0

0

Admin nicky
บทนำ

สาระสำคัญส่วนนี้กล่าวถึง ทิศทางการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตผ่านงานวิจัย นวัตกรรม แผนงาน โครงการ โปรแกรม และสื่อ ในการสร้างเสริมสุขภาพจิต และแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ซึ่งดำเนินงานโดยกรมสุขภาพจิต และภาคีแผนงาน สสส. รวมถึงการพัฒนา translational research ในระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม และประชาชนได้อย่างเหมาะสมตามช่วงวัยของชีวิต รวมทั้ง กลุ่มประชากรเฉพาะกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในประเทศ และต่างประเทศที่น่าสนใจ สำหรับเป็นองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายและทันท่วงที ควบคู่กับการนำพาให้สังคมไทยไร้ความรุนแรง

3.1 การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประมวลองค์ความรู้สุขภาวะ เพื่อสนับสนุนการสื่อสาร และขยายผล

การรวบรวมข้อมูลเอกสารจากข้อมูลภายใน และภาคีที่ได้รับทุนสนับสนุนการดำเนินงานจากสำนักงานส่งเสริมสุขภาพจิตแห่งชาติ (สสส.) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำความเข้าใจและวิเคราะห์ภาพรวมของงานที่ดำเนินอยู่ในระดับแผนงาน โครงการ และศูนย์บริการข้อมูลต่าง ๆ ของสสส. ซึ่งเน้นไปที่เรื่องสุขภาพจิต โดยรวมมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตของประชาชนในประเทศไทย โดยการรวบรวมข้อมูลเหล่านี้สามารถทำได้จากหลายแหล่งที่มีความเกี่ยวข้อง

(1) ระดับแผนงาน : แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตปี พ.ศ.2559-2564

แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต โดย กรมสุขภาพจิต ดำเนินงานร่วมกับสสส. พบว่า

¬มีการรวบรวมชุดความรู้และเครื่องมือ: การรวบรวมความรู้และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตจากช่วงเวลาที่ผ่านมาช่วยให้มีข้อมูลฐานที่มั่นใจและเป็นประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการต่อไป

¬มีการรวบรวมสื่อและนวัตกรรม: การนำเข้าสื่อและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาช่วยให้การสร้างแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตมีการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารที่ทันสมัย

¬มีกรอบแนวคิดการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะ: การทบทวนและประมวลองค์ความรู้เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงแผนงาน เพื่อให้เกิดการแก้ไขและปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของสุขภาพจิต

¬มีการสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล: การสร้างแผนงานที่มีการสื่อสารอย่างเหมาะสมและมีการขยายผลเป็นตัวช่วยในการทำให้ความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพจิตเข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น

 

A.กรอบการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมเชิงประเด็นสุขภาพจิต

แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิตได้รับการสนับสนุนจาก สสส.โดยมีระยะการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความรู้และการนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทยต่อไป โดยมีจุดมุ่งหมายหลักดังนี้

ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2:

¬การกำหนดขอบเขตการดำเนินงานเน้นการนำความรู้ไปสู่การขยายผลกับภาคส่วนต่างๆ ของสังคม

¬การผลักดันนโยบายทางสังคมที่ส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพจิตของประชาชน

¬การส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาสุขภาพจิตในภาคส่วนต่างๆของสังคม

ระยะที่ 3:

¬การปรับขอบเขตการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตให้มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น

¬การดำเนินงานที่ใช้ความรู้ในการพัฒนาสุขภาพจิตไปสู่ระดับของภาคีและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสร้างเสริมสุขภาพจิตในสังคม

การดำเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในระยะที่ 3 มีข้อสังเกตสำคัญดังนี้:

1.การใช้คำนิยามและความหมายของ "สุขภาพจิต" ที่ถูกสร้างใหม่: แม้จะเป็นระยะที่ 3 แต่การใช้คำนิยามและความหมายของ "สุขภาพจิต" ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากระยะที่แผนงานเริ่มต้นในระยะที่ 1 ซึ่งยังคงเน้นความสำคัญของคำว่า "สุข" และการเสริมสุข โดยไม่มุ่งเน้นเพียงการลดทุกข์เท่านั้น

2.การใช้ทรัพยากรจากระยะที่แล้ว: แผนงานในระยะที่ 3 ใช้ทรัพยากรที่ได้มาจากระยะที่ 1 และ 2 ส่วนใหญ่ เพื่อเสริมสร้างและขับเคลื่อนการพัฒนาสุขภาพจิตในระยะต่อไป

3.การเลือกกลุ่มเป้าหมายและผู้รับการสร้างเสริมสุขภาพจิต: การดำเนินงานยังคงเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลุ่มผู้ใช้ความรู้และผู้นำความรู้สู่การปฏิบัติการ เป็นกลุ่มเฉพาะกลุ่มเดิมที่มีการพัฒนาความรู้และทักษะตลอดระยะเวลา

4.การใช้แบบแผนกระบวนการที่แตกต่าง: แผนงานฯ ใช้แบบแผนการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกระบวนการกลุ่มเสริมพลัง แทนการเสริมพลังเป็นรายบุคคล ซึ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่กลางเพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนและการกระตุ้นจากแรงกดดันจากกลุ่ม

5.การพัฒนาบุคลากร: การสร้างผู้นำการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยใช้องค์กรหลักทางวิชาชีพเป็นกลไกการทำงานและขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพจิต และการใช้กลไกทางการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา

6.การพัฒนาสื่อ: การพัฒนาสื่อที่สอดคล้องกับกลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริมสุขภาพจิต

7.การดำเนินงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการ: แผนงานในระยะที่ 3 มุ่งเน้นการทำงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการเป็นหลัก โดยไม่ใช้กลไกเชิงยุทธศาสตร์โดยตรง

8.การพัฒนาความรู้ผ่านกลุ่มตัวอย่างเชิงทดลอง: การพัฒนาความรู้ในแต่ละประเด็นผ่านกลไกเครือข่ายวิชาการที่ใช้กลุ่มตัวอย่างเชิงทดลอง เพื่อการนำความรู้ไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ

9.การดำเนินงานกับผู้บริหารและศาลอาญา: การใช้กลไกเชิงยุทธศาสตร์โดยตรงในการดำเนินงานกับผู้บริหารและศาลอาญาเพื่อขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างรวดเร็ว

10.การดำเนินการของแผนงานภายในระยะที่ 3 มีการเน้นการทำงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการ (Boundary Partner) เป็นหลัก: โดยไม่ตรงจับคู่กับกลไกเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partner) ที่จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเชิงนโยบายหรือการเคลื่อนงานไปยังหน่วยต่าง ๆ โดยตรง ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้:

1)นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนาสกุล ผู้จัดการแผนงานฯ มีตำแหน่งบริหารวิชาการในกรมสุขภาพจิต ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับกลไกยุทธศาสตร์ ทำให้การเคลื่อนงานไปในทิศทางของภาควิชาการของกระทรวงสาธารณสุขได้รับการขับเคลื่อนพร้อมกับแผนงานภายในระยะที่ 3

2)การขับเคลื่อนงานศาลอาญาเป็นการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกลไกยุทธศาสตร์โดยตรง ซึ่งเป็นกลไกที่เป็นผู้บริหารและตัดสินใจโดยตรง ทำให้สามารถขยายการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว

การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตทั้ง 2 รูปแบบ (แบบทางการและแบบไม่ทางการ) มีความแตกต่างกันในหลายด้านเชิงการวางกรอบและการมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์ดังนี้:

แบบทางการ:

¬การวางกรอบ: มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกและขั้นตอนทางวิชาการและระเบียบการที่เป็นทางการ

¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: เน้นการวัดและประเมินผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรหรือระบบ

แบบไม่ทางการ:

¬การวางกรอบ: มุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เจตจำนง หรือขั้นตอนที่เป็นทางไม่เป็นทางการ เช่น การเล่าเรื่องราว การแบ่งปันประสบการณ์ หรือกิจกรรมกลุ่มที่ออกเสียงอิสระ

¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจของบุคคล การพัฒนาความสัมพันธ์ การเสริมสร้างความเข้าใจและสอนรู้ และการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเข้าใจในตนเอง

ดังนั้น แบบทางการมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านการวางกรอบและการวัดผลที่มีลักษณะเป็นทางการ ส่วนแบบไม่ทางการมุ่งเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่อิสระและมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจและความสุขของบุคคลในระดับบุคคลและระดับกลุ่มโดยตรง

1. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการ

การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการเป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาภายใต้การปฏิบัติขององค์กรหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้

ข้อดี:

¬ความชัดเจนในการกำหนดกลยุทธ์และวิธีการทำงาน: มีกรอบแนวทางปฏิบัติการที่เป็นขอบข่าย และมีขั้นตอนการปฏิบัติการที่เข้าใจง่าย ซึ่งช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

¬การมุ่งเน้นเป้าหมายผลลัพธ์: มุ่งเน้นการวัดและประเมินผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรหรือระบบ

¬การพัฒนากระบวนการ: มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยทำให้หน่วยปฏิบัติการสามารถดำเนินงานกับกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิผล

ข้อจำกัด:

¬ข้อจำกัดในการติดตามผลลัพธ์: มีความยากลำบากในการติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิต โดยองค์กรหรือหน่วยงานอาจมีข้อจำกัดในการขอบุคลากรที่จะปฏิบัติงานโดยตรง

รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบทางการช่วยเสริมศักยภาพและความเข้มแข็งของหน่วยปฏิบัติการในการดำเนินงานต่อไป แต่ก็มีความยากลำบากในการติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยตรง

2. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการ

การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการเน้นการพัฒนาภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคม โดยมีลักษณะข้อดีและข้อจำกัดดังนี้:

ข้อดี:

¬การตอบสนองต่อความซับซ้อนของสังคม: กระบวนการทำงานนี้สามารถปรับตัวตามโครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มในพื้นที่ได้ เน้นการทำงานในบริบทของสังคมและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง

¬การพัฒนากระบวนการเชิงความสัมพันธ์: การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการใช้วิธีการปฏิสัมพันธ์กลุ่มและมุ่งเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ร่วมกัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ข้อจำกัด:

¬ความซับซ้อนและความเปลี่ยนแปลง: กระบวนการนี้มีความซับซ้อนในการทำงานและการปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจมีความยากลำบากในการควบคุมและการปรับตัว

¬การใช้ทรัพยากร: การพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพจิตต้องใช้ทรัพยากรมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาและความมีคุณภาพของบุคลากร

การสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกแบบไม่เป็นทางการช่วยสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฏิบัติการทางสังคม แต่ก็มีความยากลำบากในการจัดการและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

แสดงการเปรียบเทียบกลไกแบบทางการและกลไกแบบไม่ทางการ

B.การรวบรวมข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้เชิงประเด็นสุขภาพจิต

การรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์จัดกลุ่มความรู้และแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มวัย

ส่วนที่ 1: การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตแบ่งตามกลุ่มวัย (ปฐมวัย, วัยเรียน, วัยรุ่น, วัยทำงาน/ผู้ใหญ่):

-จำนวนรวม 45 เรื่อง

-การจัดกลุ่มความรู้และแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยมุ่งเน้นให้สอดคล้องกับความต้องการและลักษณะพิเศษของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ซึ่งรวมถึงการจัดการกับปัจจัยทางสังคมและสภาวะที่พบได้ในแต่ละกลุ่มวัย

1. กลุ่มปฐมวัย อายุ 0-5 ปี

1.1 คู่มือ/แนวปฏิบัติในการเยี่ยมบ้านของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอด

1.2 รายงานผลการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่ซึมเศร้าหลังคลอด

1.3 รายงานผลการศึกษา ต้นทุนประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัยใน พื้นที่ทุรกันดาร (cost-effectiveness study of DSPM-based Preschool Parenting Program :Triple-P)

2. กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี

2.1 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยเรียน “การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต ป.1-ป.6”

ที่มา1.https://www.jitdee.com/downloads/Life%20Skill13/ 2.https://www.jitdee.com/downloads/Life%20Skill4-6/)

2.2 คู่มือ 6 คำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์สำหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้

ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/026quationforlifeskill.pdf

2.3 สื่อการเรียนรู้แบบเสียง พร้อมคู่มือ ชุด “พ่อแม่เลี้ยงบวก” เป็นรูปแบบละครสั้น(เสียง) จบในตอน และรูปแบบละครสั้น(เสียง)จบในตอน  ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/PositiveParent/

2.4 คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่ ที่มา:www.jitdee.com

2.5 รายงานผลการศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัว และโรงเรียนเพื่อการปรับ พฤติกรรมเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม (SAFE B-MOD) ในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร

3. กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี

3.1 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”

ที่มา:https://www.jitdee.com/downloads/resilience

3.2 คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/guide/

3.3 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่น ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/05talkteen.pdf

3.4 สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า) คุยกับลูกเรื่องเพศ  ที่มา: https://www.jitdee.com/downloads/05talkteen.pdf

3.5 คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่

3.6 รายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มฝึกสติ เพื่อการยอมรับและพัฒนา (โปรแกรมจับใจ) ต่อปัญหาทางอารมณ์และ พฤติกรรมในวัยรุ่น

3.7 “กำแพงพักใจ” การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่น เชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล การส่งต่อแบบไร้รอยต่อ เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน

3.8 ภาพยนตร์สั้นบำบัด เพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงบวก ลดภาวะความเครียดและปรับเปลี่ยนวิธีการเผชิญกับปัญหาสำหรับกลุ่มนักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวด้วยการใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM

3.9 เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึกสำหรับชาวดิจิทัลโดยกำเนิดในโลกออนไลน์ (Deep Listener)

ที่มา : https://moommong.com/deep/learn

3.10 งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ต่อความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา

4. กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี และกลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี

4.1 ระบบงานสุขภาพจิตในโรงเรียนบนระบบดิจิตัล “School Health HERO” เชื่อมระหว่างกรมสุขภาพจิตกับสพฐ. โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทย (FIRST-EPISODE PSYCHOSIS INTERVENTION PROGRAM)

4.2 หลักสูตรออนไลน์การดูแลเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อนำไปเชื่อมต่อ “School Health Hero Platform” ที่มา :ระบบงานสุขภาพจิตโรงเรียนบนระบบดิจิตัล “School Health HERO”เชื่อมระหว่างกรมสุขภาพจิตกับ สพฐ.http://learning.hero-app.in.th/manual_school_admin

4.3 โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด .. ภัยรังแก) ANTIBULLY PROGRAM

4.4 เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS)

4.5 คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ

4.6 รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้: กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Standardized Achievement Test for Thai Learners)

5. กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่

5.1 หมวดงานปรับพฤติกรรมสุขภาพ

1) สร้างสุขด้วยการปรับพฤติกรรม(ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: Motivation Theory, Transtheoretical Model, Personal Action Plan)

2) คู่มือและสื่อการเรียนรู้ปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับบุคลากรสาธารณสุข ที่มา : https://www.jitdee.com/downloads/Change

3) คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสำหรับบุคลากรสาธารณสุขใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกเบาหวาน  ที่มา : https://www.jitdee.com/downloads/14ChangeDM.pdf

4) เว็บไซต์ www.go2change.com การปรับพฤติกรรมสุขภาพ

5) Application “สร้างสุขภาพ”

5.2 หมวดงานสำนักงานศาลยุติธรรม

1) งานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล   (ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: Methods of Counseling, Motivation Theory, Transtheoretical Model, Personal Action Plan)

2) หลักสูตรแกนกลางการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล(สำหรับผู้ให้คำปรึกษา: การให้คำปรึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการภาวะเสพติด การให้คำปรึกษาครอบครัว)

3) หลักสูตรวิทยากรให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล

4) การให้คำปรึกษารายกลุ่มและดุแลผู้รับคำปรึกษารายกรณี

5) คู่มือการดำเนินงานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล

6) รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล กรณีศึกษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

7) ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล

5.3 หมวดสหวิชาชีพ

1) หลักสูตรส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตสำหรับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย สร้างเสริมสุขภาวะด้วยการเรียนรู้แบบ Transformative Learning 1 หลักสูตร โดย (Draft 1) ประกอบด้วย 2 module ได้แก่ Module 1 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน-วัยสูงอายุ (Ottawa Charter Motivation Theory, Counseling)  และModule 2 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยปฐมวัย-วัยเรียน-วัยรุ่น

5.4 หมวดประเมินเพิ่มสุขสดทุกข์ในระดับบุคคลและชุมชน

1) เครื่องมือประเมินสร้างสุขลดทุกข์ด้วยตนเอง  ที่มา : www.jitdee.com

2) Application ความสุขคนไทย

3) คู่มือและแผ่นพับบัญญัติสุข 10 ประการ

4) Application /อุปกรณ์ “เซียมซีความสุข”

5.5 หมวดวัดและชุมชน

1) หนังสือวัดเพื่อพัฒนาเยาวชนและครอบครัว  ที่มา : www.jitdee.com

2) รายงานการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์โรงพยาบาล และชุมชนในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย

5.6 หมวดชุมชนและกลุ่มเปราะบางในชุมชน

1) รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม

2) คู่มือการนำโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำนำไปใช้ในพื้นที่ชุมชนและขยายผลพื้นที่ได้

ส่วนที่ 2 การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย และทบทวนองค์ความรู้

ส่วนที่ 2: การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย (ระดับนโยบาย) และทบทวนองค์ความรู้:

-จำนวนรวม 15 เรื่อง

-การนำเสนอแผนงานที่เน้นการพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิตและความสุขคนไทยในระดับนโยบาย และการทบทวนและปรับปรุงองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิตของประชากรไทย

การจัดกลุ่มความรู้และแผนงานในทั้งสองส่วนนี้เป็นการวางแผนที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการและบริบทที่พบเจอในสาขาสุขภาพจิตของประชากรไทยในแต่ละกลุ่มวัยและระดับนโยบายที่ต่างกัน

2.1 ระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย

1) คู่มือสร้างสุขระดับจังหวัด  ที่มา : www.jitdee.com

2) รายงานการทบทวนองค์ความรู้และวิเคราะห์สถานการณ์เรื่องการประเมินสุขภาพจิต(ความสุข) คนไทย

3) รายงานประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561-2580) ระยะที่ 1 (พ.ศ.2561-2565) และการประเมินแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) ของกรมสุขภาพจิต ในวาระแรก ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565)

4) รายงานการสำรวจความสุขคนไทย 2561

2.2. งานแปลข้อมูลจากต่างประเทศและทบทวนองค์ความรู้ และจัดทำรายงาน

1) แปลเอกสารวิชาการ Promoting Mental Health Summary Report

2) แปลเอกสารวิชาการ preventing of mental disorder summary report WHO2004

3) แปลเอกสารวิชาการ social determinant of mental health _WHO2014

4) แปลเอกสารวิชาการWHO - Risk reduction of cognitive decline and dementia 2019

5) ทบทวนวรรณกรรมเรื่องเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็ก (adverse childhood experience)

6) รายงานการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มของมารดาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็กและบทบาทหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกของมารดาและการเกิดปัญหาพัฒนาการล่าช้าหรือทางจิตเวชของลูก

7) รายงานความชุกของเหตุการณ์รุนแรงในวัยเด็กในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชและผู้ป่วยติดสารเสพติคและมุมมองเกี่ยวกับความสุขและความสำเร็จในชีวิต

8) ทบทวนองค์ความรู้ Cannabis psychosis: risk and protective factor

9) ทบทวนองค์ความรู้ผลกระทบของเด็กและวัยรุ่นจากการที่มีมารดาป่วยเป็นโรคทางจิตเวช

10) ทบทวนวรรณกรรม pesticide กับสุขภาพจิต

11) ทบทวนเพศภาวะกับสุขภาพจิต

 

 

C.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มวัย

กลุ่มปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้:

1.คู่มือ/แนวปฏิบัติในการเยี่ยมบ้านของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอด:

เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและความมั่นคงของแม่และทารกในช่วงสำคัญของชีวิต

ช่วยให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมมีคำแนะนำและแนวทางในการให้การดูแลที่เหมาะสมสำหรับแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอดและทารก

2.รายงานผลการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่ ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวกในเด็กปฐมวัยใน พื้นที่ทุรกันดาร (ost-effectiveness study of DSPM-basedซึมเศร้าหลังคลอด:

เป็นการศึกษาที่วิจัยประสิทธิผลของโปรแกรมการช่วยเหลือแม่และโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการในเด็กปฐมวัยในพื้นที่ทุรกันดารอช่วยให้ข้อมูลเชิงกลุ่มเกี่ยวกับประสิทธิผลของโปรแกรมทั้งสองต่อการพัฒนาของเด็กและสุขภาพจิตของแม่

3.รายงานผลการศึกษา ต้นทุน Preschool Parenting Program :Triple-P):เป็นการศึกษาที่วิจัยค่าใช้จ่ายของโปรแกรมการพัฒนาพ่อแม่ในการดูแลเด็กที่อายุต่ำกว่าวัยเรียน ช่วยให้ผู้บริหารและนักวิจัยทราบถึงความสำคัญของการลงทุนในโปรแกรมการพัฒนาพ่อแม่เพื่อสร้างผลประโยชน์ที่ยั่งยืนในการพัฒนาเด็กและครอบครัว

กลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้

1.สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยเรียน “การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต ป.1-ป.6”:

เป็นเครื่องมือที่มีสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจและน่าสนใจสำหรับเด็กวัยเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะชีวิตและการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ผ่านการ์ตูนที่มีความเข้าใจง่าย

2.คู่มือ 6 คำถามสร้างทักษะชีวิต: ประสบการณ์สำหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้:

เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูมีแนวทางในการสร้างทักษะชีวิตให้กับนักเรียนในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้

3.สื่อการเรียนรู้แบบเสียง พร้อมคู่มือ ชุด “พ่อแม่เลี้ยงบวก” เป็นรูปแบบละครสั้น(เสียง)จบในตอน:

เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกด้วยเรื่องราวและเสียงที่น่าสนใจ

4.คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่:

เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจและจัดการกับพื้นที่ในบ้านและการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเหมาะสม

5.รายงานผลการศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัว และโรงเรียนเพื่อการปรับ พฤติกรรมเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรม (SAFE B-MOD) ในพื้นที่ขาดแคลนทรัพยากร:

เป็นการศึกษาที่วิจัยประสิทธิภาพของโปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรับพฤติกรรมของเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมในพื้นที่ที่ขาดแคลนทรัพยากร  ที่มา : www.jitdee.com

กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่อไปนี้:

1.สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”:

2.เครื่องมือที่ช่วยเสริมความเข้มแข็งทางจิตในวัยรุ่นผ่านสื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์และคู่มือที่เป็นประโยชน์

คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ: เครื่องมือสำหรับครูในการให้คำแนะนำและปฏิบัติต่อนักเรียนในวัยรุ่น

สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิค

3.การคุยกับลูกวัยรุ่น: เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่และผู้ปกครองในการสื่อสารและเข้าใจลูกในวัยรุ่น 

สื่อการเรียนรู้วีดีทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า)

4.คุยกับลูกเรื่องเพศ:เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่ในการสนับสนุนสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศของลูก

5.คู่มือถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่:

เครื่องมือที่ช่วยพ่อแม่ในการจัดการพื้นที่และสนับสนุนการเรียนรู้ของวัยรุ่น

6.รายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มฝึกสติ เพื่อการยอมรับและพัฒนา (โปรแกรมจับใจ):

การศึกษาที่ตีความผลของโปรแกรมการฝึกสติที่ช่วยให้วัยรุ่นยอมรับและพัฒนาตนเองในด้านทางอารมณ์และพฤติกรรม

7.“กำแพงพักใจ”:โครงการที่มุ่งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการการปรึกษาให้แก่วัยรุ่น โดยรวมเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลและบริการในโรงพยาบาลเพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน

