4

3

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-10-01 11:15:12

บทนำ

การกินด้วยอารมณ์ (Emotional Eating) คือ การกินอาหารเพื่อบรรเทาความรู้สึกหรือเยียวยาอารมณ์ด้านลบ เช่น เครียด หงุดหงิด เหนื่อยล้า เศร้า เหงา โกรธ กลัว ฯลฯ หรือแม้แต่เป็นการกินเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง พฤติกรรมการกินด้วยอารมณ์เช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจอย่างไม่คาดคิด  และเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้

- คุณกินมากขึ้นเมื่อรู้สึกเครียดหรือไม่?

- คุณกินตอนที่ไม่ได้หิวหรือยังอิ่มอยู่หรือเปล่า?

- เวลารู้สึกเศร้า โกรธ เบื่อ วิตกกังวล คุณกินเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นหรือไม่?

- คุณให้รางวัลตัวเองด้วยอาหารหรือไม่?

- คุณกินจนอิ่มเกินไปเป็นประจำหรือเปล่า?

- อาหารทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยหรือรู้สึกว่าอาหารเป็นเพื่อนหรือไม่?

- คุณรู้สึกไม่สามารถควบคุมตัวเองในเรื่องการกินใช่หรือไม่?

 

หากคุณตอบว่า “ใช่” ในหลาย ๆ ข้อ นั่นแสดงว่า คุณมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรม “กินตามอารมณ์” ซึ่งเป็นความอยากกินหรือหิวทางอารมณ์ (emotional hunger) ไม่ใช่ความหิวทางกายภาพ (physical hunger)

ความหิวทางอารมณ์ VS ความหิวทางกายภาพ

- ความหิวทางอารมณ์มักเกิดขึ้นแบบทันทีอย่างรุนแรง แต่ความหิวทางกายภาพจะเกิดแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เว้นแต่ไม่ได้กินเป็นเวลานานมาก

- ความหิวทางอารมณ์ต้องการชนิดของอาหารที่เฉพาะเจาะจง เช่น อาหารหวานหอมมันซึ่งช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ ในขณะที่ความหิวทางกายภาพจะเลือกอาหารหลากหลาย รวมทั้งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

- ความหิวทางอารมณ์จะนำไปสู่การกินโดยไม่ตระหนักหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่การกินอาหารเพื่อตอบสนองความหิวทางกายภาพสามารถรับรู้และตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น ปริมาณ รสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ฯลฯ

 

- ความหิวทางอารมณ์จะกินไม่หยุด กินมากขึ้นเรื่อย ๆ กินบ่อย ๆ ความหิวทางกายภาพจะหยุดเมื่ออิ่ม ไม่ฝืนกินต่อ และรู้สึกอิ่มใจเมื่ออิ่มท้อง

- ความหิวทางอารมณ์ไม่มีอาการเหมือนหิวทางกายภาพ เช่น ท้องร้องหรือปวดท้อง แต่เป็นความอยากที่ขับออกจากหัวไม่ได้

- ความหิวทางอารมณ์มักนำไปสู่ความเสียใจ รู้สึกผิด หรืออับอาย เพราะลึก ๆ รู้ตัวว่าอาหารที่กินไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

กินด้วยอารมณ์ทำร้ายสุขภาพ

การกินด้วยอารมณ์ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่หลังจากนั้นอาจจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่ลง เช่น กินตามอารมณ์เพราะเสียใจ กินแล้วอาจทำให้ความเสียใจหายไปชั่วคราว แต่ไม่นานจะกลับมาอีก เพราะต้นเหตุความเสียใจยังคงอยู่ และที่มากกว่านั้นการกินด้วยอารมณ์ทำให้น้ำหนักเกินหรือเกิดโรคอ้วนได้ เพราะกินมากและกินบ่อยเกินจำเป็น  อีกทั้งชนิดอาหารที่กินมักมีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง จึงอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

 

ปัจจัยเกี่ยวข้องกับการกินด้วยอารมณ์

ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการกินด้วยอารมณ์ ได้แก่
ลักษณะอารมณ์ของบุคคล (Mood) ซึ่งส่งผลต่อการกินอาหารเพื่อเพิ่มเติมอารมณ์ทางบวก และลดอารมณ์ทางลบ

สถานการณ์ที่ต้องเผชิญ (Situational Characteristic) เช่น การเรียนหนังสือทำให้เครียด มีแนวโน้มจะกินเพื่อจัดการความเครียด

