทางจิตและทางกายของกลุ่มเหล่านี้ โดยมีคำแนะนำและกิจกรรมที่ช่วยให้พัฒนาทักษะและเครือข่ายในการดูแลและสนับสนุนตนเองและกันเองในสภาพทุกข์ยากต่าง ๆ
3.2 การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ: การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ เน้นการวิเคราะห์ความต้องการและการปรับปรุงระบบเพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการรักษาและดูแลสุขภาพจิตของผู้ต้องขัง
3.3 สุขภาพจิตดีมีพลัง สุขภาพจิตพังมีทางแก้: การสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาพจิตเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดจากสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ในชุมชน โดยการส่งเสริมการเสริมสุขภาพจิตและพัฒนาทักษะด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสมให้กับผู้ที่อยู่ในสภาพเสี่ยง เช่น การเรียนรู้การจัดการความเครียดและการเรียนรู้ทักษะการเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิต
4.กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน/ผู้ใหญ่
"บ่อจอย (บ่อแห่งความสุข)" เป็นโครงการหนึ่งที่มุ่งเน้นการสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ โดยเน้นไปที่แนวคิดของความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน เช่น การสร้างความสุขในสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การฝึกสมาธิและการเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพที่ดี โดยโครงการนี้อาจจะให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาสุขภาพจิต กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสุขภาพจิต หรือการสร้างพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและสร้างความสุขในชีวิตประจำวันของกลุ่มเหล่านี้ โดยเน้นการกระจายข้อมูลและการสร้างเครือข่ายที่สนับสนุนกันอย่างเชื่อถือได้ในการพัฒนาความเข้มแข็งทางสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วมโครงการ
5.กลุ่มผู้สูงอายุ
"สุขภาพจิตผู้สูงอายุ ดูแลสร้างสุขอย่างเข้าใจ" เป็นการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยการให้บริการและดูแลอย่างเข้าใจตามความต้องการและลักษณะพิเศษของกลุ่มผู้สูงอายุ โครงการนี้อาจจะรวมการให้คำปรึกษาสุขภาพจิต การจัดกิจกรรมที่เน้นการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิต เช่น การออกกำลังกาย เรียนรู้ หรือกิจกรรมสังสรรค์ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่มีคุณภาพและความสุขที่ดีในวัยที่มั่นคง การสร้างเครือข่ายที่เชื่อถือได้ในชุมชนและการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนย่อมเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในระยะยาว
6.กลุ่มวัยเรียน/วัยรุ่นและวัยทำงาน/ผู้ใหญ่
"บทเรียนและแนวทางการดำเนินงานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการสำหรับชุมชนท้องถิ่น" เป็นการสร้างแนวทางและบทเรียนที่เน้นการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชนท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับการทำให้ทุกคนในชุมชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตและวิธีการดูแลรักษาสุขภาพจิตของตนเอง และผู้ร่วมชุมชน โดยเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ในการดูแลสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี เช่น การสร้างพื้นที่สาธารณะที่สวยงามและเป็นสิ่งสร้างสรรค์ เสริมสร้างความร่วมมือในชุมชน และการสนับสนุนกิจกรรมที่เน้นการเชื่อมโยงและสร้างสัมพันธภาพในชุมชนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความเข้มแข็งของชุมชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืนในระยะยาว
B.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ แบ่งตามกลุ่มวัย
กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี
คู่มือและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี มีความสำคัญดังนี้:
¬คู่มือการสร้างกิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: เป็นคู่มือที่มุ่งเน้นการสร้างกิจกรรมที่เสริมสร้างสุขภาพจิตและเสริมทักษะทางด้านกายให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชนไทย
¬คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นคู่มือที่ให้แนวทางและเครื่องมือสำหรับการให้การปรึกษาแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม
การมีคู่มือและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี มีผลที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาการทั้งทางกายและจิตให้กับเด็กในช่วงวัยนี้อย่างเหมาะสมและสมดุล ช่วยให้พวกเขาพร้อมรับมือกับความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความมั่นคงและสมดุล
กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี ดังนี้:
¬ชุดเครื่องมือส่งเสริมการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต "การเดินทางบนเกาะปลาวาฬ": เป็นชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการฝึกปฏิบัติและเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านการเล่นเกม ที่มา: https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/vAoV
¬แพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ Facebook Closed Group: เป็นพื้นที่ที่ให้กลุ่มวัยรุ่นมีสิทธิในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านการใช้งาน Facebook Closed Group ซึ่งมีผลส่งเสริมสร้างความรับผิดชอบและการร่วมมือในการดูแลสุขภาพจิตของกลุ่มวัยรุ่น
¬สถานีตรวจวัดสุขภาพจิตเยาวชน 15 ปี: เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพจิตในกลุ่มเยาวชน มีความสำคัญในการเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และวางแผนการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนในอนาคต ที่มา:https://resourcecenter.thaihealth.or.th/
¬การสำรวจสาเหตุ "ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น": เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นการสำรวจและการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่น มีความสำคัญในการให้ข้อมูลเพื่อการวางแผนและการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและการรักษาสุขภาพจิตของวัยรุ่นในอนาคต
ที่มา:หนังสือพิมพ์ 2022 โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์สังคม (UNC) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับสสส. สำรวจข้อมูล ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น
กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี และวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี มีดังนี้:
¬กิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: เป็นผลงานวิจัยที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย มีความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพจิตในวัยเรียนและวัยรุ่น
ที่มา :นายทรงทรรศน์ จินาพงศ์ และดร. อารีกุล อมรศรีวัฒนกุล นักวิจัย โครงการวิจัยด้านกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนไทย (CYPAS))
2.คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นคู่มือที่ให้คำแนะนำและเครื่องมือการปรึกษาเพื่อช่วยให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้ มีความสำคัญในการสนับสนุนและช่วยเสริมสร้างทักษะและความเข้าใจในการดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น
ที่มา :สนับสนุนทุนโดยสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม (สำนัก 6) สสส. (กันยายน 2557)
กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ มีดังนี้
1. คู่มือสร้างสุขลดทุกข์แรงงานนอกระบบ/คนจนเมือง (โครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำและกลไกการภาพจิตกลุ่มแรงงาน” สร้างสุข ลดทุกข์” โดย นางอรพิน วิมลภูษิต สมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SADA) เป็นผู้รับผิดชอบ พัฒนาคู่มือและเครื่องมือ) ดังนี้
1.1. คู่มือการพัฒนาผู้นำและกลไกการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “การสร้างสุข ลดทุกข์” ซึ่งประกอบไปด้วยชุดกิจกรรม ดังนี้ ชุดที่ 1 การเรียนรู้เพื่อการปรับฐานคิดและยอมรับตนเอง ชุดที่ 2 การจัดการความสุข-ทุกข์ ความเครียด ชุดที่ 3 การจัดการข้อมูล ชุดที่ 4 การพัฒนาทีมและเครือข่ายเพื่อการจัดการปัญหาในระดับกลุ่ม/พื้นที่หรือชุมชน
1.2. คู่มือพัฒนาศักยภาพหมอสุขชุมชน เรื่อง “ การให้คำปรึกษา ” ซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 หมอสุขชุมชนกับการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 2 ทักษะสำคัญที่ใช้ในการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 3 กระบวนการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 4 ฝึกปฏิบัติให้คำปรึกษา
1.3.คู่มือพัฒนาผู้นำการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงานนอกระบบ “สร้างสุข ลดทุกข์” ฉบับผู้ประสานงานพื้นที่และชุมชน ประกอบด้วยชุดกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ 1: ฉันคือใคร กิจกรรมที่ 2 : สายธารชีวิต กิจกรรมที่ 3 : รู้ปัญหาด้วยคำถาม 3 ข้อ กิจกรรมที่ 4 : ต้นไม้ปัญหารู้สาเหตุและผลกระทบของปัญหา กิจกรรมที่ 5 : การกำหนดเป้าหมายและวิธีแก้ปัญหา กิจกรรมที่ 6 : การวางแผนจัดการตนเองเพื่อสร้างสุขลดทุกข์
1.4. คู่มือการติดตามประเมินผลภายในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำและกลไกการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “การสร้างสุข ลดทุกข์)
1.5.คู่มือการบริการจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต กลุ่มประชากรวัยแรงงาน
1.6 คู่มือพัฒนาศักยภาพผู้ประสานงานพื้นที่และชุมชนการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “สร้างสุข ลดทุกข์” (“โครงการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตสาหรับคนจนเมือง” คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้รับผิดชอบ สนับสนุนโดย สานักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สานัก 9 สสส.)
2. การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ (สถาบันกัลยาณ์ราชครินทร์ กรมสุขภาพจิต)
3. สุขภาพจิตดีมีพลัง สุขภาพจิตพังมีทางแก้
กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปีและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่ มีดังนี้:
บ่อจอย: เป็นการร่วมมือระหว่างสำนักสุขภาพจิตแห่งชาติ (สสส.) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ร่วมกับเพจ Understand ในการแถลงข่าวเปิดตัว YouTube channel "บ่อจอย" ซึ่งมีความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่ผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับปัญหาทางจิตใจและการดูแลสุขภาพจิตในกลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเน้นไปที่วิดีโอบนแพลตฟอร์ม YouTube เพื่อให้ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีความน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่
กลุ่มวัยสูงอายุ
สุขภาพจิตผู้สูงอายุ ดูแลสร้างสุขอย่างเข้าใจ: โดย cocoon&co ได้เรียบเรียงและออกแบบโครงการเพื่อดูแลและสร้างสุขภาพจิตให้กับผู้สูงอายุอย่างเข้าใจ ซึ่งมีความสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และเทคนิคในการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ อาทิเช่น การจัดการความเครียด การฝึกสมอง และวิธีการเสริมสร้างความสุขในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่การให้บริการอย่างเหมาะสมตามความต้องการและสภาพความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขในวัยทีสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การให้คำปรึกษาและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตให้กับกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนโดยเฉพาะ
กลุ่มวัยเรียน วัยทำงานและวัยสูงอายุ
บทเรียนและแนวทางการดำเนินงานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการสำหรับชุมชนท้องถิ่น: โครงการนี้เน้นการพัฒนาบทเรียนและแนวทางการดำเนินงานเพื่อป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการในชุมชนท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และเทคนิคที่เป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพจิต การจัดการความเครียด และการสร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างเสริมสุขภาพจิตได้ในชุมชน โดยการให้คำแนะนำและแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมตามบทเรียนที่ผ่านมาและปัจจัยเฉพาะบุคคลของชุมชนนั้น ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การทำให้สุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกช่วงวัยของชุมชนท้องถิ่น โดยมีผลงานนี้เป็นแนวทางสำหรับองค์กรหรือผู้ที่สนใจในการพัฒนาสุขภาพจิตของชุมชนในพื้นที่ของตน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบอย่างต่อเนื่องในชุมชนท้องถิ่น โดยสร้างบทเรียนและแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างบูรณาการและเน้นการ
ทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้การพัฒนาด้านสุขภาพจิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ที่มา :ผู้เรียบเรียง ผศ.นิติพล ธาระรูป และณัฐวดี ลิ้มเสิศเจริญวนิช โดย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโครงการ (พิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2566) สนับสนุนทุนโดย แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2) สสส. (ปีงบประมาณ 2564)
(3) ศูนย์บริการข้อมูล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ
เป็นแหล่งรวบรวม เรียนรู้และบริการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาวะ พื้นที่จุดประกายความคิดแก่สาธารณะผ่าน ข่าวสาร กิจกรรมออนไลน์ ประเด็นที่น่าสนใจ ในรูปแบบสื่อต่าง ๆ ในรูปแบบ Infographic จำนวน 43 ชิ้น/เรื่อง ดังนี้
1. 8 วิธี รักและใจดีกับตัวเองที่ทำแล้วสุขภาพจิตใจจะดีขึ้น * รักตัวเอง ร่างกายผ่อนคลาย รับประทานอาหารสุขภาพ วางแผนการเงิน หัวเราะ ลืมเรื่องแย่ ไม่ฟังคำนินทา และอยู่ที่สบายใจ
2. 3 วิธีที่อาจช่วยเหลือ * ฟังด้วยหู ตา และใจ
3. เห็นตัวเลข ไม่เห็นหัวใจ * เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไม่อยู่ในนิยามผู้ป่วยในระบบคลังข้อมูลฯ
4. 5 แนวทางส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงในครอบครัว
5. 5 วิธี ที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นในแต่ละวัน *ความสัมพันธ์ดี ออกกำลังกาย เรียนรู้ใหม่ๆ เป็นผู้ให้ และมีสติ
6. รวม 5 บำบัดสุขภาพจิต * ศิลปะ ดนตรีพืชสวน เต้น และสัตว์เลี้ยง บำบัด
7. 6 เทคนิคเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตเด็กแข็งแรง *ออกกำลังกาย อาหารดี ฟังเพลงเล่นดนตรี เล่นอิสระ พ่อแม่ที่ดี และควบคุมการใช้เทคโนโลยี
8. มลพิษทางอากาศ (PM 2.5) ทำให้สุขภาพจิตของเด็กแย่ลงหรือไม่
9. 9 วิธีคิดที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิต *หยุดตำหนิตัวเอง หยุดโทษคนอื่น ชื่นชมตนเอง ให้อภัย ใจดี ผ่อนคลาย ห่างคน Toxic เรียนรู้ผิดพลาดและนับถือตนเอง
10.จิตวิญญาณ เหมือนหรือต่าง สุขภาพจิต อย่างไร
11.เลี้ยงลูกอย่างไรให้สุขภาพจิตดี * เข้าใจธรรมชาติเด็ก ให้เด็กเป็นฝ่ายเลือก สอนให้ภูมิใจตนเอง ไม่ตามใจมากเกินไป ให้เผชิญปัญหาด้วยตนเอง ไม่เลี้ยงแบบในหิน สอนมองโลกแง่ดี ไม่เจ้าระเบียบ และไม่มองลูกเป็นตัวปัญหา
12.ทำ 8 นิสัยนี้ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น * เชื่อมความสัมพันธ์ สร้างคุณค่าตนเอง มีส่วนร่วม พูดคุยอยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ ผ่อนคลาย และออกกำลังกาย
13.วิธีพัฒนาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ * เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ลดความเครียดและพัฒนาสมอง เช่น การอ่านเขียน เล่นดนตรี เล่นเกม
14.สื่อกับผลกระทบทางสุขภาพจิต *ส่งผลต่อจิตใจของเยาวชน เช่น กรณีเหตุระเบิดที่ Oklahoma พบว่า การชมรายงานข่าวทางโทรทัศนะกับความเครียดรุนแรง (Posttraumatic Stress Symptoms) ในเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
15.เราจะจัดการอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างไร (สุขภาพจิตวัยรุ่น) * เมื่อเครียด ปล่อยวาง
16.ข้อแนะนำลดอาการเหงาเฉียบพลัน *ให้นึกเสมอว่ามีคนรออยู่ที่บ้าน ติดต่อพูดคุย ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่า และมีกิจกรรมร่วมกันทุกวัย
17. 4 วิธีรับมือความเครียดเบื้องต้น *หันเหความสนใจ สงบ ทานอาหารมีประโยชน์ และหาที่ระบาย เช่น เขียนไดอารี่ เป็นต้น
18. 4 องค์ประกอบเติมเต็มความเข็มแข็งทางใจ *รู้สึกดีกับตนเอง จัดการชีวิตได้ มีสายสัมพันธ์ และมีจุดหมายในชีวิต
19. 5 วิธี จับมือกันผ่านทุกวิกฤติ * นอนหลับ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารมีประโยชน์ นั่งสมาธิ และเปิดประสบการณ์ใหม่
20. เช็คสุขภาพจิต 6 สัญญาณคิดบวกเป็นพิษ * และมีแนวทางแก้ไข
21. 9 วิธี รัก อย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์
22.วงกลมขอบเขตการควบคุม * เครื่องมือช่วยดึงออกจากความรู้สึกแย่ และจัดการให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม
23.DIY คลายเครียดด้วยตัวคุณเอง *โดยวิธี คลายเครียดที่กล้ามเนื้อ และคลายเครียดด้วยลมหายใจ
24.เมื่อพบเห็นหรือเมื่อเกิดความสูญเสียจากการฆ่าตัวตาย สังคมช่วยอย่างไร
25.การมีสุขภาพจิตที่ดี *ครอบครัวเป็นสุข มีเพื่อน แก้ไขปัญหาด้วยปัญญา รู้จักพอ มีงานทำและใช้ธรรมะจรรโลงใจ
26.คิดบวกแบบไหน ถึงไม่กลายเป็นพิษต่อตนเอง *ควรทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดพิษจากการคิดบวก เช่น จัดการอารมณ์ลบ เปิดใจรับฟัง ยอมรับความเครียด หมั่นติดตามตรวจสอบ เป็นต้น และสัญญาฯเตือนการคิดบวกกำลังทำร้ายตนเอง
27.เช็ค! สัญญาณเตือน 3 ด้าน คุณกำลังเครียดอยู่หรือเปล่า *ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านพฤติกรรม
28.บอกรักอย่างไร? ถูกใจผู้ให้ ประทับใจผู้รับ
29.ฝึกตนเองอย่างไรให้มีพลัง “สุขภาพจิตที่ดี”
30.ล้มเรียนรู้ลุก *คำถามปลุกตัวเอง ให้ลุกขึ้นใหม่จากความล้มเหลว
31.วิธีสังเกตคนใกล้ตัวกับความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช *พฤติกรรมการพูดคุย (พูดน้อย/มากกว่าเดิม) และพฤติกรรมท่าทีอื่น เช่น ไม่ร่าเริง
32.สร้างใจที่เข้มแข็งด้วยการใช้คำพูด *คำพูดที่สร้างใจให้แข็งแรง
33.อย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุ “ซึมเศร้า” โรคสมองเสื่อมอาจตามมา * อาการภาวะซึมเศร้า เช่นรู้สึกเบื่อหน่ายและเศร้า พฤติกรรมการกินนอกเปลี่ยน เป็นต้น และการดูแลผู้สูงอายุภาวะฯ
34. 10 ประการ บัญญัติสุข ได้แก่ ออกกำลังกาย หาจุดแข็ง ฝึกหายใจ ทบทวนดี ๆในชีวิต บริหารเวลา จัดการปัญหา หาโอกาสดี ๆ ปฏิบัติคำสอนศาสนา กิจกรรมร่วมกับครอบครัว ลื่นชมคนรอบข้าง
35.เคล็ดลับการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก
36.การรับมือการ Cyberbully คือ หยุดโต้ตอบ ปิดกั้นผู้ระราน และ ลบภาพ/ข้อความระราน
37.เทคนิคหายใจคลายเครียด มี 3 ข้อ คือ หายใจสบายตามธรรมชาติ หายใจยาว ๆ และขณะหายใจยาววางความรู้สึก
38.การดูแลจิตใจตนเอง หลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ได้แก่ พัก/ลดข่าวสารตึงเครียด พูดคุยคนไว้ใจ หาแนวทางรับมือ หยุดส่งภาพความรุนแรงและทำกิจกรรมที่มีประโยชน์
39.10 วิธีลดความเครียดง่าย ๆ ที่คุณมองข้าม เช่น ลำดับความสำคัญทำเท่าที่ทำได้ จดจ่อปัญหาที่ควบคมได้ พ้กผ่อน ปฏิเสธให้เป็น เป็นต้น
40. แนวทางสู่การเป็นคุณแม่ที่มีสุขภาพจิตดี ได้แก่ ดูแลสุขภาพกาย สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่าง แม่ ลูกและสมาชิกในครอบครัว
41.3 วิธีป้องกันตนเองในห้องเรียนจากการถูกกลันแกล้ง คือ กล้าบอกครู ไม่โต้ตอบ และไม่อยู่คนเดียว
42.6 วิธีง่าย ๆ สร้างแรงบันดาลใจดีๆ เช่น ใส่ใจร่างกาย ใช้เวลาให้มีค่า ทบทวนตนเอง ใช้ชีวิตช้าลง เป็นต้น
43.การสื่อสารอย่างสันติ จะบอกถึงสิ่งความทำและไม่ควรทำใน 4 ข้อ คือ การสังเกต การบอกความรู้สึก การบอกความต้องการ และการใช้การร้องขอ เช่น สิ่งควรทำ สังเกตไม่ตีความ เข้าใจความรู้สึกแท้จริง
(4) ข้อมูลภายนอก
1 กรมสุขภาพจิต และบูรณาการหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน โดยกองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต
- วัคซีนใจในสถานประกอบการ เป็นมาตรการหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การ/สถานที่ทำงานร่วมแรงร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาหรือวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
- โปรแกรมสร้างสุขวัยทำงานในสถานประกอบการ เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตคนทำงาน
- หลักสูตรพลังใจอึด ฮึด สู้ เป็นคู่มือสำหรับผู้ดำเนินกิจกรรมการเสริมสร้างพลังใจ
- แบบประเมินสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิตได้แก่ 1) แบบประเมินความสุขคนไทย 15ข้อ (TMHI-15) ของกรมสุขภาพจิต 2) แบบประเมินความเครียด (ST-5) 3) แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2คาถาม (2Q) และ 4) แบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ (RQ ฉบับ 20ข้อ)
แหล่งข้อมูลความรู้สุขภาพจิต
-กรมสุขภาพจิต /www.dmh.go.th
-กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต /www.sorporsor.com
-สุขภาพใจ.COM/ www.thaimentalhealth.com
-คลังสุขภาพจิต/http://mhllibrary.com
-คลังความรู้สุขภาพจิตกรมสุขภาพจิต/https://www.dmh-elibrary.org
2. เพจ Understand
สำคัญของเพจ "Understand" ได้ดังนี้:
¬การสร้างความตระหนักและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า: เพจเริ่มต้นขึ้นโดยการตระหนักถึงปัญหาภาวะซึมเศร้าในนิสิตและนักศึกษาแพทย์ซึ่งมีอันตรายและมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการฆ่าตัวตายในกลุ่มนี้
¬การส่งเสริมความรู้และการเข้าใจก่อนเกิดปัญหา: เพจมุ่งสร้างความตระหนักและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าให้กับสมาชิกในชุมชนโดยการให้ข้อมูลและคำแนะนำเพื่อป้องกันการเป็นเหยื่อของภาวะซึมเศร้าตลอดจนการรับมือกับมันการขยายเพจเพื่อเป็นที่รู้จักใน
¬กลุ่มเป้าหมาย: เพจหลังจากนั้นได้ขยายขอบเขตและเป้าหมายของการส่งเสริมสุขภาพจิตออกไปในกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน โดยการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ทางสุขภาพจิตผ่าน Infographic เพื่อให้ความรู้ กำลังใจ และการเยียวยาด้วยการนำเสนอข้อมูลและความรู้ทางสุขภาพจิตที่มีประโยชน์ผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่าย โดยใช้ Infographic เป็นช่องทางหลัก ทำให้เพจ "Understand" เป็นที่รู้จักและเป็นที่นับถือในชุมชนที่เกี่ยวข้องและทั่วไปที่สนใจด้านสุขภาพจิต ที่มา :https://www.facebook.com/understandmdd/
3.2 ผลการทบทวนงานวิจัย นวัตกรรม โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ปี พ.ศ.2559-2564
แนวคิดระยะการพัฒนา translational research แยกตามกลุ่มวัย
การพัฒนา translational research โดยแยกตามกลุ่มวัยเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการนำผลวิจัยในด้านการแพทย์และสุขภาพจิตจากห้องปฏิบัติการไปสู่การประยุกต์ใช้ในชุมชนหรือสภาพแวดล้อมจริง ๆ โดยในกรณีนี้จะมุ่งเน้นการนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปใช้แก้ปัญหาทางสุขภาพของกลุ่มวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะ
สรุปใจความสำคัญของแนวคิดนี้ได้ดังนี้:
¬การปรับใช้ผลวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาทางสุขภาพ: การนำผลวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพจิตมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพที่พบเจอในกลุ่มวัยต่าง ๆ เช่น ปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน หรือการพัฒนาโปรแกรมสำหรับสุขภาพจิตในวัยผู้สูงอายุ
¬การปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์มาใช้ในการวิจัยและประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพของกลุ่มวัยต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการรักษา
¬การตอบสนองต่อความต้องการและสภาพแวดล้อมของกลุ่มเป้าหมาย:การพัฒนา translational research ตามกลุ่มวัยจะช่วยให้ผลการวิจัยมีประสิทธิภาพและสามารถใช้ประโยชน์ ได้อย่างเต็มที่ตามความต้องการและสภาพแวดล้อมของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการช่วยเหลือ
¬การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพจิตใหม่: การส่งเสริม translational research ตามกลุ่มวัยจะส่งผลต่อการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพจิตใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาทางสุขภาพของกลุ่มวัยนั้น ๆ
ดังนั้น การพัฒนา translational research ตามกลุ่มวัยจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพและการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มวัยแต่ละกลุ่ม
งานวิจัย นวัตกรรม โครงการโดยกรมสุขภาพจิต
งานวิจัย นวัตกรรม โครงการ โดย กรมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:
¬การพัฒนาเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย DSPM/DAIM: การพัฒนาเครื่องมือประเมินช่วยให้เกิดโอกาสในการตรวจสอบและประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
¬สถานการณ์พัฒนาการเด็กปฐมวัยในไทย:การตรวจสอบสถานการณ์พัฒนาการเด็กปฐมวัยในประเทศไทยช่วยให้เข้าใจแนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
¬การส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยครอบครัว:การใช้แนวทางการพัฒนาการเด็กปฐมวัยแบบพื้นฐานเช่น DSPM-based Triple-P ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กโดยมุ่งเน้นครอบครัวเป็นส่วนร่วม
¬การคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยใช้เครื่องมือ DSPM/DAIM: การใช้เครื่องมือประเมินช่วยให้สามารถประเมินผลต่อพัฒนาการของเด็กและปรับปรุงการดูแลเด็กให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาทางสุขภาพในอนาคต
กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้:
¬การสำรวจ IO/EQ เด็กไทย:การสำรวจและประเมินความสามารถทางอารมณ์ (EQ) และอัจฉริยะทางอารมณ์ (IO) เพื่อทำความเข้าใจในปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นกับเด็กไทยในช่วงวัยเรียน
¬การศึกษาความชุกของโรคสมาธิสั้นในเด็กไทย:การศึกษาและประเมินความชุกของโรคสมาธิสั้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นในเด็กไทย
¬การพัฒนาแบบประเมิน EO,SDQ และแบบคัดกรองโรคจิตเวชเด็ก 4 โรค:การพัฒนาเครื่องมือประเมินช่วยให้สามารถตรวจวินิจฉัยและดูแลเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
¬การพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างความปรองดองของเด็กวัยเรียน:การพัฒนาและส่งเสริมพฤติกรรมที่
เสริมสร้างความสัมพันธ์และความปรองดองในเด็กวัยเรียน
¬การพัฒนาบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเด็ก และวัยรุ่น:การพัฒนาบริการทางสุขภาพจิตและจิตเวชที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการดูแลเด็กและวัยรุ่น
¬การสร้างเสริมสุขภาพจิตเด็กไทยวัยเรียน (OHOSone school one hospital):การสร้างและส่งเสริมโครงการเพื่อเสริมสุขภาพจิตในเด็กไทยในโรงเรียนและโรงพยาบาล แบบ "โรงเรียนหนึ่ง โรงพยาบาลหนึ่ง" เพื่อเพิ่มความเข้าถึงและสะดวกสบายในการรับบริการสุขภาพจิต
กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:
¬การศึกษาความชุกของปัญหาสุขภาพจิตและโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น: การวิเคราะห์และศึกษาความชุกของปัญหาทางสุขภาพจิตและโรคจิตเวชในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น เพื่อเข้าใจลักษณะและขอบเขตของปัญหาที่มีอยู่
¬การศึกษาภาระโรคจิตเวชในเด็กไทย: การศึกษาและการวิเคราะห์ภาระโรคจิตเวชที่มีในเด็กไทย เพื่อให้เข้าใจและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและที่จำเป็นต้องแก้ไข
¬การรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด To Be NumberOne:การพัฒนาและรณรงค์ให้เกิดการเข้าใจและการตระหนักในปัญหาการใช้ยาเสพติดในวัยรุ่น และการส่งเสริมกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
¬การพัฒนาคุณภาพวัยรุ่น และเยาวชนไทย:การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของวัยรุ่นและเยาวชนไทย ทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ และพัฒนาการ โดยการพัฒนานโยบายและโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้
กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:
¬การศึกษาระบาดวิทยาสุขภาพจิตในคนไทย: การสำรวจและศึกษาการระบาดของโรคทางสุขภาพจิตในประชากรไทย เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการในการป้องกันและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
¬การศึกษาภาระโรคจิตเวช (Burden of Disease):การวิเคราะห์และศึกษาภาระโรคจิตเวชที่มีต่อสังคมและระบบสุขภาพ โดยการระบุปัญหาที่สำคัญและทำความเข้าใจกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
¬การพัฒนาระบบส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน:การพัฒนาและปรับปรุงระบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและการป้องกันโรคจิตในกลุ่มวัยทำงาน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความเจริญก้าวหน้าในที่ทำงาน
¬การเพิ่มการเข้าถึงบริการโรคจิตเวชที่พบบ่อย:การพัฒนาระบบบริการทางสุขภาพที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจิตที่พบบ่อย เช่น โรคซึมเศร้าและการลดการใช้สุรา
¬การพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตผู้ต้องขังจิตเวชในเรือนจำ:การปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้ต้องขังจิตเวชในเรือนจำ เพื่อให้ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม
กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:
¬การสร้างเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ: การพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ เช่น กิจกรรมสำหรับการเพิ่มคุณภาพชีวิตและความเคลื่อนไหว
¬การพัฒนาระบบส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ:การพัฒนาและสร้างระบบการดูแลสุขภาพจิตที่เหมาะสมและเชื่อถือได้สำหรับผู้สูงอายุเพื่อให้ได้รับการดูแลและรักษาที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล
ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้:
¬การศึกษาระบาดวิทยาสุขภาพจิตและภาระโรคจิตเวชในคนไทย:การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชุกของโรคจิตเวชและภาระโรคที่เกิดขึ้นในประชากรไทย เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการดูแลสุขภาพจิตและการพัฒนานโยบายที่เหมาะสม
¬การพัฒนาการดำเนินงานสุขภาพจิตชุมชน:การสร้างและพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตในระดับชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนทั้งทางด้านสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
¬การสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายผู้พิการทางจิต:การส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้พิการทางจิตหรือผู้ที่มีพฤติกรรมสติปัญญาที่แตกต่าง เพื่อให้ได้รับการดูแลและสนับสนุนที่เหมาะสม
¬การเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคจิตและโรคซึมเศร้า:การพัฒนาและปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพจิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้ป่วยโรคจิตและโรคซึมเศร้า
¬การพัฒนาระบบดำเนินงานสุขภาพจิตด้วยกลไกกฎหมาย:การสร้างและพัฒนาระบบการดำเนินงานสุขภาพจิตที่มีพื้นฐานกฎหมายเพื่อให้การดำเนินงานด้านสุขภาพจิตเป็นไปตามข้อบังคับและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
¬การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาวิกฤตสุขภาพจิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้:การวิจัยและการพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤตสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างแนวทางและกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม
งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลของสภาวิจัยแห่งชาติ (วช)
งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลของสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) แบ่งตามกลุ่มวัย มีดังนี้
กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:
¬การพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการอ่านและทักษะชีวิต:การสร้างกิจกรรมที่กระตุ้นให้เด็กปฐมวัยมีนิสัยรักการอ่านและเสริมสร้างทักษะชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกายและจิต
¬การจัดกิจกรรมดนตรีเบื้องต้น:การใช้กิจกรรมดนตรีเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์และการพัฒนาทักษะของเด็กปฐมวัยในโรงเรียนและโรงเรียนอนุบาล
¬การประยุกต์ใช้ของเล่นพื้นบ้าน:การใช้ของเล่นพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในพื้นที่
¬กิจกรรมดนตรีที่มีต่อทักษะทางสังคม:การนำเสนอกิจกรรมดนตรีที่ส่งเสริมทักษะทางสังคมของเด็กปฐมวัย เช่น การเล่นดนตรีแบบกลุ่ม
¬การประเมินความจําเป็น:การประเมินความจำเป็นเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลเด็กในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
¬การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติก:การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติกเพื่อช่วยในการตรวจวินิจฉัยความสามารถและข้อจำกัดทางพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้:
¬การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมเด็กวัยเก่งและสุข:การวิจัยเชิงปฏิบัติการที่มีการร่วมมือกับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และสุขภาพให้กับนักเรียน
¬การบูรณาการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมน้ำหนักและป้องกันอ้วนในเด็กวัยเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการรวบรวมยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในวัยรุ่น
กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:
¬ประสบการณ์การสร้างเสริมสุขภาพจิตตามหลักศาสนาอิสลามของนักศึกษามหาวิทยาลัย:การศึกษาประสบการณ์และวิถีชีวิตที่มีผลต่อสุขภาพจิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบการพัฒนารูปแบบการดูแลเด็กโรค
¬สมาธิสั้นแบบบูรณาการ:การสร้างแบบบูรณาการในการดูแลเด็กโรคสมาธิสั้นในพื้นที่ภาคเหนือ
¬การศึกษาระดับภูมิคุ้มกันและการติดเกมของเด็กมัธยม:การวิจัยเกี่ยวกับความรับรู้ของผู้ปกครองต่อระดับภูมิคุ้มกันและการติดเกมของเด็กมัธยม
¬การศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง:การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความรุนแรงและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะสุขภาพจิตของนักศึกษา
¬การพัฒนาโปรแกรมและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต: การสร้างโปรแกรมการป้องกันและการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น โปรแกรมทักษะชีวิตเพื่อพัฒนาพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัย
กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:
¬สถานการณ์ทางสังคมและจิตใจของอสม. ประจำหมู่บ้านระนอง:การศึกษาสถานการณ์ทางสังคมและจิตใจที่มีผลต่อพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพตนเองของคนในกลุ่มอสม. ในหมู่บ้านระนอง
¬การวิเคราะห์เส้นทางสุขภาพจิตในแรงงานไทยที่ย้ายถิ่น:การวิเคราะห์และศึกษาเส้นทางที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของ
แรงงานไทยที่ย้ายถิ่นอาศัยจากกรุงเทพฯ ไปยังพระนครศรีอยุธยา
กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:
¬การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ:การศึกษาพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้สูงอายุเพื่อการเตรียมตนให้พร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดนครศรีธรรมราช
¬ความสัมพันธ์ระหว่างการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุและความพึงพอใจในชีวิต:การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุและความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครศรีธรรมราช
¬การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ:การเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุวัยต้นในจังหวัดนนทบุรี
¬การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ:การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุของผู้ใหญ่วัยกลางคนในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
¬การออกกำลังกายโดยใช้ท่ารำมโนราห์:การศึกษาการใช้ท่ารำมโนราห์เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในภาคใต้
¬เครือข่ายทางสังคม:การเชื่อมโยงและเพิ่มคุณค่าสังคมของผู้สูงอายุวัยปลายในภาคเหนือ
¬สถานการณ์ของผู้สูงอายุที่ทำงานและไม่ทำงาน:การศึกษาภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่ทำงานและไม่ทำงาน
¬ปัญหาและความต้องการในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ:การศึกษาสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตและความต้องการในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ
ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้:
¬การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551:การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเพื่อให้แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
¬ผลของการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่ม: ผลจากการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่มเพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความสามารถในการเผชิญวิกฤติ
¬การพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน:การพัฒนากระบวนการที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกาย จิต และสังคมในระยะเริ่มแรก
งานวิจัย นวัตกรรม โครงการโดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (ปี 51-59)
งานวิจัย นวัตกรรม โครงการ โดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (ปี51-59) แบ่งตามกลุ่มวัย ดังนี้
กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:
¬การเยี่ยมบ้านหลังคลอดเพื่อป้องกันภาวะเศร้า: การเยี่ยมบ้านหลังคลอดเป็นกิจกรรมที่มุ่งเสนอความรู้และการสนับสนุนให้แม่และเด็กใหม่เกิดภาวะเชื่อมั่นและภาวะเป็นส่วนตัวที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด
กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้ :
¬การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย (achievement test): การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความสามารถและการเรียนรู้ของนักเรียน โดยทั้งนี้มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงกระบวนการสอนและการเรียนรู้
¬การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิตเด็กประถมศึกษา (2559): การใช้การ์ตูนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กประถมศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่พบในชีวิตประจำวัน
¬HERO: โปรแกรมสําหรับครูและผู้ปกครองเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรม: โปรแกรมที่เน้นการให้ความรู้และทักษะในการปรับปรุงพฤติกรรมของเด็กโดยเฉพาะ ผ่านการสร้างสถานการณ์และกิจกรรมที่เหมาะสมทั้งในบ้านและโรงเรียน
กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:
¬พ่อแม่เลี้ยงบวก: การเลี้ยงบวกเป็นแนวทางการพ่อแม่เลี้ยงที่ให้การสนับสนุนและกำลังใจให้กับลูกด้วยความรักและเข้าใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และพัฒนาที่เหมาะสมของเด็กวัยรุ่น
¬Anti-bully program: โปรแกรมป้องกันการกีดกันที่มุ่งเน้นให้ความรู้และทักษะในการแก้ไขปัญหาเรื่องการกีดกันในโรงเรียนหรือสังคม โดยการสร้างการเข้าใจและการรับฟังต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
¬Early psychosis prevention program: โปรแกรมป้องกันโรคจิตเวชระยะแรกที่เน้นการตรวจจับและการเสริมสร้างสุขภาพจิตในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวชในอนาคต
¬คุยกับลูกเรื่องเพศ: การสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเพศและความรู้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเพศที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเพศ
¬จับใจ: MBCT to prevent youth depression: โปรแกรม MBCT (Mindfulness-Based Cognitive Therapy) เพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น โดยการฝึกให้มีสติและการคิดเชิงบวก
¬การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลอาญา: การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมและการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในระบบศาลอาญา เพื่อ
สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อถือได้ในพฤติกรรมและสุขภาพจิตของผู้กล่าวหาหรือผู้ต้องหา
กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:
¬Happiness survey: การสำรวจความสุขและความพึงพอใจในการทำงาน เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความสุขและความพึงพอใจของพนักงาน
¬Early psychosis prevention program: โปรแกรมป้องกันโรคจิตเวชระยะแรกในกลุ่มทำงาน โดยการตรวจจับและการเสริมสร้างสุขภาพจิตในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวชในอนาคต
¬Domestic violence prevention: การป้องกันความรุนแรงในครอบครัวในที่ทำงาน โดยการสร้างการตระหนักและการเสริมสร้างสุขภาพจิตของพนักงานเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงในครอบครัว
¬รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ (2559): การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่เหมาะสมสำหรับพนักงานที่ทำงานนอกระบบ เพื่อสนับสนุนความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในสถานที่ทำงาน
กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:
¬รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในชมรมผู้สูงอายุ: การพัฒนาโปรแกรมหรือกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับชมรมผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตในวัยที่มีอายุ
¬รูปแบบการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่คลินิกโรคเรื้อรัง: การพัฒนาแนวทางหรือกิจกรรมที่ช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเรื้อรังในผู้สูงอายุที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกโรคเรื้อรัง การให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร การออกกำลังกาย และการบำบัดทางกายภาพหรือจิตใจ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ
ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้
หลักสูตร "Mental Health Promotion and Prevention" สำหรับทุกกลุ่มวัย:
การส่งเสริมสุขภาพจิต: โปรแกรมหรือกิจกรรมที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ ในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น เด็กปฐมวัย วัยรุ่น ผู้สูงอายุ และวัยทำงาน
การป้องกันโรคจิตเวช: การพัฒนากิจกรรมหรือโปรแกรมที่เน้นการป้องกันโรคจิตเวชและการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต โดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น การส่งเสริมสุขภาพจิตในชุมชน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นต้น
การสร้างความตระหนักและการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิต: การจัดกิจกรรมหรือโปรแกรมที่เน้นการเรียนรู้และการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยเฉพาะในเรื่องของการรับรู้ภาวะสุขภาพจิต การรับมือกับความเครียด และการเสริมสร้างสมรรถภาพทางจิตใจ
การช่วยเหลือและการสนับสนุน: การพัฒนาระบบการช่วยเหลือและการสนับสนุนทางสุขภาพจิต ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษา การสนับสนุนจิตใจ และการบริการทางจิตวิทยา
งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ
งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ แบ่งตามกลุ่มวัย ดังนี้
กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้
การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติก TDAS เป็นสิ่งที่สำคัญในการดูแลและสนับสนุนพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยสร้างเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินและจัดการกับปัญหาพัฒนาการของเด็กอย่างทันท่วงที:
การสร้างความเข้าใจ: TDAS ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็กได้ดียิ่งขึ้น โดยการประเมินที่ทันสมัยและอ้างอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้
การตรวจสอบปัญหา: ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กสามารถตรวจสอบและระบุปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กได้โดยรวดเร็วและเป็นระบบ
การวางแผนและการแก้ไขปัญหา: มีการจัดทำแผนการปรับปรุงและการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้เด็กพัฒนาได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา
การติดตามและการประเมินผล: TDAS ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กสามารถติดตามและประเมินผลของการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาของเด็กได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแผนการดูแลได้ตามความต้องการของเด็กอย่างเหมาะสม
กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้
¬การเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้สุรา ยาสูบ สารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพในนักเรียนมัธยมศึกษาของประเทศไทย (ศวส.) เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจาก:
ปัญหาสาธารณะ: การใช้สุรา ยาสูบ และสารเสพติดในวัยรุ่นมักเป็นปัญหาสาธารณะที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้นการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจึงมีความสำคัญ
การพัฒนาบุคลิกภาพบวก: การเฝ้าระวังและประเมินพฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดขึ้นในนักเรียนช่วยให้สามารถสร้างบุคลิกภาพบวกและพัฒนาสุขภาพที่แข็งแรงได้
การป้องกันความเสี่ยง: การตรวจสอบและเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงช่วยลดโอกาสในการเกิดปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อชีวิตในอนาคต
การสนับสนุนสุขภาพจิต: การเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงช่วยให้สามารถระบุและสนับสนุนนักเรียนที่อาจมีปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม
กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้
การดำเนินงานแนวปฏิบัติการคัดกรองและบำบัดรักษาเพื่อฟื้นฟูสภาพผู้มีปัญหาการดื่มสุรามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากปัญหาการดื่มสุรามีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของบุคคล การดำเนินงานที่เน้นการคัดกรองและบำบัดรักษาจึงช่วยให้ผู้มีปัญหาการดื่มสุราได้รับการช่วยเหลือและการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาสามารถกลับคืนสู่สภาพที่ดีขึ้นและมีชีวิตที่มีคุณภาพอีกครั้งได้ การดำเนินงานดังกล่าวยังเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงเช่น โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุราอย่างน้อยลง นอกจากนี้ยังมีผลต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย เนื่องจากการมีผู้มีสุขภาพที่ดีจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ในสังคมและลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาโรคและบริโภคสารเสพติดในระยะยาว ดังนั้น การดำเนินงานด้านการคัดกรองและบำบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มสุราเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติโดยรวม โดยจะมีผลกระทบที่เชื่อมโยงกับสังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจในระยะยาวและยังช่วยเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนด้วยการลดปัญหาการดื่มสุราในสังคมได้และส่งเสริมให้มีสังคมที่เป็นอยู่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมในทุกๆ กลุ่มชุมชน
3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลเครื่องมือและรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต (จำแนกตาม LIFE-COURSE)
กล่องที่ 1 สุขภาพจิตและสุขภาวะ(Box1 Mental health and wellbeing)
หลักสมรรถนะของ Amartya Sen หมายถึงคุณลักษณะต่างๆ ที่ทำให้คนแต่ละคนมีค่าความสำคัญตามมุมมองของเขาเอง สมรรถนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการมีชีวิตที่ดีและมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงถึงเงื่อนไขทางสังคมหรือเศรษฐกิจเท่านั้น
Martha Nussbaum นักทฤษฎีการเมืองได้นิยามหลักสมรรถนะออกมาเป็น 10 หมวดดังนี้:
1.ไม่เสียชีวิตก่อนวัยที่เหมาะสม
2.สามารถอยู่อย่างมีสุขภาพดี
3.มีอิสระและสิทธิในตัวเอง
4.สามารถใช้ความรู้สึก จินตนาการ และเหตุผล
5.มีอิสระในการแสดงออกทางอารมณ์
6.มีหลักเหตุผลที่สามารถวางแผนชีวิตตนเองได้
7.สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยยังคงความเคารพนับถือตนเองและไม่เลือกปฏิบัติต่างๆ ที่ทำให้แตกต่าง
8.มีชีวิตโดยคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกนี้
9.สามารถหัวเราะ เล่น และเพลิดเพลินกับกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ได้
10.มีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกการเมืองและสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมของตนเองได้
สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดเรื่องสุขภาวะ เนื่องจากมีผลต่อความสุขและคุณภาพชีวิตของบุคคล โดยสุขภาพจิตสามารถช่วยให้บุคคลทำหรือเป็นตามสิ่งที่ตนให้คุณค่า ทำให้บุคคลมีความสุขและรู้สึกพึงพอใจต่อชีวิตของตนเอง ทั้งนี้ สุขภาพจิตยังถือเป็นตัวส่งเสริมสุขภาพจิตของบุคคลได้ด้วย เพราะความพึงพอใจและความสุขจิตใจมีผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของบุคคล
สมรรถนะในการทำหรือเป็นของบุคคลถูกกำหนดโดยสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ร่วมมีผลต่อสุขภาพจิต ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงหนึ่งที่มีโอกาสการศึกษามัธยมศึกษาไม่สมบูรณ์ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาในชีวิตแบบต่างๆ เช่น การเป็นเหยื่อความรุนแรง การทำงานในตลาดแรงงานนอกระบบที่มีค่าแรงต่ำ และความขัดสนใจในการเลี้ยงดูลูก เหล่านี้เป็นปัจจัยที่เสริมความเสี่ยงในการเป็นโดยอารมณ์ซึมเศร้าและรู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้น สุขภาพจิตและสมรรถนะมีความสัมพันธ์กับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสังคมที่กำหนดและมีผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคมได้โดยตรง
คณะกรรมาธิการองค์การอนามัยโลกโดยเฉพาะการทบทวนของทีม Marmot Review ของอังกฤษและทีมทบทวนขององค์การอนามัยโลกด้านปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพและความแตกต่างทางสุขภาพได้สรุปเน้นไปที่สองประเด็นหลัก:
ปัจจัยสังคมกำหนดโรคจิตเวชที่พบบ่อย: การศึกษาพบว่าปัจจัยสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยสภาพทางสังคมเช่น ระดับรายได้ การศึกษา สภาพเศรษฐกิจของครอบครัว และสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยมีผลต่อความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจิตเวช เช่น ภาวะภัยคุกคาม ความเครียด และความเหลื่อมล้ำทางสังคม
การดำเนินการที่มีผลต่อปัจจัยสังคมกำหนดที่สามารถป้องกันโรคจิตเวชและ/หรือทำให้สุขภาพจิตประชากรดี: การดำเนินการที่เน้นการกระทำทางสังคม การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การให้การสนับสนุนทางสังคมในชุมชน การสร้างโอกาสในการศึกษาและการทำงาน และการเสริมสร้างการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต ที่มีผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตของประชากร โดยการลดความเป็นไปได้ของการเกิดโรคจิตเวชและกระตุ้นการพัฒนาสุขภาพจิตอย่างยั่งยืนในสังคม
ปัจจัยสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโรคจิตเวช ที่พบบ่อยและปัญหาสุขภาพจิตที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ว่าเป็นโรคจิตเวช และกลยุทธ์แบบครอบคลุมในระดับประชากรสามารถ
ช่วยในการจัดการปัจจัยสังคมเหล่านี้เพื่อเสริมสุขภาพจิตและลดความเหลื่อมล้ำได้ดังนี้:
การปรับปรุงสภาพที่บุคคลเกิดใช้ชีวิตเติบโต: การสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการเลี้ยงดูตนเอง
ความเหลื่อมล้ำเชิงระบบระหว่างชนชั้นสังคม: การลดความไม่เสมอภาคและการเสริมสร้างโอกาสในชุมชน เช่น การสนับสนุนการศึกษาและอุตสาหกรรมที่สร้างงานที่มีรายได้สูง
การดำเนินการที่มีผลต่อปัจจัยสังคมกำหนด: เช่น การสนับสนุนทางสังคมในชุมชน การเสริมสร้างโอกาสในการศึกษาและการทำงาน และการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต
ความแตกต่างเชิงระบบ: การลดความแตกต่างทางสังคมที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายสุขภาพจิต เช่น การลดความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและการช่วยเหลือ
การดูแลสุขภาพจิตและการควบคุมโรค: การสนับสนุนการป้องกันโรคจิตเวช และการให้บริการรักษาโรคจิตเวชที่เป็นไปได้อย่างเช่นเข้าถึงบริการจิตเวชและการสนับสนุนทางอาการ
ผลการทบทวนวรรณกรรมทางระบาดวิทยาเรื่องโรคจิตเวชที่พบบ่อยกับความยากจนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ และปานกลางพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างความยากจนและโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยมีข้อมูลจากการศึกษาทั้งสิ้น 115 รายงาน พบว่ามากกว่าร้อยละ 70 มีความสัมพันธ์ระหว่างความยากจน และโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของตัววัดความยากจนที่ใช้ การศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยทางสังคมที่มีบทบาทในการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเป้าหมายของโรคจิตเวชในกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง และมีความจำเป็นในการพัฒนาและใช้นโยบายที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงนี้และเสริมสร้างสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรที่เป็นส่วนมากจากการเจริญเติบโตของประชากรในท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลไปด้วยกัน การวิจัยเชิงระบาดวิทยานี้ช่วยให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพความยากจนกับโรคจิตเวชและเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนานโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรที่เป็นเป้าหมายในท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำและปานกลางให้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ที่สุดแก่สังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
รายงานทบทวนการสำรวจประชากรของกลุ่มประเทศยุโรป พบว่า โรคจิตเวชที่พบบ่อย เช่น โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล เพิ่มขึ้นเมื่อมีการศึกษาน้อย ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค และการว่างงาน รวมถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในผู้สูงอายุ เชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวช ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของประชากรในยุโรปและโดยทั่วไป โดยการป้องกันและการรักษาโรคจิตเวชที่มีการเพิ่มขึ้นนั้นสำคัญมากเนื่องจากสามารถลดภาระโรคจิตเวชทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมได้ และส่งเสริมสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วไปในระยะยาว
รูปแบบความเหลื่อมล้ำที่กระจายตามระดับชั้นทางสังคมเกิดขึ้นก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นอย่างมีนัยสำคัญ รายงานทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบพบว่าเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำ มีความชุกของอารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจสูง โดยความชุกของอารมณ์ซึมเศรษฐกิจและวิตกกังวลของเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำมีค่าสูงกว่า 2.5 เท่า แม้ในเด็กเล็กที่มีอายุเพียงสามถึงห้าขวบ พบว่ามีปัญหาทางสังคมอารมณ์และพฤติกรรมเกิดขึ้นได้มากน้อยตรงข้ามกับความมั่งคั่งของครัวเรือนที่วัดโดยฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ข้อมูลนี้ชี้ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมกับปัญหาทางสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นซึ่งมีความสำคัญในการกำหนดนโยบายและการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นในอนาคต
ช่วงวัยของชีวิต / LIFE-COURSE
ช่วงวัยของชีวิต / LIFE-COURSE
คณะกรรมาธิการด้านปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพร่วมกับทีมทบทวน Marmot และทีมอื่น ๆ ได้เน้นความสำคัญของแนวคิดช่วงวัยของชีวิต (life-course approach) เพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่มีการกระทำขึ้นตลอดชีวิต แนวคิดช่วงวัยของชีวิตได้เสนอแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพให้เหมาะสมกับช่วงวัยที่แตกต่างกัน ข้อมูลชัดเจนได้แสดงว่าสุขภาพจิตและสุขภาพกายหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตภายหลังนั้น มีผลมาตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตแล้ว ดังนั้น การจัดการและการดูแลสุขภาพทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายในช่วงชีวิตแต่ละช่วงนั้นมีความสำคัญมากเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีในทุกวัยโดยเฉพาะในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีผลต่อการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตในระยะยาว การให้ความสําคัญแก่แนวคิดช่วงวัยของชีวิตเป็นการเสริมสร้างการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนในอนาคต
การวิเคราะห์ประสบการณ์ตลอดช่วงวัยของชีวิต พบว่า มีปัจจัยด้านบวกและด้านลบซึ่งสะสมกันไปเรื่อย ๆ และมีผลต่อพฤติกรรม สังคมสรีรวิทยา และสภาพสังคมต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล โดยมีผลทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม เช่น สภาพครอบครัว ชุมชน และสังคมรวมถึงเพศ
การสังเกตได้ว่า กระบวนการเหล่านี้มีผลต่อการเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของบุคคลได้โดยตรง การสั่งสมดีและการสั่งสมเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากมันส่งผลต่อปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพอย่างรวดเร็วที่สุด และแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินการแก้ไขทุกช่วงวัยของชีวิตเพื่อป้องกันความเหลื่อมล้ำในสังคมและสุขภาพให้มีความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน
การใช้มุมมองแบบช่วงวัยของชีวิตเป็นวิธีการในการพิจารณาและวางแผนให้เห็นถึงผลกระทบของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุคคลในแต่ละช่วงวัย โดยการมองทุกๆ ช่วงวัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเติบโตและพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ
การจัดระเบียบสังคมและสถาบันต่าง ๆ เช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน ตลาดแรงงาน และระบบบำนาญ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนหรือกีดกันจากการเผชิญกับความตึงเครียดหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคล โดยมีผลต่อโอกาสในการตัดสินใจและเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง
โครงสร้างและผลกระทบของสถาบันต่าง ๆ นี้สามารถได้รับการสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการเผชิญกับปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพและความเจริญของบุคคล ขึ้นอยู่กับนโยบายที่กำหนดขึ้นในระดับชาติและระดับนานาชาติ เช่น นโยบายที่สนับสนุนการเติบโตและพัฒนาเด็กเล็กในระบบการศึกษาหรือนโยบายที่สนับสนุนการเพิ่มสิทธิและการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตในชุมชน การเข้าถึงและคุณภาพของบริการเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของบุคคลได้โดยตรง
วัยเด็กเล็ก / THE EARLY YEARS
¬วัยเด็กเล็ก / THE EARLY YEARS
ประสบการณ์ที่ไม่ดีในช่วงวัยเด็กมีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจิตเวชและสุขภาพทั้งจิตและกายในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ สภาพครอบครัวและคุณภาพการเลี้ยงดูเด็กมีอิทธิพลอย่างมากต่อความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งสองประเภทนี้
การทบทวนวรรณกรรมล่าสุดของสถาบันความเสมอภาคด้านสุขภาพพบว่า ปัจจัยที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อเด็กเล็กเป็นต้นเหตุ โดยเฉพาะการขาดความผูกพันที่มั่นคง การละเลยทอดทิ้ง การขาดการกระตุ้นอย่างมีคุณภาพ และความขัดแย้ง มีผลต่อพฤติกรรมทางสังคม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถานภาพการทำงาน และสุขภาพทั้งจิตและกายของเด็กในอนาคตโดยตรง
เด็กที่ได้รับการละเลย ทอดทิ้ง ทารุณกรรมทางร่างกายหรือจิตใจ หรือเติบโตในครอบครัวที่มีความรุนแรง จะมีโอกาสได้รับความบอบช้ำอย่างชัดเจนทั้งในด้านจิตใจและกาย เช่น การพัฒนาความสามารถทางสังคมที่ไม่เพียงพอ การมีสมรรถภาพทางการเรียนที่ต่ำ และความไม่สมดุลในสุขภาพจิตและกายในระยะยาว
สุขภาพจิตของผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน ผลการศึกษา พบว่า สุขภาพจิตของผู้ปกครองมีผลต่อสุขภาพจิตของลูกโดยตรง แม่ที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคจิตเวชเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าของปกติ ความยากจนและการเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เช่น หนี้สินเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดในแม่ และความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของลูกอย่างมีนัยสำคัญ การเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงจะมีผลเสียต่อลูกมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบจะสะสมกันและทำให้ความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับเด็กที่อยู่ในกลุ่มฐานะสังคมเศรษฐานะต่ำ มีโอกาสเผชิญกับสภาพที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่เหมาะสมมากกว่า ปัญหาทางสังคมและอารมณ์สามารถพบเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กเล็กอายุเพียงสามขวบเท่านั้น การวิเคราะห์ในประเทศสหราชอาณาจักรพบว่า รายได้ของครอบครัวมีความสัมพันธ์กับปัญหาทางอารมณ์และสังคมของเด็กที่อายุ 3 ถึง 5 ขวบ การกระทำของพ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางอารมณ์และสังคมสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่นการเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างครอบครัว การเตรียมการการศึกษาเรียนรู้ที่เหมาะสม การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวและชุมชนสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นและช่วยให้เด็กมีโอกาสพัฒนาอย่างเหมาะสมได้
กล่องที่ 2 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตในเด็กเล็ก
การทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับมาตรการแก้ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอดในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง พบว่าการนำมาตรการไปใช้โดยการฝึกอบรมและนิเทศบุคลากรที่มีสุขภาพระดับปฐมภูมิและระดับชุมชนอย่างเหมาะสมด้วยมาตรการที่ได้รับการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมสามารถช่วยให้สุขภาพจิตของแม่ดีขึ้นได้ บางรายงานเสนอว่ามาตรการนี้จะมีประโยชน์ต่อแม่โดยการสร้างโอกาสให้มีงานที่ดีขึ้นและมีรายได้สูงขึ้น
2.1 การดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอดในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ในฐานะหน่วยขับเคลื่อนงานส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเด็กปฐมวัย พัฒนาแนวทางการเยี่ยมบ้านหลังคลอด สําหรับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (อพม) ทดลองนําร่องใน 6 จังหวัด