8.ภาพยนตร์สั้นบำบัด:ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมคุณค่าเชิงบวก ลดความเครียด และช่วยให้นักศึกษาปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวปรับตัวและเผชิญกับปัญหาของตนเอง โดยใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM

9.เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึก:เครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยชาวดิจิทัลในการฟังและเข้าใจปัญหาและความรู้สึกอย่างลึกซึ้งในโลกออนไลน์ ที่มา :https://moommong.com/deep/learn

10.งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์:งานวิจัยที่ศึกษาผลของการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาออนไลน์เพื่อลดระดับความเครียดและคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา ที่มา : www.jitdee.com

กลุ่มวัยเรียน 6-12 ปี และวัยรุ่น 13-24 ปี มีการพัฒนาและนำเสนอหลากหลายโครงการและเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิต ดังนี้:

1.ระบบงานสุขภาพจิตในโรงเรียนบนระบบดิจิตัล "School Health HERO": เป็นระบบที่เชื่อมโยงระหว่างกรมสุขภาพจิตกับสพฐ. เพื่อสนับสนุนการดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิตในโรงเรียน ทำให้ข้อมูลและบริการสามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น

2.หลักสูตรออนไลน์การดูแลเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์: เป็นการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ที่เน้นการดูแลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อเสริมสร้างทักษะและเครื่องมือในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงวัยเป็นอันดับแรก

3.โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด .. ภัยรังแก): เป็นโปรแกรมที่เน้นการป้องกันและช่วยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยจากการรังแก มุ่งเสริมสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเรียน

4.เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS): เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินและวินิจฉัยภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น ช่วยให้ผู้ดูแลรับรู้และให้การช่วยเหลือที่เหมาะสม

5.คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ: เป็นคู่มือที่เน้นการให้คำแนะนำและการสนับสนุนเชิงจิตวิทยาให้กับเด็กและเยาวชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางจิตใจที่รุนแรง

6.รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย: เป็นการศึกษาที่วิเคราะห์และกำหนดเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยและการวางแผนการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษในการเรียนรู้

กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ แบ่งเป็น 6 หมวด

1. หมวดงานปรับพฤติกรรมสุขภาพ

กลุ่มวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีเครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่สำคัญดังนี้:

¬สร้างสุขด้วยการปรับพฤติกรรม: การสร้างความเข้าใจในการปรับพฤติกรรมที่เป็นสุขสำหรับบุคลากรผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ

¬คู่มือและสื่อการเรียนรู้ปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับบุคลากรสาธารณสุข: เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลและแนวทางในการปรับพฤติกรรมสุขภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพของตนเองและผู้ที่ได้รับบริการ

¬คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสำหรับบุคลากรสาธารณสุขใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกเบาหวาน: ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในการรักษาและปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานในคลินิกทางการแพทย์

¬เว็บไซต์ www.go2change.com การปรับพฤติกรรมสุขภาพ: เป็นแหล่งข้อมูลและแพลตฟอร์มการเรียนรู้เกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่มีเนื้อหาหลากหลายและสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต

¬Application “สร้างสุขภาพ": แอพพลิเคชั่นที่ให้คำแนะนำและแนวทางในการปรับพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามและบริหารจัดการสุขภาพของตนเองได้ในทุกวัน

2. หมวดงานสำนักงานศาลยุติธรรมมีบทบาทสำคัญในการให้บริการคำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล เพื่อสนับสนุนการดำเนินคดีและการยุติคดีอย่างเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้:

¬งานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้กับผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการทางกฎหมายเพื่อช่วยเสริมสร้างสภาพจิตใจที่เหมาะสมในการเผชิญหน้ากับปัญหาทางกฎหมาย

¬หลักสูตรแกนกลางการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมความรู้และทักษะของผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาที่มีคุณภาพ รวมถึงการจัดการภาวะเสพติดและการให้คำปรึกษาครอบครัว

¬หลักสูตรวิทยากรให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลเพื่อให้การประสานงานและการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ

¬การให้คำปรึกษารายกลุ่มและดูแลผู้รับคำปรึกษารายกรณี: การจัดการและให้คำปรึกษากับกลุ่มผู้รับบริการที่มีความต้องการเฉพาะเรื่องและการดูแลบุคคลรายกรณีตามความเหมาะสม

¬คู่มือการดำเนินงานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: คู่มือที่ช่วยในการปฏิบัติงานและให้บริการในด้านคำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลอย่างมีประสิทธิภาพ

¬รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล กรณีศึกษา ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา: การศึกษาและรายงานผลเพื่อปรับปรุงกระบวนการให้บริการและเสริมสร้างคุณภาพการให้คำปรึกษา

¬ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล: การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อการจัดการข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมอย่างมีประสิทธิภาพในระบบศาล

3. หมวดสหวิชาชีพ เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของประชากรผ่านหลักสูตรที่เน้นการเรียนรู้แบบ Transformative Learning ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:

หลักสูตรส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตสำหรับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย: เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบ Transformative Learning เพื่อสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจให้กับทีมสหวิชาชีพและผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 2 module

Module 1 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน-วัยสูงอายุ: โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ Ottawa Charter Motivation Theory และ Counseling เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย

Module 2 หลักสูตรสำหรับผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมายวัยปฐมวัย-วัยเรียน-วัยรุ่น: มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายในช่วงวัยทำงาน-วัยสูงอายุ

โดยหลักสูตรเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาวะจิตใจให้กับทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย ซึ่งเป็นการเข้ามาช่วยสนับสนุนและเสริมสุขภาพจิตในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกช่วงวัยของประชากร

4. หมวดประเมินเพิ่มสุขสดทุกข์ในระดับบุคคลและชุมชน มีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและชุมชน ดังนี้:

¬เครื่องมือประเมินสร้างสุขลดทุกข์ด้วยตนเอง: เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บุคคลสามารถประเมินสุขภาพทางจิตและการรับมือกับความเครียดหรือทุกข์ใจได้ด้วยตนเอง โดยสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน เช่น การจัดกิจกรรมในชุมชน การจัดค่าย หรือการประชุม

¬Application "ความสุขคนไทย": เป็นแอปพลิเคชันที่มุ่งเสนอเครื่องมือและข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินสุขภาพจิตและการบริหารจัดการความเครียดในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนไทย

¬คู่มือและแผ่นพับบัญญัติสุข 10 ประการ: เป็นเอกสารที่นำเสนอหลักสูตรสำหรับการสร้างสุขภาวะที่ดีทางจิตใจ โดยให้คำแนะนำและข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาความสุขในทุกด้านของชีวิต

¬Application/อุปกรณ์ "เซียมซีความสุข": เป็นเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยในการสนับสนุนการบริหารจัดการความเครียดและการเสริมสุขภาวะ มีคำแนะนำและเคล็ดลับเพื่อส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให้กับผู้ใช้

การใช้เครื่องมือและแอปพลิเคชันเหล่านี้ช่วยให้บุคคลและชุมชนมีทักษะในการประเมินและจัดการกับสุขภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปแบบที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ง่ายในชุมชนและระดับบุคคล

5. หมวดวัดและชุมชน มุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชนและระดับบุคคล ดังนี้:

¬หนังสือวัดเพื่อพัฒนาเยาวชนและครอบครัว: เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยในการวัดและพัฒนาสุขภาพจิตของเยาวชนและสมาชิกในครอบครัว โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวและการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาทางจิตใจ  ที่มา : www.jitdee.com

¬รายงานการส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์โรงพยาบาล และชุมชนในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรังและระยะสุดท้าย: มุ่งเน้นการสนับสนุนและเสริมสร้างบทบาทของพระสงฆ์ในการให้การช่วยเหลือและการสนับสนุนทางจิตใจให้แก่ผู้ป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมจากชุมชนในการดูแลและสนับสนุนผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงและระยะสุดท้าย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและสนับสนุนให้ผู้ป่วยรู้สึกมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตของตน

6. หมวดชุมชนและกลุ่มเปราะบางในชุมชน มีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาทางจิตใจในกลุ่มที่เปราะบาง ดังนี้:

¬รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม: เป็นการสร้างการเข้าร่วมและร่วมมือกันของชุมชนในการวางแผนและดำเนินการเพื่อป้องกันและระบาดปัญหาการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมและจิตใจที่มีความรุนแรงและต่อเนื่อง

¬รายงานเชิงรุกและการแก้ไขและรับมือกับปัญหานี้จากภาครัฐและชุมชนคู่มือการนำโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างความเข้าใจและการจัดการกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการเกิดการกระทำผิดซ้ำและสนับสนุนให้ผู้กระทำมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น  การใช้คู่มือนี้ในพื้นที่ชุมชนช่วยให้มีการรับรู้และการกระทำที่เข้มงวดเพื่อป้องกันความเสี่ยงและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับสมาชิกในครอบครัว

 

 

D.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต แบ่งตามระบบเชิงนโยบาย

การพัฒนาระบบข้อมูลและการนำเสนอข้อมูลที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของคนไทยและประชากรทั่วไป ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:

1.ระบบข้อมูลสุขภาพจิต/ความสุขคนไทย: เน้นการเสนอคู่มือและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการสร้างสุขภาพทางจิตและการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย รวมถึงการประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติและรายงานการสำรวจความสุขของคนไทย

2.งานแปลข้อมูลจากต่างประเทศและทบทวนองค์ความรู้ และจัดทำรายงาน: การรวบรวมและแปลเอกสารวิชาการเกี่ยวกับสุขภาพจิตจากองค์กรระดับโลกเพื่อเพิ่มข้อมูลและความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตและปัญหาที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิต การป้องกันโรคจิตเภทต่าง ๆ และผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ต่อสุขภาพจิต

2.ระดับโครงการต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนทุนจาก สสส.

A.การรวบรวมข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้

 คู่มือ/เครื่องมือ/วิชาการและสื่อที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและการเติบโต 

1.กลุ่มวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) มีดังนี้:

1.1 ชุดเครื่องมือส่งเสริมการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต "การเดินทางบนเกาะปลาวาฬ": เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะและการเติบโตของวัยรุ่นผ่านกิจกรรมการเดินทางและการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ซึ่งสามารถช่วยให้วัยรุ่นรู้จักตนเองและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้

1.2 แพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ Facebook Closed Group: เป็นช่องทางการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างวัยรุ่นในกลุ่มที่มีปัญหาทางจิตใจหรือต้องการความช่วยเหลือ โดยการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์นี้สามารถสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์และคำปรึกษากันระหว่างเพื่อนร่วมกลุ่ม

1.3 สถานีตรวจวัดสุขภาพจิตเยาวชน 15 ปี: เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นสามารถได้รับบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตอย่างรวดเร็วและสะดวก และสามารถเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำในการดูแลสุขภาพจิตได้โดยไม่มีความล่าช้าหรือยุ่งเหยิง

1.4 สำรวจสาเหตุ "ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น": เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาซึมเศร้าในวัยรุ่น เพื่อให้สามารถพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสม

2. กลุ่มวัยเรียน (อายุ 6-12 ปี) และวัยรุ่น (อายุ 13-24 ปี) เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพื่อการเติบโตและพัฒนาของผู้เรียน มีดังนี้:

2.1 กิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: การส่งเสริมกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมในวัยเรียนช่วยให้พัฒนาการร่างกายและสุขภาพทั้งกายและจิต เช่น การเล่นกีฬา การท่องเที่ยว หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เน้นการเคลื่อนไหวและการเพลิดเพลินที่สร้างความสุขและลดความเครียด

2.2 คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้คำปรึกษาเข้าใจและสามารถให้การสนับสนุนแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตให้กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการให้คำปรึกษาที่ถูกต้องและเหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตและการปรับตัวให้กับนักเรียนได้ดีขึ้น

3.กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ มีความสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้:

3.1 คู่มือสร้างสุขลดทุกข์แรงงานนอกระบบ/คนจนเมือง: ชุดคู่มือนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพจิตของแรงงานที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ยากและคนจนในเมือง โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งทั้งทางจิตและทางกายของกลุ่มเหล่านี้ โดยมีคำแนะนำและกิจกรรมที่ช่วยให้พัฒนาทักษะและเครือข่ายในการดูแลและสนับสนุนตนเองและกันเองในสภาพทุกข์ยากต่าง ๆ

3.2 การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ: การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ เน้นการวิเคราะห์ความต้องการและการปรับปรุงระบบเพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการรักษาและดูแลสุขภาพจิตของผู้ต้องขัง

3.3 สุขภาพจิตดีมีพลัง สุขภาพจิตพังมีทางแก้: การสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาพจิตเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดจากสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ในชุมชน โดยการส่งเสริมการเสริมสุขภาพจิตและพัฒนาทักษะด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสมให้กับผู้ที่อยู่ในสภาพเสี่ยง เช่น การเรียนรู้การจัดการความเครียดและการเรียนรู้ทักษะการเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิต

4.กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน/ผู้ใหญ่

"บ่อจอย (บ่อแห่งความสุข)" เป็นโครงการหนึ่งที่มุ่งเน้นการสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ โดยเน้นไปที่แนวคิดของความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน เช่น การสร้างความสุขในสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การฝึกสมาธิและการเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพที่ดี โดยโครงการนี้อาจจะให้บริการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษาสุขภาพจิต กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสุขภาพจิต หรือการสร้างพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและสร้างความสุขในชีวิตประจำวันของกลุ่มเหล่านี้ โดยเน้นการกระจายข้อมูลและการสร้างเครือข่ายที่สนับสนุนกันอย่างเชื่อถือได้ในการพัฒนาความเข้มแข็งทางสุขภาพจิตของผู้เข้าร่วมโครงการ

5.กลุ่มผู้สูงอายุ

"สุขภาพจิตผู้สูงอายุ ดูแลสร้างสุขอย่างเข้าใจ" เป็นการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยการให้บริการและดูแลอย่างเข้าใจตามความต้องการและลักษณะพิเศษของกลุ่มผู้สูงอายุ โครงการนี้อาจจะรวมการให้คำปรึกษาสุขภาพจิต การจัดกิจกรรมที่เน้นการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิต เช่น การออกกำลังกาย เรียนรู้ หรือกิจกรรมสังสรรค์ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่มีคุณภาพและความสุขที่ดีในวัยที่มั่นคง การสร้างเครือข่ายที่เชื่อถือได้ในชุมชนและการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนย่อมเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในระยะยาว

6.กลุ่มวัยเรียน/วัยรุ่นและวัยทำงาน/ผู้ใหญ่

"บทเรียนและแนวทางการดำเนินงานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการสำหรับชุมชนท้องถิ่น" เป็นการสร้างแนวทางและบทเรียนที่เน้นการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชนท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับการทำให้ทุกคนในชุมชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตและวิธีการดูแลรักษาสุขภาพจิตของตนเอง และผู้ร่วมชุมชน โดยเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ในการดูแลสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี เช่น การสร้างพื้นที่สาธารณะที่สวยงามและเป็นสิ่งสร้างสรรค์ เสริมสร้างความร่วมมือในชุมชน และการสนับสนุนกิจกรรมที่เน้นการเชื่อมโยงและสร้างสัมพันธภาพในชุมชนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความเข้มแข็งของชุมชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืนในระยะยาว 

B.การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้และสังเคราะห์องค์ความรู้ แบ่งตามกลุ่มวัย

กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี             

คู่มือและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี มีความสำคัญดังนี้:

¬คู่มือการสร้างกิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: เป็นคู่มือที่มุ่งเน้นการสร้างกิจกรรมที่เสริมสร้างสุขภาพจิตและเสริมทักษะทางด้านกายให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชนไทย

¬คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นคู่มือที่ให้แนวทางและเครื่องมือสำหรับการให้การปรึกษาแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม

การมีคู่มือและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี มีผลที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาการทั้งทางกายและจิตให้กับเด็กในช่วงวัยนี้อย่างเหมาะสมและสมดุล ช่วยให้พวกเขาพร้อมรับมือกับความท้าทายและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความมั่นคงและสมดุล

กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี ดังนี้:

¬ชุดเครื่องมือส่งเสริมการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต "การเดินทางบนเกาะปลาวาฬ": เป็นชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการฝึกปฏิบัติและเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านการเล่นเกม                                 ที่มา: https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/vAoV

¬แพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ Facebook Closed Group: เป็นพื้นที่ที่ให้กลุ่มวัยรุ่นมีสิทธิในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตผ่านการใช้งาน Facebook Closed Group ซึ่งมีผลส่งเสริมสร้างความรับผิดชอบและการร่วมมือในการดูแลสุขภาพจิตของกลุ่มวัยรุ่น

¬สถานีตรวจวัดสุขภาพจิตเยาวชน 15 ปี: เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพจิตในกลุ่มเยาวชน มีความสำคัญในการเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และวางแผนการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนในอนาคต   ที่มา:https://resourcecenter.thaihealth.or.th/

¬การสำรวจสาเหตุ "ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น": เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นการสำรวจและการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาซึมเศร้าในกลุ่มวัยรุ่น มีความสำคัญในการให้ข้อมูลเพื่อการวางแผนและการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและการรักษาสุขภาพจิตของวัยรุ่นในอนาคต

ที่มา:หนังสือพิมพ์ 2022 โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์สังคม (UNC) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับสสส. สำรวจข้อมูล ซึมเศร้าในหมู่วัยรุ่น

กลุ่มวัยเรียน อายุ 6-12 ปี และวัยรุ่น อายุ 13-24 ปี มีดังนี้:

¬กิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย: เป็นผลงานวิจัยที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนไทย มีความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพจิตในวัยเรียนและวัยรุ่น

ที่มา :นายทรงทรรศน์ จินาพงศ์ และดร. อารีกุล อมรศรีวัฒนกุล นักวิจัย โครงการวิจัยด้านกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนไทย (CYPAS))

2.คู่มือการให้การปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น: เป็นคู่มือที่ให้คำแนะนำและเครื่องมือการปรึกษาเพื่อช่วยให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้ มีความสำคัญในการสนับสนุนและช่วยเสริมสร้างทักษะและความเข้าใจในการดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น

ที่มา :สนับสนุนทุนโดยสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม (สำนัก 6) สสส. (กันยายน 2557)

กลุ่มวัยทำงาน/ผู้ใหญ่ มีดังนี้

1. คู่มือสร้างสุขลดทุกข์แรงงานนอกระบบ/คนจนเมือง (โครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำและกลไกการภาพจิตกลุ่มแรงงาน” สร้างสุข ลดทุกข์” โดย นางอรพิน วิมลภูษิต สมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SADA) เป็นผู้รับผิดชอบ พัฒนาคู่มือและเครื่องมือ) ดังนี้

1.1. คู่มือการพัฒนาผู้นำและกลไกการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “การสร้างสุข ลดทุกข์” ซึ่งประกอบไปด้วยชุดกิจกรรม ดังนี้ ชุดที่ 1 การเรียนรู้เพื่อการปรับฐานคิดและยอมรับตนเอง ชุดที่ 2 การจัดการความสุข-ทุกข์ ความเครียด ชุดที่ 3 การจัดการข้อมูล ชุดที่ 4 การพัฒนาทีมและเครือข่ายเพื่อการจัดการปัญหาในระดับกลุ่ม/พื้นที่หรือชุมชน

1.2. คู่มือพัฒนาศักยภาพหมอสุขชุมชน เรื่อง “ การให้คำปรึกษา ” ซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ 1 หมอสุขชุมชนกับการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 2 ทักษะสำคัญที่ใช้ในการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 3 กระบวนการให้คำปรึกษา กิจกรรมที่ 4 ฝึกปฏิบัติให้คำปรึกษา

1.3.คู่มือพัฒนาผู้นำการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงานนอกระบบ “สร้างสุข ลดทุกข์” ฉบับผู้ประสานงานพื้นที่และชุมชน ประกอบด้วยชุดกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่ 1: ฉันคือใคร กิจกรรมที่ 2 : สายธารชีวิต กิจกรรมที่ 3 : รู้ปัญหาด้วยคำถาม 3 ข้อ กิจกรรมที่ 4 : ต้นไม้ปัญหารู้สาเหตุและผลกระทบของปัญหา กิจกรรมที่ 5 : การกำหนดเป้าหมายและวิธีแก้ปัญหา กิจกรรมที่ 6 : การวางแผนจัดการตนเองเพื่อสร้างสุขลดทุกข์

1.4. คู่มือการติดตามประเมินผลภายในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำและกลไกการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “การสร้างสุข ลดทุกข์)

1.5.คู่มือการบริการจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต กลุ่มประชากรวัยแรงงาน

1.6 คู่มือพัฒนาศักยภาพผู้ประสานงานพื้นที่และชุมชนการสร้างเสริมสุขภาพจิตกลุ่มแรงงาน “สร้างสุข ลดทุกข์” (“โครงการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตสาหรับคนจนเมือง” คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้รับผิดชอบ สนับสนุนโดย สานักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สานัก 9 สสส.)

2. การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ (สถาบันกัลยาณ์ราชครินทร์ กรมสุขภาพจิต)

3. สุขภาพจิตดีมีพลัง สุขภาพจิตพังมีทางแก้

กลุ่มวัยรุ่น อายุ 13-24 ปีและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่ มีดังนี้:

บ่อจอย: เป็นการร่วมมือระหว่างสำนักสุขภาพจิตแห่งชาติ (สสส.) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ร่วมกับเพจ Understand ในการแถลงข่าวเปิดตัว YouTube channel "บ่อจอย" ซึ่งมีความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่ผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างการเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับปัญหาทางจิตใจและการดูแลสุขภาพจิตในกลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเน้นไปที่วิดีโอบนแพลตฟอร์ม YouTube เพื่อให้ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีความน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน/วัยผู้ใหญ่

กลุ่มวัยสูงอายุ

สุขภาพจิตผู้สูงอายุ ดูแลสร้างสุขอย่างเข้าใจ: โดย cocoon&co ได้เรียบเรียงและออกแบบโครงการเพื่อดูแลและสร้างสุขภาพจิตให้กับผู้สูงอายุอย่างเข้าใจ ซึ่งมีความสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และเทคนิคในการดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ อาทิเช่น การจัดการความเครียด การฝึกสมอง และวิธีการเสริมสร้างความสุขในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปที่การให้บริการอย่างเหมาะสมตามความต้องการและสภาพความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขในวัยทีสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การให้คำปรึกษาและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตให้กับกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนโดยเฉพาะ

กลุ่มวัยเรียน วัยทำงานและวัยสูงอายุ

บทเรียนและแนวทางการดำเนินงานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการสำหรับชุมชนท้องถิ่น: โครงการนี้เน้นการพัฒนาบทเรียนและแนวทางการดำเนินงานเพื่อป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตอย่างบูรณาการในชุมชนท้องถิ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และเทคนิคที่เป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพจิต การจัดการความเครียด และการสร้างสภาพแวดล้อมที่สร้างเสริมสุขภาพจิตได้ในชุมชน โดยการให้คำแนะนำและแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมตามบทเรียนที่ผ่านมาและปัจจัยเฉพาะบุคคลของชุมชนนั้น ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การทำให้สุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกช่วงวัยของชุมชนท้องถิ่น โดยมีผลงานนี้เป็นแนวทางสำหรับองค์กรหรือผู้ที่สนใจในการพัฒนาสุขภาพจิตของชุมชนในพื้นที่ของตน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบอย่างต่อเนื่องในชุมชนท้องถิ่น โดยสร้างบทเรียนและแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างบูรณาการและเน้นการ

ทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้การพัฒนาด้านสุขภาพจิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ที่มา :ผู้เรียบเรียง ผศ.นิติพล ธาระรูป และณัฐวดี ลิ้มเสิศเจริญวนิช  โดย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโครงการ (พิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2566) สนับสนุนทุนโดย แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2) สสส. (ปีงบประมาณ 2564)

(3) ศูนย์บริการข้อมูล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ

 เป็นแหล่งรวบรวม เรียนรู้และบริการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาวะ พื้นที่จุดประกายความคิดแก่สาธารณะผ่าน ข่าวสาร กิจกรรมออนไลน์ ประเด็นที่น่าสนใจ ในรูปแบบสื่อต่าง ๆ ในรูปแบบ Infographic  จำนวน 43 ชิ้น/เรื่อง ดังนี้

1. 8 วิธี รักและใจดีกับตัวเองที่ทำแล้วสุขภาพจิตใจจะดีขึ้น * รักตัวเอง ร่างกายผ่อนคลาย รับประทานอาหารสุขภาพ วางแผนการเงิน หัวเราะ ลืมเรื่องแย่ ไม่ฟังคำนินทา และอยู่ที่สบายใจ

2. 3 วิธีที่อาจช่วยเหลือ * ฟังด้วยหู ตา และใจ

3. เห็นตัวเลข ไม่เห็นหัวใจ * เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไม่อยู่ในนิยามผู้ป่วยในระบบคลังข้อมูลฯ

4. 5 แนวทางส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงในครอบครัว 

5.  5 วิธี ที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นในแต่ละวัน  *ความสัมพันธ์ดี ออกกำลังกาย เรียนรู้ใหม่ๆ เป็นผู้ให้ และมีสติ

6. รวม 5 บำบัดสุขภาพจิต * ศิลปะ ดนตรีพืชสวน เต้น และสัตว์เลี้ยง บำบัด

7. 6 เทคนิคเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตเด็กแข็งแรง *ออกกำลังกาย อาหารดี ฟังเพลงเล่นดนตรี เล่นอิสระ พ่อแม่ที่ดี และควบคุมการใช้เทคโนโลยี

8. มลพิษทางอากาศ (PM 2.5) ทำให้สุขภาพจิตของเด็กแย่ลงหรือไม่

9. 9 วิธีคิดที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิต *หยุดตำหนิตัวเอง หยุดโทษคนอื่น ชื่นชมตนเอง ให้อภัย ใจดี ผ่อนคลาย ห่างคน Toxic เรียนรู้ผิดพลาดและนับถือตนเอง

10.จิตวิญญาณ เหมือนหรือต่าง สุขภาพจิต อย่างไร

11.เลี้ยงลูกอย่างไรให้สุขภาพจิตดี * เข้าใจธรรมชาติเด็ก ให้เด็กเป็นฝ่ายเลือก สอนให้ภูมิใจตนเอง ไม่ตามใจมากเกินไป ให้เผชิญปัญหาด้วยตนเอง ไม่เลี้ยงแบบในหิน สอนมองโลกแง่ดี ไม่เจ้าระเบียบ และไม่มองลูกเป็นตัวปัญหา

12.ทำ 8 นิสัยนี้ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น  * เชื่อมความสัมพันธ์ สร้างคุณค่าตนเอง มีส่วนร่วม พูดคุยอยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ ผ่อนคลาย และออกกำลังกาย

13.วิธีพัฒนาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุ  * เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความจำ ลดความเครียดและพัฒนาสมอง เช่น การอ่านเขียน เล่นดนตรี เล่นเกม

14.สื่อกับผลกระทบทางสุขภาพจิต  *ส่งผลต่อจิตใจของเยาวชน เช่น กรณีเหตุระเบิดที่ Oklahoma พบว่า การชมรายงานข่าวทางโทรทัศนะกับความเครียดรุนแรง (Posttraumatic Stress Symptoms) ในเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

15.เราจะจัดการอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างไร (สุขภาพจิตวัยรุ่น)  * เมื่อเครียด ปล่อยวาง

16.ข้อแนะนำลดอาการเหงาเฉียบพลัน *ให้นึกเสมอว่ามีคนรออยู่ที่บ้าน ติดต่อพูดคุย ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่า และมีกิจกรรมร่วมกันทุกวัย

17. 4 วิธีรับมือความเครียดเบื้องต้น  *หันเหความสนใจ สงบ ทานอาหารมีประโยชน์ และหาที่ระบาย เช่น เขียนไดอารี่ เป็นต้น

18. 4 องค์ประกอบเติมเต็มความเข็มแข็งทางใจ  *รู้สึกดีกับตนเอง จัดการชีวิตได้ มีสายสัมพันธ์ และมีจุดหมายในชีวิต

19. 5 วิธี จับมือกันผ่านทุกวิกฤติ  * นอนหลับ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารมีประโยชน์ นั่งสมาธิ และเปิดประสบการณ์ใหม่

20. เช็คสุขภาพจิต 6 สัญญาณคิดบวกเป็นพิษ  * และมีแนวทางแก้ไข

21. 9 วิธี รัก อย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์

22.วงกลมขอบเขตการควบคุม  * เครื่องมือช่วยดึงออกจากความรู้สึกแย่ และจัดการให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม

23.DIY คลายเครียดด้วยตัวคุณเอง  *โดยวิธี คลายเครียดที่กล้ามเนื้อ และคลายเครียดด้วยลมหายใจ

24.เมื่อพบเห็นหรือเมื่อเกิดความสูญเสียจากการฆ่าตัวตาย สังคมช่วยอย่างไร

25.การมีสุขภาพจิตที่ดี  *ครอบครัวเป็นสุข มีเพื่อน แก้ไขปัญหาด้วยปัญญา รู้จักพอ มีงานทำและใช้ธรรมะจรรโลงใจ

26.คิดบวกแบบไหน ถึงไม่กลายเป็นพิษต่อตนเอง  *ควรทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดพิษจากการคิดบวก เช่น จัดการอารมณ์ลบ เปิดใจรับฟัง ยอมรับความเครียด หมั่นติดตามตรวจสอบ เป็นต้น และสัญญาฯเตือนการคิดบวกกำลังทำร้ายตนเอง

27.เช็ค! สัญญาณเตือน 3 ด้าน คุณกำลังเครียดอยู่หรือเปล่า  *ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านพฤติกรรม

28.บอกรักอย่างไร? ถูกใจผู้ให้ ประทับใจผู้รับ

29.ฝึกตนเองอย่างไรให้มีพลัง “สุขภาพจิตที่ดี”

30.ล้มเรียนรู้ลุก *คำถามปลุกตัวเอง ให้ลุกขึ้นใหม่จากความล้มเหลว

31.วิธีสังเกตคนใกล้ตัวกับความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช *พฤติกรรมการพูดคุย (พูดน้อย/มากกว่าเดิม) และพฤติกรรมท่าทีอื่น เช่น ไม่ร่าเริง

32.สร้างใจที่เข้มแข็งด้วยการใช้คำพูด *คำพูดที่สร้างใจให้แข็งแรง

33.อย่าปล่อยให้ผู้สูงอายุ “ซึมเศร้า” โรคสมองเสื่อมอาจตามมา * อาการภาวะซึมเศร้า เช่นรู้สึกเบื่อหน่ายและเศร้า พฤติกรรมการกินนอกเปลี่ยน เป็นต้น และการดูแลผู้สูงอายุภาวะฯ

34. 10 ประการ บัญญัติสุข ได้แก่ ออกกำลังกาย หาจุดแข็ง ฝึกหายใจ ทบทวนดี ๆในชีวิต บริหารเวลา จัดการปัญหา หาโอกาสดี ๆ ปฏิบัติคำสอนศาสนา กิจกรรมร่วมกับครอบครัว ลื่นชมคนรอบข้าง

35.เคล็ดลับการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก

36.การรับมือการ Cyberbully คือ หยุดโต้ตอบ ปิดกั้นผู้ระราน และ ลบภาพ/ข้อความระราน

37.เทคนิคหายใจคลายเครียด มี 3 ข้อ คือ หายใจสบายตามธรรมชาติ หายใจยาว ๆ และขณะหายใจยาววางความรู้สึก

38.การดูแลจิตใจตนเอง หลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ได้แก่ พัก/ลดข่าวสารตึงเครียด พูดคุยคนไว้ใจ หาแนวทางรับมือ หยุดส่งภาพความรุนแรงและทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ 

39.10 วิธีลดความเครียดง่าย ๆ ที่คุณมองข้าม เช่น ลำดับความสำคัญทำเท่าที่ทำได้ จดจ่อปัญหาที่ควบคมได้ พ้กผ่อน ปฏิเสธให้เป็น เป็นต้น

40. แนวทางสู่การเป็นคุณแม่ที่มีสุขภาพจิตดี ได้แก่ ดูแลสุขภาพกาย สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่าง แม่ ลูกและสมาชิกในครอบครัว

41.3 วิธีป้องกันตนเองในห้องเรียนจากการถูกกลันแกล้ง คือ กล้าบอกครู ไม่โต้ตอบ และไม่อยู่คนเดียว

42.6 วิธีง่าย ๆ สร้างแรงบันดาลใจดีๆ เช่น  ใส่ใจร่างกาย ใช้เวลาให้มีค่า ทบทวนตนเอง  ใช้ชีวิตช้าลง เป็นต้น

43.การสื่อสารอย่างสันติ จะบอกถึงสิ่งความทำและไม่ควรทำใน 4 ข้อ คือ การสังเกต การบอกความรู้สึก การบอกความต้องการ และการใช้การร้องขอ เช่น สิ่งควรทำ สังเกตไม่ตีความ เข้าใจความรู้สึกแท้จริง

 

 

(4) ข้อมูลภายนอก

1 กรมสุขภาพจิต และบูรณาการหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้แก่  การส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน โดยกองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต

- วัคซีนใจในสถานประกอบการ เป็นมาตรการหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การ/สถานที่ทำงานร่วมแรงร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาหรือวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

- โปรแกรมสร้างสุขวัยทำงานในสถานประกอบการ เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตคนทำงาน

- หลักสูตรพลังใจอึด ฮึด สู้ เป็นคู่มือสำหรับผู้ดำเนินกิจกรรมการเสริมสร้างพลังใจ

- แบบประเมินสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิตได้แก่ 1) แบบประเมินความสุขคนไทย 15ข้อ (TMHI-15) ของกรมสุขภาพจิต 2) แบบประเมินความเครียด (ST-5) 3) แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2คาถาม (2Q) และ 4) แบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ (RQ ฉบับ 20ข้อ)

แหล่งข้อมูลความรู้สุขภาพจิต

-กรมสุขภาพจิต /www.dmh.go.th

-กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต /www.sorporsor.com

-สุขภาพใจ.COM/ www.thaimentalhealth.com

-คลังสุขภาพจิต/http://mhllibrary.com

-คลังความรู้สุขภาพจิตกรมสุขภาพจิต/https://www.dmh-elibrary.org

2. เพจ Understand

สำคัญของเพจ "Understand" ได้ดังนี้:

¬การสร้างความตระหนักและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า: เพจเริ่มต้นขึ้นโดยการตระหนักถึงปัญหาภาวะซึมเศร้าในนิสิตและนักศึกษาแพทย์ซึ่งมีอันตรายและมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการฆ่าตัวตายในกลุ่มนี้

¬การส่งเสริมความรู้และการเข้าใจก่อนเกิดปัญหา: เพจมุ่งสร้างความตระหนักและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าให้กับสมาชิกในชุมชนโดยการให้ข้อมูลและคำแนะนำเพื่อป้องกันการเป็นเหยื่อของภาวะซึมเศร้าตลอดจนการรับมือกับมันการขยายเพจเพื่อเป็นที่รู้จักใน

¬กลุ่มเป้าหมาย: เพจหลังจากนั้นได้ขยายขอบเขตและเป้าหมายของการส่งเสริมสุขภาพจิตออกไปในกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน โดยการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ทางสุขภาพจิตผ่าน Infographic เพื่อให้ความรู้ กำลังใจ และการเยียวยาด้วยการนำเสนอข้อมูลและความรู้ทางสุขภาพจิตที่มีประโยชน์ผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่าย โดยใช้ Infographic เป็นช่องทางหลัก ทำให้เพจ "Understand" เป็นที่รู้จักและเป็นที่นับถือในชุมชนที่เกี่ยวข้องและทั่วไปที่สนใจด้านสุขภาพจิต ที่มา :https://www.facebook.com/understandmdd/

3.2 ผลการทบทวนงานวิจัย นวัตกรรม โครงการ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ปี พ.ศ.2559-2564

แนวคิดระยะการพัฒนา translational research แยกตามกลุ่มวัย

การพัฒนา translational research โดยแยกตามกลุ่มวัยเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการนำผลวิจัยในด้านการแพทย์และสุขภาพจิตจากห้องปฏิบัติการไปสู่การประยุกต์ใช้ในชุมชนหรือสภาพแวดล้อมจริง ๆ โดยในกรณีนี้จะมุ่งเน้นการนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปใช้แก้ปัญหาทางสุขภาพของกลุ่มวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะ

สรุปใจความสำคัญของแนวคิดนี้ได้ดังนี้:

¬การปรับใช้ผลวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาทางสุขภาพ: การนำผลวิจัยทางการแพทย์และสุขภาพจิตมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพที่พบเจอในกลุ่มวัยต่าง ๆ เช่น ปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน หรือการพัฒนาโปรแกรมสำหรับสุขภาพจิตในวัยผู้สูงอายุ

¬การปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์มาใช้ในการวิจัยและประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพของกลุ่มวัยต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการรักษา

¬การตอบสนองต่อความต้องการและสภาพแวดล้อมของกลุ่มเป้าหมาย:การพัฒนา translational research ตามกลุ่มวัยจะช่วยให้ผลการวิจัยมีประสิทธิภาพและสามารถใช้ประโยชน์ ได้อย่างเต็มที่ตามความต้องการและสภาพแวดล้อมของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการช่วยเหลือ

¬การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพจิตใหม่: การส่งเสริม translational research ตามกลุ่มวัยจะส่งผลต่อการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพจิตใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาทางสุขภาพของกลุ่มวัยนั้น ๆ

ดังนั้น การพัฒนา translational research ตามกลุ่มวัยจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทางสุขภาพและการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มวัยแต่ละกลุ่ม

 

งานวิจัย นวัตกรรม โครงการโดยกรมสุขภาพจิต

งานวิจัย นวัตกรรม โครงการ โดย กรมสุขภาพจิต แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:

¬การพัฒนาเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย DSPM/DAIM: การพัฒนาเครื่องมือประเมินช่วยให้เกิดโอกาสในการตรวจสอบและประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

¬สถานการณ์พัฒนาการเด็กปฐมวัยในไทย:การตรวจสอบสถานการณ์พัฒนาการเด็กปฐมวัยในประเทศไทยช่วยให้เข้าใจแนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก

¬การส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยครอบครัว:การใช้แนวทางการพัฒนาการเด็กปฐมวัยแบบพื้นฐานเช่น DSPM-based Triple-P ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กโดยมุ่งเน้นครอบครัวเป็นส่วนร่วม

¬การคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการเด็กโดยใช้เครื่องมือ DSPM/DAIM: การใช้เครื่องมือประเมินช่วยให้สามารถประเมินผลต่อพัฒนาการของเด็กและปรับปรุงการดูแลเด็กให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาทางสุขภาพในอนาคต

กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้:

¬การสำรวจ IO/EQ เด็กไทย:การสำรวจและประเมินความสามารถทางอารมณ์ (EQ) และอัจฉริยะทางอารมณ์ (IO) เพื่อทำความเข้าใจในปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นกับเด็กไทยในช่วงวัยเรียน

¬การศึกษาความชุกของโรคสมาธิสั้นในเด็กไทย:การศึกษาและประเมินความชุกของโรคสมาธิสั้นเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นในเด็กไทย

¬การพัฒนาแบบประเมิน EO,SDQ และแบบคัดกรองโรคจิตเวชเด็ก 4 โรค:การพัฒนาเครื่องมือประเมินช่วยให้สามารถตรวจวินิจฉัยและดูแลเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

¬การพัฒนาพฤติกรรมการเสริมสร้างความปรองดองของเด็กวัยเรียน:การพัฒนาและส่งเสริมพฤติกรรมที่

เสริมสร้างความสัมพันธ์และความปรองดองในเด็กวัยเรียน

¬การพัฒนาบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเด็ก และวัยรุ่น:การพัฒนาบริการทางสุขภาพจิตและจิตเวชที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการดูแลเด็กและวัยรุ่น

¬การสร้างเสริมสุขภาพจิตเด็กไทยวัยเรียน (OHOSone school one hospital):การสร้างและส่งเสริมโครงการเพื่อเสริมสุขภาพจิตในเด็กไทยในโรงเรียนและโรงพยาบาล แบบ "โรงเรียนหนึ่ง โรงพยาบาลหนึ่ง" เพื่อเพิ่มความเข้าถึงและสะดวกสบายในการรับบริการสุขภาพจิต

กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:

¬การศึกษาความชุกของปัญหาสุขภาพจิตและโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น: การวิเคราะห์และศึกษาความชุกของปัญหาทางสุขภาพจิตและโรคจิตเวชในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น เพื่อเข้าใจลักษณะและขอบเขตของปัญหาที่มีอยู่

¬การศึกษาภาระโรคจิตเวชในเด็กไทย: การศึกษาและการวิเคราะห์ภาระโรคจิตเวชที่มีในเด็กไทย เพื่อให้เข้าใจและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและที่จำเป็นต้องแก้ไข

¬การรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด To Be NumberOne:การพัฒนาและรณรงค์ให้เกิดการเข้าใจและการตระหนักในปัญหาการใช้ยาเสพติดในวัยรุ่น และการส่งเสริมกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

¬การพัฒนาคุณภาพวัยรุ่น และเยาวชนไทย:การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของวัยรุ่นและเยาวชนไทย ทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ และพัฒนาการ โดยการพัฒนานโยบายและโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายนี้

กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:

¬การศึกษาระบาดวิทยาสุขภาพจิตในคนไทย: การสำรวจและศึกษาการระบาดของโรคทางสุขภาพจิตในประชากรไทย เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการในการป้องกันและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

¬การศึกษาภาระโรคจิตเวช (Burden of Disease):การวิเคราะห์และศึกษาภาระโรคจิตเวชที่มีต่อสังคมและระบบสุขภาพ โดยการระบุปัญหาที่สำคัญและทำความเข้าใจกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

¬การพัฒนาระบบส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน:การพัฒนาและปรับปรุงระบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและการป้องกันโรคจิตในกลุ่มวัยทำงาน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความเจริญก้าวหน้าในที่ทำงาน

¬การเพิ่มการเข้าถึงบริการโรคจิตเวชที่พบบ่อย:การพัฒนาระบบบริการทางสุขภาพที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจิตที่พบบ่อย เช่น โรคซึมเศร้าและการลดการใช้สุรา

¬การพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตผู้ต้องขังจิตเวชในเรือนจำ:การปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้ต้องขังจิตเวชในเรือนจำ เพื่อให้ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม

กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:

¬การสร้างเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุ: การพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ เช่น กิจกรรมสำหรับการเพิ่มคุณภาพชีวิตและความเคลื่อนไหว

¬การพัฒนาระบบส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตผู้สูงอายุ:การพัฒนาและสร้างระบบการดูแลสุขภาพจิตที่เหมาะสมและเชื่อถือได้สำหรับผู้สูงอายุเพื่อให้ได้รับการดูแลและรักษาที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล

ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้:

¬การศึกษาระบาดวิทยาสุขภาพจิตและภาระโรคจิตเวชในคนไทย:การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชุกของโรคจิตเวชและภาระโรคที่เกิดขึ้นในประชากรไทย เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการดูแลสุขภาพจิตและการพัฒนานโยบายที่เหมาะสม

¬การพัฒนาการดำเนินงานสุขภาพจิตชุมชน:การสร้างและพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตในระดับชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนทั้งทางด้านสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

¬การสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายผู้พิการทางจิต:การส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้พิการทางจิตหรือผู้ที่มีพฤติกรรมสติปัญญาที่แตกต่าง เพื่อให้ได้รับการดูแลและสนับสนุนที่เหมาะสม

¬การเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคจิตและโรคซึมเศร้า:การพัฒนาและปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพจิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้ป่วยโรคจิตและโรคซึมเศร้า

¬การพัฒนาระบบดำเนินงานสุขภาพจิตด้วยกลไกกฎหมาย:การสร้างและพัฒนาระบบการดำเนินงานสุขภาพจิตที่มีพื้นฐานกฎหมายเพื่อให้การดำเนินงานด้านสุขภาพจิตเป็นไปตามข้อบังคับและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

¬การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาวิกฤตสุขภาพจิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้:การวิจัยและการพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤตสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างแนวทางและกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม

 

งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลของสภาวิจัยแห่งชาติ (วช)

งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลของสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) แบ่งตามกลุ่มวัย มีดังนี้

กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:

¬การพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการอ่านและทักษะชีวิต:การสร้างกิจกรรมที่กระตุ้นให้เด็กปฐมวัยมีนิสัยรักการอ่านและเสริมสร้างทักษะชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกายและจิต

¬การจัดกิจกรรมดนตรีเบื้องต้น:การใช้กิจกรรมดนตรีเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์และการพัฒนาทักษะของเด็กปฐมวัยในโรงเรียนและโรงเรียนอนุบาล

¬การประยุกต์ใช้ของเล่นพื้นบ้าน:การใช้ของเล่นพื้นบ้านเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในพื้นที่

¬กิจกรรมดนตรีที่มีต่อทักษะทางสังคม:การนำเสนอกิจกรรมดนตรีที่ส่งเสริมทักษะทางสังคมของเด็กปฐมวัย เช่น การเล่นดนตรีแบบกลุ่ม 

¬การประเมินความจําเป็น:การประเมินความจำเป็นเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลเด็กในการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

¬การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติก:การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติกเพื่อช่วยในการตรวจวินิจฉัยความสามารถและข้อจำกัดทางพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้:

¬การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมเด็กวัยเก่งและสุข:การวิจัยเชิงปฏิบัติการที่มีการร่วมมือกับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดสงขลา เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และสุขภาพให้กับนักเรียน

¬การบูรณาการยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมน้ำหนักและป้องกันอ้วนในเด็กวัยเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการรวบรวมยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในวัยรุ่น

กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:

¬ประสบการณ์การสร้างเสริมสุขภาพจิตตามหลักศาสนาอิสลามของนักศึกษามหาวิทยาลัย:การศึกษาประสบการณ์และวิถีชีวิตที่มีผลต่อสุขภาพจิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบการพัฒนารูปแบบการดูแลเด็กโรค

¬สมาธิสั้นแบบบูรณาการ:การสร้างแบบบูรณาการในการดูแลเด็กโรคสมาธิสั้นในพื้นที่ภาคเหนือ

¬การศึกษาระดับภูมิคุ้มกันและการติดเกมของเด็กมัธยม:การวิจัยเกี่ยวกับความรับรู้ของผู้ปกครองต่อระดับภูมิคุ้มกันและการติดเกมของเด็กมัธยม

¬การศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง:การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความรุนแรงและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะสุขภาพจิตของนักศึกษา

¬การพัฒนาโปรแกรมและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต: การสร้างโปรแกรมการป้องกันและการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น โปรแกรมทักษะชีวิตเพื่อพัฒนาพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัย

กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:

¬สถานการณ์ทางสังคมและจิตใจของอสม. ประจำหมู่บ้านระนอง:การศึกษาสถานการณ์ทางสังคมและจิตใจที่มีผลต่อพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพตนเองของคนในกลุ่มอสม. ในหมู่บ้านระนอง

¬การวิเคราะห์เส้นทางสุขภาพจิตในแรงงานไทยที่ย้ายถิ่น:การวิเคราะห์และศึกษาเส้นทางที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของ

แรงงานไทยที่ย้ายถิ่นอาศัยจากกรุงเทพฯ ไปยังพระนครศรีอยุธยา

กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:

¬การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ:การศึกษาพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้สูงอายุเพื่อการเตรียมตนให้พร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดนครศรีธรรมราช

¬ความสัมพันธ์ระหว่างการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุและความพึงพอใจในชีวิต:การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุและความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครศรีธรรมราช

¬การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ:การเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุวัยต้นในจังหวัดนนทบุรี

¬การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ:การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุของผู้ใหญ่วัยกลางคนในเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

