0

0

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-07-24 07:25:55

บทนำ

วิเคราะห์กลไกและกระบวนการเชิงยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดสำคัญ เช่น กฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter), SDGs, WHO GAPPA และแผนยุทธศาสตร์ของ สสส. ขยายรูปธรรมขับเคลื่อนนโยบายและกลไกสู่ปฏิบัติการจริงในพื้นที่ โดยอิงกับกรอบแนวคิดจากระดับสากล แนวคิดด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior Change) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) กับการจัดสรรนโยบายสาธารณะ และการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายในทุกระดับ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย หรือ การขยับเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับบริบทประชากรกลุ่มต่างๆ เช่น GAPPA, กฎบัตรออตตาวา และ SDGs กลไกสำคัญคือ แนวคิด “3A” ได้แก่ Active People, Active Environment และ Active Society ซึ่งบูรณาการผ่านโมเดล “5x5x5” ที่ครอบคลุม 5 กลุ่มวัย  5 สภาพแวดล้อม และ5 ระบบสนับสนุน พร้อมทั้งใช้แนวคิดพฤติกรรมสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นแกนกลางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนอย่างยั่งยืน

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นกิจกรรมทางกายที่เกี่ยวเนื่องกับกรอบแนวคิดหลัก สสส. และสอดคล้องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ

จากสถานการณ์พฤติกรรมเนือยนิ่ง การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ และแนวโน้มโรคโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมดังกล่าว ประเทศไทยได้พัฒนาแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561–2573 โดยอิงกับกรอบแนวคิดจากระดับสากล เช่น WHO GAPPA, กฎบัตรออตตาวา และ SDGs กลไกสำคัญคือ แนวคิด “3A” ได้แก่ Active People, Active Environment และ Active Society ซึ่งบูรณาการผ่านโมเดล “5x5x5” ที่ครอบคลุม 5 กลุ่มวัย  5 สภาพแวดล้อม และ    5 ระบบสนับสนุน พร้อมทั้งใช้แนวคิดพฤติกรรมสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นแกนกลางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนอย่างยั่งยืน

2.1 นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายระดับนานาชาติ

 

2.1.1 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( Sustainable Development Goals : SDGs มีทั้งหมด17 เป้าหมาย (Goals) ภายใต้หนึ่งเป้าหมายจะประกอบไปด้วยเป้าหมายย่อย ๆ ที่เรียกว่า เป้าหมายย่อย (Targets) ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 169 เป้าหมายย่อย และพัฒนา ตัวชี้วัด (Indicators) จำนวน 232 ตัวชี้วัด (ทั้งหมด 244 ตัวชี้วัดแต่มีตัวที่ซ้ำ 12 ตัว) เพื่อใช้การติดตามความก้าวหน้าของทั้ง 17 เป้าหมาย

 และพบความเชื่อมโยงระหว่างกลยุทธ์การส่งเสริมการออกกำลังกายและประโยชน์ต่อความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มีจำนวนทั้งหมด 17 ข้อและมี 8 ข้อที่ระบุชัดเจนที่สุดและส่งผลต่ออีก  7 เป้าหมายสำเร็จลุล่วงด้วย อันได้แก่

กลยุทธ์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายและการบรรลุ SDGs  มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ กลยุทธ์ที่มีหลายองค์ประกอบ (multicomponent) และทำงานพร้อมกันหลายภาคส่วน (multisectoral) ไม่ใช่เฉพาะแต่ภาคสุขภาพเท่านั้น ภาคส่วนอื่นต้องทำงานก้าวข้ามผ่านเฉพาะเป้าหมายเดิมของตนเอง เพื่อใช้กิจกรรม ทางกายเป็นตัวขับเคลื่อนการสร้างโลกที่มีความยั่งยืน ประกอบด้วย

SDG3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในประเด็น ลดการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ

  เป้าหมายย่อย 3.4 ลดการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อให้ลดลงหนึ่งในสามผ่านทางการป้องกันและการรักษาโรค และสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีภายในปี พ.ศ. 2573

  เป้าหมายย่อย 3.6 ลดจำนวนการตายและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการจราจรทางถนนทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2563

SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน ในประเด็น การเข้าถึงคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน ปลอดภัย จ่ายได้ และคำนึงคนเปราะบางกลุ่มต่าง ๆ ด้วย 

เป้าหมายย่อย 11.2 จัดให้ทุกคนเข้าถึงระบบคมนาคมขนส่งที่ยั่งยืน เข้าถึงได้ปลอดภัย ในราคาที่สามารถจ่ายได้พัฒนาความปลอดภัยทางถนน ขยายการขนส่งสาธารณะและคำนึงถึงกลุ่มคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง ผู้หญิง เด็กผู้พิการ และผู้สูงอายุ ภายในปี พ.ศ. 2573

SDG13 ต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในประเด็น บูรณาการมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกในนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการวางแผนระดับชาติ

เป้าหมายที่ 9: สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม (Build resilient infrastructure, promote inclusive and sustainable industrialization and foster innovation) มีเป้าหมายย่อยครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม และนวัตกรรม เป้าหมายย่อยในเป้าหมายนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน (9.2) และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน (9.4) และให้บริการทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (9.3)