การวิจัยนี้เน้นการพัฒนาและทดสอบโปรแกรมการดูแลแม่หลังคลอดในชุมชนโดยใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดในแม่ที่มีความเสี่ยง โดยโปรแกรมนี้ช่วยลดคะแนนจากแบบประเมินภาวะซึมเศร้าหลังคลอด โดยการนำเสนอการดูแลแม่ด้วยวิธี Thinking Healthy ซึ่งเป็นโปรแกรม Homebased intervention ที่มุ่งเน้นการเยี่ยมบ้านและให้การบำบัดแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดโดยพยาบาลวิชาชีพระดับโรงพยาบาลชุมชน โดยมีระยะเวลาในการช่วยเหลือตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอดถึง 6 เดือน ผลลัพธ์จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้สามารถช่วยลดคะแนนจากแบบประเมินภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ และมีศักยภาพในการนำไปใช้กันต่อในระดับประเทศ นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางการคัดกรองและช่วยเหลือแม่ซึมเศร้าหลังคลอดในระบบปกติอย่างเป็นรูปธรรมในระดับประเทศต่อไป
2.2 รายงานผลการศึกษาต้นทุนประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวก โดยครอบครัวมีส่วนร่วมในเด็กปฐมวัยในพื้นที่ทุรกันดาร
โปรแกรมการดูแลช่วยเหลือแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดโดยอาสาสมัครสาธารณสุขได้ปรับรูปจากโปรแกรมเดิมโดยการให้ความเหมาะสมกับอาสาสมัครที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ในการให้คำปรึกษาและการทำจิตบำบัด โดยเนื้อหาประกอบด้วยดังนี้:
การเยี่ยมบ้าน: จัดทำเป็นขั้นตอนชัดเจนที่อาสาสมัครสาธารณสุขจะต้องทำในการเยี่ยมบ้านทั้งหมด 5 ครั้ง โดยมีการประเมินภาวะซึมเศร้าก่อนและหลังการเยี่ยมบ้าน การเยี่ยมบ้านนี้มุ่งเน้นให้เกิดการสนทนาและการสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
โปรแกรมการให้ความรู้: จัดทำเป็นโครงสร้างของเนื้อหาในการให้ความรู้ในแต่ละครั้ง โดยมีการประเมินอารมณ์ของแม่ และการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์กับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีพื้นฐานมาจากการทำจิตบำบัดแบบ Cognitive Behavior Therapy (CBT) โดยการนำเสนอเนื้อหาที่มีภาพประกอบมากๆ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
การจัดการอบรม: จัดแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติในการอบรมให้กับอาสาสมัครในพื้นที่เดียวกัน และมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มเพื่อเสริมสร้างความคุ้นเคยและความเข้าใจในขณะที่ลงเยี่ยมบ้าน นอกจากนี้ยังมีการปรับรูปแบบตารางการลงข้อมูลและข้อความในคู่มือให้ง่ายต่อการเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุข
โปรแกรมนี้เน้นการให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือในรูปแบบที่ง่ายต่อการนำไปใช้ในชุมชนโดยอาสาสมัคร โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงสภาพจิตใจและส่งเสริมการฟื้นฟูของแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวในระบบปกติในระดับประเทศต่อไป
วัยเด็กโต / LATER CHILDHOOD
¬วัยเด็กโต / LATER CHILDHOOD
สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (Developmental Surveillance and Promotion Manual: DSPM) เพื่อช่วยในการคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปี โดยการแบ่งเป็น 18 ช่วงวัย และมีการคัดกรองโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ช่วงอายุ 9, 18, 30, และ 42 เดือน พ่อแม่ผู้ปกครองยังมีหน้าที่เฝ้าระวังพัฒนาการของเด็กในช่วงอายุอื่นๆ อีก 15 ช่วงวัย โดยในปี 2561 พบว่ามีจำนวนเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าอยู่ทั้งหมด 8,006 คน แต่มีเพียง 30.48% ที่สามารถรับการกระตุ้นพัฒนาการได้ นอกเหนือจากปัญหาพัฒนาการ ยังพบว่าในปี 2554 มีการสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กนักเรียนไทยอายุ 6-11 ปี พบว่ามีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์เฉลี่ยรวมทั้งประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติโดยมีค่าคะแนนอยู่ที่ 45.12 จากค่าคะแนนปกติ 50-100 โดยพบจุดอ่อนทั้ง 3 ด้านคือ ดีเก่ง และ สุข ซึ่งการตรวจสอบนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจำเป็นในการสนับสนุนพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กในชุมชนและการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตที่ดีในด้านอารมณ์และสุขภาพจิตในเด็กในช่วงอายุนี้
กล่องที่ 3 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น
การสนับสนุนสุขภาพจิตและแก้ไขความผิดปกติทางจิตในเด็กและวัยรุ่นที่มีการดำเนินการในโรงเรียน มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากโรงเรียนเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ดี และสามารถเข้าถึงประชากรทั้งหมดได้
นอกจากนี้ โรงเรียนยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพัฒนาการด้านความสามารถทางสังคม อารมณ์การเรียน และความคิดอ่าน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะสั้นและระยะยาว
การดำเนินการเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตและแก้ไขความผิดปกติทางจิตในโรงเรียน ได้รับการนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลางที่มีผลกระทบจากสงครามและความรุนแรง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการเกิดปัญหาโรคจิตเวช มาตรการที่พบในโรงเรียนมักเป็นแบบทั่วไป (universal) ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบที่ดีที่สุด และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานแนวคิดของโรงเรียน การสื่อสารกับผู้ปกครอง การฝึกอบรมครูพิเศษ การให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง การมีส่วนร่วมของชุมชน และความร่วมมือกับองค์กรภายนอก
ดังนั้น การเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนและการสนับสนุนสุขภาพจิตและการแก้ไขความผิดปกติทางจิตในเด็กและวัยรุ่นมีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและความเจริญพันธุ์ของเด็กและวัยรุ่นในชุมชน
3.1 วัยเรียน อายุ 6-12 ปี
3.1.1 ทักษะชีวิต
3.1.1.1 การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต
สําหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1-3 และ 4-6 เป็นสื่อเรียนรู้ในรูปแบบการ์ตูนพร้อมคู่มือการใช้งาน(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
3.1.1.2 6 คําถามสร้างทักษะชีวิต : ประสบการณ์สําหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
หนังสือคู่มือสําหรับครูชั้นประถมศึกษา 1-6 ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทําความเข้าใจและฝึกตั้งคําถาม เพื่อสร้างและพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนชั้นประถมศึกษา พร้อมตัวอย่างการออกแบบและตั้งคําถามสําหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระจากประสบการณ์จริงของครู (ดาวน์โหลดฟรีที่www.jitdee.com)
รูปแบบการใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนชั้นประถมศึกษา
การใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในนักเรียนชั้นประถมศึกษาในช่วงตุลาคม 2556 - มีนาคม 2560 เป็นโครงการที่มีความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน โดยประกอบด้วยกิจกรรมหลักและโครงการย่อยดังนี้:
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6: โครงการนี้เน้นการสร้างสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพสำหรับครูในการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษา ในการสนับสนุนและ พัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนในช่วงวัยเรียนแรก
การจัดทำเครื่องมือและการแนะนำสื่อการเรียนรู้: โครงการนี้มุ่งเสนอเครื่องมือและแนะนำสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับผู้แทนสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในเครือข่ายจังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนในพื้นที่
การประเมินและพัฒนาทักษะครูในการจัดการเรียนรู้: โครงการนี้เน้นการประเมินและพัฒนาทักษะของครูในการจัดการเรียนรู้ทักษะชีวิต โดยใช้ชุดสื่อการเรียนรู้ที่ได้รับการพัฒนาจากแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ผ่านกรณีศึกษาของโรงเรียนประถมขยายโอกาสในเครือข่ายจังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์
การประเมินผลการใช้สื่อการเรียนรู้: โครงการนี้เน้นการประเมินผลของการ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่เป็นที่ต้องการเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน โดยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลให้กับการพัฒนานี้ในระยะยาว
3.1.2 สื่อการเรียนรู้ชุดพ่อแม่เลี้ยงบวก
สื่อเรียนรู้ในรูปแบบละครเสียง (MP3) สำหรับพ่อแม่นักเรียนชั้นประถมศึกษามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมันนำเสนอสถานการณ์ชีวิตที่พ่อแม่และลูกเจอเหมือนกันในชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยมุ่งเน้นให้พ่อแม่เข้าใจและเชื่อมั่นในการเลี้ยงลูกอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญที่ได้จากสื่อนี้ได้แก่:
เพิ่มความเข้าใจและการเชื่อมั่นระหว่างพ่อแม่และลูก: สื่อนี้ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพฤติกรรมของลูกมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นในการเลี้ยงลูกในทางที่เหมาะสม
ส่งเสริมการใช้ทักษะทางบวก: การเรียนรู้จากสื่อนี้ช่วยสร้างแนวโน้มให้พ่อ แม่ใช้ทักษะทางบวกในการปรับปรุงพฤติกรรมของลูก เช่น การให้กำลังใจแทนการด่าว่าหรือประจาน
ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างครูและผู้ปกครอง: ครูมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเลี้ยงลูก และสื่อนี้ช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างครูและผู้ปกครองในการอบรมและสนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวกของเด็ก
สร้างความเข้าใจในชุมชน: สื่อนี้เสนอแนวทางและวิธีการที่ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกผ่านกิจกรรมของโรงเรียนและอบต. ทำให้มีการสร้างความเข้าใจและร่วมมือในระดับชุมชนทั้งหมด
(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
3.1.3 การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สําหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Standardized Achievement Test for Thai Learners)
โครงการนี้เน้นการพัฒนาและตรวจสอบแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสมรรถนะทางการเรียนสำหรับนักเรียนไทยที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Specific Learning Disability; SLD) เพื่อช่วยในการจัดการและส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเหล่านี้อย่างเหมาะสม สำคัญอย่างมากเนื่องจาก:
1.ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (SLD) เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน และส่งผลให้เด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลง การตรวจสอบและพัฒนาแบบทดสอบเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการปัญหานี้อย่างเต็มรูปแบบ
2.การมีแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสมรรถนะทางการเรียนที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนไทยที่มี SLD จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและแสวงหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.การวัดผลสมรรถนะทางการเรียนของนักเรียนไทยที่มี SLD ให้เป็นมาตรฐานที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับจะช่วยในการจัดการและให้การสนับสนุนที่เหมาะสมในการเรียนรู้
ผลการพัฒนาและการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของการเรียนรู้ของนักเรียนไทยที่มี SLD ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบการส่งเสริม ป้องกัน และดูแลเด็กวัยเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
3.1.4 โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรบพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (School and Family Empowerment for Behavioral Modification in School-aged Children; SAFE B-MOD)
สุขภาพจิตและจิตเวชเป็นปัญหาที่พบได้ในจำนวนมากของเด็กและวัยรุ่นทั่วโลก โดยมีจำนวนประมาณร้อยละ 10-20 ของกลุ่มนี้เป็นผู้ประสบปัญหาด้านนี้ และมีมากกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้รับการรักษาทางสุขภาพจิตและจิตเวชอย่างเหมาะสม ผลกระทบจากปัญหานี้มีความรุนแรงต่อตัวเด็ก ครอบครัว และสังคมทั้งในเชิงสุขภาพ และเศรษฐกิจ โดยสาเหตุสำคัญมาจากการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นในการดูแลปัญหานี้ เช่น ขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจากครูและผู้ปกครอง ขาดการเข้าถึงบริการที่เหมาะสม และบางครั้งเด็กโดยไม่รู้สาเหตุก็จะไม่ได้รับการรักษาต่อโรคที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดการและการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยลดภาระโรคได้มาก และการป้องกันเด็กกลุ่มเสี่ยงจากการเกิดโรคจิตเวชเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดภาระโรคในประชากรได้อย่างมาก
ในปี 2559 สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาในเขตสุขภาพที่ 7 ร่วมมือกันเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาคสาธารณสุขและศึกษาธิการในพื้นที่ เรียกว่า Health and Educational Regional Operation (HERO) เพื่อพัฒนาระบบการดูแลเด็กวัยเรียนร่วมกัน โดยมุ่งหวังที่จะเชื่อมโยงภาคสาธารณสุขและศึกษาเพื่อการดูแลเด็กอย่างเข้มงวด
โครงการแรกใน HERO เป็น SAFE B-MOD ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเด็กที่มีปัญหาการเรียนที่เกิดจากสาเหตุทางสุขภาพ โดยใช้โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (SAFE B-MOD) โครงการนี้นำหลักการปรับพฤติกรรมผสมผสานกับการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเข้ามา โดยเน้น
การพัฒนาทักษะการปรับพฤติกรรมที่ไม่ยากเกินไปสำหรับครูและสามารถทำเป็นกลุ่มครั้งละมาก ๆ ได้ นับเป็นการแก้ไขปัญหาที่มาจากสุขภาพอย่างชัดเจนและเข้มงวดในระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างระบบการดูแลเด็กอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเรียนในเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น โดยการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมและมีผลสัมฤทธิ์สูงในชุมชนที่มีความเป็นมากขึ้น โครงการนี้เป็นต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่น ๆ ได้ในอนาคต เพื่อเสริมสร้างการดูแลเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาเรียนในระดับชุมชนทั้งประเทศให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมอย่างที่เหมาะสม
ดังนั้น โครงการ HERO และ SAFE B-MOD มีความสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและการเรียนในเด็กและวัยรุ่นในชุมชนท้องถิ่น โดยการร่วมมือกันระหว่างภาคสาธารณสุขและศึกษาเพื่อสร้างระบบการดูแลเด็กที่มีปัญหาการเรียนอย่างเป็นระบบและมีความเข้มงวด นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างการดูแลเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาเรียนในระดับชุมชนทั้งประเทศให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมอย่างที่เหมาะสมในอนาคต
ในปี 2561 มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม SAFE B-MOD โดยใช้วิธีการ quasi-experimental study โดยเปรียบเทียบกลุ่มทดลองของครูและนักเรียนกับกลุ่มควบคุม ผลลัพธ์พบว่าโปรแกรมนี้ทำให้นักเรียนในกลุ่มเสี่ยงมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นจนกลายเป็นปกติขึ้นถึงร้อยละ 27.34 ซึ่งมีผลต่อผลการเรียนและความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) โดยโปรแกรม SAFE B-MOD มีประสิทธิผลที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีข้อเสียที่ยังไม่ได้รับการประเมินเป็นระบบ เช่น ไม่มีการทดสอบประสิทธิผลโดยใช้วิธีการแบบสุ่มแบบควบคุม (RCT) และยังไม่มีการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างระบบ ดังนั้นจึงยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการขยายผลในระดับประเทศต่อไปได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ในช่วงปี 2562-2564 มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม SAFE B-MOD และประเมินต้นทุนประสิทธิผลของระบบ school health HERO ในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้วิธีการกึ่งทดลอง (quasi-experimental study) ในนักเรียนกลุ่มเสี่ยงชั้น ป.1-6 โดยแบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ โรงเรียนกลุ่มทดลองที่มีครูผ่านการอบรมโปรแกรม SAFE B-MOD และโรงเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการอบรมโปรแกรมนี้ โดยมีการใช้แอปพลิเคชั่น HERO ในการคัดกรองนักเรียนผ่านแบบประเมินออนไลน์ SDQ และ SNAP IV ก่อนและหลังการอบรม เมื่อผ่านไป 3 และ 6 เดือน มีการวินิจฉัยโรคดื้อต่อต้าน โดยแพทย์กุมารและจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ก่อนและหลังการอบรมครู 6 เดือน โดยใช้ระบบ school health HERO ในการคัดกรองช่วยเหลือและส่งต่อนักเรียนกลุ่มเสี่ยง รวมถึงการเก็บต้นทุนทุกกิจกรรมที่ดำเนินการ ผลการศึกษาพบว่าโปรแกรม SAFE B-MOD ช่วยให้ครูมีความรู้ความเข้าใจและทักษะในการปรับพฤติกรรมของนักเรียน สามารถลดปัญหาพฤติกรรมในนักเรียนและลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ แต่ยังคงมีความจำเป็นในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อติดตามผลลัพธ์ระยะยาวในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนในโรงเรียน และการปรับปรุงโปรแกรม SAFE B-MOD เพื่อให้เป็นหลักสูตรออนไลน์ต่อไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นในการขยายผลในอนาคต
ในปีพ.ศ. 2564-2565 มีกิจกรรมความร่วมมือเครือข่ายสาธารณสุขและศึกษาที่มีคู่มือฝึกอบรมวิทยากรกระบวนการโปรแกรมกลุ่มเสริมพลงครูและผู้ปกครองเพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (Training of Facilitator School and Family Empowerment for Behavioural Modification: SAFE B-MOD) ที่มี 10 แผนการสอน ประกอบด้วย:
1.ระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเด็กวัยเรียนและโรคทางจิตเวชที่พบบ่อย
2.เทคนิคและกระบวนการปรับพฤติกรรม
3.การสื่อสารข่าวร้าย
4.การทบทวนเนื้อหาและการรับข้อเสนอแนะ
5.การรู้จักควบคุมใจ
6.รางวัลและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
7.ลูกศิษย์ที่ห่วงใย
8.การเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
9.การเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
10.Microteaching ฝึกปฏิบัติเป็นวิทยากรกระบวนการ
คู่มือนี้มุ่งเน้นการเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และการฝึกปฏิบัติเป็นวิทยากรกระบวนการเพื่อเตรียมครูและผู้ปกครองให้พร้อมที่จะช่วยเสริมพลังและปรับพฤติกรรมของเด็กวัยเรียนให้เหมาะสมและสามารถจัดการกับปัญหาพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์และเรียนรู้ในสถานการณ์จริงๆ และสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้มาใช้ได้อย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน
3.2 วัยรุ่น อายุ 13-24 ปี
3.2.1 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”
กีฬาสร้างสรรค์เส้นทางชีวิต" เป็นละครสั้นที่มีจำนวน 16 ตอน โดยแต่ละตอนจะนำเสนอโจทย์ชีวิตที่พบได้บ่อยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยเน้นการเสนอแนวคิดและสถานการณ์ที่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้และเติบโตในทางที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา ทั้งนี้ละครแต่ละตอนมีความยาวประมาณ 20 นาที และมาพร้อมกับคู่มือการใช้งานสำหรับครูหรือวิทยากร เพื่อช่วยให้การสอนและการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการพัฒนาทักษะทางสังคมและจิตวิทยาให้กับนักเรียนในช่วงวัยรุ่นที่สำคัญของชีวิตในการเติบโตและพัฒนาตนเองในสังคมและชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขและเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ นอกจากนี้ ละครยังเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการสร้างสรรค์สมาธิและความรับผิดชอบในการตัดสินใจของนักเรียนในสถานการณ์ที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องสร้างความเสียหายในความเชื่อมั่นและอารมณ์ของนักเรียน โดยทั้งนี้ การใช้ละครสั้นในการเรียนรู้ยังเป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าจดจำสำหรับนักเรียนในองค์กรการศึกษาทั้งในช่วงเวลาเรียนและนอกเวลาเรียนด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต
(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง
-รายงานการประเมินผลการใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน เป็นงานศึกษาที่มีความสำคัญ เนื่องจากมันช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจถึงผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการใช้สื่อการเรียนรู้ในการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาวิธีการสอนและสื่อการเรียนรู้ในอนาคตได้ด้วย การรายงานนี้สามารถมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน เช่น การทำงานร่วมกัน การเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหา และการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและปรับปรุงการวางแผนการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนอย่างเหมาะสม
ที่มา : โสภณ จุโลทก. (2559).