การจำกัดอาหาร (Eating Restraint) การควบคุมน้ำหนัก หมกมุ่นเข้มงวดเกี่ยวกับการกิน เสี่ยงต่อการกินอาหารด้วยอารมณ์

 

นอกจากนี้แล้ว ยังมีผลการศึกษาพบว่า การกินด้วยอารมณ์อาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะอ้วน (Obesity) ชาติพันธุ์ (Ethnic Background) อิทธิพลของครอบครัว (Familial Influence) และลักษณะบุคลิกภาพ (Dispositional Characteristic) ในบางแง่มุม

 

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น นิสัยในวัยเด็ก บางคนถูกเลี้ยงดูมาโดยการให้อาหารเป็นรางวัล นิสัยเหล่านี้มักจะติดตัวไปจนโต ขณะที่อิทธิพลทางสังคมก็มีส่วน เพราะการกินอาหารร่วมกับคนอื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการคลายเครียด แต่ก็อาจนำไปสู่การกินมากเกินไปได้

 

วิธีบอกเลิกการกินตามอารมณ์

บันทึกการกินตามอารมณ์: จดบันทึกอาหารที่กิน รวมถึงสภาวะอารมณ์ที่เกี่ยวข้อง ค้นหาว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้น เพื่อให้รู้รูปแบบการเกิด จะได้จัดการกับอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

ทำกิจกรรมแทนการกิน: เมื่อเกิดความรู้สึกเชิงลบและอยากกิน ให้ทำกิจกรรมที่ชอบหรือกิจกรรมส่งเสริมอารมณ์เชิงบวก เช่น คุยกับคนที่ทำให้สบายใจ เล่นกับสัตว์เลี้ยง เต้นรำ เดินเร็ว อาบน้ำ จุดเทียนหอม อ่านหนังสือ ดูการแสดงตลก ออกไปสำรวจนอกบ้าน เป็นต้น  

หยุดเพื่อตรวจสอบ: เมื่ออยากกินให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อหยุดและไตร่ตรอง เลื่อนการกินออกไปสัก 5 นาที สำรวจความรู้สึกและอารมณ์เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ยอมรับความรู้สึก: การกินตามอารมณ์อาจเกิดจากการไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกตรงหน้าได้ จึงพยายามหลีกเลี่ยงด้วยอาหาร แต่ถ้าเรายอมรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่กดเก็บเอาไว้ หรือรู้สึกกลัว  อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นจะลดลง

กินอย่างมีสติ: กินให้ช้าลง จดจ่อกับรสชาติ รสสัมผัส หน้าตา สีสัน และกลิ่นของอาหาร ไม่ทำอย่างอื่นระหว่างกินอาหาร จะช่วยให้ไม่กินอาหารมากเกินไป

ใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพ: ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย การนอนหลับ การผ่อนคลาย และพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้รับมือกับอุปสรรคปัญหาในชีวิตได้ดีขึ้น และช่วยปกป้องผลกระทบจากอารมณ์ด้านลบด้วย

 

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถควบคุมการกินตามอารมณ์ด้วยตัวเองได้ หรือโน้มเอียงไปสู่การกินผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพราะการกินอาหารตามอารมณ์จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราในระยะยาว

อ้างอิง

https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/emotional-eating

https://www.helpguide.org/articles/diets/emotional-eating.htm

 

 

 

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

6:6:1 สูตรสุขภาพดี  เพื่อชีวิตลดหวาน มัน เค็ม
1708931705.jpg

Super Admin ID1

6:6:1 สูตรสุขภาพดี เพื่อชีวิตลดหวาน มัน เค็ม

ติดต่อเรา
1748965111.jfif

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

สุขภาพดี…เพราะมีสวน ‘พื้นที่สีเขียว’ ตัวกระตุ้นกิจกรรมทางกาย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

สุขภาพดี…เพราะมีสวน ‘พื้นที่สีเขียว’ ตัวกระตุ้นกิจกรรมทางกาย

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ปรับเปลี่ยนทัศนคติคนไม่กินผัก ลองก่อนแล้วจะเห็นผลดีตามมา