เป้าหมายที่ 10: ลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ (Reduce inequality within and among countries) มีเป้าหมายย่อยที่เน้นไปที่การเติบโตของรายได้ในกลุ่มประชากรร้อยละ 40 ที่ยากจนที่สุด (10.1) ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้ โดยไม่เลือกปฏิบัติ (10.2) ขจัดนโยบายและผลของนโยบายที่นำไปสู่ความไม่เสมอภาค (10.3) และใช้นโยบายการคลัง ค่าจ้าง และการคุ้มครองทางสังคมเป็นเครื่องมือ (10.4)

เป้าหมายที่ 16: ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ (Promote peaceful and inclusive societies for sustainable development, provide access to justice for all and build effective, accountable and inclusive institutions at all levels) มีเป้าหมายย่อยที่ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ อาทิ การลดความรุนแรงทุกรูปแบบ (16.1) ยุติการข่มเหง หาประโยชน์ และความรุนแรงทุกรูปแบบที่มีต่อเด็ก (16.2) หลักนิติธรรมและการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม (16.3) ลดการลักลอบค้าอาวุธ ฟอกเงิน และต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรม (16.4) ลดการทุจริตคอรัปชัน (16.5) พัฒนาสถาบันที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส (16.6) มีความรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (16.7) เพิ่มการมีส่วนร่วมของประเทศกำลังพัฒนาในองค์กรโลกบาล (16.8) เอกลักษณ์ทางกฎหมายสำหรับทุกคน (16.9) และการเข้าถึงข้อมูลและการปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (16.10)  และในเชิงนโยบาย เป้าหมายนี้ให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งของสถาบันระดับชาติ (16.a) และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เลือกปฏิบัติ (16.b)

(https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs/)

2.1.2 แผนปฏิบัติการว่าด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย 2561 – 2573 ขององค์การอนามัยโลก ( WHO’s global action plan on physical activity for 2018 – 2030 )

แผนปฏิบัติการว่าด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย 2561 – 2573 ขององค์การอนามัยโลก

WHO’s global action plan on physical activity for 2018 – 2030 )  เป็นแผนนโยบายที่องค์กรอนามัยโลกจัดทำขึ้นผ่านการรับรองจากประเทศสมาชิกว่ามีความครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบททุกประเทศต่อการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย  ประกอบด้วย 4 เป้าหมายหลัก โดยผ่านนโยบาย 20 ข้อ ดังนี้ 

(https://www.who.int/initiatives/gappa)

2.1.3 กฎบัตรโตรอนโตเพื่อกิจกรรมทางกาย: ข้อเสนอระดับโลกเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ (The Toronto Charter for Physical Activity: A Global Call for Action)

กฎบัตรโตรอนโตเพื่อกิจกรรมทางกาย : ข้อเสนอระดับโลกเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ

(The Toronto Charter for Physical Activity: A Global Call for Action)                 

ฉบับปรับปรุงล่าสุด ณ 20 พฤษภาคม 2553

  ทำไมต้องมีกฎบัตรโตรอนโตเพื่อกิจกรรมทางกาย

กฎบัตรโตรอนโตเพื่อกิจกรรมทางกายเป็นข้อเสนอระดับโลก เพื่อการปฏิบัติและเป็นเครื่องมือชี้แนะใน การสร้างโอกาสอย่างยั่งยืนในการใช้ชีวิตทางบวก ที่เอื้อต่อสุขภาวะสำหรับประชาชนทุกคน องค์กรและ ปัจเจกบุคคลที่สนใจในการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย สามารถใช้กฎบัตรนี้ชี้แนะผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งใน ระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นเพื่อเป้าหมายร่วมกัน โดยองค์กรเหล่านี้รวมถึง องค์กรทางด้าน สุขภาพ การคมนาคม สิ่งแวดล้อม กีฬา กิจกรรมนันทนาการ การศึกษา การพัฒนาและออกแบบผังเมือง รวม ถึงกับองค์กรภาครัฐ ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน 

 กิจกรรมทางกายส่งเสริมการอยู่ดีมีสุข สุขภาพกาย สุขภาพจิต การป้องกันโรค การพัฒนาความ เชื่อมโยงทางสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เอื้อคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และมีคุณูปการต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนที่ให้การสนับสนุนการมีสุขภาวะด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่หลากหลายวิธี  ซึ่งง่ายและสะดวกในการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึงในทุกองค์กรและอย่างถ้วนทั่วตลอดช่วงชีวิตของบุคคลย่อมบังเกิด ผลสัมฤทธิ์ในคุณประโยชน์ดังกล่าว 

กฎบัตรโตรอนโตเพื่อกิจกรรมทางกาย มุ่งเน้นปฏิบัติการ 4 ด้าน อันมีพื้นฐานมาจากแนวทางหลัก   9 ประการ และเป็นการเรียกร้องให้ทุกประเทศ ทุกภูมิภาค และทุกชุมชน ทุ่มเทกระบวนการทางการเมืองและ สัญญาประชาคมเพื่อให้การสนับสนุนการมีสุขภาวะด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับทุกคน

กิจกรรมทางกายเป็นการลงทุนอันทรงพลังเพื่อประชาชนสุขภาพเศรษฐกิจ และความยั่งยืน

ความเจริญทางเทคโนโลยี การเป็นสังคมเมือง (Urbanization) ก่อให้เกิดการมีวิถีชีวิต แบบนั่งอยู่กับที่ (Sedentary) มากขึ้น และการออกแบบชุมชนที่มุ่งเน้นการเดินทางโดยยานยนต์มีส่วนทำให้ กิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันลดลง รูปแบบชีวิตที่ยุ่งเหยิง การให้ความสำคัญกับการแข่งขัน การเปลี่ยน แปลงโครงสร้างของครอบครัว และการขาดความเชื่อมโยงกันทางสังคมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดกิจกรรมทาง กาย โอกาสในการมีกิจกรรมทางกายนั้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่มีอัตราการใช้ชีวิตแบบนั่งอยู่กับที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลลบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ ดังนี้

ด้านสุขภาพ การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญอันดับที่สี่ของการเสียชีวิตจากโรค เรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และมะเร็ง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตจากโรคที่สามารถป้องกันได้จำนวนกว่า 3 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี การขาดกิจกรรมทางกายยังมีส่วนต่อ การเพิ่มอัตราโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ กิจกรรมทางกายเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทุกวัย อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างมีสุขภาวะ และพัฒนาการทางสังคมที่ดีของเด็ก อีกทั้ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังและช่วยพัฒนาสุขภาพจิตของผู้ใหญ่  ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะ เริ่มกิจกรรมทางกาย สำหรับผู้สูงวัยนั้นจะได้ ประโยชน์หลายประการ เช่นการดำเนินชีวิต อยู่ได้ด้วยตนเอง มีความเสี่ยงน้อยลงต่อปัญหา กระดูกเปราะและหักจากการหกล้ม และยังป้องกันความเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวกับความชราได้ด้วย 

ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การส่งเสริมวิธีการเดินทางที่ต้องออกแรง เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ สามารถลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลกระทบต่อ สุขภาพความ เท่าเทียมเรื่องการขนส่งมวลชน 

ด้านเศรษฐกิจ กิจกรรมทางกายมีส่วนอย่างมากในการลดต้นทุนการให้บริการทางสุขภาพทั้งทางตรง และทางอ้อมและมีผลกระทบที่สำคัญต่อผลิตภาพและการมีชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดี นโยบายและการปฏิบัติที่เพิ่ม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกายเป็นการลงทุนอันทรงพลังเพื่อป้องกันโรคเรื้อรังและพัฒนาสุขภาพ ความ สัมพันธ์ทางสังคม และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่นเดียวกันได้ การวางผังเมือง การออกแบบ และการพัฒนาเมืองใหม่ซึ่งมุ่งลดการใช้ยานยนต์จะช่วยเพิ่มกิจกรรม ทางกาย โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสังคมเมืองอย่าง รวดเร็ว การเพิ่มการลงทุนเพื่อให้ประชาชนมีการเดินทางที่ต้องออกแรงเป็นทางเลือกหนึ่งของการสร้างกับประโยชน์ที่จะมีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนของประเทศทั่วโลก

(https://ispah.org/wp-content/uploads/2019/08/Toronto_Charter_Thai.pdf)

 

2.1.3.1 หลักการสำหรับแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่เน้นกลุ่มประชากร

หลักการสำหรับแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่เน้นกลุ่มประชากร

ประเทศและองค์กรที่มุ่งมั่นจะเข้าร่วมการเพิ่มกิจกรรมทางกายของประชาชน ควรพิจารณานำคำชี้แนะ ตามหลักการข้างล่างนี้ไปใช้ ซึ่งหลักการเหล่านี้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการลดโรคไม่ติดต่อปี พ.ศ. 2551 (Non-Communicable Disease Action Plan 2008) และยุทธศาสตร์ระดับโลกเรื่องอาหาร กิจกรรมทางกาย และสุขภาพ พ.ศ. 2547 (Global Strategy on Diet, Physical Activity and Health 2004) ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งสอดคล้องกับกฎบัตรเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพระดับนานาชาติอื่น ๆ ด้วย เพื่อเป็นการเพิ่ม กิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมการนั่งอยู่กับที่ จึงเรียกร้องให้ประเทศและองค์กรต่าง ๆ นำหลักการดังต่อไปนี้ไปดำเนินการ 

 1. ใช้ยุทธศาสตร์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ซึ่งมีประชากรทั้งประเทศเป็นกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งประชากร เฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่กำลังเผชิญกับสภาวะที่เป็นปัญหาและอุปสรรค 

 2. นำแนวทางเรื่องความเป็นธรรม มาผสมผสานเพื่อลดความไม่เท่าเทียมทางสังคมและสุขภาพ รวมทั้ง การขาดโอกาสเข้าถึงการมีกิจกรรมทางกาย 

 3. ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางสภาพแวดล้อม สังคม และปัจเจกบุคคล ซึ่งมีผลต่อการมีกิจกรรมทาง กายไม่เพียงพอ 

4. ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมืออย่างยั่งยืนในการปฏิบัติในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ 

5. พัฒนาศักยภาพและสนับสนุนการฝึกอบรมการทำวิจัย การนำแผนสู่การปฏิบัติ นโยบาย การ ประเมินผล และการเฝ้าระวัง

6. ใช้แนวทางการส่งเสริมตลอดช่วงชีวิต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพัฒนาการของเด็ก ครอบครัว ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย

7. ขับเคลื่อนและผลักดันเพื่อให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและชุมชนเพิ่มพันธะสัญญาทางการเมืองและ การจัดสรรทรัพยากรเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