3.2.2 คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ ครูแนะแนวภาคปฏิบัติ: ประสบการณ์จริงที่มากกว่าทฤษฎี
ครูแนะแนวภาคปฏิบัติเป็นที่สำคัญเนื่องจากเส้นทางการทำงานนั้นมักมีความซับซ้อนและหลากหลายตามสถานการณ์จริงในชั้นเรียน หนังสือคู่มือสกัดประสบการณ์นี้มอบความรู้และประสบการณ์จริงๆ ที่มากกว่าทฤษฎี เพื่อเตรียมครูแนะแนวให้พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการทำงานประจำวันในห้องเรียน หนังสือนี้ช่วยให้ครูได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของครูอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการแนะแนว
นอกจากนี้ หนังสือยังมีส่วนของวีดิทัศน์ตัวอย่างเพื่อแสดงถึงวิธีการทำงานและกิจกรรมที่เหมาะสำหรับการแนะแนวในห้องเรียน และการช่วยเหลือนักเรียนในการเลือกอาชีพอิสระ ทั้งนี้เหมาะสำหรับครูแนะแนวทั้งที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ เพื่อให้พร้อมที่จะตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของนักเรียนในช่วงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการศึกษาและอาชีพในปัจจุบัน และช่วยเสริมความเชื่อมั่นและความสามารถในการทำงานของครูแนะแนวและผู้บริหารโรงเรียนด้วย (ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
3.2.3 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่น
เทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้พ่อแม่และครูสามารถเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนในช่วงวัยรุ่นได้ เนื้อหาที่เสนอในรูปแบบละครสั้นจำนวน 5 ตอนนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องการสื่อสารและการคุยกับวัยรุ่น โดยมีคู่มือการใช้งานเพื่อช่วยให้พ่อแม่และครูสามารถนำเนื้อหามาใช้ได้อย่างเหมาะสม และทันสมัย เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับนักเรียนในช่วงวัยที่สำคัญของชีวิตของพวกเขาด้วย
ในเนื้อหาจะเน้นไปที่เทคนิค การคุยและสื่อสารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น ซึ่งสำคัญที่จะเน้นไปที่การให้เครื่องมือและแนวทางในการตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของวัยรุ่นอย่างเหมาะสม โดยในแต่ละตอนจะสร้าง
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและสถานการณ์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันของวัยรุ่น และนำเสนอวิธีการคุยและแก้ไขปัญหาในแต่ละสถานการณ์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ คู่มือการใช้งานยังจะเสนอเครื่องมือและเทคนิคการสื่อสารที่เหมาะสมกับวัยรุ่นในแต่ละสถานการณ์ รวมถึงเครื่องมือและแนวทางในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของวัยรุ่น ทั้งนี้เพื่อช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับวัยรุ่นในช่วงวัยที่สำคัญของชีวิตของพวกเขา
(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง
-การประเมินสื่อเพื่อความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่น:กรณีศึกษาโรงเรียนในกรุงเทพมหานครและนครสวรรค์ นครปฐม
การประเมินสื่อเพื่อความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่นเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของวัยรุ่น เพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างมั่นคง ศึกษากรณีศึกษาโรงเรียนในกรุงเทพมหานครและนครสวรรค์ นครปฐมเป็นการวิเคราะห์และประเมินสื่อที่ใช้ในการสร้างความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่นในสถานศึกษา
การศึกษานี้เน้นการสำรวจและวิเคราะห์สื่อที่ใช้ในโรงเรียน เช่น สื่อการเรียนการสอน สื่อการสอนวิชาอื่น ๆ สื่อสื่อสารในโรงเรียน และสื่อที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาทักษะทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการใช้สื่อเหล่านี้ในการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียน
ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงสื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนเพื่อให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียนในชุมชนแต่ละแห่ง โดยเน้นการใช้สื่อที่เหมาะสมและเข้าใจต่อความต้องการและสภาพจิตใจของนักเรียนในแต่ละระดับวัย
ที่มา :อุมาภรณ์ภัทรวาณิชย์และเรวดีสุวรรณนพเก้า. 2556. สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล
3.2.4 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า)คุยกับลูกเรื่องเพศ
การคุยกับลูกวัยรุ่นเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปกครองควรรับผิดชอบในการส่งเสริมการเข้าใจและการพูดคุยที่เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมีสื่อเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยในกระบวนการนี้
ละครสั้นที่มาพร้อมคู่มือการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถแปลงความรักและความห่วงใยของตนมาเป็นวิธีการ
คุยกับลูกในเรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญ โดยการนำเสนอสถานการณ์ที่พบบ่อยเช่นการคบเพื่อนต่างเพศ การแอบดูคลิปโป๊ และการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ปกครองมีข้อมูลและเครื่องมือในการสนับสนุนและเข้าใจที่เกี่ยวกับปัญหาที่ลูกของพวกเขาอาจพบในวัยรุ่น
การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศอาจเป็นเรื่องที่ยากที่จะเริ่มต้น แต่ละครสั้นที่ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเปิดพูดเรื่องเพศอย่างเป็นมิตรและเปิดเผย โดยการเสนอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตและการเผชิญหน้ากับความเสี่ยง ผู้ปกครองสามารถสร้างการสนับสนุนและเข้าใจในการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศกับลูกของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์
ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง
- การประเมินผลสื่อการเรียนรู้ “(กล้า) คุยกับลูกเรื่องเพศ”
การประเมินผลสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการคุยกับลูกในเรื่องเพศพบว่าสื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้พ่อแม่มีความตระหนักและเห็นความสำคัญในการพูดคุยกับลูกในเรื่องเพศ อย่างไรก็ตาม สื่อยังไม่สามารถเพิ่มทักษะในการพูดคุยเนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องการความสามารถของวิทยากรกระบวนการที่เข้ามาช่วย
นักวิจัยพบว่า สื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดคุยในเรื่องเพศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจและมีความตระหนักในการพูดคุยกับลูกในเรื่องเพศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สื่อนั้นยังไม่สามารถเพิ่มทักษะในการพูดคุยเนื่องจากความซับซ้อนของเรื่อง และต้องการความช่วยเหลือจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำและช่วยเสริมสร้างทักษะในการพูดคุยในเรื่องเพศให้กับผู้ปกครองอีกด้วย
ที่มา :คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- โครงการประเมินผลกระบวนการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติและทักษะการสื่อสารเรื่องเพศของผู้ปกครองกับลูกวัยรุ่น
โครงการนี้เน้นการประเมินผลกระบวนการที่เกี่ยวกับกิจกรรมที่ช่วยสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศในผู้ปกครองในการสื่อสารกับลูกวัยรุ่น โดยมุ่งเน้นทัศนคติและทักษะการสื่อสารเรื่องเพศของผู้ปกครองกับลูกวัยรุ่น เพื่อปรับปรุงและเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านนี้ เน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการติดต่อสื่อสารเชิงบวกที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพระหว่างผู้ปกครองและลูกวัยรุ่นในเรื่องเพศ โครงการนี้ช่วยให้ผู้ปกครองได้รับการสนับสนุนและการแนะนำที่เหมาะสมในการสื่อสารเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่น ซึ่งสามารถสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการสนทนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในบ้านได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและส่งเสริมพัฒนาการสุขภาพทางจิตและสังคมของลูกวัยรุ่นในสังคมได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์
ที่มา:กัลยกร วรกุลลัฎฐานีย์, นิธิดา แสงสิงแก้ว, ประไพพิศ มุทิตาเจริญ, รุจน์โกมลบุตร และพรรณวดีประยงค์.(2559). สนับสนุนโดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
- ถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่ เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นในการทำให้สภาพแวดล้อมและพื้นที่ที่เด็กและวัยรุ่นสัมพันธ์อยู่มีผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเขาโดยตรง หากพื้นที่นั้นถูกจัดการอย่างเหมาะสมและมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดี ผลลัพธ์อาจเป็นการพัฒนาทักษะทางสังคม ทักษะการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และการเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต
การจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนมักมีผลต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเขาโดยตรง เช่น การมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางกีฬาที่ส่งเสริมสุขภาพกาย พื้นที่สำหรับการพักผ่อน หรือพื้นที่สำหรับการสนทนาและการสร้างความสัมพันธ์ การจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่อาจแสดงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ของลูก โดยการมีหนังสือ ของเล่น หรืออุปกรณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย การจัดพื้นที่เหล่านี้ให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กและวัยรุ่นในครอบครัวและชุมชน
ที่มา :กรมสุขภาพจิต กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. 2559. (ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com))
3.2.5 พื้นที่เยาวชน
การพัฒนาพื้นที่เยาวชนเป็นหนึ่งในมาตรการหลักของการดำเนินงานบูรณาการด้านวัยรุ่น ซึ่งกำหนดให้แต่ละพื้นที่มีการดำเนินงานตามหลักการสำคัญเพื่อสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การพัฒนาและการเรียนรู้ของเยาวชน หลักการหลักๆ ของการดำเนินงานคือการขยับไปทำงานเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับเด็กและเยาวชน โดยการทำงานนี้ควรชะลอการเร่งรัดผลลัพธ์ในการทำงานลง และเพิ่มความละเอียดอ่อนต่อการมองชีวิตและปัญหาทางสังคม การทำงานภายใต้แนวคิดนี้ต้องมีการมองและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนอย่างเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นในชุมชน และทำงานอย่างมีส่วนร่วมแท้จริงกับเด็กและเยาวชน และควรคำนึงถึงความยั่งยืนโดยไม่ละเลยความแตกต่างในชุมชนที่แตกต่างกัน โดยในแต่ละการทำงานควรมีความตระหนักในความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ใหญ่กับเยาวชนและระหว่างคนในชุมชนและนอกชุมชน นอกจากนี้ยังควรมีการคำนึงถึงความยั่งยืนของการทำงานด้วยด้วยการทำงานที่ละเอียดอ่อนกับความแตกต่างหลากหลายของเด็กและเยาวชน และการทำงานที่คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว การพัฒนาพื้นที่เยาวชนในแนวนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเยาวชนและชุมชนในที่สุด
3.2.6 โปรแกรมจับใจ และรายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรม กลุ่มฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง (โปรแกรมจับใจ) ต่อปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมในวัยรุ่น
โปรแกรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเองหรือโปรแกรมจับใจ เป็นโปรแกรมที่มุ่งเสริมการป้องกันซึมเศร้าในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น โดยได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพแล้ว แต่เมื่อ
นำไปใช้ในระบบโรงเรียนจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยการศึกษานี้เริ่มต้นด้วยการคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาอารมณ์หรือพฤติกรรมที่เราจะนำโปรแกรมมาใช้ โดยใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SDQ) เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสม และทำการสุ่มเลือกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อนักเรียนได้รับการคัดเลือกแล้ว กลุ่มทดลองจะได้รับการเข้าร่วมกิจกรรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง ส่วนกลุ่มควบคุมจะเป็นกลุ่มรอนัดที่จะได้ร่วมกิจกรรมหลังจากวัดผล
ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยมีการตรวจสอบผลการฝึกอบรมในวัยรุ่น โดยใช้การวัดผลก่อนและหลังจากการฝึก และในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการฝึกด้วยแบบประเมินต่างๆ เช่น SDQ และแบบประเมินระดับสติ โดยคณะผู้วิจัยเห็นว่าการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในโรงเรียนมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้นำไปใช้ในระบบโรงเรียนจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยการศึกษานี้เริ่มต้นด้วยการคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาอารมณ์หรือพฤติกรรมที่เราจะนำโปรแกรมมาใช้ โดยใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SDQ) เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสม และทำการสุ่มเลือกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อนักเรียนได้รับการคัดเลือกแล้ว กลุ่มทดลองจะได้รับการเข้าร่วมกิจกรรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง ส่วนกลุ่มควบคุมจะเป็นกลุ่มรอนัดที่จะได้ร่วมกิจกรรมหลังจากวัดผล
ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยมีการตรวจสอบผลการฝึกอบรมในวัยรุ่น โดยใช้การวัดผลก่อนและหลังจากการฝึก และในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการฝึกด้วยแบบประเมินต่างๆ เช่น SDQ และแบบประเมินระดับสติ โดยคณะผู้วิจัยเห็นว่าการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในโรงเรียนมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เป็นไปตามความสำเร็จ เช่น การสนับสนุนนโยบายจากผู้บริหาร ทักษะความชำนาญของผู้นำกลุ่ม และความต่อเนื่องในการนำทักษะไปใช้โปรแกรมจับใจมีประสิทธิภาพในการลดปัญหาอารมณ์และปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง สามารถขยายผลไปใช้ในระบบปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันซึมเศร้าและการพัฒนาทักษะการปรับตัวของนักเรียนในระยะยาว
การขยายผลเข้าสู่ระบบมีการดำเนินการในหลายด้าน เช่น การนำโปรแกรมไปใช้ในสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น การนำไปใช้ในสถานประกอบการ และการนำเข้าสู่หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตให้กับบุคลากรที่เป็นกลุ่มวัยทำงานและสูงอายุ การศึกษานี้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะในการปรับตัวและสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกสตินี้ในระยะยาว
ดังนั้น โปรแกรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเองเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาทางจิตใจในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น โดยการนำไปใช้ในระบบโรงเรียนต้องมีการศึกษาและการสนับสนุนจากผู้บริหาร เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การทำงานในกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการอารมณ์และสังคมให้กับนักเรียนที่มีความเสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังระบบปกติอย่างมีประสิทธิภาพโดยการสนับสนุนนโยบาย ควบคุมคุณภาพการพัฒนาทักษะผู้นํากลุ่ม และสร้างความต่อเนื่องในการใช้ทักษะที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ การศึกษานี้เป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนในการพัฒนาศักยภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียนและกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว
3.2.7 “กําแพงพักใจ” การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่นอายุ 18 - 24 ปีเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล การส่งต่อแบบไร้รอยต่อ เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น และเยาวชน
โครงการกำแพงพักใจ (Wall of Sharing) มีวัตถุประสงค์หลักๆ ดังนี้:
เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเยาวชน: โดยการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-24 ปี เน้นการให้บริการที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเยาวชนที่มีความต้องการเสียดสีสองทางเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล: โดยการส่งต่อแบบไร้รอยต่อจากบริการป้องกันโรคไปยังบริการบำบัดรักษาในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-24 ปี เพื่อให้การช่วยเหลือที่เป็นไปได้ทั้งแบบออนไลน์และแบบเป็นโรงพยาบาล
เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน: โดยการให้บริการที่มีการเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต ทำให้สามารถรับความช่วยเหลือได้ทันทีและมีผลการช่วยเหลือที่ดี โดยโครงการนี้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่การจัดประชุมกลุ่มผู้รับบริการและผู้ให้บริการเพื่อพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาแก่เยาวชนผ่านแอพพลิเคชั่น ไปจนถึงการประชุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงการให้บริการ การประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการปฏิบัติทดลองจัดบริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตวัยรุ่นและเยาวชน รวมถึงการประเมินผลลัพธ์ของการทดลองใช้รูปแบบ เพื่อนำไปสู่การให้บริการที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพในอนาคต
ปัจจุบันโครงการกำแพงพักใจ (Wall of Sharing) เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชน เพื่อให้บริการการปรึกษาสุขภาพจิตแก่กลุ่มอายุ 18 - 24 ปี โดยเน้นการลดปัญหาด้านสุขภาพจิต เฉพาะภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย
ผลการดำเนินงาน พบว่า เครือข่ายผู้เข้าร่วมบริการยังคงมีจำนวนน้อย จึงต้องมีการร่วมมือจากหน่วยงานรัฐและเอกชนในภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้โครงการดำเนินไปต่อไปและวางระบบการประสานงาน การส่งต่อ และระบบเครือข่ายอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมปัญหาของคนไทยได้มากยิ่งขึ้น การให้บริการด้านสุขภาพจิตผ่านสื่อเทคโนโลยียังขาดมาตรฐานในการรองรับเพื่อประเมินคุณภาพของการให้บริการ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ได้พัฒนามาตรฐานการให้บริการปรึกษาผ่านสื่อเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถนำไปสู่การเบิกจ่ายค่าบริการตามสิทธิ์การรักษาพยาบาลของสปสช. โดยสามารถรับรองการให้บริการนี้ในระบบสาธารณสุขแห่งชาติและเข้าได้สู่ระบบการเบิกจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.2.8 ภาพยนตร์สั้นบําบัดเพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงบวก ลดภาวะความเครียดและปรับเปลี่ยนวิธีการเผชิญกับปัญหา สําหรับกลุ่มนักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวด้วยการใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM
วัตถุประสงค์ของการวิจัยเน้นการเปรียบเทียบระดับความเครียดและคุณค่าเชิงบวก เช่น Hope, Self-
efficacy, Resilience, และ Optimism ของกลุ่มนักศึกษาก่อนและหลังทำกิจกรรมภาพยนตร์บำบัด
ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมภาพยนตร์สั้นบำบัดผ่าน ZOOM ช่วยเพิ่มคุณค่าเชิงบวกเช่น Optimism และ Hope โดยที่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการลดระดับความเครียดคือ Optimism แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการขัดข้องทางเทคโนโลยีและปัญหาในการสื่อสาร
สรุปผลวิจัย พบว่ากิจกรรมภาพยนตร์สั้นบำบัดผ่าน ZOOM ช่วยเพิ่มคุณค่าเชิงบวกเช่น Optimism และ Hope ซึ่งช่วยให้วัยรุ่นเกิดภูมิคุ้มและทนทานต่อความเครียด และมีผลในการลดผลกระทบจากความเครียดและป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางจิตเวชได้ง่ายขึ้น