¬การออกกำลังกายโดยใช้ท่ารำมโนราห์:การศึกษาการใช้ท่ารำมโนราห์เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในภาคใต้

¬เครือข่ายทางสังคม:การเชื่อมโยงและเพิ่มคุณค่าสังคมของผู้สูงอายุวัยปลายในภาคเหนือ

¬สถานการณ์ของผู้สูงอายุที่ทำงานและไม่ทำงาน:การศึกษาภาวะสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่ทำงานและไม่ทำงาน

¬ปัญหาและความต้องการในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ:การศึกษาสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตและความต้องการในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ

ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้:

¬การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551:การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเพื่อให้แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

¬ผลของการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่ม: ผลจากการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่มเพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความสามารถในการเผชิญวิกฤติ

¬การพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน:การพัฒนากระบวนการที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกาย จิต และสังคมในระยะเริ่มแรก

งานวิจัย นวัตกรรม โครงการโดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (ปี 51-59)

งานวิจัย นวัตกรรม โครงการ โดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (ปี51-59) แบ่งตามกลุ่มวัย ดังนี้

กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้:

¬การเยี่ยมบ้านหลังคลอดเพื่อป้องกันภาวะเศร้า: การเยี่ยมบ้านหลังคลอดเป็นกิจกรรมที่มุ่งเสนอความรู้และการสนับสนุนให้แม่และเด็กใหม่เกิดภาวะเชื่อมั่นและภาวะเป็นส่วนตัวที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด

กลุ่มเด็กวัยเรียน มีดังนี้ :

¬การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย (achievement test): การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความสามารถและการเรียนรู้ของนักเรียน โดยทั้งนี้มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงกระบวนการสอนและการเรียนรู้

¬การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิตเด็กประถมศึกษา (2559): การใช้การ์ตูนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กประถมศึกษา เพื่อเสริมสร้างความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่พบในชีวิตประจำวัน

¬HERO: โปรแกรมสําหรับครูและผู้ปกครองเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรม: โปรแกรมที่เน้นการให้ความรู้และทักษะในการปรับปรุงพฤติกรรมของเด็กโดยเฉพาะ ผ่านการสร้างสถานการณ์และกิจกรรมที่เหมาะสมทั้งในบ้านและโรงเรียน

กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้:

¬พ่อแม่เลี้ยงบวก: การเลี้ยงบวกเป็นแนวทางการพ่อแม่เลี้ยงที่ให้การสนับสนุนและกำลังใจให้กับลูกด้วยความรักและเข้าใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และพัฒนาที่เหมาะสมของเด็กวัยรุ่น

¬Anti-bully program: โปรแกรมป้องกันการกีดกันที่มุ่งเน้นให้ความรู้และทักษะในการแก้ไขปัญหาเรื่องการกีดกันในโรงเรียนหรือสังคม โดยการสร้างการเข้าใจและการรับฟังต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

¬Early psychosis prevention program: โปรแกรมป้องกันโรคจิตเวชระยะแรกที่เน้นการตรวจจับและการเสริมสร้างสุขภาพจิตในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวชในอนาคต

¬คุยกับลูกเรื่องเพศ: การสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเพศและความรู้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเพศที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเพศ

¬จับใจ: MBCT to prevent youth depression: โปรแกรม MBCT (Mindfulness-Based Cognitive Therapy) เพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น โดยการฝึกให้มีสติและการคิดเชิงบวก

¬การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลอาญา: การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมและการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในระบบศาลอาญา เพื่อ

สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อถือได้ในพฤติกรรมและสุขภาพจิตของผู้กล่าวหาหรือผู้ต้องหา

กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้:

¬Happiness survey: การสำรวจความสุขและความพึงพอใจในการทำงาน เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความสุขและความพึงพอใจของพนักงาน

¬Early psychosis prevention program: โปรแกรมป้องกันโรคจิตเวชระยะแรกในกลุ่มทำงาน โดยการตรวจจับและการเสริมสร้างสุขภาพจิตในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวชในอนาคต

¬Domestic violence prevention: การป้องกันความรุนแรงในครอบครัวในที่ทำงาน โดยการสร้างการตระหนักและการเสริมสร้างสุขภาพจิตของพนักงานเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงในครอบครัว

¬รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ (2559): การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่เหมาะสมสำหรับพนักงานที่ทำงานนอกระบบ เพื่อสนับสนุนความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในสถานที่ทำงาน

กลุ่มวัยสูงอายุ มีดังนี้:

¬รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในชมรมผู้สูงอายุ: การพัฒนาโปรแกรมหรือกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับชมรมผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตในวัยที่มีอายุ

¬รูปแบบการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่คลินิกโรคเรื้อรัง: การพัฒนาแนวทางหรือกิจกรรมที่ช่วยเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเรื้อรังในผู้สูงอายุที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกโรคเรื้อรัง การให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร การออกกำลังกาย และการบำบัดทางกายภาพหรือจิตใจ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ

ทุกกลุ่มวัย มีดังนี้

หลักสูตร "Mental Health Promotion and Prevention" สำหรับทุกกลุ่มวัย:

การส่งเสริมสุขภาพจิต: โปรแกรมหรือกิจกรรมที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีทางจิตใจ ในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น เด็กปฐมวัย วัยรุ่น ผู้สูงอายุ และวัยทำงาน

การป้องกันโรคจิตเวช: การพัฒนากิจกรรมหรือโปรแกรมที่เน้นการป้องกันโรคจิตเวชและการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต โดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น การส่งเสริมสุขภาพจิตในชุมชน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นต้น

การสร้างความตระหนักและการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิต: การจัดกิจกรรมหรือโปรแกรมที่เน้นการเรียนรู้และการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยเฉพาะในเรื่องของการรับรู้ภาวะสุขภาพจิต การรับมือกับความเครียด และการเสริมสร้างสมรรถภาพทางจิตใจ

การช่วยเหลือและการสนับสนุน: การพัฒนาระบบการช่วยเหลือและการสนับสนุนทางสุขภาพจิต ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้คำปรึกษา การสนับสนุนจิตใจ และการบริการทางจิตวิทยา

งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ

งานวิจัย นวัตกรรม จากฐานข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ แบ่งตามกลุ่มวัย ดังนี้

กลุ่มเด็กปฐมวัย มีดังนี้

การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยออทิสติก TDAS เป็นสิ่งที่สำคัญในการดูแลและสนับสนุนพัฒนาการของเด็กปฐมวัย โดยสร้างเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินและจัดการกับปัญหาพัฒนาการของเด็กอย่างทันท่วงที:

การสร้างความเข้าใจ: TDAS ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็กได้ดียิ่งขึ้น โดยการประเมินที่ทันสมัยและอ้างอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้

การตรวจสอบปัญหา: ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กสามารถตรวจสอบและระบุปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กได้โดยรวดเร็วและเป็นระบบ

การวางแผนและการแก้ไขปัญหา: มีการจัดทำแผนการปรับปรุงและการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้เด็กพัฒนาได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา

การติดตามและการประเมินผล: TDAS ช่วยให้ผู้ดูแลเด็กสามารถติดตามและประเมินผลของการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาของเด็กได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแผนการดูแลได้ตามความต้องการของเด็กอย่างเหมาะสม

กลุ่มเด็กวัยรุ่น มีดังนี้

¬การเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้สุรา ยาสูบ สารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพในนักเรียนมัธยมศึกษาของประเทศไทย (ศวส.) เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจาก:

ปัญหาสาธารณะ: การใช้สุรา ยาสูบ และสารเสพติดในวัยรุ่นมักเป็นปัญหาสาธารณะที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้นการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจึงมีความสำคัญ

การพัฒนาบุคลิกภาพบวก: การเฝ้าระวังและประเมินพฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดขึ้นในนักเรียนช่วยให้สามารถสร้างบุคลิกภาพบวกและพัฒนาสุขภาพที่แข็งแรงได้

การป้องกันความเสี่ยง: การตรวจสอบและเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงช่วยลดโอกาสในการเกิดปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อชีวิตในอนาคต

การสนับสนุนสุขภาพจิต: การเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงช่วยให้สามารถระบุและสนับสนุนนักเรียนที่อาจมีปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม

กลุ่มวัยทำงาน มีดังนี้

การดำเนินงานแนวปฏิบัติการคัดกรองและบำบัดรักษาเพื่อฟื้นฟูสภาพผู้มีปัญหาการดื่มสุรามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากปัญหาการดื่มสุรามีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของบุคคล การดำเนินงานที่เน้นการคัดกรองและบำบัดรักษาจึงช่วยให้ผู้มีปัญหาการดื่มสุราได้รับการช่วยเหลือและการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขาสามารถกลับคืนสู่สภาพที่ดีขึ้นและมีชีวิตที่มีคุณภาพอีกครั้งได้ การดำเนินงานดังกล่าวยังเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงเช่น โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุราอย่างน้อยลง นอกจากนี้ยังมีผลต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย เนื่องจากการมีผู้มีสุขภาพที่ดีจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ในสังคมและลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาโรคและบริโภคสารเสพติดในระยะยาว ดังนั้น การดำเนินงานด้านการคัดกรองและบำบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มสุราเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติโดยรวม โดยจะมีผลกระทบที่เชื่อมโยงกับสังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจในระยะยาวและยังช่วยเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนด้วยการลดปัญหาการดื่มสุราในสังคมได้และส่งเสริมให้มีสังคมที่เป็นอยู่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมในทุกๆ กลุ่มชุมชน

3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลเครื่องมือและรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิต (จำแนกตาม LIFE-COURSE)

กล่องที่ 1 สุขภาพจิตและสุขภาวะ(Box1 Mental health and wellbeing)

หลักสมรรถนะของ Amartya Sen หมายถึงคุณลักษณะต่างๆ ที่ทำให้คนแต่ละคนมีค่าความสำคัญตามมุมมองของเขาเอง สมรรถนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการมีชีวิตที่ดีและมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงถึงเงื่อนไขทางสังคมหรือเศรษฐกิจเท่านั้น

Martha Nussbaum นักทฤษฎีการเมืองได้นิยามหลักสมรรถนะออกมาเป็น 10 หมวดดังนี้:

1.ไม่เสียชีวิตก่อนวัยที่เหมาะสม

2.สามารถอยู่อย่างมีสุขภาพดี

3.มีอิสระและสิทธิในตัวเอง

4.สามารถใช้ความรู้สึก จินตนาการ และเหตุผล

5.มีอิสระในการแสดงออกทางอารมณ์

6.มีหลักเหตุผลที่สามารถวางแผนชีวิตตนเองได้

7.สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยยังคงความเคารพนับถือตนเองและไม่เลือกปฏิบัติต่างๆ ที่ทำให้แตกต่าง

8.มีชีวิตโดยคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตอื่นในโลกนี้

9.สามารถหัวเราะ เล่น และเพลิดเพลินกับกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ได้

10.มีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกการเมืองและสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมของตนเองได้

สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดเรื่องสุขภาวะ เนื่องจากมีผลต่อความสุขและคุณภาพชีวิตของบุคคล โดยสุขภาพจิตสามารถช่วยให้บุคคลทำหรือเป็นตามสิ่งที่ตนให้คุณค่า ทำให้บุคคลมีความสุขและรู้สึกพึงพอใจต่อชีวิตของตนเอง ทั้งนี้ สุขภาพจิตยังถือเป็นตัวส่งเสริมสุขภาพจิตของบุคคลได้ด้วย เพราะความพึงพอใจและความสุขจิตใจมีผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของบุคคล

สมรรถนะในการทำหรือเป็นของบุคคลถูกกำหนดโดยสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ร่วมมีผลต่อสุขภาพจิต ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงหนึ่งที่มีโอกาสการศึกษามัธยมศึกษาไม่สมบูรณ์ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาในชีวิตแบบต่างๆ เช่น การเป็นเหยื่อความรุนแรง การทำงานในตลาดแรงงานนอกระบบที่มีค่าแรงต่ำ และความขัดสนใจในการเลี้ยงดูลูก เหล่านี้เป็นปัจจัยที่เสริมความเสี่ยงในการเป็นโดยอารมณ์ซึมเศร้าและรู้สึกสิ้นหวัง ดังนั้น สุขภาพจิตและสมรรถนะมีความสัมพันธ์กับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยสังคมที่กำหนดและมีผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคมได้โดยตรง

คณะกรรมาธิการองค์การอนามัยโลกโดยเฉพาะการทบทวนของทีม Marmot Review ของอังกฤษและทีมทบทวนขององค์การอนามัยโลกด้านปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพและความแตกต่างทางสุขภาพได้สรุปเน้นไปที่สองประเด็นหลัก:

ปัจจัยสังคมกำหนดโรคจิตเวชที่พบบ่อย: การศึกษาพบว่าปัจจัยสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยสภาพทางสังคมเช่น ระดับรายได้ การศึกษา สภาพเศรษฐกิจของครอบครัว และสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยมีผลต่อความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจิตเวช เช่น ภาวะภัยคุกคาม ความเครียด และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

การดำเนินการที่มีผลต่อปัจจัยสังคมกำหนดที่สามารถป้องกันโรคจิตเวชและ/หรือทำให้สุขภาพจิตประชากรดี: การดำเนินการที่เน้นการกระทำทางสังคม การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การให้การสนับสนุนทางสังคมในชุมชน การสร้างโอกาสในการศึกษาและการทำงาน และการเสริมสร้างการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต ที่มีผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตของประชากร โดยการลดความเป็นไปได้ของการเกิดโรคจิตเวชและกระตุ้นการพัฒนาสุขภาพจิตอย่างยั่งยืนในสังคม

ปัจจัยสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโรคจิตเวช ที่พบบ่อยและปัญหาสุขภาพจิตที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ว่าเป็นโรคจิตเวช และกลยุทธ์แบบครอบคลุมในระดับประชากรสามารถ

ช่วยในการจัดการปัจจัยสังคมเหล่านี้เพื่อเสริมสุขภาพจิตและลดความเหลื่อมล้ำได้ดังนี้:

การปรับปรุงสภาพที่บุคคลเกิดใช้ชีวิตเติบโต: การสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการเลี้ยงดูตนเอง

ความเหลื่อมล้ำเชิงระบบระหว่างชนชั้นสังคม: การลดความไม่เสมอภาคและการเสริมสร้างโอกาสในชุมชน เช่น การสนับสนุนการศึกษาและอุตสาหกรรมที่สร้างงานที่มีรายได้สูง

การดำเนินการที่มีผลต่อปัจจัยสังคมกำหนด: เช่น การสนับสนุนทางสังคมในชุมชน การเสริมสร้างโอกาสในการศึกษาและการทำงาน และการเข้าถึงบริการสุขภาพจิต

ความแตกต่างเชิงระบบ: การลดความแตกต่างทางสังคมที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายสุขภาพจิต เช่น การลดความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและการช่วยเหลือ

การดูแลสุขภาพจิตและการควบคุมโรค: การสนับสนุนการป้องกันโรคจิตเวช และการให้บริการรักษาโรคจิตเวชที่เป็นไปได้อย่างเช่นเข้าถึงบริการจิตเวชและการสนับสนุนทางอาการ

ผลการทบทวนวรรณกรรมทางระบาดวิทยาเรื่องโรคจิตเวชที่พบบ่อยกับความยากจนในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ และปานกลางพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างความยากจนและโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยมีข้อมูลจากการศึกษาทั้งสิ้น 115 รายงาน พบว่ามากกว่าร้อยละ 70 มีความสัมพันธ์ระหว่างความยากจน และโรคจิตเวชที่พบบ่อย โดยมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของตัววัดความยากจนที่ใช้ การศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของปัจจัยทางสังคมที่มีบทบาทในการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเป้าหมายของโรคจิตเวชในกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง และมีความจำเป็นในการพัฒนาและใช้นโยบายที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงนี้และเสริมสร้างสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรที่เป็นส่วนมากจากการเจริญเติบโตของประชากรในท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้เติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลไปด้วยกัน การวิจัยเชิงระบาดวิทยานี้ช่วยให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพความยากจนกับโรคจิตเวชและเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนานโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรที่เป็นเป้าหมายในท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำและปานกลางให้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ที่สุดแก่สังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รายงานทบทวนการสำรวจประชากรของกลุ่มประเทศยุโรป พบว่า โรคจิตเวชที่พบบ่อย เช่น โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล เพิ่มขึ้นเมื่อมีการศึกษาน้อย ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค และการว่างงาน รวมถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยวในผู้สูงอายุ เชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวช ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของประชากรในยุโรปและโดยทั่วไป โดยการป้องกันและการรักษาโรคจิตเวชที่มีการเพิ่มขึ้นนั้นสำคัญมากเนื่องจากสามารถลดภาระโรคจิตเวชทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคมได้ และส่งเสริมสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วไปในระยะยาว

รูปแบบความเหลื่อมล้ำที่กระจายตามระดับชั้นทางสังคมเกิดขึ้นก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นอย่างมีนัยสำคัญ รายงานทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบพบว่าเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำ มีความชุกของอารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจสูง โดยความชุกของอารมณ์ซึมเศรษฐกิจและวิตกกังวลของเด็กวัยรุ่นที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำมีค่าสูงกว่า 2.5 เท่า แม้ในเด็กเล็กที่มีอายุเพียงสามถึงห้าขวบ พบว่ามีปัญหาทางสังคมอารมณ์และพฤติกรรมเกิดขึ้นได้มากน้อยตรงข้ามกับความมั่งคั่งของครัวเรือนที่วัดโดยฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ ข้อมูลนี้ชี้ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมกับปัญหาทางสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นซึ่งมีความสำคัญในการกำหนดนโยบายและการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นในอนาคต

ช่วงวัยของชีวิต / LIFE-COURSE

ช่วงวัยของชีวิต / LIFE-COURSE

คณะกรรมาธิการด้านปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพร่วมกับทีมทบทวน Marmot และทีมอื่น ๆ ได้เน้นความสำคัญของแนวคิดช่วงวัยของชีวิต (life-course approach) เพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่มีการกระทำขึ้นตลอดชีวิต แนวคิดช่วงวัยของชีวิตได้เสนอแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพให้เหมาะสมกับช่วงวัยที่แตกต่างกัน ข้อมูลชัดเจนได้แสดงว่าสุขภาพจิตและสุขภาพกายหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตภายหลังนั้น มีผลมาตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตแล้ว ดังนั้น การจัดการและการดูแลสุขภาพทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายในช่วงชีวิตแต่ละช่วงนั้นมีความสำคัญมากเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีในทุกวัยโดยเฉพาะในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีผลต่อการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตในระยะยาว การให้ความสําคัญแก่แนวคิดช่วงวัยของชีวิตเป็นการเสริมสร้างการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนในอนาคต

การวิเคราะห์ประสบการณ์ตลอดช่วงวัยของชีวิต พบว่า มีปัจจัยด้านบวกและด้านลบซึ่งสะสมกันไปเรื่อย ๆ และมีผลต่อพฤติกรรม สังคมสรีรวิทยา และสภาพสังคมต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล โดยมีผลทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม เช่น สภาพครอบครัว ชุมชน และสังคมรวมถึงเพศ

การสังเกตได้ว่า กระบวนการเหล่านี้มีผลต่อการเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของบุคคลได้โดยตรง การสั่งสมดีและการสั่งสมเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากมันส่งผลต่อปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพอย่างรวดเร็วที่สุด และแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินการแก้ไขทุกช่วงวัยของชีวิตเพื่อป้องกันความเหลื่อมล้ำในสังคมและสุขภาพให้มีความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน

การใช้มุมมองแบบช่วงวัยของชีวิตเป็นวิธีการในการพิจารณาและวางแผนให้เห็นถึงผลกระทบของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุคคลในแต่ละช่วงวัย โดยการมองทุกๆ ช่วงวัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเติบโตและพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ

การจัดระเบียบสังคมและสถาบันต่าง ๆ เช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน ตลาดแรงงาน และระบบบำนาญ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนหรือกีดกันจากการเผชิญกับความตึงเครียดหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคล โดยมีผลต่อโอกาสในการตัดสินใจและเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง

โครงสร้างและผลกระทบของสถาบันต่าง ๆ นี้สามารถได้รับการสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการเผชิญกับปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพและความเจริญของบุคคล ขึ้นอยู่กับนโยบายที่กำหนดขึ้นในระดับชาติและระดับนานาชาติ เช่น นโยบายที่สนับสนุนการเติบโตและพัฒนาเด็กเล็กในระบบการศึกษาหรือนโยบายที่สนับสนุนการเพิ่มสิทธิและการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตในชุมชน การเข้าถึงและคุณภาพของบริการเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของบุคคลได้โดยตรง

วัยเด็กเล็ก / THE EARLY YEARS

¬วัยเด็กเล็ก / THE EARLY YEARS

ประสบการณ์ที่ไม่ดีในช่วงวัยเด็กมีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจิตเวชและสุขภาพทั้งจิตและกายในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ สภาพครอบครัวและคุณภาพการเลี้ยงดูเด็กมีอิทธิพลอย่างมากต่อความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งสองประเภทนี้

การทบทวนวรรณกรรมล่าสุดของสถาบันความเสมอภาคด้านสุขภาพพบว่า ปัจจัยที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อเด็กเล็กเป็นต้นเหตุ โดยเฉพาะการขาดความผูกพันที่มั่นคง การละเลยทอดทิ้ง การขาดการกระตุ้นอย่างมีคุณภาพ และความขัดแย้ง มีผลต่อพฤติกรรมทางสังคม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถานภาพการทำงาน และสุขภาพทั้งจิตและกายของเด็กในอนาคตโดยตรง

เด็กที่ได้รับการละเลย ทอดทิ้ง ทารุณกรรมทางร่างกายหรือจิตใจ หรือเติบโตในครอบครัวที่มีความรุนแรง จะมีโอกาสได้รับความบอบช้ำอย่างชัดเจนทั้งในด้านจิตใจและกาย เช่น การพัฒนาความสามารถทางสังคมที่ไม่เพียงพอ การมีสมรรถภาพทางการเรียนที่ต่ำ และความไม่สมดุลในสุขภาพจิตและกายในระยะยาว

สุขภาพจิตของผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน ผลการศึกษา พบว่า สุขภาพจิตของผู้ปกครองมีผลต่อสุขภาพจิตของลูกโดยตรง แม่ที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคจิตเวชเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่าของปกติ ความยากจนและการเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เช่น หนี้สินเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดในแม่ และความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของลูกอย่างมีนัยสำคัญ การเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงจะมีผลเสียต่อลูกมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบจะสะสมกันและทำให้ความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับเด็กที่อยู่ในกลุ่มฐานะสังคมเศรษฐานะต่ำ มีโอกาสเผชิญกับสภาพที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่เหมาะสมมากกว่า ปัญหาทางสังคมและอารมณ์สามารถพบเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กเล็กอายุเพียงสามขวบเท่านั้น การวิเคราะห์ในประเทศสหราชอาณาจักรพบว่า รายได้ของครอบครัวมีความสัมพันธ์กับปัญหาทางอารมณ์และสังคมของเด็กที่อายุ 3 ถึง 5 ขวบ การกระทำของพ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้น การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางอารมณ์และสังคมสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่นการเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างครอบครัว การเตรียมการการศึกษาเรียนรู้ที่เหมาะสม การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวและชุมชนสามารถเป็นแหล่งสนับสนุนในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นและช่วยให้เด็กมีโอกาสพัฒนาอย่างเหมาะสมได้

กล่องที่ 2 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตในเด็กเล็ก

การทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับมาตรการแก้ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอดในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง พบว่าการนำมาตรการไปใช้โดยการฝึกอบรมและนิเทศบุคลากรที่มีสุขภาพระดับปฐมภูมิและระดับชุมชนอย่างเหมาะสมด้วยมาตรการที่ได้รับการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมสามารถช่วยให้สุขภาพจิตของแม่ดีขึ้นได้ บางรายงานเสนอว่ามาตรการนี้จะมีประโยชน์ต่อแม่โดยการสร้างโอกาสให้มีงานที่ดีขึ้นและมีรายได้สูงขึ้น