8. ควรแน่ใจว่ายุทธศาสตร์ที่ใช้ได้คำนึงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรมและปรับให้สอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริง บริบทและทรัพยากรของชุมชน 

9. ส่งเสริมการมีทางเลือกเพื่อสุขภาพของประชาชน โดยทำให้ทางเลือกในการมีชีวิตเชิงบวกเพื่อเอื้อต่อ สุขภาวะนั้นเป็นทางเลือกที่ปฏิบัติได้ง่าย

2.1.3.2 กรอบการลงมือปฏิบัติ

กฎบัตรโตรอนโต้ เรียกร้องการผสานการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 4 ด้าน การปฏิบัตินี้ควรได้รับ ความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม สถาบันวิชาการ สมาคมวิชาชีพ ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ  ทั้งที่อยู่ในและนอกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งแต่ละด้าน มีความโดดเด่นในตัวเองแต่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยทำให้การเปลี่ยนแปลงในระดับประชากร ประสบผลสำเร็จ ดังนี้ 

(1) การนำนโยบายและแผนปฏิบัติระดับชาติไปสู่การปฏิบัติ 

นโยบายและแผนปฏิบัติระดับชาติจะช่วยให้ทิศทาง การสนับสนุน และการประสานงานของหลายฝ่ายที่ เกี่ยวข้องสอดคล้องกัน อีกทั้งจะช่วยให้มีจุดเน้นของการใช้ทรัพยากรและสามารถตรวจสอบได้ นโยบายและแผนปฏิบัติระดับชาติเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อการมีพันธสัญญาทางการเมือง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเทศจะไม่มีนโยบายระดับชาติ   แต่มีความพยายามของรัฐในระดับชาติ ระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นเพื่อทำให้เกิดกิจกรรมทางกายและมีความก้าวหน้าในส่วนที่ตนมีขอบเขตอำนาจไม่ควรจะล่าช้า   นโยบายและแผน ปฏิบัติระดับชาติควรจะมีลักษณะดังนี้

1) ได้รับการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง 

2) ระบุผู้นำอย่างชัดเจน ซึ่งอาจนำโดยองค์กรภาครัฐ หรือองค์กร พัฒนาเอกชนหรือความร่วมมือจากหลาย ๆ ภาคส่วนที่ เกี่ยวข้อง

3) อธิบายบทบาทและแนวทางการปฏิบัติที่ภาครัฐ องค์กรที่ไม่ แสวงหากำไร องค์กรอาสาสมัคร องค์กรภาคเอกชน ทั้งในระดับ ชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่น ที่จะนำแผนปฏิบัติการไปส่งเสิรม กิจกรรมทางกาย 

4) มีแผนการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งกำหนดความรับผิดชอบ กรอบ เวลา และการสนับสนุนงบประมาณอย่างชัดเจน 

5) ใช้ยุทธศาสตร์หลาย ๆ ยุทธศาสตร์รวมกันเพื่อทำให้ปัจจัยด้านปัจเจกบุคคล สังคม วัฒนธรรม และ สภาพแวดล้อม มีผลต่อการรับรู้ กระตุ้น และส่งเสริมปัจเจกบุคคลและชุมชนให้มีความกระตือรือร้น ที่จะร่วมกิจกรรมทางกายอย่างปลอดภัยและมีความสุข

6) เลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์หรือหลักฐานทางวิชาการในการส่งเสริมกิจกรรมทาง กายและสุขภาพ 

(2) นำเสนอนโยบายที่สนับสนุนกิจกรรมทางกาย

การจะประสบผลสำเร็จในการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในภาครัฐและสังคมจำเป็นจะต้องมี กรอบนโยบายและสิ่งแวดล้อมในการออกกฎระเบียบที่สนับสนุนกิจกรรมทางกาย นโยบายที่ทำให้กิจกรรมทาง กายและสุขภาพมีความก้าวหน้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ตัวอย่าง ของนโยบายและกฎระเบียบที่สนับสนุนกิจกรรมทางกายมีดังต่อไปนี้

1) นโยบายมีความชัดเจน มีวัตถุประสงค์ชี้ชัดว่าต้องการเพิ่มระดับกิจกรรมทางกายเท่าไร    และภายใน 

2) กรอบเวลา ทุกภาคส่วนสามารถกำหนดเป้าประสงค์ร่วมกันและกำหนดการมีส่วนร่วมของตนภายใต้กรอบเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทการขับเคลื่อนงานที่สอดคล้องกับบทบาทและแนวนโยบายของแต่ละองค์กรหรือรายบุคคล

3) นโยบายการวางผังเมืองทั้งในเมืองและชนบท รวมถึงการออกแบบพื้นที่กายภาพเพื่อเอื้อต่อการเดิน การปั่นจักรยาน ขนส่งสาธารณะ การกีฬา และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ จะต้องเน้นโอกาส การเข้าถึงอย่างเท่าเทียม และปลอดภัย 

4) นโยบายการคลังเช่น การให้เงินอุดหนุน การให้แรงจูงใจ การลดภาษี จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการมี ส่วนร่วมในกิจกรรมทางกายช่วยลดอุปสรรคได้ เช่น การให้แรงจูงใจทางภาษีแก่การลงทุนด้าน อุปกรณ์ที่นำมาใช้กับกิจกรรมทางกาย หรือการเป็นสมาชิกของสโมสร เป็นต้น 