การวิจัยในด้านต่าง ๆ มีประโยชน์ที่สำคัญในมุมมองของสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสื่อสารมวลชนดังนี้:
ด้านสาธารณสุข: การวิจัยในด้านสุขภาพจิตช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดภาวะความเครียดที่อาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรง โดยโครงการที่เน้นการป้องกันและเสริมสร้างสุขภาพจิตจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวช และเสริมสร้างสุขภาพทั้งจิตและร่างกายของประชาชนทั่วไป
ด้านเศรษฐกิจ: การเสริมสร้างสุขภาพจิตให้กับประชาชนจะส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวชจะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค และเสียค่าใช้จ่ายจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคทางจิตเวช เช่น การลดผลกระทบจากการลางาน และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
ด้านสื่อสารมวลชน: การผลิตสื่อจากการวิจัยในด้านสุขภาพจิตเป็นสื่อที่มีประโยชน์และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชน และช่วยสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ทำสื่อให้สร้างสรรค์สื่อที่สามารถให้กำลังใจและเป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป โดยเป็นการสร้างสื่อที่สามารถเผยแพร่ความรู้และเข้าถึงประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิต
3.2.9 เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึกสําหรับชาวดิจิทัลโดยกําเนิดในโลกออนไลน์ (Deep Listener)
การสร้างเครื่องมือพัฒนาความรู้และความเข้าใจเบื้องต้นให้กับกลุ่มวัยรุ่นแบบออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลมากต่อหลายด้าน:
ด้านสาธารณสุข: เครื่องมือนี้ช่วยให้กลุ่มวัยรุ่นมีความเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับการรับฟังเชิงลึก ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในระยะยาว การเข้าใจการฟังเชิงลึกช่วยลดความเครียดและเพิ่มความเข้าใจในปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ด้านเศรษฐกิจ: การมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวชและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ของกลุ่มวัยรุ่นที่มีสุขภาพจิตดี
ด้านสื่อสารมวลชน: เครื่องมือนี้เป็นสื่อที่สร้างจิตสำนึกและเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างทักษะในการฟังเชิงลึกและการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
การวิจัยในด้านนี้มีผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ในกลุ่มวัยรุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตในระยะยาวโดยมีเครื่องมือที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของวัยรุ่นในโลก
ดิจิทัล ทำให้มีความเข้าใจและมีทักษะในการแก้ปัญหาและจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์: สร้างเครื่องมือตามกรอบความคิดสําเร็จ โดยสามารเข้าถึงได้ออนไลน์ที่
https://moom-mong.com/deep/learn
สามารถลองใช้งานบทเรียนเชิงโต้ตอบได้ด้วยการเข้าลิงค์ด้านบน และใส่ข้อมูลด้านล่าง
Username: moommong Password: moommong
https://moommong.com/deep/report/ สามารถเข้าถึงผลลัพธ์ของบทเรียนเชิงโต้ตอบได้ด้วยการเข้าลิงค์ด้านบน ที่มา:https://moom-mong.com/deep/learn
3.2.10 งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ต่อความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา
สำคัญของงานวิจัยนี้คือ:
การเข้าถึงบริการที่สะดวก: นักศึกษาสามารถเข้าถึงบริการคำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งทำให้เพิ่มความสะดวกสบายและความเข้าใจในการใช้บริการเป็นอย่างมาก
การลดความเครียดโดยไม่มีการตีตรา (stigma): การให้บริการแบบออนไลน์ช่วยลดความเครียดโดยที่นักศึกษาไม่ต้องเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับการถูกตีตราหรือมีการตรวจสอบจากผู้อื่น
การให้บริการที่มีคุณภาพ: นักบำบัดให้คำปรึกษาอย่างใส่ใจและให้เทคนิคการผ่อนคลายที่เป็นประโยชน์ เช่น เทคนิคการหายใจ การปรับความคิด และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: นักศึกษาพบว่าเนื้อหาในคลิปวิดีโอมีความกระชับ ไม่น่าเบื่อ และสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ทำให้การเรียนรู้และการปฏิบัติตามได้โดยง่าย
ผลลัพธ์ที่เหมาะสม: การวิจัยพบว่าการให้บริการแบบออนไลน์ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้การให้บริการแบบพบหน้า โดยมีการลดระดับความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษาได้โดยมีประสิทธิภาพ
3.3 คาบเกี่ยววัยเรียน และวัยรุ่น
3.3.1 โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทย (FIRST-EPISODE PSYCHOSIS INTERVENTION PROGRAM) ความสำคัญของโปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่น (FIRST-EPISODE PSYCHOSISINTERVENTION PROGRAM) ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย ได้แก่:
การจัดระบบบริการแบบองค์รวม: โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการจัดตั้งระบบบริการที่ให้บริการทั้งการส่งเสริมและการป้องกันโรคจิตเภทในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีอาการโรคจิตครั้งแรก อันเป็นการเฝ้าระวังและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยในช่วงเริ่มต้นของโรค
การศึกษาและการวิจัยเพื่อการพัฒนา: โปรแกรมนี้ผลิตข้อมูลโดยการศึกษาแนวทางระบบบริการจากประเทศที่มีระบบบริการใกล้เคียง และทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดทำโปรแกรมในประเทศไทย
การปรับปรุงระบบบริการ: โปรแกรมนี้จัดระบบบริการโดยให้การรักษาอย่างเหมาะสมและใส่ใจ และมีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้ป่วย
การสร้างความร่วมมือ: ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่เห็นด้วยในเรื่องของการจัดระบบบริการการดูแลวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีโรคจิตครั้งแรก และระบุถึงความสำคัญของการจัดบริการตามระดับของหน่วยบริการสุขภาพ
การร่วมมือในการรักษา: โปรแกรมนี้หากการรักษาและการดูแลผู้ป่วยจะควรมีการร่วมมือทั้งในด้านการรักษาทางยาและการให้บริการทางจิตเวชสังคม
การเฝ้าระวังและการติดตามผล: โปรแกรมนี้ระบุถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังและการติดตามผลของการรักษาต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถคงความสามารถในการเรียนและทำงานได้ในระยะยาว
ดังนั้น โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทยนี้เป็นการแนวทางที่สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสมและครอบคลุม ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคจิตในประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก
3.3.2 โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด..ภัยรังแก) ANTI-BULLY PROGRAM
ความสำคัญของโปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอดภัยรังแก) ได้แก่:
การเป็นมาตรการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต: โปรแกรมนี้ชี้ชัดเจนถึงการเป็นมาตรการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่มีหลักฐานและคุ้มค่าในการดำเนินงาน เน้นการป้องกันการรังแกในชุมชนโรงเรียน
การพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะสมกับบริบทไทย: โปรแกรมนี้มุ่งหวังในการพัฒนาโปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียนที่เหมาะสมกับบริบทและระบบโรงเรียนในประเทศไทย
กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม: โปรแกรมนี้มีกระบวนการวิจัยที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของมาช่วยกันพัฒนาโปรแกรม โดยการนำเสนอหลักฐานและประสบการณ์ที่ดีจากโรงเรียนที่มีการจัดการปัญหาการรังแกและการป้องกันการรังแกอย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน: ผลการดำเนินโปรแกรมแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มความตระหนักและการมีส่วนร่วมจากทั้งผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ นักเรียน และผู้ปกครองในการป้องกันการรังแก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน
การขยายผลเข้าสู่ระบบ: โปรแกรมนี้ยังมีการขยายผลเข้าสู่ระบบอื่นๆ เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันและเกมสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อป้องกันการรังแก และการร่วมมือกับองค์กรเอกชนเพื่อเสริมสร้างฐานะในการดำเนินงานต่อเนื่องในระยะยาว
ดังนั้น โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียนนี้เป็นการทำงานที่มีความสำคัญที่จะช่วยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาของนักเรียนในประเทศไทย
3.3.3 เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS)
การพัฒนาเครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS) คือ:
การจัดเตรียมเครื่องมือที่เหมาะสม: โครงการนี้เน้นการพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการ
ประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น โดยใช้เครื่องมือ T-GDS ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของประเทศไทย
การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ: โครงการได้ทำการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาความเที่ยงและความตรง รวมถึงการหาจุดตัดคะแนนเพื่อแบ่งระดับความรุนแรงของภาวะติดเกม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ
การใช้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง: โครงการได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของเด็กและวัยรุ่นที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เพื่อให้เครื่องมือที่พัฒนามีความเป็น representativeness และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความหลากหลาย
การตรวจสอบความผูกพันของข้อมูล: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึง
ความสัมพันธ์และความผูกพันของคะแนนการประเมินจากแบบประเมิน T-GDS กับคะแนนการประเมินจากแพทย์ (CGAS) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องและความเชื่อถือของเครื่องมือ
การพิจารณาและปรับปรุง: ผู้วิจัยตรวจสอบและปรับปรุงข้อความในแบบประเมิน T-GDS เพื่อให้มีความถูกต้องและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นต่อการใช้งานในอนาคต
จากการศึกษาพบว่า มีความสำคัญที่จะพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมและมีความถูกต้องในการประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษาและการช่วยเหลือสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านการเล่นเกมในประเทศไทย
3.3.4 คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ
การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ: โครงการนี้เน้นการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุสะเทือนขวัญจากภัยธรรมชาติหรือจากภัยจากมนุษย์
การสนับสนุนบุคลากร: โครงการนี้เน้นการสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากรในหลายสาขาวิชา เช่น ครู/อาจารย์และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้พวกเขาสามารถให้การช่วยเหลือและเยียวยาจิตใจให้กับเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสม
การส่งเสริมการปรับความสมดุล: โครงการนี้มุ่งเน้นการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้สามารถปรับความสมดุลและลดความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยการให้บริการเช่นการปฐมพยาบาลทางใจและการเยียวยาจิตใจเบื้องต้น
การส่งเสริมการเข้าถึงบริการ: โครงการนี้เน้นการสร้างระบบการสื่อสารและการส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างระบบการดูแลช่วยเหลือที่มีอยู่ เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่มีปัญหาทางจิตใจสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
การส่งเสริมการพัฒนา: โครงการนี้เป็นโครงการต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ระหว่างหลายพื้นที่ ดังนั้น การส่งเสริมการพัฒนาและการทำให้ระบบดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต
โดยรวมแล้ว คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจเป็นการทำงานที่สำคัญและมีผลต่อการพัฒนาของระบบการดูแลช่วยเหลือทางจิตใจในประเทศ โดยเฉพาะในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้สามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติและพัฒนาการได้อย่างเหมาะสม
3.3.5 รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่อง
ทางการเรียนรู้: กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ:
การวิเคราะห์คะแนนและคำตอบ: การศึกษาเน้นการวิเคราะห์คะแนนและคำตอบจากแบบทดสอบเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะความสามารถและความต้องการของกลุ่มเด็กที่ต้องการพิเศษ
การจัดกลุ่ม: ผู้วิจัยจัดกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มตามลักษณะความพิเศษของพวกเขา เช่น เด็กปัญญาเลิศ, เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้, และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
การวิเคราะห์ผล: พบว่าเด็กปัญญาเลิศมีคะแนนสูงที่สุดในทุกแบบทดสอบย่อย ในขณะที่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีคะแนนรองลงมาและเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีคะแนนต่ำที่สุด
ความสามารถในการวินิจฉัย: ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสามารถใน
การใช้แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก และเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติ
การนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติ: แบบทดสอบมีความตรงเชิงโครงสร้างเพียงพอในการใช้ในการวินิจฉัยและตรวจสอบเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในระดับประเทศ
การพัฒนาต่อไป: โครงการนี้เสนอให้มีการพัฒนาเกณฑ์ปกติระดับชาติและเกณฑ์ปกติตามอายุเพื่อให้แบบทดสอบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการใช้งานในอนาคต
สรุป รายงานนี้เน้นการวิเคราะห์และการจัดกลุ่มเด็กตามความพิเศษของพวกเขา เพื่อให้สามารถใช้แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมและมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติต่อไป
วัยผู้ใหญ่ / ADULTS
วัยผู้ใหญ่ / ADULTS
"การศึกษาภาระโรคในภาพรวมระดับโลก" คือ:
เพิ่มขึ้นของโรคจิตเวชในผู้ใหญ่: การศึกษาเน้นการเรียกความสนใจว่าโรคจิตเวชในวัยผู้ใหญ่มีการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องให้ความสนใจเพิ่มเติมเนื่องจากมีผลกระทบที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ
โรคซึมเศร้าและวิตกกังวล: โรคซึมเศร้าและวิตกกังวลเป็นปัญหาสำคัญที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตของผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในปีสุดท้ายพบว่าโรคซึมเศร้ามีผลกระทบมากที่สุดในผู้หญิง
ความผิดปกติพฤติกรรมเสพสารเสพติด: ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเสพสารเสพติดเป็นอันดับต่ำกว่าโรคจิตเวชแต่ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ต้องให้ความสนใจ เนื่องจากมีผลกระทบที่หลากหลายต่อสังคมและเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ: โรคจิตเวชมีผลกระทบที่มากมายไม่เพียงแต่ต่อผู้ป่วยเอง แต่ยังส่งผลต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคนรุ่นต่อไป
การวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่เพียงพอ: โรคจิตเวชยังมีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องมีการแก้ไขและป้องกันให้มีการรักษาอย่างเหมาะสม
ความสำคัญของการป้องกันและการรักษา: การศึกษานี้เน้นความสำคัญของการให้ความสำคัญกับการป้องกันและการรักษาโรคจิตเวชเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต
สรุป การศึกษาภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเวชในภาพรวมระดับโลกช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้และการต้องมีการแก้ไขและการป้องกันเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว
กล่องที่ 4 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตในผู้ใหญ่
สาเหตุ"การว่างงานและการจ้างงานที่มีคุณภาพต่ำ"เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญ ได้แก่
ความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช: การว่างงานและการจ้างงานที่มีคุณภาพต่ำถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเป็นโรคจิตเวช เนื่องจากมีผลต่อสภาพจิตและสุขภาพจิตของบุคคล
ความเสี่ยงจากการว่างงาน: การว่างงานมีสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่เป็นการวินิจฉัยทางคลินิก และมีผลกระทบที่มากขึ้นเมื่อการว่างงานมีระยะเวลานานขึ้น
ความสำคัญของการมีงานที่มั่นคง: งานที่มั่นคงและมีอิสระในการทำงานถือเป็นปัจจัยปกป้องสุขภาพจิตที่ดี และมีผลต่อลดความเสี่ยงของโรคจิตเวช
บทบาทของนายจ้าง: นายจ้างมีบทบาทสำคัญในการลดโรคจิตเวชของพนักงาน โดยควรกำหนดแนวทางการจ้างงานที่ดี เพื่อให้มีความมั่นใจว่างานมีผลตอบแทนที่ดีและมีอิสระในการทำงาน
ความสัมพันธ์กับสภาพการเงิน: สภาพการเงินของบุคคลมีผลต่อความเสี่ยงของโรคจิตเวช การสร้างรายได้ให้พอเพียงสําหรับการมีชีวิตอย่างมีสุขภาพดีมีความสําคัญทั้งด้านการคุ้มครอง ทางสังคม และนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ
ดังนั้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพและมั่นคง เพื่อลดความเสี่ยงของโรคจิตเวชในผู้ใหญ่เป็นสิ่งสําคัญที่จะช่วยป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพจิตของบุคคลและสังคมในระยะยาว
4.1 การปรับพฤติกรรมสุขภาพ
4.1.1 คู่มือปรับพฤติกรรมสุขภาพ
คู่มือปรับพฤติกรรมสุขภาพนี้เป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ช่วยปรับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มผู้รับบริการต่าง ๆ ซึ่งสาระสำคัญของคู่มือนี้เน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจในการปรับพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้บริการเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมสุขภาพ มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดบริการ และสร้างความมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของผู้รับบริการ คู่มือนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ www.jitdee.com ซึ่งเป็นที่มาของความรู้และเครื่องมือสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสาขาสุขภาพสาธารณสุขและการปรับพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มต่าง ๆ การใช้คู่มือนี้อาจช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้นในสังคมได้โดยอัตโนมัติและเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับกลุ่มประชากรต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)
4.1.2 คู่มือจัดกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสําหรับคลินิกเบาหวาน
คู่มือจัดกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวานเป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่จะจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยมุ่งเน้นการวางแผนจัดการสถานการณ์เสี่ยงและใช้การช่วยเหลือกันเองภายในกลุ่มเพื่อเป็นพลังเสริมการเปลี่ยนแปลง คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ www.jitdee.com ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยการใช้กิจกรรมกลุ่มเรียนรู้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้เป็นกลุ่ม เพื่อสร้างประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการจัดการโรคเบาหวานและสุขภาพที่ดี คู่มือนี้เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานของบุคลากรทางสาธารณสุขในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคด้วยวิธีการที่เข้มงวดและเหมาะสม