2.1 การดูแลทารกและแม่ที่มีโรคซึมเศร้าหลังคลอดในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ในฐานะหน่วยขับเคลื่อนงานส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเด็กปฐมวัย พัฒนาแนวทางการเยี่ยมบ้านหลังคลอด สําหรับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (อพม) ทดลองนําร่องใน 6 จังหวัด

การวิจัยนี้เน้นการพัฒนาและทดสอบโปรแกรมการดูแลแม่หลังคลอดในชุมชนโดยใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดในแม่ที่มีความเสี่ยง โดยโปรแกรมนี้ช่วยลดคะแนนจากแบบประเมินภาวะซึมเศร้าหลังคลอด โดยการนำเสนอการดูแลแม่ด้วยวิธี Thinking Healthy ซึ่งเป็นโปรแกรม Homebased intervention ที่มุ่งเน้นการเยี่ยมบ้านและให้การบำบัดแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดโดยพยาบาลวิชาชีพระดับโรงพยาบาลชุมชน โดยมีระยะเวลาในการช่วยเหลือตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอดถึง 6 เดือน ผลลัพธ์จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้สามารถช่วยลดคะแนนจากแบบประเมินภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ และมีศักยภาพในการนำไปใช้กันต่อในระดับประเทศ นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางการคัดกรองและช่วยเหลือแม่ซึมเศร้าหลังคลอดในระบบปกติอย่างเป็นรูปธรรมในระดับประเทศต่อไป

2.2 รายงานผลการศึกษาต้นทุนประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการและสร้างวินัยเชิงบวก โดยครอบครัวมีส่วนร่วมในเด็กปฐมวัยในพื้นที่ทุรกันดาร

โปรแกรมการดูแลช่วยเหลือแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดโดยอาสาสมัครสาธารณสุขได้ปรับรูปจากโปรแกรมเดิมโดยการให้ความเหมาะสมกับอาสาสมัครที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ในการให้คำปรึกษาและการทำจิตบำบัด โดยเนื้อหาประกอบด้วยดังนี้:

การเยี่ยมบ้าน: จัดทำเป็นขั้นตอนชัดเจนที่อาสาสมัครสาธารณสุขจะต้องทำในการเยี่ยมบ้านทั้งหมด 5 ครั้ง โดยมีการประเมินภาวะซึมเศร้าก่อนและหลังการเยี่ยมบ้าน การเยี่ยมบ้านนี้มุ่งเน้นให้เกิดการสนทนาและการสนับสนุนที่เหมาะสมสำหรับแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด

โปรแกรมการให้ความรู้: จัดทำเป็นโครงสร้างของเนื้อหาในการให้ความรู้ในแต่ละครั้ง โดยมีการประเมินอารมณ์ของแม่ และการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์กับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีพื้นฐานมาจากการทำจิตบำบัดแบบ Cognitive Behavior Therapy (CBT) โดยการนำเสนอเนื้อหาที่มีภาพประกอบมากๆ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ

การจัดการอบรม: จัดแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติในการอบรมให้กับอาสาสมัครในพื้นที่เดียวกัน และมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มเพื่อเสริมสร้างความคุ้นเคยและความเข้าใจในขณะที่ลงเยี่ยมบ้าน นอกจากนี้ยังมีการปรับรูปแบบตารางการลงข้อมูลและข้อความในคู่มือให้ง่ายต่อการเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุข

โปรแกรมนี้เน้นการให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือในรูปแบบที่ง่ายต่อการนำไปใช้ในชุมชนโดยอาสาสมัคร โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงสภาพจิตใจและส่งเสริมการฟื้นฟูของแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวในระบบปกติในระดับประเทศต่อไป

วัยเด็กโต / LATER CHILDHOOD

¬วัยเด็กโต / LATER CHILDHOOD

สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (Developmental Surveillance and Promotion Manual: DSPM) เพื่อช่วยในการคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงอายุแรกเกิดถึง 5 ปี โดยการแบ่งเป็น 18 ช่วงวัย และมีการคัดกรองโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ช่วงอายุ 9, 18, 30, และ 42 เดือน พ่อแม่ผู้ปกครองยังมีหน้าที่เฝ้าระวังพัฒนาการของเด็กในช่วงอายุอื่นๆ อีก 15 ช่วงวัย โดยในปี 2561 พบว่ามีจำนวนเด็กที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าอยู่ทั้งหมด 8,006 คน แต่มีเพียง 30.48% ที่สามารถรับการกระตุ้นพัฒนาการได้ นอกเหนือจากปัญหาพัฒนาการ ยังพบว่าในปี 2554 มีการสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กนักเรียนไทยอายุ 6-11 ปี พบว่ามีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์เฉลี่ยรวมทั้งประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติโดยมีค่าคะแนนอยู่ที่ 45.12 จากค่าคะแนนปกติ 50-100 โดยพบจุดอ่อนทั้ง 3 ด้านคือ ดีเก่ง และ สุข ซึ่งการตรวจสอบนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจำเป็นในการสนับสนุนพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กในชุมชนและการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตที่ดีในด้านอารมณ์และสุขภาพจิตในเด็กในช่วงอายุนี้

กล่องที่ 3 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น

การสนับสนุนสุขภาพจิตและแก้ไขความผิดปกติทางจิตในเด็กและวัยรุ่นที่มีการดำเนินการในโรงเรียน มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากโรงเรียนเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ดี และสามารถเข้าถึงประชากรทั้งหมดได้

นอกจากนี้ โรงเรียนยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพัฒนาการด้านความสามารถทางสังคม อารมณ์การเรียน และความคิดอ่าน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะสั้นและระยะยาว

การดำเนินการเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตและแก้ไขความผิดปกติทางจิตในโรงเรียน ได้รับการนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและปานกลางที่มีผลกระทบจากสงครามและความรุนแรง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการเกิดปัญหาโรคจิตเวช มาตรการที่พบในโรงเรียนมักเป็นแบบทั่วไป (universal) ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบที่ดีที่สุด และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานแนวคิดของโรงเรียน การสื่อสารกับผู้ปกครอง การฝึกอบรมครูพิเศษ การให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง การมีส่วนร่วมของชุมชน และความร่วมมือกับองค์กรภายนอก

ดังนั้น การเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนและการสนับสนุนสุขภาพจิตและการแก้ไขความผิดปกติทางจิตในเด็กและวัยรุ่นมีความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตและความเจริญพันธุ์ของเด็กและวัยรุ่นในชุมชน

3.1 วัยเรียน อายุ 6-12 ปี

3.1.1 ทักษะชีวิต

3.1.1.1 การ์ตูนพัฒนาทักษะชีวิต

สําหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1-3 และ 4-6 เป็นสื่อเรียนรู้ในรูปแบบการ์ตูนพร้อมคู่มือการใช้งาน(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

3.1.1.2  6 คําถามสร้างทักษะชีวิต : ประสบการณ์สําหรับครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้

หนังสือคู่มือสําหรับครูชั้นประถมศึกษา 1-6 ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทําความเข้าใจและฝึกตั้งคําถาม เพื่อสร้างและพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนชั้นประถมศึกษา พร้อมตัวอย่างการออกแบบและตั้งคําถามสําหรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระจากประสบการณ์จริงของครู (ดาวน์โหลดฟรีที่www.jitdee.com)     

รูปแบบการใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนชั้นประถมศึกษา 

การใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในนักเรียนชั้นประถมศึกษาในช่วงตุลาคม 2556 - มีนาคม 2560 เป็นโครงการที่มีความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน โดยประกอบด้วยกิจกรรมหลักและโครงการย่อยดังนี้:

การพัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6: โครงการนี้เน้นการสร้างสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพสำหรับครูในการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษา ในการสนับสนุนและ พัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนในช่วงวัยเรียนแรก

การจัดทำเครื่องมือและการแนะนำสื่อการเรียนรู้: โครงการนี้มุ่งเสนอเครื่องมือและแนะนำสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับผู้แทนสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในเครือข่ายจังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนในพื้นที่

การประเมินและพัฒนาทักษะครูในการจัดการเรียนรู้: โครงการนี้เน้นการประเมินและพัฒนาทักษะของครูในการจัดการเรียนรู้ทักษะชีวิต โดยใช้ชุดสื่อการเรียนรู้ที่ได้รับการพัฒนาจากแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ผ่านกรณีศึกษาของโรงเรียนประถมขยายโอกาสในเครือข่ายจังหวัดร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์

การประเมินผลการใช้สื่อการเรียนรู้: โครงการนี้เน้นการประเมินผลของการ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่เป็นที่ต้องการเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน โดยการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลให้กับการพัฒนานี้ในระยะยาว

  

3.1.2 สื่อการเรียนรู้ชุดพ่อแม่เลี้ยงบวก

สื่อเรียนรู้ในรูปแบบละครเสียง (MP3) สำหรับพ่อแม่นักเรียนชั้นประถมศึกษามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมันนำเสนอสถานการณ์ชีวิตที่พ่อแม่และลูกเจอเหมือนกันในชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยมุ่งเน้นให้พ่อแม่เข้าใจและเชื่อมั่นในการเลี้ยงลูกอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญที่ได้จากสื่อนี้ได้แก่:

เพิ่มความเข้าใจและการเชื่อมั่นระหว่างพ่อแม่และลูก: สื่อนี้ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพฤติกรรมของลูกมากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นในการเลี้ยงลูกในทางที่เหมาะสม

ส่งเสริมการใช้ทักษะทางบวก: การเรียนรู้จากสื่อนี้ช่วยสร้างแนวโน้มให้พ่อ แม่ใช้ทักษะทางบวกในการปรับปรุงพฤติกรรมของลูก เช่น การให้กำลังใจแทนการด่าว่าหรือประจาน

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างครูและผู้ปกครอง: ครูมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเลี้ยงลูก และสื่อนี้ช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างครูและผู้ปกครองในการอบรมและสนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวกของเด็ก

สร้างความเข้าใจในชุมชน: สื่อนี้เสนอแนวทางและวิธีการที่ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกผ่านกิจกรรมของโรงเรียนและอบต. ทำให้มีการสร้างความเข้าใจและร่วมมือในระดับชุมชนทั้งหมด

(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

3.1.3 การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สําหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Standardized Achievement Test for Thai Learners)

โครงการนี้เน้นการพัฒนาและตรวจสอบแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสมรรถนะทางการเรียนสำหรับนักเรียนไทยที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Specific Learning Disability; SLD) เพื่อช่วยในการจัดการและส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเหล่านี้อย่างเหมาะสม สำคัญอย่างมากเนื่องจาก:

1.ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (SLD) เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน และส่งผลให้เด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลง การตรวจสอบและพัฒนาแบบทดสอบเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการปัญหานี้อย่างเต็มรูปแบบ

2.การมีแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสมรรถนะทางการเรียนที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนไทยที่มี SLD จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและแสวงหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.การวัดผลสมรรถนะทางการเรียนของนักเรียนไทยที่มี SLD ให้เป็นมาตรฐานที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับจะช่วยในการจัดการและให้การสนับสนุนที่เหมาะสมในการเรียนรู้

ผลการพัฒนาและการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของการเรียนรู้ของนักเรียนไทยที่มี SLD ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบการส่งเสริม ป้องกัน และดูแลเด็กวัยเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต

3.1.4 โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรบพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (School and Family Empowerment for Behavioral Modification in School-aged Children; SAFE B-MOD)

สุขภาพจิตและจิตเวชเป็นปัญหาที่พบได้ในจำนวนมากของเด็กและวัยรุ่นทั่วโลก โดยมีจำนวนประมาณร้อยละ 10-20 ของกลุ่มนี้เป็นผู้ประสบปัญหาด้านนี้ และมีมากกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้รับการรักษาทางสุขภาพจิตและจิตเวชอย่างเหมาะสม ผลกระทบจากปัญหานี้มีความรุนแรงต่อตัวเด็ก ครอบครัว และสังคมทั้งในเชิงสุขภาพ และเศรษฐกิจ โดยสาเหตุสำคัญมาจากการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นในการดูแลปัญหานี้ เช่น ขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจากครูและผู้ปกครอง ขาดการเข้าถึงบริการที่เหมาะสม และบางครั้งเด็กโดยไม่รู้สาเหตุก็จะไม่ได้รับการรักษาต่อโรคที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดการและการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยลดภาระโรคได้มาก และการป้องกันเด็กกลุ่มเสี่ยงจากการเกิดโรคจิตเวชเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดภาระโรคในประชากรได้อย่างมาก

ในปี 2559 สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาในเขตสุขภาพที่ 7 ร่วมมือกันเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาคสาธารณสุขและศึกษาธิการในพื้นที่ เรียกว่า Health and Educational Regional Operation (HERO) เพื่อพัฒนาระบบการดูแลเด็กวัยเรียนร่วมกัน โดยมุ่งหวังที่จะเชื่อมโยงภาคสาธารณสุขและศึกษาเพื่อการดูแลเด็กอย่างเข้มงวด

โครงการแรกใน HERO เป็น SAFE B-MOD ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเด็กที่มีปัญหาการเรียนที่เกิดจากสาเหตุทางสุขภาพ โดยใช้โปรแกรมเสริมพลังครอบครัวและโรงเรียนเพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (SAFE B-MOD) โครงการนี้นำหลักการปรับพฤติกรรมผสมผสานกับการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเข้ามา โดยเน้น

การพัฒนาทักษะการปรับพฤติกรรมที่ไม่ยากเกินไปสำหรับครูและสามารถทำเป็นกลุ่มครั้งละมาก ๆ ได้ นับเป็นการแก้ไขปัญหาที่มาจากสุขภาพอย่างชัดเจนและเข้มงวดในระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างระบบการดูแลเด็กอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเรียนในเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น โดยการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมและมีผลสัมฤทธิ์สูงในชุมชนที่มีความเป็นมากขึ้น โครงการนี้เป็นต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่น ๆ ได้ในอนาคต เพื่อเสริมสร้างการดูแลเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาเรียนในระดับชุมชนทั้งประเทศให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมอย่างที่เหมาะสม

ดังนั้น โครงการ HERO และ SAFE B-MOD มีความสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและการเรียนในเด็กและวัยรุ่นในชุมชนท้องถิ่น โดยการร่วมมือกันระหว่างภาคสาธารณสุขและศึกษาเพื่อสร้างระบบการดูแลเด็กที่มีปัญหาการเรียนอย่างเป็นระบบและมีความเข้มงวด นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างการดูแลเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาเรียนในระดับชุมชนทั้งประเทศให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมอย่างที่เหมาะสมในอนาคต

ในปี 2561 มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม SAFE B-MOD โดยใช้วิธีการ quasi-experimental study โดยเปรียบเทียบกลุ่มทดลองของครูและนักเรียนกับกลุ่มควบคุม ผลลัพธ์พบว่าโปรแกรมนี้ทำให้นักเรียนในกลุ่มเสี่ยงมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นจนกลายเป็นปกติขึ้นถึงร้อยละ 27.34 ซึ่งมีผลต่อผลการเรียนและความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) โดยโปรแกรม SAFE B-MOD มีประสิทธิผลที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีข้อเสียที่ยังไม่ได้รับการประเมินเป็นระบบ เช่น ไม่มีการทดสอบประสิทธิผลโดยใช้วิธีการแบบสุ่มแบบควบคุม (RCT) และยังไม่มีการประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนอย่างระบบ ดังนั้นจึงยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการขยายผลในระดับประเทศต่อไปได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

ในช่วงปี 2562-2564 มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม SAFE B-MOD และประเมินต้นทุนประสิทธิผลของระบบ school health HERO ในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้วิธีการกึ่งทดลอง (quasi-experimental study) ในนักเรียนกลุ่มเสี่ยงชั้น ป.1-6 โดยแบ่งโรงเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ โรงเรียนกลุ่มทดลองที่มีครูผ่านการอบรมโปรแกรม SAFE B-MOD และโรงเรียนกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการอบรมโปรแกรมนี้ โดยมีการใช้แอปพลิเคชั่น HERO ในการคัดกรองนักเรียนผ่านแบบประเมินออนไลน์ SDQ และ SNAP IV ก่อนและหลังการอบรม เมื่อผ่านไป 3 และ 6 เดือน มีการวินิจฉัยโรคดื้อต่อต้าน โดยแพทย์กุมารและจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ก่อนและหลังการอบรมครู 6 เดือน โดยใช้ระบบ school health HERO ในการคัดกรองช่วยเหลือและส่งต่อนักเรียนกลุ่มเสี่ยง รวมถึงการเก็บต้นทุนทุกกิจกรรมที่ดำเนินการ ผลการศึกษาพบว่าโปรแกรม SAFE B-MOD ช่วยให้ครูมีความรู้ความเข้าใจและทักษะในการปรับพฤติกรรมของนักเรียน สามารถลดปัญหาพฤติกรรมในนักเรียนและลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ แต่ยังคงมีความจำเป็นในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อติดตามผลลัพธ์ระยะยาวในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนในโรงเรียน และการปรับปรุงโปรแกรม SAFE B-MOD เพื่อให้เป็นหลักสูตรออนไลน์ต่อไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นในการขยายผลในอนาคต

ในปีพ.ศ. 2564-2565 มีกิจกรรมความร่วมมือเครือข่ายสาธารณสุขและศึกษาที่มีคู่มือฝึกอบรมวิทยากรกระบวนการโปรแกรมกลุ่มเสริมพลงครูและผู้ปกครองเพื่อการปรับพฤติกรรมเด็กวัยเรียน (Training of Facilitator School and Family Empowerment for Behavioural Modification: SAFE B-MOD) ที่มี 10 แผนการสอน ประกอบด้วย:

1.ระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเด็กวัยเรียนและโรคทางจิตเวชที่พบบ่อย

2.เทคนิคและกระบวนการปรับพฤติกรรม

3.การสื่อสารข่าวร้าย

4.การทบทวนเนื้อหาและการรับข้อเสนอแนะ

5.การรู้จักควบคุมใจ

6.รางวัลและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

7.ลูกศิษย์ที่ห่วงใย

8.การเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

9.การเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

10.Microteaching ฝึกปฏิบัติเป็นวิทยากรกระบวนการ

คู่มือนี้มุ่งเน้นการเสริมพลังและทักษะการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และการฝึกปฏิบัติเป็นวิทยากรกระบวนการเพื่อเตรียมครูและผู้ปกครองให้พร้อมที่จะช่วยเสริมพลังและปรับพฤติกรรมของเด็กวัยเรียนให้เหมาะสมและสามารถจัดการกับปัญหาพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์และเรียนรู้ในสถานการณ์จริงๆ และสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้มาใช้ได้อย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน

3.2 วัยรุ่น อายุ 13-24 ปี

3.2.1 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือเสริมสร้างทักษะชีวิตในเด็กวัยรุ่น “เติมเต็มความเข้มแข็งทางใจ”

กีฬาสร้างสรรค์เส้นทางชีวิต" เป็นละครสั้นที่มีจำนวน 16 ตอน โดยแต่ละตอนจะนำเสนอโจทย์ชีวิตที่พบได้บ่อยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยเน้นการเสนอแนวคิดและสถานการณ์ที่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้และเติบโตในทางที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา ทั้งนี้ละครแต่ละตอนมีความยาวประมาณ 20 นาที และมาพร้อมกับคู่มือการใช้งานสำหรับครูหรือวิทยากร เพื่อช่วยให้การสอนและการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการพัฒนาทักษะทางสังคมและจิตวิทยาให้กับนักเรียนในช่วงวัยรุ่นที่สำคัญของชีวิตในการเติบโตและพัฒนาตนเองในสังคมและชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขและเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ นอกจากนี้ ละครยังเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการสร้างสรรค์สมาธิและความรับผิดชอบในการตัดสินใจของนักเรียนในสถานการณ์ที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องสร้างความเสียหายในความเชื่อมั่นและอารมณ์ของนักเรียน โดยทั้งนี้ การใช้ละครสั้นในการเรียนรู้ยังเป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าจดจำสำหรับนักเรียนในองค์กรการศึกษาทั้งในช่วงเวลาเรียนและนอกเวลาเรียนด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต

(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง

-รายงานการประเมินผลการใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน เป็นงานศึกษาที่มีความสำคัญ เนื่องจากมันช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจถึงผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการใช้สื่อการเรียนรู้ในการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาวิธีการสอนและสื่อการเรียนรู้ในอนาคตได้ด้วย การรายงานนี้สามารถมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ต่อการพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียน เช่น การทำงานร่วมกัน การเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหา และการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและปรับปรุงการวางแผนการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนอย่างเหมาะสม

ที่มา : โสภณ จุโลทก. (2559).