5) นโยบายของสถานประกอบการและองค์กรที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน โครงการที่ส่งเสริมการมี กิจกรรมทางกาย และส่งเสริมรูปแบบการเดินทางที่ต้องออกแรงทั้งไปและกลับจากที่ทำงาน 

6)นโยบายการศึกษาที่สนับสนุนหลักสูตรกิจกรรมทางกายภาคบังคับที่มีคุณภาพ การเดินไปกลับ โรงเรียน กิจกรรมทางกายในระหว่างวัน และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อสุขภาวะ

7)นโยบายการกีฬาและกิจกรรมนันทนาการและระบบการจัดสรรงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับ การมีส่วนร่วมของสมาชิกชุมชนทุกคน 

8)ขับเคลื่อนเพื่อให้สื่อมีบทบาทสำคัญในการช่วยกระตุ้นพันธสัญญาทางการเมืองที่มีผลต่อกิจกรรม ทางกาย เช่น การใช้ระบบการรายงานผล (Report Card) หรือรายงานจากภาคประชาสังคมใน การปฏิบัติตามแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพื่อผูกมัดความรับผิดชอบจากฝ่ายการเมือง 

9) การรณรงค์ทางการตลาดเพื่อสังคมและการสื่อสารมวลชนจะเพิ่มแรงสนับสนุนจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และชุมชน 

(3) การปรับเปลี่ยนบริการและการสนับสนุนทุนเพื่อยกระดับความสำคัญของกิจกรรมทางกาย 

ประเทศส่วนใหญ่ที่จะลงมือปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จในการส่งเสริม กิจกรรมทางกายจะต้องปรับลำดับความสำคัญเรื่องสุขภาพที่เน้นกิจกรรมทาง กาย การปรับทิศทางการให้บริการและการสนับสนุนทุนสามารถให้ประโยชน์ หลายประการรวมถึง สุขภาพที่ดีขึ้น อากาศที่สะอาด ลดความแออัดของการ จราจรที่ติดขัด ประหยัดเงิน และทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางสังคมมากขึ้น 

2.1.3.3 ตัวอย่างการลงมือปฏิบัติในหลายประเทศ

การลงมือปฏิบัติในหลายๆ ประเทศ มีดังนี้ 

1) การศึกษา 

oระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญแก่หลักสูตรกิจกรรมทางกายภาคบังคับ ซึ่งเน้นกีฬาที่ไม่มุ่งเพื่อการ แข่งขัน และพัฒนาการฝึกอบรมด้านกิจกรรมทางกายแก่ครูพลศึกษา 

oแผนกิจกรรมทางกายที่มุ่งเน้นกิจกรมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม โดยไม่คำนึงถึงระดับ ทักษะแต่เน้นที่ความสนุกสนานแทน 

oให้โอกาสนักเรียนที่จะมีกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉงในระหว่างชั่วโมงการเรียนการสอน ในช่วงพัก ช่วงรับประทานอาหารกลางวัน และหลังเลิกเรียน 

2) การวางแผนระบบขนส่งมวลชน

oนโยบายและการให้บริการด้านขนส่งซึ่งให้ความสำคัญและให้จัดสรรงบประมาณ

oโครงสร้างทางกายภาพที่เอื้อต่อการเดิน การปั่นจักรยาน การขนส่งสาธารณะ 

oสร้างสัญลักษณ์ทางการจราจรและขนส่งที่จดจำง่ายที่ส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางกายสร้างทางเดินในอุทยานแห่งชาติหรือพื้นที่อนุรักษ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของประชาชน

3) การวางแผนด้านสภาพแวดล้อม 

oการออกแบบเมืองโดยอยู่บนหลักฐานทางวิชาการเพื่อให้เอื้อต่อการเดิน การปั่นจักรยานกิจกรรม นันทนาการ และกิจกรรมทางกายที่สร้างสรรค์ 

oการออกแบบเมืองที่ให้โอกาสแก่การมีกิจกรรมกีฬา กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมทางกายด้วย การเพิ่มการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนทุกวัยและทุกระดับความสามารถทั้งในเขตเมือง และชนบท 

4) สถานประกอบการหรือองค์กร

oมีแผนงานและกิจกรรมที่ส่งเสริมให้พนักงานและครอบครัวของพนักงานมีวิถีชีวิตเชิงบวกที่เอื้อต่อสุขภาวะ

oมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะส่งเสริมกิจกรรรมทางกาย

oมีสิ่งจูงใจให้แก่พนักงานในการเดินทางมาทำงานด้วยการเดิน การปั่น หรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล 

5) การกีฬา สวนสาธารณะ และกิจกรรมนันทนาการ 

oส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อทุกคนอย่างกว้างขวาง

โดยเฉพาะ กลุ่มคนที่มีโอกาสเข้าถึงได้น้อย

oมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกิจกรรมนันทนาการที่รองรับทุกกลุ่มวัย

oเพิ่มโอกาสสำหรับผู้พิการให้มีรูปแบบวิถีชีวิตเชิงบวกที่เอื้อต่อสุขภาวะ

oพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาโดยเพิ่มการฝึกอบรมด้านกิจกรรมทางกาย