4.1.3 เว็บไซต์ www.go2change.com
เว็บไซต์ www.go2change.com เป็นแหล่งข้อมูลและแพลตฟอร์มสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เน้นให้ความสำคัญกับการปฏิวัติตนเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยเน้นที่แนวทางการสร้างแรงจูงใจและวางแผนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกี่ยวกับการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพื่อสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงาน เว็บไซต์นี้เสนอเครื่องมือและคำแนะนำที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและเติบโตเป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็งและมีความสุขในทุกด้านของชีวิต
4.1.4 แอพพลิเคชั่น (Application) สร้างสุขภาพ เป็นเครื่องมือที่ผสานหลักจิตวิทยาเข้ากับความรู้เกี่ยวกับอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ทีละขั้นตอน โดยสร้างแรงจูงใจและเสริมสร้างการทำงานในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ใช้ การผสมผสานหลักจิตวิทยาเข้ากับความรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพให้กับผู้ใช้แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้ผู้ใช้มีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง และให้คำแนะนำและการสนับสนุนในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในแง่มุมการรักษาสุขภาพและความพึงพอใจในชีวิตประจำวันของผู้ใช้
ดาวน์โหลดฟรีในระบบปฏิบัติการ Android และ ios สืบค้นโดยใช้คําว่า สร้างสุขภาพ
4.1.5 กลุ่มปรับพฤติกรรมสุขภาพ
การวิจัยรูปแบบกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้ เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวาน มุ่งเน้นศึกษาผลการดำเนินงานที่สำคัญโดยใช้การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม โดยกำหนดกลุ่มทดลองและนำมาวิเคราะห์ผลก่อนและหลังการทดลอง ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้:
วัตถุประสงค์ของการวิจัย: การศึกษาผลของกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวานเพื่อวัดผลในระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดแดง ภาวะสุขภาพ และคุณภาพชีวิต
ศึกษาจากผลการวิจัย: การวิจัยศึกษาผลของกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้โดยวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เช่น กรมควบคุมโรค (ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุข) และเครือข่ายสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่คลินิกโรคเรื้อรัง (โรคเบาหวาน)
ผลผลิต: ประกอบด้วยการสร้างคู่มือและวีดิทัศน์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวานและการทดลองรูปแบบการปรับพฤติกรรมในผู้ป่วยเรื้อรัง (โรคเบาหวาน)
ผลลัพธ์: แสดงว่ารูปแบบการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกโรคเรื้อรังที่ผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีประสิทธิผลกับผู้ป่วยที่เข้าร่วมโดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นประโยชน์และยั่งยืนในการรักษาโรคเบาหวาน โดยมุ่งเน้นการปรับพฤติกรรมในด้านการกิน การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งต่อจิตใจและร่างกายของผู้ป่วย
การเพิ่มทักษะและความสามารถในการจัดการปัญหาการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งเสริมให้แกนนำแรงงานนอกระบบมีความสามารถและเข้าใจถึงทักษะการจัดการตัวเอง เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเล่นหวย การจัดการหนี้สิน และความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยมุ่งเน้นที่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการจัดการตนเองและการแก้ไขปัญหา เมื่อแกนนำเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว จะสามารถนำไปใช้ในการดูแลและถ่ายทอดให้คนอื่นในชุมชนเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้
ผลการดำเนินงานที่สำคัญประกอบด้วย:
ผลผลิต: ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบใน 3 พื้นที่ (เขตลาดกระบัง, เขตประเวศ, เขตวังทองหลาง) ได้ทดลองรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ
ผลลัพธ์: รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการแสดงผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการลดความเครียด และการใช้เครื่องมือและกระบวนการกลุ่มในการปรับพฤติกรรมรายบุคคล และพัฒนาเครื่องมือ/ชุดความรู้หลักในการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม
ประสิทธิผล: การทํากิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตได้เพิ่มระดับความสุขและลดระดับความเครียดในผู้เข้าร่วมกิจกรรม และแกนนําแรงงานนอกระบบสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่กําหนดได้ โดยมีเครื่องมือสําคัญคือชุดความรู้ "คําถามแรงจูงใจ 3 ข้อ" ซึ่งช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นพฤติกรรมตนเองได้ชัดเจน
ที่มา:ข้อมูลจากโครงการวิจัยและประเมินผลการศึกษารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ กรณีศึกษาแรงงานนอกระบบในเขตพื้นที่ลาดกระบัง ประเวศ และวังทองหลาง
4.2 การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาและจำเลย
4.2.1 หลักสูตรแกนกลางการให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (สําหรับผู้ให้คําปรึกษา: การให้คำปรึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการภาวะเสพติด การให้คำปรึกษาครอบครัว)
ที่มา:https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12
4.2.2 หลักสูตรวิทยากรการให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล ที่มา:https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12
4.2.3 การให้คำปรึกษารายกลุ่มและการดูแลผู้รับคําปรึกษารายกรณี
ที่มา: https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12
4.2.4 คู่มือการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ไข)
4.2.5 รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลกรณีศึกษา ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เอกสารแนบ)
4.2.6 ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ไข)
4.3 แรงงานในสถานประกอบการ
4.3.1 การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพกาย ใจ และการเงิน แรงงานผ่านเครือข่าย HR ในสถานประกอบการต้นแบบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC
กิจกรรมที่เน้นการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพกาย ใจ และการเงินให้แก่แรงงานผ่านเครือข่าย HR ในสถานประกอบการต้นแบบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากร โดยมุ่งเน้นที่การสร้างสุขวัยทำงานและการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน ซึ่งผลของกิจกรรมได้แสดงดังนี้:
การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ HR: มีการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของเจ้าหน้าที่ HR จำนวน 50 คน เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจและสามารถสนับสนุนการสร้างสุขวัยทำงานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม
การดำเนินตามโปรแกรมสร้างสุขวัยทำงาน: มีการดำเนินการสำรวจสุขภาพจิตของพนักงานในสถานประกอบการทั้งหมด 9 แห่ง พบว่ามีปัญหาสุขภาพจิตเช่นความเครียด ซึมเศร้า และเสี่ยงฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวางแผนและดำเนินการในด้านสุขภาพจิต
การนิเทศติดตามผลการดำเนินงาน: มีการติดตามและเยี่ยมเสริมพลังแรงงานหลังจากการเข้าร่วมโครงการ ทำให้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมต่อสุขภาพและความพึงพอใจของพนักงาน
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรุปผล: มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสหภาพแรงงาน สหพันธ์ HR และกลุ่ม HR ในสถานประกอบการเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกาย ใจ และการเงินของแรงงานในองค์กร
ผลลัพธ์จากกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตในสถานประกอบการและแนวทางการดูแลสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการทำให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพของพนักงานในสถานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
4.3.2 หลักสูตรเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health Advisor) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และทัศนคติของบุคลากรในการให้คำปรึกษาสุขภาพ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพทั้งในสถานประกอบกิจการและประชาชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยโมดูลต่าง ๆ ดังนี้:
โมดูล 1 การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงาน
โมดูล 2 บทบาท หน้าที่เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม
โมดูล 3 เครื่องมือพื้นฐานเพื่อการดูแลสุขภาพ กาย ใจ สำหรับเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์
โมดูล 4 การบริหารจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล
โมดูล 5 การจัดการอารมณ์และความคิดสำหรับแรงงาน
โมดูล 6 การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ
โมดูล 7 การสร้างวัฒนธรรมเพื่อการสร้างสุขในสถานประกอบกิจการ
โมดูล 8 การรับฟังเชิงลึก
โมดูล 9 การสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
โมดูล 10 การวัดและประเมินผล
โดยทุกโมดูลจะช่วยเสริมสร้างทักษะและความเข้าใจในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถให้คำปรึกษาสุขภาพที่มีมุมมององค์รวมและเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
4.4 กลุ่มเปราะบางทั้งในชุมชนและสังคม
4.4.1 รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอําเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม (เอกสารที่เกี่ยวข้อง: Preventing suicide - A community engagement toolkit ของ WHO)
การพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วมเน้นการนำคู่มือ "Preventing suicide - A community engagement toolkit" ของ WHO เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินการ โดยสรุปข้อเสนอแนะหลัก ๆ ได้แก่:
1.การป้องกันการฆ่าตัวตายในชุมชน โดยเน้นมุ่งเป้าที่กลุ่มเสี่ยงเช่น วัยทำงานที่ว่างงาน รับจ้างทั่วไป หรือเป็นนักเรียน/นักศึกษา
2.การลดการรับข่าวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โดยการจัดการข่าวที่ถูกต้องและสร้างแรงสนับสนุนในการนำเสนอข่าวอย่างเหมาะสม
3.การปรับทัศนคติของประชาชน เพื่อให้กล้าขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย
4.การจัดการปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว เน้นที่ครอบครัวเป็นหน่วยที่สำคัญในการป้องกันการฆ่าตัวตาย
5.การให้บริการด้านสุขภาพจิตและการรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อเสริมความเข้าถึงและลดการนอนโรงพยาบาลช้า
6.การเพิ่มระบบการติดตามครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ทำร้ายตัวเองได้รับการดูแลและติดตามอย่างเหมาะสม
การดำเนินการเหล่านี้นั้นเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างหลายภาคส่วนของชุมชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายในระดับอำเภอ
4.4.2 คู่มือการนําโปรแกรมการทํางานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเพื่อป้องกันการกระทำซ้ำไปใช้ในพื้นที่ ชุมชน รวมทั้งการขยายพื้นที่ในการดำเนินโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทําความรุนแรงในครอบครัว เพื่อป้องกันการกระทําซ้ำ เป็นการสร้างคู่มือที่เน้นการพัฒนาและการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันการกระทำรุนแรงซ้ำซาก โดยเฉพาะสิ่งที่ได้ผลสำคัญมาก ได้แก่
การพัฒนาแกนนำและการอบรม: การจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และทักษะในการทำงานกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ผ่านโปรแกรมที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมเพื่อการดำเนินการในระยะยาว
การดำเนินงานตามโปรแกรม: การร่วมกันในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมกับครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมเยี่ยมบ้าน เยี่ยมบ้านเพื่อให้คำปรึกษา และการจัดค่ายครอบครัว เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีในครอบครัว
การพัฒนาคู่มือ: การดำเนินงานในขั้นตอน 4 ขั้นตอน โดยเน้นการยกร่าง การนำไปใช้ การประเมินผล และการปรับปรุงคู่มือ ซึ่งประกอบด้วยคำชี้แจง กรอบการใช้โปรแกรม และตัวอย่างกิจกรรม
ผลการศึกษาเหล่านี้ช่วยให้การทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวมีประสิทธิภาพและมีผลลัพธ์ที่ดีในการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในครอบครัวและชุมชนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อีกครั้ง
4.4.3 HOPE Task Force
"HOPE Task Force" เป็นทีมที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยมีความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมสุขภาพจิต และกองบังคับการปราบปราม โดยมีเป้าหมายในการป้องกันการกระทำร้ายแรงซ้ำ สำคัญอย่างมากเนื่องจากสอดคล้องกับการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างสุขภาพจิตให้คนไทยดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มชีวิตที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต
ทีม HOPE Task Force ประกอบไปด้วยผู้แทนจากกองบังคับการปราบปราม สถานีตำรวจ กรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาล ร่วมกับเพจเฟซบุ๊กยอดนิยม 3 แห่ง ได้แก่ "หมอแล็บแพนด้า", "Drama-addict", และ "แหม่มโพธิ์ดํา" ทีมจะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้:
การรับข้อมูล: ประชาชนส่งข้อมูลผ่านโลกโซเชียลไปยังเพจเฟซบุ๊ก 3 แห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม
การวางแผนช่วยเหลือ: หลังจากได้รับข้อมูล ทีมจะวางแผนร่วมกันเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยร่วมกับตำรวจและโรงพยาบาลในพื้นที่
การดูแลรักษาและบำบัด: จัดทีมติดตามและดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายซ้ำในอนาคต
ผลการดำเนินงานของ HOPE Task Force ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - ตุลาคม 2565 มีการให้บริการช่วยเหลือทั้งหมด 469 ราย โดยดูแลเยียวยา 390 ราย และมีการดำเนินงานในระยะถัดไป เช่น การจัดวางระบบรายงานบน LINE OA และเชื่อมการดําเนินงานกับประชาสัมพันธ์จังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงในการฆ่าตัวตายอย่างมีประสิทธิภาพ
4.4.4 การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้า D Mind
ระบบ D Mind เป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประเมินภาวะซึมเศร้าและให้บริการการดูแลสุขภาพจิตในหมอพร้อม โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการอยู่ทั้งหมด 47,710 ราย โดยในข้อมูลถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 มีผู้ที่ต้องการให้ดูแลเป็นจำนวน 876 ราย ซึ่ง
ประกอบด้วยผู้เสี่ยงสูง 642 ราย และผู้เสี่ยงปานกลาง 234 ราย
ในปัจจุบันระบบกำลังดำเนินการระยะติดตามโดยมีฟังก์ชัน SOS และ progress tracking เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับ CUNext (CU Wellness Center) เพื่อให้บริการแก่นิสิตในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ทำให้ระบบ D Mind เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเฝ้าระวังและให้การดูแลสุขภาพจิตในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.4.5 การสนับสนุนจัดทําคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน การดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง Standard Operating Procedures: SOPs Severe Mental Illness – High Risk to Violence (V - Care) การสนับสนุนจัดทำคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (Standard Operating Procedures: SOPs Severe Mental Illness – High Risk to Violence; V-Care) เป็นการปฏิบัติงานที่สำคัญที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมรุนแรงในสังคมไทย ซึ่งมาจากผู้ป่วยจิตเวชและผู้ใช้ยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูง (Severe Mental Illness–High Risk to Violence; SMI-V) โดยเน้นไปที่การค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน เพื่อให้ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม การส่งต่อผู้ป่วยไปยังบริการจิตเวชฉุกเฉิน และการดูแลในหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในทุกจังหวัด โดยการจัดทำคู่มือนี้เป็นโอกาสสำคัญในการขยายพันธมิตรการรักษาสุขภาพจิตและยาเสพติดเชิงรุกไปยังทุกจังหวัด เพื่อให้ส่งมอบสังคมที่ปลอดภัยแก่ประชาชน
ทั้งในด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยจิตเวช ครอบครัว และชุมชน และเป็นเครื่องมือช่วยให้บุคลากรที่ทำงานระดับจังหวัดเข้าใจบทบาทภารกิจตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลในโรงพยาบาลและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ โดยคู่มือนี้จะมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์และชุมชนที่ปลอดภัยโดยรวม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพจิตและยาเสพติดแบบร่วมมือและบูรณาการในทุกๆ ระดับ การจัดทำคู่มือนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของการรักษาสุขภาพจิตและการป้องกันการก่อความรุนแรงในสังคม
ที่มา:https://mhso.dmh.go.th/page/subject_details.php ข้อมูลจากการประมร่วมกับจิตแพทย์สถาบันกัลยาราชนครินทร์กรมสุขภาพจิต
3.4 งานวิจัยและประเด็นขับเคลื่อนภายในประเทศที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางงานสุขภาพจิต
3.4.1 งานวิจัยอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย ปี 2576
องค์กรที่ร่วมจัดทํางานวิจัย อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน ได้แก่
-กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
-สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
-สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
-ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่นจํากัด (Future Tales Lab by MQDC)
โดยมุ่งเน้นนําเสนอประเด็นปัญหาสําคัญสถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสําคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสําหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกับการเผยแพร่องค์ความรู้ออกสู่สาธารณะ ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยีเศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมถึงการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกัน
ผลการวิจัย แยกออกเป็น 5 ประเด็น ได้แก่
1. จะอยู่เฉยได้อย่างไร ในเมื่อโลกของเรามีจํานวนผู้ป่วยด้าน Mental Health มากกว่าผู้ป่วยมะเร็ง
2. 'เทคโนโลยีที่ใช่' เข้ามาช่วยดูแล-ป้องกัน-ฟื้นฟูสุขภาพจิตได้
3. ปัญหาสุขภาพจิตในเชิงลึกและเมกะเทรนด์ที่สามารถส่งผลกระทบรอบด้าน (รวมถึงต่อจิตใจ)
4. Future Scenarios : ภาพอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576
5. Guide to Action : ตัวอย่างข้อเสนอต่อการปฏิบัติสําหรับ 'ภาครัฐ'
3.4.2 บทความ Q and A ดูแลหัวใจไม่ให้ใครร่วงหล่น: เปลี่ยนระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายและทันท่วงที
¬คิด for คิดส์โดยความร่วมมือระหว่าง 101 PUB กับ สสส. ชวนตั้งคําถามและหาคําตอบ ทําไมผู้ป่วยซึมเศร้าไทยจึงไม่นับรวมเด็กอายุต่ำกว่า 15? ทําไมถึงมีผู้ป่วยเข้าถึงบริการเกิน 100%? แผนสุขภาพจิตตามยุทธศาสตร์ 20 ปีตอบโจทย์แล้วหรือยัง? การเพิ่มจิตแพทย์จะช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่? ระบบบริการสุขภาพจิตที่ดีควรเป็นอย่างไร? ในมุมของคนทํางานคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ตัวเลขสถิติต่างๆ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด?
