0

0

บทนำ

การกินด้วยอารมณ์ (Emotional Eating) คือ การกินอาหารเพื่อบรรเทาความรู้สึกหรือเยียวยาอารมณ์ด้านลบ เช่น เครียด หงุดหงิด เหนื่อยล้า เศร้า เหงา โกรธ กลัว ฯลฯ หรือแม้แต่เป็นการกินเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง พฤติกรรมการกินด้วยอารมณ์เช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจอย่างไม่คาดคิด  และเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

 

ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้

- คุณกินมากขึ้นเมื่อรู้สึกเครียดหรือไม่?

- คุณกินตอนที่ไม่ได้หิวหรือยังอิ่มอยู่หรือเปล่า?

- เวลารู้สึกเศร้า โกรธ เบื่อ วิตกกังวล คุณกินเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นหรือไม่?

- คุณให้รางวัลตัวเองด้วยอาหารหรือไม่?

- คุณกินจนอิ่มเกินไปเป็นประจำหรือเปล่า?

- อาหารทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยหรือรู้สึกว่าอาหารเป็นเพื่อนหรือไม่?

- คุณรู้สึกไม่สามารถควบคุมตัวเองในเรื่องการกินใช่หรือไม่?

 

หากคุณตอบว่า “ใช่” ในหลาย ๆ ข้อ นั่นแสดงว่า คุณมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรม “กินตามอารมณ์” ซึ่งเป็นความอยากกินหรือหิวทางอารมณ์ (emotional hunger) ไม่ใช่ความหิวทางกายภาพ (physical hunger)

ความหิวทางอารมณ์ VS ความหิวทางกายภาพ

- ความหิวทางอารมณ์มักเกิดขึ้นแบบทันทีอย่างรุนแรง แต่ความหิวทางกายภาพจะเกิดแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เว้นแต่ไม่ได้กินเป็นเวลานานมาก

- ความหิวทางอารมณ์ต้องการชนิดของอาหารที่เฉพาะเจาะจง เช่น อาหารหวานหอมมันซึ่งช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ ในขณะที่ความหิวทางกายภาพจะเลือกอาหารหลากหลาย รวมทั้งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

- ความหิวทางอารมณ์จะนำไปสู่การกินโดยไม่ตระหนักหรือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่การกินอาหารเพื่อตอบสนองความหิวทางกายภาพสามารถรับรู้และตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น ปริมาณ รสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ฯลฯ

 

- ความหิวทางอารมณ์จะกินไม่หยุด กินมากขึ้นเรื่อย ๆ กินบ่อย ๆ ความหิวทางกายภาพจะหยุดเมื่ออิ่ม ไม่ฝืนกินต่อ และรู้สึกอิ่มใจเมื่ออิ่มท้อง

- ความหิวทางอารมณ์ไม่มีอาการเหมือนหิวทางกายภาพ เช่น ท้องร้องหรือปวดท้อง แต่เป็นความอยากที่ขับออกจากหัวไม่ได้

- ความหิวทางอารมณ์มักนำไปสู่ความเสียใจ รู้สึกผิด หรืออับอาย เพราะลึก ๆ รู้ตัวว่าอาหารที่กินไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

กินด้วยอารมณ์ทำร้ายสุขภาพ

การกินด้วยอารมณ์ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่หลังจากนั้นอาจจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกแย่ลง เช่น กินตามอารมณ์เพราะเสียใจ กินแล้วอาจทำให้ความเสียใจหายไปชั่วคราว แต่ไม่นานจะกลับมาอีก เพราะต้นเหตุความเสียใจยังคงอยู่ และที่มากกว่านั้นการกินด้วยอารมณ์ทำให้น้ำหนักเกินหรือเกิดโรคอ้วนได้ เพราะกินมากและกินบ่อยเกินจำเป็น  อีกทั้งชนิดอาหารที่กินมักมีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง จึงอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

 

ปัจจัยเกี่ยวข้องกับการกินด้วยอารมณ์

ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการกินด้วยอารมณ์ ได้แก่
ลักษณะอารมณ์ของบุคคล (
Mood) ซึ่งส่งผลต่อการกินอาหารเพื่อเพิ่มเติมอารมณ์ทางบวก และลดอารมณ์ทางลบ

สถานการณ์ที่ต้องเผชิญ (Situational Characteristic) เช่น การเรียนหนังสือทำให้เครียด มีแนวโน้มจะกินเพื่อจัดการความเครียด

การจำกัดอาหาร (Eating Restraint) การควบคุมน้ำหนัก หมกมุ่นเข้มงวดเกี่ยวกับการกิน เสี่ยงต่อการกินอาหารด้วยอารมณ์