6) สุขภาพ 

oให้ความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นกับการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งรวมถึงกิจกรรม ทางกาย 

oศูนย์บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานควรคัดกรองและให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย/ผู้มารับคำปรึกษาเกี่ยวกับ ระดับที่เหมาะสมในการมีกิจกรรมทางกาย และแนะนำให้เข้าร่วมโครงการในชุมชนสำหรับผู้ป่วยที่มี การเคลื่อนไหวไม่เพียงพอ 

oสำหรับผู้ที่เป็นโรคหรืออาการต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งบางชนิด ซึ่งได้รับการคัดกรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการออกกำลังกายเพื่อให้งดเว้นพฤติกรรมเสี่ยง และแนะนำให้มีกิจกรรมทางกายเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา และการจัดการแผนการรักษาที่กำหนดไว้ 

7) พัฒนาความร่วมมือเพื่อการลงมือปฏิบัติร่วมกัน 

 การลงมือปฏิบัติควรมุ่งไปที่การเพิ่มการมีส่วนร่วมจากประชาชนในวงกว้างซึ่งควรมีการวางแผนและนำไป ปฏิบัติผ่านภาคีหลากหลายภาคส่วนและชุมชน ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ความร่วม มือที่ประสบความสำเร็จสามารถพัฒนาได้จากการกำหนดคุณค่าและกิจกรรมของโครงการร่วมกัน การแบ่งปัน ความรับผิดชอบ การตรวจสอบ และข้อมูล ตัวอย่างความร่วมมือที่สนับสนุนกิจกรรมทางกาย ได้แก่ 

oคณะทำงานของรัฐที่มาจากหลายฝ่ายและหลายระดับที่จะร่วมกันนำแผนไปปฏิบัติ

oการริเริ่มของชุมชนที่รัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน (เช่น ด้านการคมนาคม การวางผังเมือง ศิลปะ การอนุรักษ์ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การกีฬา การนันทนาการ และ สุขภาพ) เข้ามามีส่วนร่วม 

oการรวมตัวเป็นพันธมิตรขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ช่วยขับเคลื่อนรณรงค์ให้รัฐมีนโยบายส่งเสริม กิจกรรมทางกาย 

oการประชุมความร่วมมือในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และท้องถิ่น ซึ่งมีองค์กร หรือ บุคลากรหลักจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมนโยบายและแผนงาน 

oความร่วมมือของกลุ่มประชากรต่าง ๆ เช่น ชนพื้นเมือง กลุ่มผู้อพยพ และกลุ่มที่ขาดโอกาสทางสังคม

2.1.4 กฎบัตรกรุงเทพฯ (The Bangkok Charter for Health Promotion in Globalized World)

กฎบัตรกรุงเทพฯ  ( The Bangkok Charter for Health Promotion in  Globalized World )   ประกาศ ณ การประชุมส่งเสริมสุขภาพโลก ครั้งที่ 6  ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยยึดถือแนวคิดหลักจาก กฎบัตรออตาวาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ                                             

สาระสำคัญ :  การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) ถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นการนำเสนอกรอบแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ หมายถึง ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพ กาย ใจ สังคม และเชื่อมโยงถึงคุณภาพชีวิต การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) หมายถึง กระบวนการเพิ่มความสามารถของแต่ละบุคคลในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อ สุขภาพ การดูแลสุขภาพ และการเพิ่มความแข็งแรงของสุขภาพ นอกจากนี้การส่งเสริมสุขภาพยังเป็นหัวใจสำคัญของการสาธารณสุข เพราะนำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ทั้งโรคติดต่อ(Communicable Disease) โรคไม่ติดต่อ (Non-communicable Disease) หรือโรคอื่นๆ    การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ความมุ่งมั่นของระดับบริหาร ภาคีเครือข่าย และการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยทุกองค์กรต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ 

1. ชี้แนะ (advocate) สุขภาพเป็นพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและต้องการความร่วมมือจากแต่ละฝ่าย

2. ลงทุน (invest) สร้างความต่อเนื่องของ นโยบาย การด าเนินการ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างปัจจัยเอื้อต่อการ ส่งเสริมสุขภาพ 

3. สร้างศักยภาพ (build capacity) เพื่อสามารถพัฒนานโยบาย ความเป็นผู้นำ การปฏิบัติตน   การสื่อสารสุขภาพ รวมถึงการวิจัย และความรอบรู้ด้านสุขภาพ 

4. ออกกฎหมายและกฎระเบียบ (regulate and legislate) เพื่อป้องกันอันตราย และเพิ่มความเท่าเทียมของ โอกาสการมีสุขภาพ การเข้าถึงบริการ และคุณภาพชีวิต

5. สร้างการมีส่วนร่วม (partner and build alliances)กับทุกๆ องค์กรเพื่อดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

(https://hp.anamai.moph.go.th/th/news-anamai/download/?did=193690&id=44186&reload)

2.1.5 แผนปฏิบัติการเพื่อลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของโลก (Global Action Plan on Prevention and Control of Noncommunicable Diseases)

แผนปฏิบัติการเพื่อลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของโลก (Global Action Plan on Prevention and Control of Noncommunicable Diseases)  ปี ค.ศ.2013 โดยองค์การอนามัยโลก มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยตั้งเป้าหมายลดการมีกิจกรรมทางกาย ไม่เพียงพอ ร้อยละ 10 ภายใน ปี ค.ศ.2025 โดยจัดล าดับการด าเนินการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่มี ความคุ้มค่าสูง (Best and Good Buy Interventions) ที่ควรได้รับการด าเนินการ อาทิ การสื่อสารรณรงค์ การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในสถานศึกษา สถานที่ท างาน และชุมชน