¬ คนไทยฆ่าตัวตายมากกว่าที่เคยรู้กัน
รายงานการเฝ้าระวังการทําร้ายตนเองกรณีเสียชีวิต (รง506S) ของกรมสุขภาพจิตเปิดเผยถึงข้อมูลที่ทําให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาการฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยระบุว่ามีการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2019 จนถึงต้นปี 2020 โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหา
ส่วนตัว เช่น ความสัมพันธ์อาการเจ็บป่วยและการดื่มสุรา และมีการเพิ่มมากขึ้นของปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยเสี่ยงลําดับ โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้:
ในช่วงปี 2017-2022 จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในไทยเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จาก 5 แสนเป็น 1.5 ล้านคน
ปี 2022 มีคนไทยลงมือฆ่าตัวตายราว 3.5 หมื่นคน โดยทำสําเร็จได้ 13%ผู้ที่ฆ่าตัวตายสําเร็จส่วนใหญ่เป็นเพศชายและมีอัตราสูงสุดในกลุ่มผู้สูงอายุ
แต่เมื่อพิจารณาผู้พยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอัตราสูงสุดในวัยเรียนอายุ 15-19 ปีสูงถึง 224 คนต่อแสนประชากร มากกว่าวัยทํางานถึง 5 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงสําคัญ คือการมีประวัติทําร้ายตนเองมาก่อน และการป่วยด้วยโรคจิตเวชรายงานเหล่านี้เน้นให้ความสำคัญกับการเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยการดึงข้อมูลจากการเฝ้าระวังการทําร้ายตนเองในกรณีเสียชีวิต และการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการป้องกันและช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงได้อย่างเหมาะสม
¬ เด็กและเยาวชนถูกบั่นทอนด้วยโรคซึมเศร้ามากกว่าวัยอื่น
การเก็บรวบรวมข้อมูลล่าสุดในประเทศไทยในปี 2014 พบว่าโรคซึมเศร้ามีผลต่อเด็กและเยาวชนมากกว่าวัยอื่น โดยมีข้อสรุปสำคัญดังนี้:
โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุลำดับต้นๆในเพศหญิง: ข้อมูลแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรคซึมเศร้าในเพศหญิง ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงกว่าเพศชายในทุกช่วงวัย โดยมีการระบุว่าโรคนี้เป็นสาเหตุลำดับต้นๆในกลุ่มนี้
สัดส่วนของโรคซึมเศร้าสูงสุดในวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น: ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าโรคซึมเศร้ามีสัดส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในช่วงวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น โดยมีความสูงกว่าเพศชายในวัยเดียวกันถึง 2 เท่า
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมในปี 2014 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรคซึมเศร้าในเด็กและเยาวชนในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าในเพศชายทุกช่วงวัย โดยมีการระบุว่าโรคนี้เป็นสาเหตุลำดับต้นๆในกลุ่มเด็กและเยาวชนหญิง
สัดส่วนของโรคซึมเศร้าสูงสุดเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชนในช่วงวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าเพศชายในวัยเดียวกันถึง 2 เท่า
แนวโน้มข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่วัยเรียนเพื่อป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้า และเน้นการเข้าถึงบริการทางจิตเวชอย่างเหมาะสมในกลุ่มเป้าหมายนี้
ในทำนองเดียวกัน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาซึมเศร้าในเด็กและเยาวชนควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความเสี่ยงและการป้องกันอย่างเป็นระบบและอย่างกว้างขวาง
¬ เกณฑ์อายุขั้นต่ำที่บดบังปัญหาสุขภาพจิตเด็ก
องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าโรคจิตเวช มักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพลำดับ 2 ในเด็กและวัยรุ่นตอนต้นอายุ 5-14 ปีทั่วโลก
ในประเทศไทย ความคิดฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น 11-14 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายที่สูงกว่าวัยรุ่นตอนปลายอายุ 15-19 ปี
งานวิจัยชี้ว่าเด็กที่มีความคิดฆ่าตัวตายในช่วงวัยรุ่นตอนต้นมีแนวโน้มจะลงมือจริงในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย แสดงให้เห็นว่าตัวเลขของการพยายามฆ่าตัวตายที่สูงมากในวัย 15-19 ปีอาจไม่ได้เกิดจากการคิดสั้นอย่างที่คิดว่า แต่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
ในทำนองเดียวกัน ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเข้าใจเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและอย่างเหมาะสม
สถิติขององค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าโรคจิตเวชมักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพลำดับ 2 ในเด็กและวัยรุ่นตอนต้นอายุ 5-14 ปีทั่วโลก
ในประเทศไทย แนวโน้มเริ่มของความคิดฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น 11-14 ปี โดยมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าในวัยรุ่นตอนปลายอายุ 15-19 ปี
การกำหนดเครื่องมือคัดกรองโรคซึมเศร้าในเด็กในประเทศไทยได้ถูกจัดทำขึ้น โดยมีแบบคัดกรองที่ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่วัย 7 ขวบ และมีแบบคัดกรองขนาดกระชับสําหรับวัย 11-20 ปี ซึ่งถูกใช้ในโรงเรียนและระบบประเมินสุขภาพจิตออนไลน์อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเข้าใจเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและอย่างเหมาะสม
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาของการกําหนดตัวชี้วัดจิตเวชเด็กในบทความ เห็นตัวเลข ไม่เห็นหัวใจ: สถิติสุขภาพจิตไทยที่ต้องทบทวน
¬ บริการจิตเวชเหลื่อมล้ำและยังไม่ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่น
ในปี 2022 ไทยมีจิตแพทย์ 845 คน ซึ่งเป็นสัดส่วน 1.28 คนต่อแสนประชากร อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมีจำนวนน้อยเพียง 295 คนทั่วประเทศ
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ตามภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ สงขลา เป็นหลัก ทำให้เด็กและวัยรุ่นในจังหวัดเล็กมีการเข้าถึงบริการได้ยาก
ในการเข้าถึงบริการจิตเวช ผู้ป่วยในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นต้องเดินทางไกลและรอคอยนาน ซึ่งมักเป็นภาระที่หนักและมีความเสี่ยงที่จะถูกละเลย
มีความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริการจิตเวชที่ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่นอย่างเพียงพอ เพื่อให้การดูแลสุขภาพจิตเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงอายุเยาวชนได้และเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นขาดแคลนใน สุขภาพใจที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของเด็กและวัยรุ่นไทย
¬ กำลังสนับสนุนไม่เพียงพอ หมอก็ไปประจําอยู่ไม่ได้นาน
จากข้อมูลปัจจุบัน ไทยมีพยาบาลจิตเวชทั้งหมด 4,064 คน โดยมีพยาบาลจิตเวชเด็กและเยาวชนอยู่ 602 คน
อย่างไรก็ตาม อัตรากำลังบุคลากรในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ทำให้พยาบาลจิตเวชต้องรับผิดชอบงานทั่วไปด้วย
ภาระงานที่ล้นเกินจากที่เป็นความรับผิดชอบของพยาบาลจิตเวชทำให้มีปัญหาขาดแคลนบุคลากรเข้าไปเพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาและเสริมสร้างกำลังคนในด้านบุคลากรจิตเวชเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด
อ่านเพิ่มเติมเรื่องราวของพยาบาลจิตเวชกับการแบกภาระ ‘ตัวชี้วัด’ ใน ทําไมพยาบาลจิตเวชถึงไม่มีเวลาทํางานจิตเวช?
¬ แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติยุทธศาสตร์ 20 ปีที่ยังไม่ตอบโจทย์
การเพิ่มกำลังคนด้านสุขภาพจิต: แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติได้ระบุถึงการเพิ่มกำลังคนด้านสุขภาพจิต เพื่อให้มีบุคลากรพร้อมที่จะรับมือกับความต้องการของประชาชน แต่การดำเนินงานตามแผนนี้ยังไม่ได้รับการประเมินว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการจริงๆ ของสังคมหรือไม่
จุดบอดในการดำเนินงาน: เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของแผนงาน พบว่ายังมีจุดบอดหลายประการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุง เช่น การจัดสร้างพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสําหรับการรักษาโรคจิต การเข้าถึงบริการที่สะดวกสบายและมีคุณภาพสําหรับประชาชนทุกกลุ่ม
การไม่ตอบโจทย์หลายปัญหา: แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติยังไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาหลายๆ ด้านที่
เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมได้ในระยะยาว
ดังนั้น จำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับปรุงแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมและประชาชนได้อย่างเหมาะสมและเต็มที่
ความเหมาะสมของกำลังคน: ผลการดำเนินงานในระยะ 5 ปีแรกยังไม่สามารถผลิตบุคลากรสายสนับสนุนทางสุขภาพจิต เช่น พยาบาลจิตเวช ให้มากพอต่อความต้องการ ซึ่งมีผลทำให้ยังไม่สามารถให้บริการที่เพียงพอแก่ประชาชน
การแก้ไขปัญหา: ปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่ขาดแคลนบุคลากรเท่านั้น แต่ยังเกิดปัญหาการกระจุกตัวของบุคลากรในพื้นที่และปัญหาเกี่ยวกับการทำงานไม่ตรงตามความเชี่ยวชาญ เช่น การทำงานเสริมทำให้ไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ตอบโจทย์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างจริงจัง
การปรับปรุงแผนการดำเนินงาน: จำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงแผนการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและประชาชนได้อย่างเหมาะสมและเต็มที่ เพื่อให้บุคลากรสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเลิศในการให้บริการด้านสุขภาพจิต
¬ ดูแลสุขภาพใจไปทีละขั้น ลดปัญหาคอขวดที่โรงพยาบาล
การแก้ไขปัญหา: นโยบายปัจจุบันมุ่งหวังในการเพิ่มคุณภาพของบริการสุขภาพจิตโดยไม่จำเป็นต้องส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกล แต่ยังขาดแผนการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
ความต้องการการเปลี่ยนแปลง: ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาคอขวด
ที่โรงพยาบาล เนื่องจากยังคงใช้กรอบการเพิ่มศักยภาพในระบบเดิมซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความจำเป็นของการปรับเปลี่ยน: การปรับเปลี่ยนที่เรียบง่ายและทันสมัยจะช่วยลดปัญหาคอขวดที่โรงพยาบาลและประสิทธิภาพของบริการสุขภาพจิตให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล
ประเทศไทย มีตำแหน่ง “พนักงานสุขภาพชุมชน” (พสช.) ซี่งเป็นผู้ช่วยแพทย์และพยาบาลที่มีเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ผ่านการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตร ระยะเวลา 1 ปี
¬ ดูแลสุขภาพใจ ไม่ใช่แค่เรื่องในโรงพยาบาล
การคัดกรองแบบรุนแรง: การตอบสนองต่อปัญหาโรคซึมเศร้าโดยการเพิ่มการคัดกรองเชิงรุนแรงในหลายพื้นที่ เช่น การคัดกรองโดยอาสาสมัครในหมู่บ้าน โดยครูในโรงเรียน และผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์
การขยายแนวร่วมสหวิชาชีพ: การขยายแนวร่วมสหวิชาชีพเพื่อเข้าถึงคนในชุมชนโดยการฝึกให้คนทั่วไปมีทักษะในการดูแลจิตใจขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถดูแลคนในชุมชนได้อย่างทันท่วงที
¬Friendship Bench (2006)
โครงการ "Friendship Bench" เป็นโครงการที่ฝึก "คุณยาย" ในชุมชนให้เป็นผู้ให้การดูแลสุขภาพจิตกับผู้ป่วยซึมเศร้าในชุมชน โดยใช้เครื่องมือการบำบัดด้วยการแก้ไขปัญหา (Problem Solving Therapy - PST) โดยคุณยายจะเป็นตัวแทนที่ช่วยให้ผู้ป่วยซึมเศร้าระดับน้อยถึงปานกลางสามารถแก้ไขปัญหาทางจิตใจที่เผชิญอยู่ได้ด้วยตนเอง การให้การดูแลจิตใจจากคุณยายช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสนับสนุนและไม่เหงา และสามารถพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพต่อตนเองได้ โครงการนี้เน้นไปที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการดูแลสุขภาพจิตโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนเอง และเป็นการให้การดูแลสุขภาพจิตที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพในชุมชนในเครือข่ายของโครงการบน Friendship Bench โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีทรัพยากรทางการแพทย์ที่จำกัด การเป็นหนึ่งในแนวทางใหม่ในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในชุมชนที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศในการดูแลเพื่อป้องกันและบรรเทาภาวะซึมเศร้าในชุมชน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการรักษาทางการแพทย์แบบเดิม การให้การดูแลจิตใจที่บน Friendship Bench จึงมีความสำคัญในการลดความเดือดร้อนทางจิตใจในชุมชนและเสริมสร้างทักษะในการแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้าในระดับพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งในระยะยาว
¬ ดูแลหัวใจไม่ให้ใครร่วงหล่น ด้วยระบบบริการที่เข้าถึงง่ายและทันท่วงที
ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่ท้าทายระดับสากลและต้องการวิธีการและเครื่องมือใหม่ในการรับมือกับมันในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะปฏิบัติตามคำแนะนำเชิงนโยบายขององค์การอนามัยโลกในแทบทุกด้าน ระบบบริการสุขภาพจิตยังคงต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงใน 3 ด้านหลักต่อไปนี้:
1.ดูแลจิตใจตั้งแต่ยังไม่เกิดวิกฤต: การให้การดูแลสุขภาพจิตไม่ควรรอจนกว่าป้องกันและรักษาโรคจิตเวชในระดับต้นๆ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด การส่งเสริมสุขภาพจิตในที่ทำงาน หรือการให้การสนับสนุนทางจิตใจในชุมชน.
2.เพิ่มการเข้าถึงบริการอย่างเป็นระบบ: การให้บริการสุขภาพจิตควรถูกจัดเป็นระบบและมีการเข้าถึงที่ง่ายต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการคิวท์ออนไลน์หรือการให้บริการผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น แอปพลิเคชันที่ให้คำแนะนำหรือการสนับสนุนทางจิตใจออนไลน์
3.ให้การดูแลอย่างทันท่วงที: ระบบบริการสุขภาพจิตควรสามารถให้การช่วยเหลือและการรับบริการที่ทันท่วงทีแก่ผู้ที่ต้องการอย่างเร่งด่วน เช่น การให้บริการด้วยวิธีการทางไกลหรือการจัดหาบริการที่มีอยู่ใกล้บริเวณที่ต้องการในทันทีที่ต้องการ
3.4.3 ประเด็น“ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง”
การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เกี่ยวกับเรื่อง "ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง":
การสร้าง "สังคมไทยไร้ความรุนแรง" ที่ทุกคนสามารถมีสุขภาวะและสังคมที่มีความยั่งยืนทางสุขภาพจิตนั้น จำเป็นต้องพัฒนา "ระบบสุขภาวะทางจิต" ที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนและทุกระดับของสังคม ระบบนี้ควรครอบคลุมทักษะสุขภาพจิตส่วนบุคคล พฤติกรรม และวิถีชีวิต การรักษาโรคจิตเวช และการป้องกันโรคด้วยการป้องกัน โดยการออกแบบนโยบายที่ตรงตามหลักสากล และการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมสำหรับคนไทยทุกคน โดยการส่งเสริม ป้องกัน คัดกรอง รักษา และฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตที่ดี โดยไม่เว้นหลังใคร
ระบบสุขภาวะทางจิตควรครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม และต้องเป็นลำดับขั้นที่สอดคล้องกับทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับพื้นที่ วิถีชีวิต วัฒนธรรม กฎหมาย กติกา และหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล โดยมีลักษณะเป็นเชิงรุก เข้าถึงได้กระจายทั่วถึง และเป็นมิตรกับทุกคนในสังคม การพัฒนาระบบนี้จะช่วยลดปัญหาและจัดการปัจจัยที่ส่งผลให้การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนไม่เป็นธรรม และเพิ่มโอกาสและความหวังให้แก่ประชากรทุกกลุ่มที่มีและไม่มีอาการเจ็บป่วยในด้านสุขภาพจิต ที่สามารถมีสุขภาพจิตที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
3.5 งานวิจัยต่างประเทศที่น่าสนใจ
3.5.1 บทความ ยิ่งอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ปัญหาสุขภาพจิตและการใช้ความรุนแรงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
การวิจัยในหลายประเทศ พบว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายและพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการเสพติดปัญหาความผิดปกติทางอารมณ์และภาวะวิตกกังวลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยโดยชัดเจนในสังคม สรุปว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชากร และเป็นเหตุให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและผู้อื่นในสังคมได้เพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา:https://www.sdgmove.com/2021/11/10/warmer-global-worsen-mental-health-and-violence-problems/
3.5.2 “Harvard Study of Adult Development”
งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องความสุขของมนุษย์เป็นเรื่องที่ศึกษามายาวนานกว่า 79 ปีและยังคงทำต่อไป โดยการศึกษากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 724 คน ได้พบว่าความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นมาจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับครอบครัว มิตรภาพกับเพื่อน และสังคมรอบๆ เรา การมีความสัมพันธ์ที่ดีและรู้สึกเชื่อมั่นในความรักและความสนับสนุนจากผู้อื่นมีผลดีต่อสุขภาพจิตและความสุขทั่วไปของบุคคล นั่นหมายความว่าความสุขไม่ได้มาจากสิ่งของเยอะๆ หรือความเป็นเหนือคนอื่น แต่มาจากความสัมพันธ์ที่ดีและการเชื่อมั่นในความรักและความสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมรอบข้าง การมีชีวิตที่มีคุณภาพนั้นเกิดขึ้นเมื่อคนสามารถแบ่งปันความสุขและความเต็มใจให้กับผู้อื่นและรับความรักและสนับสนุนจากสิ่งรอบข้างอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตและความสุขในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในทุกๆ ช่วงของชีวิต
ที่มา:เว็บไซต์โครงการ https://www.adultdevelopmentstudy.org
อ้างอิง
เอกอนงค์ สีตลาภินันท์ .(2566).รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต.
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพลินพาดี ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เพลินพาดีและคณะ.(2566). รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต
เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ฉบับสมบูรณ์ .ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สุขภาพจิต
จิตใจ
เครื่องมือ/สื่อ/โปรแกรม
สุขภาวะทางจิต
แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต
แพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์
ประเด็นสุขภาพจิต
0 ถูกใจ 1.2K การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0