 

นอกจากนี้แล้ว ยังมีผลการศึกษาพบว่า การกินด้วยอารมณ์อาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะอ้วน (Obesity) ชาติพันธุ์ (Ethnic Background) อิทธิพลของครอบครัว (Familial Influence) และลักษณะบุคลิกภาพ (Dispositional Characteristic) ในบางแง่มุม

 

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น นิสัยในวัยเด็ก บางคนถูกเลี้ยงดูมาโดยการให้อาหารเป็นรางวัล นิสัยเหล่านี้มักจะติดตัวไปจนโต ขณะที่อิทธิพลทางสังคมก็มีส่วน เพราะการกินอาหารร่วมกับคนอื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการคลายเครียด แต่ก็อาจนำไปสู่การกินมากเกินไปได้

 

วิธีบอกเลิกการกินตามอารมณ์

บันทึกการกินตามอารมณ์: จดบันทึกอาหารที่กิน รวมถึงสภาวะอารมณ์ที่เกี่ยวข้อง ค้นหาว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้น เพื่อให้รู้รูปแบบการเกิด จะได้จัดการกับอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

ทำกิจกรรมแทนการกิน: เมื่อเกิดความรู้สึกเชิงลบและอยากกิน ให้ทำกิจกรรมที่ชอบหรือกิจกรรมส่งเสริมอารมณ์เชิงบวก เช่น คุยกับคนที่ทำให้สบายใจ เล่นกับสัตว์เลี้ยง เต้นรำ เดินเร็ว อาบน้ำ จุดเทียนหอม อ่านหนังสือ ดูการแสดงตลก ออกไปสำรวจนอกบ้าน เป็นต้น  

หยุดเพื่อตรวจสอบ: เมื่ออยากกินให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อหยุดและไตร่ตรอง เลื่อนการกินออกไปสัก 5 นาที สำรวจความรู้สึกและอารมณ์เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ยอมรับความรู้สึก: การกินตามอารมณ์อาจเกิดจากการไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกตรงหน้าได้ จึงพยายามหลีกเลี่ยงด้วยอาหาร แต่ถ้าเรายอมรับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่กดเก็บเอาไว้ หรือรู้สึกกลัว  อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นจะลดลง

กินอย่างมีสติ: กินให้ช้าลง จดจ่อกับรสชาติ รสสัมผัส หน้าตา สีสัน และกลิ่นของอาหาร ไม่ทำอย่างอื่นระหว่างกินอาหาร จะช่วยให้ไม่กินอาหารมากเกินไป

ใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพ: ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย การนอนหลับ การผ่อนคลาย และพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้รับมือกับอุปสรรคปัญหาในชีวิตได้ดีขึ้น และช่วยปกป้องผลกระทบจากอารมณ์ด้านลบด้วย

 

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถควบคุมการกินตามอารมณ์ด้วยตัวเองได้ หรือโน้มเอียงไปสู่การกินผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพราะการกินอาหารตามอารมณ์จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราในระยะยาว

อ้างอิง

https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/emotional-eating

https://www.helpguide.org/articles/diets/emotional-eating.htm

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

หญิงวัย 60 เป็นมะเร็งเต้านมมากสุด ดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
1708931705.jpg

Super Admin ID1

หญิงวัย 60 เป็นมะเร็งเต้านมมากสุด ดื่มแอลกอฮอล์ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

ส่วนที่ 3 บริบทแวดล้อมและปัจจัยเอื้อ เครื่องมือ/สื่อในการสร้างเสริมสุขภาวะด้านความปลอดภัยทางถนน
1708932589.JPG

Writer Don ID2

ส่วนที่ 3 บริบทแวดล้อมและปัจจัยเอื้อ เครื่องมือ/สื่อในการสร้างเสริมสุข...

6:6:1 สูตรสุขภาพดี  เพื่อชีวิตลดหวาน มัน เค็ม
1708931705.jpg

Super Admin ID1

6:6:1 สูตรสุขภาพดี เพื่อชีวิตลดหวาน มัน เค็ม

รู้เท่าทัน ‘ไข้เลือดออก’ ภัยร้ายคุกคามชีวิต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

รู้เท่าทัน ‘ไข้เลือดออก’ ภัยร้ายคุกคามชีวิต

การออกกำลังกายช่วยเพิ่มสุขภาพสมอง
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การออกกำลังกายช่วยเพิ่มสุขภาพสมอง