Super Admin ID1
1749127108.jpg

ใคร ๆ ก็ทราบดีว่าการกินและผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่จากการสำรวจของโครงการศึกษาพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทยโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จากกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 6,991 คน พบว่า เกือบ 2 ใน 3 ของคนไทย หรือร้อยละ 65.5 กินผักและผลไม้เฉลี่ยเพียง 336.9 กรัมต่อวัน ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน โดยปัจจัยด้านเพศ อายุ สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ และรายได้ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอของคนไทย
ยกตัวอย่างผลสำรวจ ผู้ชายมีแนวโน้มกินผักและผลไม้น้อยกว่าผู้หญิง ซึ่งสะท้อนว่าผู้ชายอาจมีความตระหนักด้านสุขภาพน้อยกว่า กลุ่มวัยอายุน้อย (15-29 ปี) และกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าวัยอื่น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่า คนเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะเริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระและเสี่ยงต่อพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ด้านคนโสดก็มีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่ากลุ่มคนที่แต่งงานแล้ว หรือคนกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าคนในพื้นที่อื่น เนื่องจากชีวิตประจำวันที่ถูกจำกัดด้วยเวลา ฯลฯ 

คำถามก็คือ จะรณรงค์อย่างไรให้คนไทยหันมากินผักและผลไม้เพิ่มมากขึ้น อันดับแรกคงต้องตอกย้ำทัศนะคติที่ว่า การไม่กินผักผลไม้ไม่เห็น (ป่วย) เป็นอะไร เป็นเรื่องที่ยังไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่จะเกิดผลในระยะยาว โดยการบริโภคผักและผลไม้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน สามารถช่วยลดภาวะโรคต่าง ๆ ได้ อาทิ หัวใจขาดเลือด  เส้นเลือดในสมองตีบ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่  
อย่างไรก็ดี เข้าใจได้ว่า คนที่ไม่ชอบกินผักและผลไม้เป็นทุนเดิม เป็นเรื่องยากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แต่เพื่อสุขภาพที่ดี เมื่อรู้ว่ากินแล้วมีประโยชน์ ทำไมถึงจะไม่ทำ ขั้นตอนแรกคงต้องเปิดใจลองกินผักสดต่าง ๆ ดู ถ้ายังยากอยู่อาจจะเริ่มจากการกินสลัดผัก หรือยำประเภทต่าง ๆ ที่มีผักเยอะ ๆ อาจจะช่วยให้กินผักได้ง่ายขึ้น หรือกินผักชุบแป้งทอดก็อาจมีรสชาติให้กินได้ง่ายขึ้น
นอกจากนั้น ควรลองเมนูใหม่ ๆ ที่มีส่วนผสมของผักในสัดส่วนที่พอ ๆ กับเนื้อสัตว์ อย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แกงเลียง แกงอ่อม หรือเกาเหลา และหากพบว่าทั้ง 3 มื้อในหนึ่งวันยังกินผักในสัดส่วนที่ยังไม่มากพอก็ให้เพิ่มสัดส่วนการกินผลไม้เพิ่มเติม โดยเลือกผลไม้ที่รสไม่หวานจนเกินไป ซึ่งหากลองปรับเปลี่ยนการกินมาได้ระยะหนึ่งอาจจะเห็นผลในเรื่องการขับถ่ายที่ดีขึ้น และรูปร่างดีขึ้นอีกด้วย 
ปัญหาใหญ่ที่หลายคนอาจวิตกกังวลคือ จะเลือกกินผักอย่างไรให้ปลอดภัย เพราะผักในตลาดทั่วไปมักมีสารเคมีตกค้างเยอะ เพื่อความสบายใจในเรื่องนี้ เราอาจต้องเลือกซื้อผักที่ปลอดภัยมาทำอาหารเองที่บ้านตามโอกาสที่เหมาะสม เช่น เลือกผักตามฤดูกาล  หรือผักพื้นบ้านที่ปลูกง่าย ไม่ต้องพึ่งสารเคมี เพื่อเพิ่มสัดส่วนการกินผักในแต่ละมื้อจากร้านอาหาร 
            แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า ผักผลไม้ที่กินในแต่ละวันมีสัดส่วนเพียงพอตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำหรือไม่ วิธีการง่าย ๆ คงต้องใช้วิธีการคำนวณให้มีผักโดยรวมประมาณครึ่งจาน ที่เหลือเป็นคาร์โบไฮเดรต บวกกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ เราจะเริ่มเคยชินกับการกินผักและผลไม้มากขึ้น ได้สัดส่วนมากขึ้น เมื่อทำได้จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพทั้งในระดับครัวเรือน และประเทศตามมา