3.2.2 คู่มือครูแนะแนวภาคปฏิบัติ ครูแนะแนวภาคปฏิบัติ: ประสบการณ์จริงที่มากกว่าทฤษฎี

ครูแนะแนวภาคปฏิบัติเป็นที่สำคัญเนื่องจากเส้นทางการทำงานนั้นมักมีความซับซ้อนและหลากหลายตามสถานการณ์จริงในชั้นเรียน หนังสือคู่มือสกัดประสบการณ์นี้มอบความรู้และประสบการณ์จริงๆ ที่มากกว่าทฤษฎี เพื่อเตรียมครูแนะแนวให้พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการทำงานประจำวันในห้องเรียน หนังสือนี้ช่วยให้ครูได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของครูอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการแนะแนว

นอกจากนี้ หนังสือยังมีส่วนของวีดิทัศน์ตัวอย่างเพื่อแสดงถึงวิธีการทำงานและกิจกรรมที่เหมาะสำหรับการแนะแนวในห้องเรียน และการช่วยเหลือนักเรียนในการเลือกอาชีพอิสระ ทั้งนี้เหมาะสำหรับครูแนะแนวทั้งที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์ เพื่อให้พร้อมที่จะตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของนักเรียนในช่วงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการศึกษาและอาชีพในปัจจุบัน และช่วยเสริมความเชื่อมั่นและความสามารถในการทำงานของครูแนะแนวและผู้บริหารโรงเรียนด้วย (ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

3.2.3 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือเทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่น

เทคนิคการคุยกับลูกวัยรุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้พ่อแม่และครูสามารถเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเรียนในช่วงวัยรุ่นได้ เนื้อหาที่เสนอในรูปแบบละครสั้นจำนวน 5 ตอนนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องการสื่อสารและการคุยกับวัยรุ่น โดยมีคู่มือการใช้งานเพื่อช่วยให้พ่อแม่และครูสามารถนำเนื้อหามาใช้ได้อย่างเหมาะสม และทันสมัย เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับนักเรียนในช่วงวัยที่สำคัญของชีวิตของพวกเขาด้วย

ในเนื้อหาจะเน้นไปที่เทคนิค การคุยและสื่อสารที่เหมาะสมกับวัยรุ่น ซึ่งสำคัญที่จะเน้นไปที่การให้เครื่องมือและแนวทางในการตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของวัยรุ่นอย่างเหมาะสม โดยในแต่ละตอนจะสร้าง

เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและสถานการณ์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันของวัยรุ่น และนำเสนอวิธีการคุยและแก้ไขปัญหาในแต่ละสถานการณ์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ คู่มือการใช้งานยังจะเสนอเครื่องมือและเทคนิคการสื่อสารที่เหมาะสมกับวัยรุ่นในแต่ละสถานการณ์ รวมถึงเครื่องมือและแนวทางในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของวัยรุ่น ทั้งนี้เพื่อช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเติบโตไปพร้อมกับวัยรุ่นในช่วงวัยที่สำคัญของชีวิตของพวกเขา

(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง

-การประเมินสื่อเพื่อความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่น:กรณีศึกษาโรงเรียนในกรุงเทพมหานครและนครสวรรค์ นครปฐม  

การประเมินสื่อเพื่อความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่นเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของวัยรุ่น เพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างมั่นคง ศึกษากรณีศึกษาโรงเรียนในกรุงเทพมหานครและนครสวรรค์ นครปฐมเป็นการวิเคราะห์และประเมินสื่อที่ใช้ในการสร้างความเข้มแข็งทางใจของวัยรุ่นในสถานศึกษา

การศึกษานี้เน้นการสำรวจและวิเคราะห์สื่อที่ใช้ในโรงเรียน เช่น สื่อการเรียนการสอน สื่อการสอนวิชาอื่น ๆ สื่อสื่อสารในโรงเรียน และสื่อที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาทักษะทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการใช้สื่อเหล่านี้ในการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียน

ลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงสื่อการเรียนการสอนในโรงเรียนเพื่อให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อการส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอารมณ์และจิตใจของนักเรียนในชุมชนแต่ละแห่ง โดยเน้นการใช้สื่อที่เหมาะสมและเข้าใจต่อความต้องการและสภาพจิตใจของนักเรียนในแต่ละระดับวัย

ที่มา :อุมาภรณ์ภัทรวาณิชย์และเรวดีสุวรรณนพเก้า. 2556. สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล

3.2.4 สื่อการเรียนรู้วีดิทัศน์ พร้อมคู่มือ (กล้า)คุยกับลูกเรื่องเพศ

การคุยกับลูกวัยรุ่นเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ปกครองควรรับผิดชอบในการส่งเสริมการเข้าใจและการพูดคุยที่เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมีสื่อเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยในกระบวนการนี้

ละครสั้นที่มาพร้อมคู่มือการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถแปลงความรักและความห่วงใยของตนมาเป็นวิธีการ

คุยกับลูกในเรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญ โดยการนำเสนอสถานการณ์ที่พบบ่อยเช่นการคบเพื่อนต่างเพศ การแอบดูคลิปโป๊ และการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้ปกครองมีข้อมูลและเครื่องมือในการสนับสนุนและเข้าใจที่เกี่ยวกับปัญหาที่ลูกของพวกเขาอาจพบในวัยรุ่น

การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศอาจเป็นเรื่องที่ยากที่จะเริ่มต้น แต่ละครสั้นที่ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเปิดพูดเรื่องเพศอย่างเป็นมิตรและเปิดเผย โดยการเสนอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตและการเผชิญหน้ากับความเสี่ยง ผู้ปกครองสามารถสร้างการสนับสนุนและเข้าใจในการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศกับลูกของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์

ตัวอย่างงานศึกษาที่เกี่ยวข้อง

- การประเมินผลสื่อการเรียนรู้ “(กล้า) คุยกับลูกเรื่องเพศ”

การประเมินผลสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการคุยกับลูกในเรื่องเพศพบว่าสื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้พ่อแม่มีความตระหนักและเห็นความสำคัญในการพูดคุยกับลูกในเรื่องเพศ อย่างไรก็ตาม สื่อยังไม่สามารถเพิ่มทักษะในการพูดคุยเนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องการความสามารถของวิทยากรกระบวนการที่เข้ามาช่วย

นักวิจัยพบว่า สื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดคุยในเรื่องเพศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจและมีความตระหนักในการพูดคุยกับลูกในเรื่องเพศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สื่อนั้นยังไม่สามารถเพิ่มทักษะในการพูดคุยเนื่องจากความซับซ้อนของเรื่อง และต้องการความช่วยเหลือจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำและช่วยเสริมสร้างทักษะในการพูดคุยในเรื่องเพศให้กับผู้ปกครองอีกด้วย

ที่มา :คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

- โครงการประเมินผลกระบวนการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติและทักษะการสื่อสารเรื่องเพศของผู้ปกครองกับลูกวัยรุ่น

โครงการนี้เน้นการประเมินผลกระบวนการที่เกี่ยวกับกิจกรรมที่ช่วยสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศในผู้ปกครองในการสื่อสารกับลูกวัยรุ่น โดยมุ่งเน้นทัศนคติและทักษะการสื่อสารเรื่องเพศของผู้ปกครองกับลูกวัยรุ่น เพื่อปรับปรุงและเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านนี้ เน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการติดต่อสื่อสารเชิงบวกที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพระหว่างผู้ปกครองและลูกวัยรุ่นในเรื่องเพศ โครงการนี้ช่วยให้ผู้ปกครองได้รับการสนับสนุนและการแนะนำที่เหมาะสมในการสื่อสารเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่น ซึ่งสามารถสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการสนทนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในบ้านได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและส่งเสริมพัฒนาการสุขภาพทางจิตและสังคมของลูกวัยรุ่นในสังคมได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์

ที่มา:กัลยกร วรกุลลัฎฐานีย์, นิธิดา แสงสิงแก้ว, ประไพพิศ มุทิตาเจริญ, รุจน์โกมลบุตร และพรรณวดีประยงค์.(2559). สนับสนุนโดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

- ถอดรหัสรูปแบบการจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนและการจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่ เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นในการทำให้สภาพแวดล้อมและพื้นที่ที่เด็กและวัยรุ่นสัมพันธ์อยู่มีผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเขาโดยตรง หากพื้นที่นั้นถูกจัดการอย่างเหมาะสมและมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดี ผลลัพธ์อาจเป็นการพัฒนาทักษะทางสังคม ทักษะการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และการเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต

การจัดพื้นที่วัยรุ่นและเยาวชนมักมีผลต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเขาโดยตรง เช่น การมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมทางกีฬาที่ส่งเสริมสุขภาพกาย พื้นที่สำหรับการพักผ่อน หรือพื้นที่สำหรับการสนทนาและการสร้างความสัมพันธ์ การจัดพื้นที่การเรียนรู้ของพ่อแม่อาจแสดงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเรียนรู้ของลูก โดยการมีหนังสือ ของเล่น หรืออุปกรณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย การจัดพื้นที่เหล่านี้ให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กและวัยรุ่นในครอบครัวและชุมชน

ที่มา :กรมสุขภาพจิต กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. 2559. (ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com))

3.2.5 พื้นที่เยาวชน

การพัฒนาพื้นที่เยาวชนเป็นหนึ่งในมาตรการหลักของการดำเนินงานบูรณาการด้านวัยรุ่น ซึ่งกำหนดให้แต่ละพื้นที่มีการดำเนินงานตามหลักการสำคัญเพื่อสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การพัฒนาและการเรียนรู้ของเยาวชน หลักการหลักๆ ของการดำเนินงานคือการขยับไปทำงานเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับเด็กและเยาวชน โดยการทำงานนี้ควรชะลอการเร่งรัดผลลัพธ์ในการทำงานลง และเพิ่มความละเอียดอ่อนต่อการมองชีวิตและปัญหาทางสังคม การทำงานภายใต้แนวคิดนี้ต้องมีการมองและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนอย่างเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นในชุมชน และทำงานอย่างมีส่วนร่วมแท้จริงกับเด็กและเยาวชน และควรคำนึงถึงความยั่งยืนโดยไม่ละเลยความแตกต่างในชุมชนที่แตกต่างกัน โดยในแต่ละการทำงานควรมีความตระหนักในความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ใหญ่กับเยาวชนและระหว่างคนในชุมชนและนอกชุมชน นอกจากนี้ยังควรมีการคำนึงถึงความยั่งยืนของการทำงานด้วยด้วยการทำงานที่ละเอียดอ่อนกับความแตกต่างหลากหลายของเด็กและเยาวชน และการทำงานที่คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว การพัฒนาพื้นที่เยาวชนในแนวนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเยาวชนและชุมชนในที่สุด

3.2.6 โปรแกรมจับใจ และรายงานการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรม กลุ่มฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง (โปรแกรมจับใจ) ต่อปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมในวัยรุ่น

โปรแกรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเองหรือโปรแกรมจับใจ เป็นโปรแกรมที่มุ่งเสริมการป้องกันซึมเศร้าในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น โดยได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพแล้ว แต่เมื่อ

นำไปใช้ในระบบโรงเรียนจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยการศึกษานี้เริ่มต้นด้วยการคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาอารมณ์หรือพฤติกรรมที่เราจะนำโปรแกรมมาใช้ โดยใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SDQ) เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสม และทำการสุ่มเลือกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อนักเรียนได้รับการคัดเลือกแล้ว กลุ่มทดลองจะได้รับการเข้าร่วมกิจกรรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง ส่วนกลุ่มควบคุมจะเป็นกลุ่มรอนัดที่จะได้ร่วมกิจกรรมหลังจากวัดผล

ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยมีการตรวจสอบผลการฝึกอบรมในวัยรุ่น โดยใช้การวัดผลก่อนและหลังจากการฝึก และในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการฝึกด้วยแบบประเมินต่างๆ เช่น SDQ และแบบประเมินระดับสติ โดยคณะผู้วิจัยเห็นว่าการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในโรงเรียนมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้นำไปใช้ในระบบโรงเรียนจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยการศึกษานี้เริ่มต้นด้วยการคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาอารมณ์หรือพฤติกรรมที่เราจะนำโปรแกรมมาใช้ โดยใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SDQ) เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสม และทำการสุ่มเลือกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เมื่อนักเรียนได้รับการคัดเลือกแล้ว กลุ่มทดลองจะได้รับการเข้าร่วมกิจกรรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเอง ส่วนกลุ่มควบคุมจะเป็นกลุ่มรอนัดที่จะได้ร่วมกิจกรรมหลังจากวัดผล

ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยมีการตรวจสอบผลการฝึกอบรมในวัยรุ่น โดยใช้การวัดผลก่อนและหลังจากการฝึก และในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากการฝึกด้วยแบบประเมินต่างๆ เช่น SDQ และแบบประเมินระดับสติ โดยคณะผู้วิจัยเห็นว่าการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในโรงเรียนมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เป็นไปตามความสำเร็จ เช่น การสนับสนุนนโยบายจากผู้บริหาร ทักษะความชำนาญของผู้นำกลุ่ม และความต่อเนื่องในการนำทักษะไปใช้โปรแกรมจับใจมีประสิทธิภาพในการลดปัญหาอารมณ์และปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง สามารถขยายผลไปใช้ในระบบปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันซึมเศร้าและการพัฒนาทักษะการปรับตัวของนักเรียนในระยะยาว

การขยายผลเข้าสู่ระบบมีการดำเนินการในหลายด้าน เช่น การนำโปรแกรมไปใช้ในสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น การนำไปใช้ในสถานประกอบการ และการนำเข้าสู่หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตให้กับบุคลากรที่เป็นกลุ่มวัยทำงานและสูงอายุ การศึกษานี้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะในการปรับตัวและสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกสตินี้ในระยะยาว

ดังนั้น โปรแกรมฝึกสติเพื่อการยอมรับและพัฒนาตนเองเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาทางจิตใจในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น โดยการนำไปใช้ในระบบโรงเรียนต้องมีการศึกษาและการสนับสนุนจากผู้บริหาร เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การทำงานในกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการอารมณ์และสังคมให้กับนักเรียนที่มีความเสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังระบบปกติอย่างมีประสิทธิภาพโดยการสนับสนุนนโยบาย ควบคุมคุณภาพการพัฒนาทักษะผู้นํากลุ่ม และสร้างความต่อเนื่องในการใช้ทักษะที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ การศึกษานี้เป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนในการพัฒนาศักยภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียนและกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว

3.2.7 “กําแพงพักใจ” การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่นอายุ 18 - 24 ปีเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล การส่งต่อแบบไร้รอยต่อ เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น และเยาวชน

โครงการกำแพงพักใจ (Wall of Sharing) มีวัตถุประสงค์หลักๆ ดังนี้:

เพื่อพัฒนารูปแบบการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเยาวชน: โดยการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการให้การปรึกษาแก่กลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-24 ปี เน้นการให้บริการที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเยาวชนที่มีความต้องการเสียดสีสองทางเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบริการดิจิทัลกับบริการในโรงพยาบาล: โดยการส่งต่อแบบไร้รอยต่อจากบริการป้องกันโรคไปยังบริการบำบัดรักษาในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-24 ปี เพื่อให้การช่วยเหลือที่เป็นไปได้ทั้งแบบออนไลน์และแบบเป็นโรงพยาบาล

เพื่อลดภาวะซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นและเยาวชน: โดยการให้บริการที่มีการเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต ทำให้สามารถรับความช่วยเหลือได้ทันทีและมีผลการช่วยเหลือที่ดี โดยโครงการนี้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่การจัดประชุมกลุ่มผู้รับบริการและผู้ให้บริการเพื่อพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาแก่เยาวชนผ่านแอพพลิเคชั่น ไปจนถึงการประชุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงการให้บริการ การประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการปฏิบัติทดลองจัดบริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตวัยรุ่นและเยาวชน รวมถึงการประเมินผลลัพธ์ของการทดลองใช้รูปแบบ เพื่อนำไปสู่การให้บริการที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพในอนาคต

ปัจจุบันโครงการกำแพงพักใจ (Wall of Sharing) เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชน เพื่อให้บริการการปรึกษาสุขภาพจิตแก่กลุ่มอายุ 18 - 24 ปี โดยเน้นการลดปัญหาด้านสุขภาพจิต เฉพาะภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย

ผลการดำเนินงาน พบว่า เครือข่ายผู้เข้าร่วมบริการยังคงมีจำนวนน้อย จึงต้องมีการร่วมมือจากหน่วยงานรัฐและเอกชนในภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้โครงการดำเนินไปต่อไปและวางระบบการประสานงาน การส่งต่อ และระบบเครือข่ายอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมปัญหาของคนไทยได้มากยิ่งขึ้น การให้บริการด้านสุขภาพจิตผ่านสื่อเทคโนโลยียังขาดมาตรฐานในการรองรับเพื่อประเมินคุณภาพของการให้บริการ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ได้พัฒนามาตรฐานการให้บริการปรึกษาผ่านสื่อเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถนำไปสู่การเบิกจ่ายค่าบริการตามสิทธิ์การรักษาพยาบาลของสปสช. โดยสามารถรับรองการให้บริการนี้ในระบบสาธารณสุขแห่งชาติและเข้าได้สู่ระบบการเบิกจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.2.8 ภาพยนตร์สั้นบําบัดเพื่อเพิ่มคุณค่าเชิงบวก ลดภาวะความเครียดและปรับเปลี่ยนวิธีการเผชิญกับปัญหา สําหรับกลุ่มนักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวด้วยการใช้โปรแกรมออนไลน์ ZOOM

วัตถุประสงค์ของการวิจัยเน้นการเปรียบเทียบระดับความเครียดและคุณค่าเชิงบวก เช่น Hope, Self-

efficacy, Resilience, และ Optimism ของกลุ่มนักศึกษาก่อนและหลังทำกิจกรรมภาพยนตร์บำบัด

 ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมภาพยนตร์สั้นบำบัดผ่าน ZOOM ช่วยเพิ่มคุณค่าเชิงบวกเช่น Optimism และ Hope โดยที่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการลดระดับความเครียดคือ Optimism แต่มีปัญหาเกี่ยวกับการขัดข้องทางเทคโนโลยีและปัญหาในการสื่อสาร

สรุปผลวิจัย พบว่ากิจกรรมภาพยนตร์สั้นบำบัดผ่าน ZOOM ช่วยเพิ่มคุณค่าเชิงบวกเช่น Optimism และ Hope ซึ่งช่วยให้วัยรุ่นเกิดภูมิคุ้มและทนทานต่อความเครียด และมีผลในการลดผลกระทบจากความเครียดและป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางจิตเวชได้ง่ายขึ้น

การวิจัยในด้านต่าง ๆ มีประโยชน์ที่สำคัญในมุมมองของสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสื่อสารมวลชนดังนี้:

ด้านสาธารณสุข: การวิจัยในด้านสุขภาพจิตช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดภาวะความเครียดที่อาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรง โดยโครงการที่เน้นการป้องกันและเสริมสร้างสุขภาพจิตจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวช และเสริมสร้างสุขภาพทั้งจิตและร่างกายของประชาชนทั่วไป

ด้านเศรษฐกิจ: การเสริมสร้างสุขภาพจิตให้กับประชาชนจะส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวชจะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค และเสียค่าใช้จ่ายจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคทางจิตเวช เช่น การลดผลกระทบจากการลางาน และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

ด้านสื่อสารมวลชน: การผลิตสื่อจากการวิจัยในด้านสุขภาพจิตเป็นสื่อที่มีประโยชน์และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชน และช่วยสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ทำสื่อให้สร้างสรรค์สื่อที่สามารถให้กำลังใจและเป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป โดยเป็นการสร้างสื่อที่สามารถเผยแพร่ความรู้และเข้าถึงประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิต

3.2.9 เครื่องมือนักรับฟังเชิงลึกสําหรับชาวดิจิทัลโดยกําเนิดในโลกออนไลน์ (Deep Listener)

การสร้างเครื่องมือพัฒนาความรู้และความเข้าใจเบื้องต้นให้กับกลุ่มวัยรุ่นแบบออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลมากต่อหลายด้าน:

ด้านสาธารณสุข: เครื่องมือนี้ช่วยให้กลุ่มวัยรุ่นมีความเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับการรับฟังเชิงลึก ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในระยะยาว การเข้าใจการฟังเชิงลึกช่วยลดความเครียดและเพิ่มความเข้าใจในปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

ด้านเศรษฐกิจ: การมีสุขภาพจิตที่แข็งแรงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางจิตเวชและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ของกลุ่มวัยรุ่นที่มีสุขภาพจิตดี

ด้านสื่อสารมวลชน: เครื่องมือนี้เป็นสื่อที่สร้างจิตสำนึกและเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างทักษะในการฟังเชิงลึกและการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว

การวิจัยในด้านนี้มีผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ในกลุ่มวัยรุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตในระยะยาวโดยมีเครื่องมือที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของวัยรุ่นในโลก

ดิจิทัล ทำให้มีความเข้าใจและมีทักษะในการแก้ปัญหาและจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์: สร้างเครื่องมือตามกรอบความคิดสําเร็จ โดยสามารเข้าถึงได้ออนไลน์ที่

https://moom-mong.com/deep/learn

สามารถลองใช้งานบทเรียนเชิงโต้ตอบได้ด้วยการเข้าลิงค์ด้านบน และใส่ข้อมูลด้านล่าง

Username: moommong Password: moommong

https://moommong.com/deep/report/ สามารถเข้าถึงผลลัพธ์ของบทเรียนเชิงโต้ตอบได้ด้วยการเข้าลิงค์ด้านบน     ที่มา:https://moom-mong.com/deep/learn

   3.2.10 งานวิจัยผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ต่อความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา

สำคัญของงานวิจัยนี้คือ:

การเข้าถึงบริการที่สะดวก: นักศึกษาสามารถเข้าถึงบริการคำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งทำให้เพิ่มความสะดวกสบายและความเข้าใจในการใช้บริการเป็นอย่างมาก

การลดความเครียดโดยไม่มีการตีตรา (stigma): การให้บริการแบบออนไลน์ช่วยลดความเครียดโดยที่นักศึกษาไม่ต้องเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับการถูกตีตราหรือมีการตรวจสอบจากผู้อื่น

การให้บริการที่มีคุณภาพ: นักบำบัดให้คำปรึกษาอย่างใส่ใจและให้เทคนิคการผ่อนคลายที่เป็นประโยชน์ เช่น เทคนิคการหายใจ การปรับความคิด และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: นักศึกษาพบว่าเนื้อหาในคลิปวิดีโอมีความกระชับ ไม่น่าเบื่อ และสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ทำให้การเรียนรู้และการปฏิบัติตามได้โดยง่าย

ผลลัพธ์ที่เหมาะสม: การวิจัยพบว่าการให้บริการแบบออนไลน์ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่แพ้การให้บริการแบบพบหน้า โดยมีการลดระดับความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษาได้โดยมีประสิทธิภาพ

 

3.3 คาบเกี่ยววัยเรียน และวัยรุ่น

3.3.1 โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทย (FIRST-EPISODE PSYCHOSIS INTERVENTION PROGRAM) ความสำคัญของโปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่น (FIRST-EPISODE PSYCHOSISINTERVENTION PROGRAM) ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย ได้แก่:

การจัดระบบบริการแบบองค์รวม: โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการจัดตั้งระบบบริการที่ให้บริการทั้งการส่งเสริมและการป้องกันโรคจิตเภทในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีอาการโรคจิตครั้งแรก อันเป็นการเฝ้าระวังและให้การรักษาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยในช่วงเริ่มต้นของโรค

การศึกษาและการวิจัยเพื่อการพัฒนา: โปรแกรมนี้ผลิตข้อมูลโดยการศึกษาแนวทางระบบบริการจากประเทศที่มีระบบบริการใกล้เคียง และทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดทำโปรแกรมในประเทศไทย

การปรับปรุงระบบบริการ: โปรแกรมนี้จัดระบบบริการโดยให้การรักษาอย่างเหมาะสมและใส่ใจ และมีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมตามความต้องการของผู้ป่วย

การสร้างความร่วมมือ: ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่เห็นด้วยในเรื่องของการจัดระบบบริการการดูแลวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีโรคจิตครั้งแรก และระบุถึงความสำคัญของการจัดบริการตามระดับของหน่วยบริการสุขภาพ

การร่วมมือในการรักษา: โปรแกรมนี้หากการรักษาและการดูแลผู้ป่วยจะควรมีการร่วมมือทั้งในด้านการรักษาทางยาและการให้บริการทางจิตเวชสังคม

การเฝ้าระวังและการติดตามผล: โปรแกรมนี้ระบุถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังและการติดตามผลของการรักษาต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถคงความสามารถในการเรียนและทำงานได้ในระยะยาว

ดังนั้น โปรแกรมการดูแลโรคจิตครั้งแรกในเด็กและวัยรุ่นไทยนี้เป็นการแนวทางที่สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสมและครอบคลุม ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคจิตในประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก

3.3.2 โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอด..ภัยรังแก)  ANTI-BULLY PROGRAM

ความสำคัญของโปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน (โรงเรียนปลอดภัยรังแก) ได้แก่:

การเป็นมาตรการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต: โปรแกรมนี้ชี้ชัดเจนถึงการเป็นมาตรการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่มีหลักฐานและคุ้มค่าในการดำเนินงาน เน้นการป้องกันการรังแกในชุมชนโรงเรียน

การพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะสมกับบริบทไทย: โปรแกรมนี้มุ่งหวังในการพัฒนาโปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียนที่เหมาะสมกับบริบทและระบบโรงเรียนในประเทศไทย

กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม: โปรแกรมนี้มีกระบวนการวิจัยที่ให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของมาช่วยกันพัฒนาโปรแกรม โดยการนำเสนอหลักฐานและประสบการณ์ที่ดีจากโรงเรียนที่มีการจัดการปัญหาการรังแกและการป้องกันการรังแกอย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน: ผลการดำเนินโปรแกรมแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มความตระหนักและการมีส่วนร่วมจากทั้งผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ นักเรียน และผู้ปกครองในการป้องกันการรังแก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน

การขยายผลเข้าสู่ระบบ: โปรแกรมนี้ยังมีการขยายผลเข้าสู่ระบบอื่นๆ เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันและเกมสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อป้องกันการรังแก และการร่วมมือกับองค์กรเอกชนเพื่อเสริมสร้างฐานะในการดำเนินงานต่อเนื่องในระยะยาว

ดังนั้น โปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียนนี้เป็นการทำงานที่มีความสำคัญที่จะช่วยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาของนักเรียนในประเทศไทย

3.3.3 เครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS)

การพัฒนาเครื่องมือประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น (Thai Gaming Disorder Scale; T-GDS) คือ:

การจัดเตรียมเครื่องมือที่เหมาะสม: โครงการนี้เน้นการพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการ

ประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกมในเด็กและวัยรุ่น โดยใช้เครื่องมือ T-GDS ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของประเทศไทย

การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ: โครงการได้ทำการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยการหาความเที่ยงและความตรง รวมถึงการหาจุดตัดคะแนนเพื่อแบ่งระดับความรุนแรงของภาวะติดเกม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ

การใช้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง: โครงการได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของเด็กและวัยรุ่นที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เพื่อให้เครื่องมือที่พัฒนามีความเป็น representativeness และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความหลากหลาย

การตรวจสอบความผูกพันของข้อมูล: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึง

ความสัมพันธ์และความผูกพันของคะแนนการประเมินจากแบบประเมิน T-GDS กับคะแนนการประเมินจากแพทย์ (CGAS) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องและความเชื่อถือของเครื่องมือ

การพิจารณาและปรับปรุง: ผู้วิจัยตรวจสอบและปรับปรุงข้อความในแบบประเมิน T-GDS เพื่อให้มีความถูกต้องและเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นต่อการใช้งานในอนาคต

จากการศึกษาพบว่า มีความสำคัญที่จะพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมและมีความถูกต้องในการประเมินความรุนแรงของภาวะติดเกม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษาและการช่วยเหลือสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านการเล่นเกมในประเทศไทย

    3.3.4 คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ

การพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ: โครงการนี้เน้นการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุสะเทือนขวัญจากภัยธรรมชาติหรือจากภัยจากมนุษย์

การสนับสนุนบุคลากร: โครงการนี้เน้นการสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับบุคลากรในหลายสาขาวิชา เช่น ครู/อาจารย์และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้พวกเขาสามารถให้การช่วยเหลือและเยียวยาจิตใจให้กับเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสม

การส่งเสริมการปรับความสมดุล: โครงการนี้มุ่งเน้นการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้สามารถปรับความสมดุลและลดความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า โดยการให้บริการเช่นการปฐมพยาบาลทางใจและการเยียวยาจิตใจเบื้องต้น

การส่งเสริมการเข้าถึงบริการ: โครงการนี้เน้นการสร้างระบบการสื่อสารและการส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างระบบการดูแลช่วยเหลือที่มีอยู่ เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่มีปัญหาทางจิตใจสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที

การส่งเสริมการพัฒนา: โครงการนี้เป็นโครงการต้นแบบที่สามารถนำไปใช้ระหว่างหลายพื้นที่ ดังนั้น การส่งเสริมการพัฒนาและการทำให้ระบบดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต

โดยรวมแล้ว คู่มือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจเป็นการทำงานที่สำคัญและมีผลต่อการพัฒนาของระบบการดูแลช่วยเหลือทางจิตใจในประเทศ โดยเฉพาะในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้สามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติและพัฒนาการได้อย่างเหมาะสม

3.3.5 รายงานการศึกษาเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบมาตรฐานวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับผู้เรียนไทย เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยความบกพร่อง

ทางการเรียนรู้: กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ:

การวิเคราะห์คะแนนและคำตอบ: การศึกษาเน้นการวิเคราะห์คะแนนและคำตอบจากแบบทดสอบเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะความสามารถและความต้องการของกลุ่มเด็กที่ต้องการพิเศษ

การจัดกลุ่ม: ผู้วิจัยจัดกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มตามลักษณะความพิเศษของพวกเขา เช่น เด็กปัญญาเลิศ, เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้, และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา

การวิเคราะห์ผล: พบว่าเด็กปัญญาเลิศมีคะแนนสูงที่สุดในทุกแบบทดสอบย่อย ในขณะที่เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีคะแนนรองลงมาและเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีคะแนนต่ำที่สุด

ความสามารถในการวินิจฉัย: ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสามารถใน

การใช้แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ของเด็ก และเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติ

การนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติ: แบบทดสอบมีความตรงเชิงโครงสร้างเพียงพอในการใช้ในการวินิจฉัยและตรวจสอบเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในระดับประเทศ

การพัฒนาต่อไป: โครงการนี้เสนอให้มีการพัฒนาเกณฑ์ปกติระดับชาติและเกณฑ์ปกติตามอายุเพื่อให้แบบทดสอบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการใช้งานในอนาคต

สรุป รายงานนี้เน้นการวิเคราะห์และการจัดกลุ่มเด็กตามความพิเศษของพวกเขา เพื่อให้สามารถใช้แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัยความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมและมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในทางเวชปฏิบัติต่อไป

 

 

วัยผู้ใหญ่ / ADULTS

วัยผู้ใหญ่ / ADULTS

"การศึกษาภาระโรคในภาพรวมระดับโลก" คือ:

เพิ่มขึ้นของโรคจิตเวชในผู้ใหญ่: การศึกษาเน้นการเรียกความสนใจว่าโรคจิตเวชในวัยผู้ใหญ่มีการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องให้ความสนใจเพิ่มเติมเนื่องจากมีผลกระทบที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจ

โรคซึมเศร้าและวิตกกังวล: โรคซึมเศร้าและวิตกกังวลเป็นปัญหาสำคัญที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพจิตของผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในปีสุดท้ายพบว่าโรคซึมเศร้ามีผลกระทบมากที่สุดในผู้หญิง

ความผิดปกติพฤติกรรมเสพสารเสพติด: ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเสพสารเสพติดเป็นอันดับต่ำกว่าโรคจิตเวชแต่ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ต้องให้ความสนใจ เนื่องจากมีผลกระทบที่หลากหลายต่อสังคมและเศรษฐกิจ

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ: โรคจิตเวชมีผลกระทบที่มากมายไม่เพียงแต่ต่อผู้ป่วยเอง แต่ยังส่งผลต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคนรุ่นต่อไป

การวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่เพียงพอ: โรคจิตเวชยังมีส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องมีการแก้ไขและป้องกันให้มีการรักษาอย่างเหมาะสม

ความสำคัญของการป้องกันและการรักษา: การศึกษานี้เน้นความสำคัญของการให้ความสำคัญกับการป้องกันและการรักษาโรคจิตเวชเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต

สรุป การศึกษาภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเวชในภาพรวมระดับโลกช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้และการต้องมีการแก้ไขและการป้องกันเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

กล่องที่ 4 ผลการดําเนินการ/โปรแกรม/สื่อ เพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตในผู้ใหญ่

สาเหตุ"การว่างงานและการจ้างงานที่มีคุณภาพต่ำ"เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สําคัญ ได้แก่

ความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช: การว่างงานและการจ้างงานที่มีคุณภาพต่ำถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเป็นโรคจิตเวช เนื่องจากมีผลต่อสภาพจิตและสุขภาพจิตของบุคคล

ความเสี่ยงจากการว่างงาน: การว่างงานมีสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่เป็นการวินิจฉัยทางคลินิก และมีผลกระทบที่มากขึ้นเมื่อการว่างงานมีระยะเวลานานขึ้น

ความสำคัญของการมีงานที่มั่นคง: งานที่มั่นคงและมีอิสระในการทำงานถือเป็นปัจจัยปกป้องสุขภาพจิตที่ดี และมีผลต่อลดความเสี่ยงของโรคจิตเวช

บทบาทของนายจ้าง: นายจ้างมีบทบาทสำคัญในการลดโรคจิตเวชของพนักงาน โดยควรกำหนดแนวทางการจ้างงานที่ดี เพื่อให้มีความมั่นใจว่างานมีผลตอบแทนที่ดีและมีอิสระในการทำงาน

ความสัมพันธ์กับสภาพการเงิน: สภาพการเงินของบุคคลมีผลต่อความเสี่ยงของโรคจิตเวช การสร้างรายได้ให้พอเพียงสําหรับการมีชีวิตอย่างมีสุขภาพดีมีความสําคัญทั้งด้านการคุ้มครอง ทางสังคม และนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ

ดังนั้น การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพและมั่นคง เพื่อลดความเสี่ยงของโรคจิตเวชในผู้ใหญ่เป็นสิ่งสําคัญที่จะช่วยป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพจิตของบุคคลและสังคมในระยะยาว

4.1 การปรับพฤติกรรมสุขภาพ

4.1.1 คู่มือปรับพฤติกรรมสุขภาพ

คู่มือปรับพฤติกรรมสุขภาพนี้เป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ช่วยปรับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มผู้รับบริการต่าง ๆ ซึ่งสาระสำคัญของคู่มือนี้เน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจในการปรับพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้บริการเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมสุขภาพ มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดบริการ และสร้างความมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของผู้รับบริการ คู่มือนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ www.jitdee.com ซึ่งเป็นที่มาของความรู้และเครื่องมือสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสาขาสุขภาพสาธารณสุขและการปรับพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มต่าง ๆ การใช้คู่มือนี้อาจช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้นในสังคมได้โดยอัตโนมัติและเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับกลุ่มประชากรต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน

(ดาวน์โหลดฟรีที่ www.jitdee.com)

4.1.2 คู่มือจัดกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสําหรับคลินิกเบาหวาน

 คู่มือจัดกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวานเป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่จะจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยมุ่งเน้นการวางแผนจัดการสถานการณ์เสี่ยงและใช้การช่วยเหลือกันเองภายในกลุ่มเพื่อเป็นพลังเสริมการเปลี่ยนแปลง คู่มือและสื่อการเรียนรู้ประกอบสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ www.jitdee.com ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยการใช้กิจกรรมกลุ่มเรียนรู้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้เป็นกลุ่ม เพื่อสร้างประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการจัดการโรคเบาหวานและสุขภาพที่ดี คู่มือนี้เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานของบุคลากรทางสาธารณสุขในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคด้วยวิธีการที่เข้มงวดและเหมาะสม

4.1.3 เว็บไซต์ www.go2change.com

เว็บไซต์ www.go2change.com เป็นแหล่งข้อมูลและแพลตฟอร์มสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เน้นให้ความสำคัญกับการปฏิวัติตนเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น โดยเน้นที่แนวทางการสร้างแรงจูงใจและวางแผนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกี่ยวกับการกินอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพื่อสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงาน เว็บไซต์นี้เสนอเครื่องมือและคำแนะนำที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและเติบโตเป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็งและมีความสุขในทุกด้านของชีวิต

4.1.4 แอพพลิเคชั่น (Application) สร้างสุขภาพ เป็นเครื่องมือที่ผสานหลักจิตวิทยาเข้ากับความรู้เกี่ยวกับอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ทีละขั้นตอน โดยสร้างแรงจูงใจและเสริมสร้างการทำงานในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ใช้ การผสมผสานหลักจิตวิทยาเข้ากับความรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพให้กับผู้ใช้แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้ผู้ใช้มีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง และให้คำแนะนำและการสนับสนุนในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในแง่มุมการรักษาสุขภาพและความพึงพอใจในชีวิตประจำวันของผู้ใช้

ดาวน์โหลดฟรีในระบบปฏิบัติการ Android และ ios สืบค้นโดยใช้คําว่า สร้างสุขภาพ

    4.1.5 กลุ่มปรับพฤติกรรมสุขภาพ

การวิจัยรูปแบบกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้ เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวาน มุ่งเน้นศึกษาผลการดำเนินงานที่สำคัญโดยใช้การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม โดยกำหนดกลุ่มทดลองและนำมาวิเคราะห์ผลก่อนและหลังการทดลอง ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้:

วัตถุประสงค์ของการวิจัย: การศึกษาผลของกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวานเพื่อวัดผลในระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดแดง ภาวะสุขภาพ และคุณภาพชีวิต

ศึกษาจากผลการวิจัย: การวิจัยศึกษาผลของกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้โดยวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการนำมาใช้ในหลายพื้นที่ เช่น กรมควบคุมโรค (ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุข) และเครือข่ายสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่คลินิกโรคเรื้อรัง (โรคเบาหวาน)

ผลผลิต: ประกอบด้วยการสร้างคู่มือและวีดิทัศน์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมกลุ่มเรียนรู้เพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพสำหรับคลินิกเบาหวานและการทดลองรูปแบบการปรับพฤติกรรมในผู้ป่วยเรื้อรัง (โรคเบาหวาน)

ผลลัพธ์: แสดงว่ารูปแบบการปรับพฤติกรรมสุขภาพในคลินิกโรคเรื้อรังที่ผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีประสิทธิผลกับผู้ป่วยที่เข้าร่วมโดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นประโยชน์และยั่งยืนในการรักษาโรคเบาหวาน โดยมุ่งเน้นการปรับพฤติกรรมในด้านการกิน การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งต่อจิตใจและร่างกายของผู้ป่วย

การเพิ่มทักษะและความสามารถในการจัดการปัญหาการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งเสริมให้แกนนำแรงงานนอกระบบมีความสามารถและเข้าใจถึงทักษะการจัดการตัวเอง เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเล่นหวย การจัดการหนี้สิน และความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยมุ่งเน้นที่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการจัดการตนเองและการแก้ไขปัญหา เมื่อแกนนำเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว จะสามารถนำไปใช้ในการดูแลและถ่ายทอดให้คนอื่นในชุมชนเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้

ผลการดำเนินงานที่สำคัญประกอบด้วย:

ผลผลิต: ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบใน 3 พื้นที่ (เขตลาดกระบัง, เขตประเวศ, เขตวังทองหลาง) ได้ทดลองรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ

ผลลัพธ์: รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการแสดงผลสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการลดความเครียด และการใช้เครื่องมือและกระบวนการกลุ่มในการปรับพฤติกรรมรายบุคคล และพัฒนาเครื่องมือ/ชุดความรู้หลักในการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสม

ประสิทธิผล: การทํากิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตได้เพิ่มระดับความสุขและลดระดับความเครียดในผู้เข้าร่วมกิจกรรม และแกนนําแรงงานนอกระบบสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่กําหนดได้ โดยมีเครื่องมือสําคัญคือชุดความรู้ "คําถามแรงจูงใจ 3 ข้อ" ซึ่งช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นพฤติกรรมตนเองได้ชัดเจน

ที่มา:ข้อมูลจากโครงการวิจัยและประเมินผลการศึกษารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มแรงงานนอกระบบ กรณีศึกษาแรงงานนอกระบบในเขตพื้นที่ลาดกระบัง ประเวศ และวังทองหลาง

 

4.2 การให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาและจำเลย

4.2.1 หลักสูตรแกนกลางการให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (สําหรับผู้ให้คําปรึกษา: การให้คำปรึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการภาวะเสพติด การให้คำปรึกษาครอบครัว)

ที่มา:https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12

4.2.2 หลักสูตรวิทยากรการให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล ที่มา:https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12

4.2.3 การให้คำปรึกษารายกลุ่มและการดูแลผู้รับคําปรึกษารายกรณี

ที่มา: https://galya.go.th/2022/index.php/2023/01/12

4.2.4 คู่มือการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ไข)

4.2.5 รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์กลไก กระบวนการคลินิกให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลกรณีศึกษา ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เอกสารแนบ)

4.2.6 ระบบดิจิทัลพร้อมคู่มือการจัดการข้อมูลการปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล (อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ไข)

 

4.3 แรงงานในสถานประกอบการ

4.3.1 การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพกาย ใจ และการเงิน แรงงานผ่านเครือข่าย HR ในสถานประกอบการต้นแบบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC

กิจกรรมที่เน้นการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพกาย ใจ และการเงินให้แก่แรงงานผ่านเครือข่าย HR ในสถานประกอบการต้นแบบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากร โดยมุ่งเน้นที่การสร้างสุขวัยทำงานและการดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน ซึ่งผลของกิจกรรมได้แสดงดังนี้:

การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ HR: มีการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของเจ้าหน้าที่ HR จำนวน 50 คน เพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจและสามารถสนับสนุนการสร้างสุขวัยทำงานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม

การดำเนินตามโปรแกรมสร้างสุขวัยทำงาน: มีการดำเนินการสำรวจสุขภาพจิตของพนักงานในสถานประกอบการทั้งหมด 9 แห่ง พบว่ามีปัญหาสุขภาพจิตเช่นความเครียด ซึมเศร้า และเสี่ยงฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวางแผนและดำเนินการในด้านสุขภาพจิต

การนิเทศติดตามผลการดำเนินงาน: มีการติดตามและเยี่ยมเสริมพลังแรงงานหลังจากการเข้าร่วมโครงการ ทำให้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมต่อสุขภาพและความพึงพอใจของพนักงาน

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรุปผล: มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสหภาพแรงงาน สหพันธ์ HR และกลุ่ม HR ในสถานประกอบการเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกาย ใจ และการเงินของแรงงานในองค์กร

ผลลัพธ์จากกิจกรรมดังกล่าวได้สร้างรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตในสถานประกอบการและแนวทางการดูแลสุขภาพจิตของพนักงานอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการทำให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพของพนักงานในสถานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

 4.3.2 หลักสูตรเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health Advisor) เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และทัศนคติของบุคลากรในการให้คำปรึกษาสุขภาพ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพทั้งในสถานประกอบกิจการและประชาชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยโมดูลต่าง ๆ ดังนี้:

โมดูล 1 การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงาน

โมดูล 2  บทบาท หน้าที่เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม

โมดูล 3 เครื่องมือพื้นฐานเพื่อการดูแลสุขภาพ กาย ใจ สำหรับเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์

โมดูล 4 การบริหารจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล

โมดูล 5 การจัดการอารมณ์และความคิดสำหรับแรงงาน

โมดูล 6 การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ

โมดูล 7 การสร้างวัฒนธรรมเพื่อการสร้างสุขในสถานประกอบกิจการ

โมดูล 8 การรับฟังเชิงลึก

โมดูล 9 การสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

โมดูล 10 การวัดและประเมินผล

โดยทุกโมดูลจะช่วยเสริมสร้างทักษะและความเข้าใจในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถให้คำปรึกษาสุขภาพที่มีมุมมององค์รวมและเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

4.4 กลุ่มเปราะบางทั้งในชุมชนและสังคม

 4.4.1 รายงานการพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอําเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วม (เอกสารที่เกี่ยวข้อง: Preventing suicide - A community engagement toolkit ของ WHO)

การพัฒนาระบบป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายระดับอำเภอโดยชุมชนมีส่วนร่วมเน้นการนำคู่มือ "Preventing suicide - A community engagement toolkit" ของ WHO เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินการ โดยสรุปข้อเสนอแนะหลัก ๆ ได้แก่:

1.การป้องกันการฆ่าตัวตายในชุมชน โดยเน้นมุ่งเป้าที่กลุ่มเสี่ยงเช่น วัยทำงานที่ว่างงาน รับจ้างทั่วไป หรือเป็นนักเรียน/นักศึกษา

2.การลดการรับข่าวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โดยการจัดการข่าวที่ถูกต้องและสร้างแรงสนับสนุนในการนำเสนอข่าวอย่างเหมาะสม

3.การปรับทัศนคติของประชาชน เพื่อให้กล้าขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดความคิดหรือพยายามฆ่าตัวตาย

4.การจัดการปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว เน้นที่ครอบครัวเป็นหน่วยที่สำคัญในการป้องกันการฆ่าตัวตาย

5.การให้บริการด้านสุขภาพจิตและการรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อเสริมความเข้าถึงและลดการนอนโรงพยาบาลช้า

6.การเพิ่มระบบการติดตามครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ทำร้ายตัวเองได้รับการดูแลและติดตามอย่างเหมาะสม

การดำเนินการเหล่านี้นั้นเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างหลายภาคส่วนของชุมชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาการฆ่าตัวตายในระดับอำเภอ

4.4.2 คู่มือการนําโปรแกรมการทํางานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเพื่อป้องกันการกระทำซ้ำไปใช้ในพื้นที่ ชุมชน รวมทั้งการขยายพื้นที่ในการดำเนินโปรแกรมการทำงานกับผู้กระทําความรุนแรงในครอบครัว เพื่อป้องกันการกระทําซ้ำ เป็นการสร้างคู่มือที่เน้นการพัฒนาและการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันการกระทำรุนแรงซ้ำซาก โดยเฉพาะสิ่งที่ได้ผลสำคัญมาก ได้แก่

การพัฒนาแกนนำและการอบรม: การจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และทักษะในการทำงานกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ผ่านโปรแกรมที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมเพื่อการดำเนินการในระยะยาว

การดำเนินงานตามโปรแกรม: การร่วมกันในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมกับครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมเยี่ยมบ้าน เยี่ยมบ้านเพื่อให้คำปรึกษา และการจัดค่ายครอบครัว เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีในครอบครัว

การพัฒนาคู่มือ: การดำเนินงานในขั้นตอน 4 ขั้นตอน โดยเน้นการยกร่าง การนำไปใช้ การประเมินผล และการปรับปรุงคู่มือ ซึ่งประกอบด้วยคำชี้แจง กรอบการใช้โปรแกรม และตัวอย่างกิจกรรม

ผลการศึกษาเหล่านี้ช่วยให้การทำงานกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวมีประสิทธิภาพและมีผลลัพธ์ที่ดีในการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในครอบครัวและชุมชนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อีกครั้ง

    4.4.3 HOPE Task Force

"HOPE Task Force" เป็นทีมที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยมีความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมสุขภาพจิต และกองบังคับการปราบปราม โดยมีเป้าหมายในการป้องกันการกระทำร้ายแรงซ้ำ สำคัญอย่างมากเนื่องจากสอดคล้องกับการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างสุขภาพจิตให้คนไทยดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มชีวิตที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต

ทีม HOPE Task Force ประกอบไปด้วยผู้แทนจากกองบังคับการปราบปราม สถานีตำรวจ กรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาล ร่วมกับเพจเฟซบุ๊กยอดนิยม 3 แห่ง ได้แก่ "หมอแล็บแพนด้า", "Drama-addict", และ "แหม่มโพธิ์ดํา" ทีมจะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้:

การรับข้อมูล: ประชาชนส่งข้อมูลผ่านโลกโซเชียลไปยังเพจเฟซบุ๊ก 3 แห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

การวางแผนช่วยเหลือ: หลังจากได้รับข้อมูล ทีมจะวางแผนร่วมกันเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยร่วมกับตำรวจและโรงพยาบาลในพื้นที่

การดูแลรักษาและบำบัด: จัดทีมติดตามและดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายซ้ำในอนาคต

ผลการดำเนินงานของ HOPE Task Force ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - ตุลาคม 2565 มีการให้บริการช่วยเหลือทั้งหมด 469 ราย โดยดูแลเยียวยา 390 ราย และมีการดำเนินงานในระยะถัดไป เช่น การจัดวางระบบรายงานบน LINE OA และเชื่อมการดําเนินงานกับประชาสัมพันธ์จังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงในการฆ่าตัวตายอย่างมีประสิทธิภาพ

4.4.4 การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้า D Mind

ระบบ D Mind เป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประเมินภาวะซึมเศร้าและให้บริการการดูแลสุขภาพจิตในหมอพร้อม โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการอยู่ทั้งหมด 47,710 ราย โดยในข้อมูลถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 มีผู้ที่ต้องการให้ดูแลเป็นจำนวน 876 ราย ซึ่ง

ประกอบด้วยผู้เสี่ยงสูง 642 ราย และผู้เสี่ยงปานกลาง 234 ราย

ในปัจจุบันระบบกำลังดำเนินการระยะติดตามโดยมีฟังก์ชัน SOS และ progress tracking เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อกับ CUNext (CU Wellness Center) เพื่อให้บริการแก่นิสิตในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ทำให้ระบบ D Mind เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเฝ้าระวังและให้การดูแลสุขภาพจิตในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.4.5 การสนับสนุนจัดทําคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน การดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง Standard Operating Procedures: SOPs Severe Mental Illness – High Risk to Violence (V - Care) การสนับสนุนจัดทำคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (Standard Operating Procedures: SOPs Severe Mental Illness – High Risk to Violence; V-Care) เป็นการปฏิบัติงานที่สำคัญที่มุ่งเน้นไปที่การจัดการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมรุนแรงในสังคมไทย ซึ่งมาจากผู้ป่วยจิตเวชและผู้ใช้ยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูง (Severe Mental Illness–High Risk to Violence; SMI-V) โดยเน้นไปที่การค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน เพื่อให้ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม การส่งต่อผู้ป่วยไปยังบริการจิตเวชฉุกเฉิน และการดูแลในหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในทุกจังหวัด โดยการจัดทำคู่มือนี้เป็นโอกาสสำคัญในการขยายพันธมิตรการรักษาสุขภาพจิตและยาเสพติดเชิงรุกไปยังทุกจังหวัด เพื่อให้ส่งมอบสังคมที่ปลอดภัยแก่ประชาชน