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

ใคร ๆ ก็ทราบดีว่าการกินและผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่จากการสำรวจของโครงการศึกษาพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทยโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จากกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 6,991 คน พบว่า เกือบ 2 ใน 3 ของคนไทย หรือร้อยละ 65.5 กินผักและผลไม้เฉลี่ยเพียง 336.9 กรัมต่อวัน ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน โดยปัจจัยด้านเพศ อายุ สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ และรายได้ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอของคนไทย
ยกตัวอย่างผลสำรวจ ผู้ชายมีแนวโน้มกินผักและผลไม้น้อยกว่าผู้หญิง ซึ่งสะท้อนว่าผู้ชายอาจมีความตระหนักด้านสุขภาพน้อยกว่า กลุ่มวัยอายุน้อย (15-29 ปี) และกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าวัยอื่น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่พบว่า คนเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะเริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระและเสี่ยงต่อพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ด้านคนโสดก็มีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่ากลุ่มคนที่แต่งงานแล้ว หรือคนกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าคนในพื้นที่อื่น เนื่องจากชีวิตประจำวันที่ถูกจำกัดด้วยเวลา ฯลฯ

คำถามก็คือ จะรณรงค์อย่างไรให้คนไทยหันมากินผักและผลไม้เพิ่มมากขึ้น อันดับแรกคงต้องตอกย้ำทัศนะคติที่ว่า การไม่กินผักผลไม้ไม่เห็น (ป่วย) เป็นอะไร เป็นเรื่องที่ยังไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่จะเกิดผลในระยะยาว โดยการบริโภคผักและผลไม้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน สามารถช่วยลดภาวะโรคต่าง ๆ ได้ อาทิ หัวใจขาดเลือด  เส้นเลือดในสมองตีบ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
อย่างไรก็ดี เข้าใจได้ว่า คนที่ไม่ชอบกินผักและผลไม้เป็นทุนเดิม เป็นเรื่องยากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แต่เพื่อสุขภาพที่ดี เมื่อรู้ว่ากินแล้วมีประโยชน์ ทำไมถึงจะไม่ทำ ขั้นตอนแรกคงต้องเปิดใจลองกินผักสดต่าง ๆ ดู ถ้ายังยากอยู่อาจจะเริ่มจากการกินสลัดผัก หรือยำประเภทต่าง ๆ ที่มีผักเยอะ ๆ อาจจะช่วยให้กินผักได้ง่ายขึ้น หรือกินผักชุบแป้งทอดก็อาจมีรสชาติให้กินได้ง่ายขึ้น
นอกจากนั้น ควรลองเมนูใหม่ ๆ ที่มีส่วนผสมของผักในสัดส่วนที่พอ ๆ กับเนื้อสัตว์ อย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แกงเลียง แกงอ่อม หรือเกาเหลา และหากพบว่าทั้ง 3 มื้อในหนึ่งวันยังกินผักในสัดส่วนที่ยังไม่มากพอก็ให้เพิ่มสัดส่วนการกินผลไม้เพิ่มเติม โดยเลือกผลไม้ที่รสไม่หวานจนเกินไป ซึ่งหากลองปรับเปลี่ยนการกินมาได้ระยะหนึ่งอาจจะเห็นผลในเรื่องการขับถ่ายที่ดีขึ้น และรูปร่างดีขึ้นอีกด้วย
ปัญหาใหญ่ที่หลายคนอาจวิตกกังวลคือ จะเลือกกินผักอย่างไรให้ปลอดภัย เพราะผักในตลาดทั่วไปมักมีสารเคมีตกค้างเยอะ เพื่อความสบายใจในเรื่องนี้ เราอาจต้องเลือกซื้อผักที่ปลอดภัยมาทำอาหารเองที่บ้านตามโอกาสที่เหมาะสม เช่น เลือกผักตามฤดูกาล  หรือผักพื้นบ้านที่ปลูกง่าย ไม่ต้องพึ่งสารเคมี เพื่อเพิ่มสัดส่วนการกินผักในแต่ละมื้อจากร้านอาหาร
            แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า ผักผลไม้ที่กินในแต่ละวันมีสัดส่วนเพียงพอตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำหรือไม่ วิธีการง่าย ๆ คงต้องใช้วิธีการคำนวณให้มีผักโดยรวมประมาณครึ่งจาน ที่เหลือเป็นคาร์โบไฮเดรต บวกกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ เราจะเริ่มเคยชินกับการกินผักและผลไม้มากขึ้น ได้สัดส่วนมากขึ้น เมื่อทำได้จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพทั้งในระดับครัวเรือน และประเทศตามมา