ทั้งในด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยจิตเวช ครอบครัว และชุมชน และเป็นเครื่องมือช่วยให้บุคลากรที่ทำงานระดับจังหวัดเข้าใจบทบาทภารกิจตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลในโรงพยาบาลและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ โดยคู่มือนี้จะมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์และชุมชนที่ปลอดภัยโดยรวม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพจิตและยาเสพติดแบบร่วมมือและบูรณาการในทุกๆ ระดับ การจัดทำคู่มือนี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของการรักษาสุขภาพจิตและการป้องกันการก่อความรุนแรงในสังคม

ที่มา:https://mhso.dmh.go.th/page/subject_details.php ข้อมูลจากการประมร่วมกับจิตแพทย์สถาบันกัลยาราชนครินทร์กรมสุขภาพจิต

3.4 งานวิจัยและประเด็นขับเคลื่อนภายในประเทศที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางงานสุขภาพจิต

3.4.1 งานวิจัยอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย ปี 2576

องค์กรที่ร่วมจัดทํางานวิจัย อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน ได้แก่

-กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

-สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

-สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

-ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่นจํากัด (Future Tales Lab by MQDC)

โดยมุ่งเน้นนําเสนอประเด็นปัญหาสําคัญสถานการณ์ปัจจุบัน สัญญาณการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยขับเคลื่อนสําคัญ ภาพอนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบายสําหรับการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพจิตของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

พร้อมกับการเผยแพร่องค์ความรู้ออกสู่สาธารณะ ทั้งในมิติสังคม เทคโนโลยีเศรษฐกิจ

สิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย และค่านิยม รวมถึงการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ต่อการดูแลสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคตร่วมกัน

ผลการวิจัย แยกออกเป็น 5 ประเด็น ได้แก่

1. จะอยู่เฉยได้อย่างไร ในเมื่อโลกของเรามีจํานวนผู้ป่วยด้าน Mental Health มากกว่าผู้ป่วยมะเร็ง

2. 'เทคโนโลยีที่ใช่' เข้ามาช่วยดูแล-ป้องกัน-ฟื้นฟูสุขภาพจิตได้

3. ปัญหาสุขภาพจิตในเชิงลึกและเมกะเทรนด์ที่สามารถส่งผลกระทบรอบด้าน (รวมถึงต่อจิตใจ)

4. Future Scenarios : ภาพอนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576

5. Guide to Action : ตัวอย่างข้อเสนอต่อการปฏิบัติสําหรับ 'ภาครัฐ'

 

3.4.2 บทความ Q and A ดูแลหัวใจไม่ให้ใครร่วงหล่น: เปลี่ยนระบบบริการสุขภาพจิตให้เข้าถึงง่ายและทันท่วงที

¬คิด for คิดส์โดยความร่วมมือระหว่าง 101 PUB กับ สสส. ชวนตั้งคําถามและหาคําตอบ ทําไมผู้ป่วยซึมเศร้าไทยจึงไม่นับรวมเด็กอายุต่ำกว่า 15? ทําไมถึงมีผู้ป่วยเข้าถึงบริการเกิน 100%? แผนสุขภาพจิตตามยุทธศาสตร์ 20 ปีตอบโจทย์แล้วหรือยัง? การเพิ่มจิตแพทย์จะช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่? ระบบบริการสุขภาพจิตที่ดีควรเป็นอย่างไร? ในมุมของคนทํางานคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ตัวเลขสถิติต่างๆ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด?

 ¬ คนไทยฆ่าตัวตายมากกว่าที่เคยรู้กัน

รายงานการเฝ้าระวังการทําร้ายตนเองกรณีเสียชีวิต (รง506S) ของกรมสุขภาพจิตเปิดเผยถึงข้อมูลที่ทําให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาการฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยระบุว่ามีการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2019 จนถึงต้นปี 2020 โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหา

ส่วนตัว เช่น ความสัมพันธ์อาการเจ็บป่วยและการดื่มสุรา และมีการเพิ่มมากขึ้นของปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยเสี่ยงลําดับ โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้:

ในช่วงปี 2017-2022 จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในไทยเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จาก 5 แสนเป็น 1.5 ล้านคน

ปี 2022 มีคนไทยลงมือฆ่าตัวตายราว 3.5 หมื่นคน โดยทำสําเร็จได้ 13%ผู้ที่ฆ่าตัวตายสําเร็จส่วนใหญ่เป็นเพศชายและมีอัตราสูงสุดในกลุ่มผู้สูงอายุ

แต่เมื่อพิจารณาผู้พยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอัตราสูงสุดในวัยเรียนอายุ 15-19 ปีสูงถึง 224 คนต่อแสนประชากร มากกว่าวัยทํางานถึง 5 เท่า

ปัจจัยเสี่ยงสําคัญ คือการมีประวัติทําร้ายตนเองมาก่อน และการป่วยด้วยโรคจิตเวชรายงานเหล่านี้เน้นให้ความสำคัญกับการเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยการดึงข้อมูลจากการเฝ้าระวังการทําร้ายตนเองในกรณีเสียชีวิต และการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการป้องกันและช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงได้อย่างเหมาะสม

¬ เด็กและเยาวชนถูกบั่นทอนด้วยโรคซึมเศร้ามากกว่าวัยอื่น

การเก็บรวบรวมข้อมูลล่าสุดในประเทศไทยในปี 2014 พบว่าโรคซึมเศร้ามีผลต่อเด็กและเยาวชนมากกว่าวัยอื่น โดยมีข้อสรุปสำคัญดังนี้:

โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุลำดับต้นๆในเพศหญิง: ข้อมูลแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรคซึมเศร้าในเพศหญิง ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงกว่าเพศชายในทุกช่วงวัย โดยมีการระบุว่าโรคนี้เป็นสาเหตุลำดับต้นๆในกลุ่มนี้

สัดส่วนของโรคซึมเศร้าสูงสุดในวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น: ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าโรคซึมเศร้ามีสัดส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในช่วงวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น โดยมีความสูงกว่าเพศชายในวัยเดียวกันถึง 2 เท่า

ข้อมูลที่เก็บรวบรวมในปี 2014 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโรคซึมเศร้าในเด็กและเยาวชนในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าในเพศชายทุกช่วงวัย โดยมีการระบุว่าโรคนี้เป็นสาเหตุลำดับต้นๆในกลุ่มเด็กและเยาวชนหญิง

สัดส่วนของโรคซึมเศร้าสูงสุดเกิดขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชนในช่วงวัยเรียนและวัยทำงานตอนต้น โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าเพศชายในวัยเดียวกันถึง 2 เท่า

แนวโน้มข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่วัยเรียนเพื่อป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้า และเน้นการเข้าถึงบริการทางจิตเวชอย่างเหมาะสมในกลุ่มเป้าหมายนี้

ในทำนองเดียวกัน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาซึมเศร้าในเด็กและเยาวชนควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความเสี่ยงและการป้องกันอย่างเป็นระบบและอย่างกว้างขวาง

¬ เกณฑ์อายุขั้นต่ำที่บดบังปัญหาสุขภาพจิตเด็ก

องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าโรคจิตเวช มักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพลำดับ 2 ในเด็กและวัยรุ่นตอนต้นอายุ 5-14 ปีทั่วโลก

ในประเทศไทย ความคิดฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น 11-14 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายที่สูงกว่าวัยรุ่นตอนปลายอายุ 15-19 ปี

งานวิจัยชี้ว่าเด็กที่มีความคิดฆ่าตัวตายในช่วงวัยรุ่นตอนต้นมีแนวโน้มจะลงมือจริงในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย แสดงให้เห็นว่าตัวเลขของการพยายามฆ่าตัวตายที่สูงมากในวัย 15-19 ปีอาจไม่ได้เกิดจากการคิดสั้นอย่างที่คิดว่า แต่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก

ในทำนองเดียวกัน ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเข้าใจเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและอย่างเหมาะสม

สถิติขององค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าโรคจิตเวชมักเริ่มแสดงอาการตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพลำดับ 2 ในเด็กและวัยรุ่นตอนต้นอายุ 5-14 ปีทั่วโลก

ในประเทศไทย แนวโน้มเริ่มของความคิดฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น 11-14 ปี โดยมีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าในวัยรุ่นตอนปลายอายุ 15-19 ปี

การกำหนดเครื่องมือคัดกรองโรคซึมเศร้าในเด็กในประเทศไทยได้ถูกจัดทำขึ้น โดยมีแบบคัดกรองที่ใช้ได้กับเด็กตั้งแต่วัย 7 ขวบ และมีแบบคัดกรองขนาดกระชับสําหรับวัย 11-20 ปี ซึ่งถูกใช้ในโรงเรียนและระบบประเมินสุขภาพจิตออนไลน์อย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้ ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นควรพิจารณาเพิ่มเติมโดยใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเข้าใจเหตุผลและวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและอย่างเหมาะสม

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาของการกําหนดตัวชี้วัดจิตเวชเด็กในบทความ เห็นตัวเลข ไม่เห็นหัวใจ: สถิติสุขภาพจิตไทยที่ต้องทบทวน

¬ บริการจิตเวชเหลื่อมล้ำและยังไม่ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่น

ในปี 2022 ไทยมีจิตแพทย์ 845 คน ซึ่งเป็นสัดส่วน 1.28 คนต่อแสนประชากร อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมีจำนวนน้อยเพียง 295 คนทั่วประเทศ

จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ตามภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ สงขลา เป็นหลัก ทำให้เด็กและวัยรุ่นในจังหวัดเล็กมีการเข้าถึงบริการได้ยาก

ในการเข้าถึงบริการจิตเวช ผู้ป่วยในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นต้องเดินทางไกลและรอคอยนาน ซึ่งมักเป็นภาระที่หนักและมีความเสี่ยงที่จะถูกละเลย

มีความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริการจิตเวชที่ครอบคลุมเด็กและวัยรุ่นอย่างเพียงพอ เพื่อให้การดูแลสุขภาพจิตเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงอายุเยาวชนได้และเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นขาดแคลนใน สุขภาพใจที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของเด็กและวัยรุ่นไทย

¬ กำลังสนับสนุนไม่เพียงพอ หมอก็ไปประจําอยู่ไม่ได้นาน

จากข้อมูลปัจจุบัน ไทยมีพยาบาลจิตเวชทั้งหมด 4,064 คน โดยมีพยาบาลจิตเวชเด็กและเยาวชนอยู่ 602 คน

อย่างไรก็ตาม อัตรากำลังบุคลากรในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ ทำให้พยาบาลจิตเวชต้องรับผิดชอบงานทั่วไปด้วย

ภาระงานที่ล้นเกินจากที่เป็นความรับผิดชอบของพยาบาลจิตเวชทำให้มีปัญหาขาดแคลนบุคลากรเข้าไปเพิ่มขึ้นอีก

ดังนั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาและเสริมสร้างกำลังคนในด้านบุคลากรจิตเวชเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด

อ่านเพิ่มเติมเรื่องราวของพยาบาลจิตเวชกับการแบกภาระ ‘ตัวชี้วัด’ ใน ทําไมพยาบาลจิตเวชถึงไม่มีเวลาทํางานจิตเวช?

¬ แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติยุทธศาสตร์ 20 ปีที่ยังไม่ตอบโจทย์

การเพิ่มกำลังคนด้านสุขภาพจิต: แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติได้ระบุถึงการเพิ่มกำลังคนด้านสุขภาพจิต เพื่อให้มีบุคลากรพร้อมที่จะรับมือกับความต้องการของประชาชน แต่การดำเนินงานตามแผนนี้ยังไม่ได้รับการประเมินว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการจริงๆ ของสังคมหรือไม่

จุดบอดในการดำเนินงาน: เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของแผนงาน พบว่ายังมีจุดบอดหลายประการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุง เช่น การจัดสร้างพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสําหรับการรักษาโรคจิต การเข้าถึงบริการที่สะดวกสบายและมีคุณภาพสําหรับประชาชนทุกกลุ่ม

การไม่ตอบโจทย์หลายปัญหา: แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติยังไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาหลายๆ ด้านที่

เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมได้ในระยะยาว

ดังนั้น จำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับปรุงแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับนี้เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมและประชาชนได้อย่างเหมาะสมและเต็มที่

ความเหมาะสมของกำลังคน: ผลการดำเนินงานในระยะ 5 ปีแรกยังไม่สามารถผลิตบุคลากรสายสนับสนุนทางสุขภาพจิต เช่น พยาบาลจิตเวช ให้มากพอต่อความต้องการ ซึ่งมีผลทำให้ยังไม่สามารถให้บริการที่เพียงพอแก่ประชาชน

การแก้ไขปัญหา: ปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่ขาดแคลนบุคลากรเท่านั้น แต่ยังเกิดปัญหาการกระจุกตัวของบุคลากรในพื้นที่และปัญหาเกี่ยวกับการทำงานไม่ตรงตามความเชี่ยวชาญ เช่น การทำงานเสริมทำให้ไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ตอบโจทย์ในการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างจริงจัง

การปรับปรุงแผนการดำเนินงาน: จำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงแผนการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและประชาชนได้อย่างเหมาะสมและเต็มที่ เพื่อให้บุคลากรสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเลิศในการให้บริการด้านสุขภาพจิต

¬ ดูแลสุขภาพใจไปทีละขั้น ลดปัญหาคอขวดที่โรงพยาบาล

การแก้ไขปัญหา: นโยบายปัจจุบันมุ่งหวังในการเพิ่มคุณภาพของบริการสุขภาพจิตโดยไม่จำเป็นต้องส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกล แต่ยังขาดแผนการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

ความต้องการการเปลี่ยนแปลง: ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาคอขวด

ที่โรงพยาบาล เนื่องจากยังคงใช้กรอบการเพิ่มศักยภาพในระบบเดิมซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความจำเป็นของการปรับเปลี่ยน: การปรับเปลี่ยนที่เรียบง่ายและทันสมัยจะช่วยลดปัญหาคอขวดที่โรงพยาบาลและประสิทธิภาพของบริการสุขภาพจิตให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล

ประเทศไทย มีตำแหน่ง “พนักงานสุขภาพชุมชน” (พสช.) ซี่งเป็นผู้ช่วยแพทย์และพยาบาลที่มีเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ผ่านการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตร ระยะเวลา 1 ปี

¬ ดูแลสุขภาพใจ ไม่ใช่แค่เรื่องในโรงพยาบาล

การคัดกรองแบบรุนแรง: การตอบสนองต่อปัญหาโรคซึมเศร้าโดยการเพิ่มการคัดกรองเชิงรุนแรงในหลายพื้นที่ เช่น การคัดกรองโดยอาสาสมัครในหมู่บ้าน โดยครูในโรงเรียน และผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์

การขยายแนวร่วมสหวิชาชีพ: การขยายแนวร่วมสหวิชาชีพเพื่อเข้าถึงคนในชุมชนโดยการฝึกให้คนทั่วไปมีทักษะในการดูแลจิตใจขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถดูแลคนในชุมชนได้อย่างทันท่วงที

¬Friendship Bench (2006)

โครงการ "Friendship Bench" เป็นโครงการที่ฝึก "คุณยาย" ในชุมชนให้เป็นผู้ให้การดูแลสุขภาพจิตกับผู้ป่วยซึมเศร้าในชุมชน โดยใช้เครื่องมือการบำบัดด้วยการแก้ไขปัญหา (Problem Solving Therapy - PST) โดยคุณยายจะเป็นตัวแทนที่ช่วยให้ผู้ป่วยซึมเศร้าระดับน้อยถึงปานกลางสามารถแก้ไขปัญหาทางจิตใจที่เผชิญอยู่ได้ด้วยตนเอง การให้การดูแลจิตใจจากคุณยายช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสนับสนุนและไม่เหงา และสามารถพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพต่อตนเองได้ โครงการนี้เน้นไปที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการดูแลสุขภาพจิตโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนเอง และเป็นการให้การดูแลสุขภาพจิตที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพในชุมชนในเครือข่ายของโครงการบน Friendship Bench โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีทรัพยากรทางการแพทย์ที่จำกัด การเป็นหนึ่งในแนวทางใหม่ในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในชุมชนที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศในการดูแลเพื่อป้องกันและบรรเทาภาวะซึมเศร้าในชุมชน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการรักษาทางการแพทย์แบบเดิม การให้การดูแลจิตใจที่บน Friendship Bench จึงมีความสำคัญในการลดความเดือดร้อนทางจิตใจในชุมชนและเสริมสร้างทักษะในการแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้าในระดับพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งในระยะยาว

¬ ดูแลหัวใจไม่ให้ใครร่วงหล่น ด้วยระบบบริการที่เข้าถึงง่ายและทันท่วงที

ปัญหาสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่ท้าทายระดับสากลและต้องการวิธีการและเครื่องมือใหม่ในการรับมือกับมันในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะปฏิบัติตามคำแนะนำเชิงนโยบายขององค์การอนามัยโลกในแทบทุกด้าน ระบบบริการสุขภาพจิตยังคงต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงใน 3 ด้านหลักต่อไปนี้:

1.ดูแลจิตใจตั้งแต่ยังไม่เกิดวิกฤต: การให้การดูแลสุขภาพจิตไม่ควรรอจนกว่าป้องกันและรักษาโรคจิตเวชในระดับต้นๆ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด การส่งเสริมสุขภาพจิตในที่ทำงาน หรือการให้การสนับสนุนทางจิตใจในชุมชน.

2.เพิ่มการเข้าถึงบริการอย่างเป็นระบบ: การให้บริการสุขภาพจิตควรถูกจัดเป็นระบบและมีการเข้าถึงที่ง่ายต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการคิวท์ออนไลน์หรือการให้บริการผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น แอปพลิเคชันที่ให้คำแนะนำหรือการสนับสนุนทางจิตใจออนไลน์

3.ให้การดูแลอย่างทันท่วงที: ระบบบริการสุขภาพจิตควรสามารถให้การช่วยเหลือและการรับบริการที่ทันท่วงทีแก่ผู้ที่ต้องการอย่างเร่งด่วน เช่น การให้บริการด้วยวิธีการทางไกลหรือการจัดหาบริการที่มีอยู่ใกล้บริเวณที่ต้องการในทันทีที่ต้องการ

3.4.3 ประเด็น“ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง”

การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เกี่ยวกับเรื่อง "ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง":

การสร้าง "สังคมไทยไร้ความรุนแรง" ที่ทุกคนสามารถมีสุขภาวะและสังคมที่มีความยั่งยืนทางสุขภาพจิตนั้น จำเป็นต้องพัฒนา "ระบบสุขภาวะทางจิต" ที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนและทุกระดับของสังคม ระบบนี้ควรครอบคลุมทักษะสุขภาพจิตส่วนบุคคล พฤติกรรม และวิถีชีวิต การรักษาโรคจิตเวช และการป้องกันโรคด้วยการป้องกัน โดยการออกแบบนโยบายที่ตรงตามหลักสากล และการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมสำหรับคนไทยทุกคน โดยการส่งเสริม ป้องกัน คัดกรอง รักษา และฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตที่ดี โดยไม่เว้นหลังใคร

ระบบสุขภาวะทางจิตควรครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม และต้องเป็นลำดับขั้นที่สอดคล้องกับทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับพื้นที่ วิถีชีวิต วัฒนธรรม กฎหมาย กติกา และหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล โดยมีลักษณะเป็นเชิงรุก เข้าถึงได้กระจายทั่วถึง และเป็นมิตรกับทุกคนในสังคม การพัฒนาระบบนี้จะช่วยลดปัญหาและจัดการปัจจัยที่ส่งผลให้การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนไม่เป็นธรรม และเพิ่มโอกาสและความหวังให้แก่ประชากรทุกกลุ่มที่มีและไม่มีอาการเจ็บป่วยในด้านสุขภาพจิต ที่สามารถมีสุขภาพจิตที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้

3.5 งานวิจัยต่างประเทศที่น่าสนใจ

3.5.1 บทความ ยิ่งอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ปัญหาสุขภาพจิตและการใช้ความรุนแรงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

การวิจัยในหลายประเทศ พบว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายและพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการเสพติดปัญหาความผิดปกติทางอารมณ์และภาวะวิตกกังวลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยโดยชัดเจนในสังคม สรุปว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชากร และเป็นเหตุให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและผู้อื่นในสังคมได้เพิ่มขึ้นด้วย

ที่มา:https://www.sdgmove.com/2021/11/10/warmer-global-worsen-mental-health-and-violence-problems/

3.5.2 “Harvard Study of Adult Development”

งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องความสุขของมนุษย์เป็นเรื่องที่ศึกษามายาวนานกว่า 79 ปีและยังคงทำต่อไป โดยการศึกษากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 724 คน ได้พบว่าความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นมาจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับครอบครัว มิตรภาพกับเพื่อน และสังคมรอบๆ เรา การมีความสัมพันธ์ที่ดีและรู้สึกเชื่อมั่นในความรักและความสนับสนุนจากผู้อื่นมีผลดีต่อสุขภาพจิตและความสุขทั่วไปของบุคคล นั่นหมายความว่าความสุขไม่ได้มาจากสิ่งของเยอะๆ หรือความเป็นเหนือคนอื่น แต่มาจากความสัมพันธ์ที่ดีและการเชื่อมั่นในความรักและความสนับสนุนจากครอบครัวและสังคมรอบข้าง การมีชีวิตที่มีคุณภาพนั้นเกิดขึ้นเมื่อคนสามารถแบ่งปันความสุขและความเต็มใจให้กับผู้อื่นและรับความรักและสนับสนุนจากสิ่งรอบข้างอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตและความสุขในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในทุกๆ ช่วงของชีวิต

ที่มา:เว็บไซต์โครงการ https://www.adultdevelopmentstudy.org

อ้างอิง

เอกอนงค์ สีตลาภินันท์ .(2566).รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต.

สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพลินพาดี ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล  ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

เพลินพาดีและคณะ.(2566). รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต    

เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ฉบับสมบูรณ์ .ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล        ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

บุหรี่
defaultuser.png

Don Admin

บุหรี่

มหัศจรรย์แห่งการอ่านสร้างพัฒนาการเด็ก ขับเคลื่อนสวัสดิการหนังสือ ‘อ่านสร้างลูก ลูกสร้างโลก’
1708931705.jpg

Super Admin ID1

มหัศจรรย์แห่งการอ่านสร้างพัฒนาการเด็ก ขับเคลื่อนสวัสดิการหนังสือ ‘อ่าน...

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย

ลด ละ เลิกเหล้า ด้วยพลังของชุมชน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ลด ละ เลิกเหล้า ด้วยพลังของชุมชน

ถึงเวลาเลิกพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสริมแกร่งร่างกายห่างไกลโรค
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ถึงเวลาเลิกพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสริมแกร่งร่างกายห่างไกลโรค

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

Admin nicky

สาระหลักสำคัญแสดงถึง นิยาม สถานการณ์สุขภาพจิตทั้งในและต่างประเทศ แนวปฏิบัติในการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตในสถานการณ์โควิด-19  การวิเคราะห์ช่องว่างงานสุขภาพจิตของประเทศเพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) สสส. ภายใต้แนวคิดแบบจำลองบ้าน (Housing Model) กับ สุขภาพดี 4 มิติ โดยมีกลุ่มแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพจิตตามกลุ่มวัยควบคู่ไปกับการป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาสุขภาพจิตและภาระโรคจากการเจ็บป่วยทางจิต รวมถึง เสริมสร้างพลังความเข้มแข็งของเครือข่ายทุกภาคส่วนในการร่วมดูแลสุขภาพจิต นำไปสู่ความสุขมวลรวมของคนไทย ที่มีเครื่องมือวัดระบบดับความสุข และกำหนดดัชนีสะท้อนความอยู่ดีมีสุข (Well-being)