(https://www.who.int/publications/i/item/9789241506236)

2.2 นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายประเทศไทย

 

2.2.1 แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573

แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 เป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรก ที่ให้ความสำคัญกับการมีกิจกรรมทางกายของประชาชนไทย แผนฯ นี้ได้รับการพัฒนาผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่หลากหลาย เช่น กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในมิติของการป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กสู่ทุกช่วงวัยนั้น สามารถสร้างความแข็งแรงของหัวใจ พัฒนาสมอง กล้ามเนื้อและกระดูก การคิดวิเคราะห์ และพัฒนาภาวะทางอารมณ์

วิสัยทัศน์ : ประชาชนมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงด้วยกิจกรรมทางกายภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม

เป้าประสงค์ :

 (1)  ประชาชน อายุ 18 ปีขึ้นไป มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ 

 (2)  ประเทศไทยมีการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย

ตัวชี้วัด :

(1) ประชาชน อายุ 18 ปีขึ้นไป มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ร้อยละ 80 

(2) ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย มีการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Built Environment) ทั้งในบริเวณเปิดโล่งและในอาคาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผังเมือง ระบบขนส่งสาธารณะ การใช้ 16 ประโยชน์พื้นที่ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสนับสนุนการสร้างโอกาสการมีกิจกรรมทางกายอย่างเท่าเทียมภายใต้ กฎระเบียบข้อตกลงร่วมกัน อาทิ สนามเด็กเล่น ทางเท้า พื้นที่ชุมชน ฯลฯ รวมไปถึงสถานที่ทางธรรมชาติที่ ได้รับการจัดการ และการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 

(https://backenddc.anamai.moph.go.th/coverpage/

3673c9bb6c72658b7c6fffe4b847135a.pdf)

2.2.1.1 ยุทธศาสตร์การดำเนินงาน

ยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การส่งเสริมกิจกรรมทางกายประชาชนทุกกลุ่มวัย จะสำเร็จได้ประชาชนต้องมี ความรอบรู้ด้านกิจกรรมทางกาย ผ่านการด าเนินการของหน่วยงานในพื้นที่และส่วนกลาง และมีการปรับ พฤติกรรมให้มีกิจกรรมทางกายในชีวิตประจ าวันได้จริง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ในสถานที่     องค์กร ชุมชนที่ประชาชนแต่ละกลุ่มวัย ใช้ชีวิตประจ าวันในสถานที่นั้น 

 ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย อันได้แก่ การสร้างองค์ความรู้และวิจัยกิจกรรมทางกาย ระบบเฝ้าระวังการมีกิจกรรมทางกาย การสื่อสารรณรงค์ และนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ กระบวนการ พัฒนาการวิจัย และกระบวนการพัฒนามาตรฐาน กฎหมาย เน้นที่หน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องต้องมี การพัฒนาระบบสนับสนุนกิจกรรมทางกายเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดและพัฒนาศักยภาพหน่วยงานใน พื้นที่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ทั้งในสถานศึกษา สถานประกอบการ สถานบริการสาธารณสุข และชุมชน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 และประชาชนทุกกลุ่มวัย (เด็กปฐมวัย วัยเรียน วัยรุ่น วัยท างาน และวัยสูงอายุ) มีความรอบรู้ตระหนัก และมีกิจกรรมทางกายต่อไป ในยุทธศาสตร์ที่ 1 เพื่อบรรลุ ตามวิสัยทัศน์การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย “ประชาชนมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง ด้วยกิจกรรมทางกาย ภายใต้ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

2.2.1.2 กรอบคิดขับเคลื่อนงานส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573  มีการดำเนินตามกรอบแนวคิดของแผนฯ คือ กลุ่มวัย สถานที่ และระบบสนับสนุนได้ 5 ประเด็น ดังนี้

1) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กปฐมวัย วัยเรียน และวัยรุ่นในสถานศึกษา

2) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับวัยทำงานในสถานประกอบการ

3) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะผู้สูงวัยในชุมชน กีฬามวลชน การคมนาคมและการผังเมือง

4) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในระบบบริการสาธารณสุข

5) การพัฒนาระบบการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

การดำเนินงานของแผนฯ ถูกออกแบบและกำหนดวิสัยทัศน์ให้มีความครอบคลุมกับประชากรทุกกลุ่มวัยในทุกบริบทพื้นที่ ภายใต้โมเดล 5 x x 5 ( 5 กลุ่มวัย X 5 สภาพแวดล้อม x 5 ระบบสนับสนุน ) เป็นโมเดลสำหรับการยกระดับพฤติกรรมด้านการมีกิจกรรมทางกายของคนไทยให้เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ กรอบการทำงานเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานตามนโยบายสำคัญ คือ

1. นโยบาย Active children ขับเคลื่อนโดยภาคีเครือข่ายหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถดำเนินงานได้พร้อมกันทั่วประเทศ คือ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ท้องถิ่นไทยผ่านการเล่น” เป็นโครงการที่ดำเนินงานกับกลุ่มเด็กปฐมวัย สถานที่เป้าหมาย คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2. นโยบาย National steps challenge ขับเคลื่อนผ่าน “โครงการก้าวท้าใจ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นโครงการที่นำเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสุขภาพของประชาชน เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อยู่ที่ไหนก็สามารถออกกำลังกายได้ และหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถบันทึก Health Point ลงในแพลตฟอร์ม “ก้าวท้าใจ” และสามารถนำไปแลกของรางวัลได้

3. นโยบายมาตรการทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีกิจกรรมทางกาย จากการลดภาษีส่วนบุคคล เช่น การซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย การสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนส การสมัครร่วมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573  ได้ถูกปรับปรุงมีความสอดคล้องและตอบสนองกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด รวมทั้ง การศึกษาผลการประเมินที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ในช่วง 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2561 - 2565 จนเกิดเป็น แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573  (ฉบับปรับปรุง 2566) (https://tpak.or.th/th/concept/print_media ) สำหรับเป็นกรอบทิศทางการส่งเสริมกิจกรรมทางกายของประเทศไทยนับจากนี้จนสิ้นสุดแผนฯ

2.2.1.3 การประเมินผลแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

ในปี 2565 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับมอบหมายจากโครงการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ ระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (Country Cooperation Strategy: CCS NCD) ให้ดำเนินการประเมินแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573  ผลการประเมินพบว่า แผนฯ มีจุดเด่น ดังนี้

•แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเป็นแผนระดับชาติ ที่ตอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ผู้บริหารระดับสูงสุดของประเทศให้ความสำคัญ ผ่านมติ ครม. โดยเป็นแผนฯ ที่ขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ 

•แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเป็นแผนฯ ที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกับ WHO Global Action Plan on Physical Activity 2018-2030 (GAPPA) ทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายไปพร้อมกับประเทศอื่น โดยมีการวางยุทธศาสตร์การทำงานที่ชัดเจน 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1) ส่งเสริมกิจกรรมทางกายประชาชนทุกกลุ่มวัย 2) ส่งเสริมสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย 3) พัฒนาระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย รวมถึงมีกลไกในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์

•มีนโยบายที่เด่นชัดในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในระดับประเทศ และมีการผลักดันนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 3 นโยบาย ดังกล่าวข้างต้น

•มีระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น มีระบบเฝ้าระวังการมีกิจกรรมทางกายและพฤติกรรมเนือยนิ่งที่ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย เช่น ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (Thailand Physical Activity Knowledge Development Centre : TPAK)

2.2.2 มติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 10

มติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 10 การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น: 20 ธันวาคม 2560  ดังสรุปสาระสำคัญ และมติสมัชา ต่อไปนี้

  แนวทางการส่งเสริมให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ได้แก่ การสร้างความรู้ความเข้าใจ การจัดการความรู้ สร้างนวตกรรมและการสื่อสาร การพัฒนาความสามารถของคน องค์กร เครือข่ายการสร้างพื้นที่ที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย และการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ โดยสนับสนุนให้มีกลไกความร่วมมือขององค์กร หน่วยงาน เครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  มาร่วมคิด ร่วมทำ ในทุกขั้นตอนโดยการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ลดฤติกรรมเนือยนิ่ง  จึงจะส่งผลให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง ส่งผลให้สังคมไทยเป้นสังคมที่มีความกระฉับกระเฉง นำประเทศ  ไปสู่การพัฒนาในมิติต่างๆ ที่ยั่งยืนต่อไป 

มติสมัชชา

1. ให้สมาชิกเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด และภาคีเครือข่ายพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมบนพื้นฐานทางปัญญา ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน  ดำเนินการดังนี้

(1.1) รณรงค์ ส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ จัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ ตระหนักและมีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการ กิจกรรมและจัดพื้นที่เพื่อนำไปสู่การมีกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน

(1.2) ใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพพื้นที่ เพื่อให้เกิดนโยบายสาธารณะ ยุทธศาสตร์ แผน และโครงการองค์กรทุกระดับเพื่อส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น

(1.3) เสนอนโยบายการส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ต่อคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) และคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับเขตเพื่อสนับสนุนให้มีการขับเคลื่อนสู่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

2. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สถาบันวิชาการ กรุงเทพมหานครและหน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนองค์กรด้านสื่อดำเนินการ 

(2.1) สนับสนุนให้เกิดการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก การจัดการความรู้ สร้างนวตกรรมและการสื่อสาร เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกายของประชาชน ที่สอดคล้องกับบริบทของสังคม 

(2.2) พัฒนาฐานข้อมูลและจัดการข้อมูลอย่างเป้นระบบเพื่อการติดตามการดำเนินงานการส่งเสริมกิจกรรมทางกายและการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งของคนทุกกลุ่มวัย 

(2.3) สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาความสามารถของคน องค์กร เครือข่าย ชุมชน เพื่อให้มีความรอบรู้ในการดำเนินงานเพิ่มกิจกรรมทางกายให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล

3. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรวิชาชีพ สถาปนิกและผังเมือง และหน่วยงาน                  ที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาสังคม ดังนี้ 

 (3.1) วางหลักเกณฑ์หรือปรับปรุงระเบียบในการออกแบบการใช้พื้นที่ เส้นทางการสัญจร      ทั้งในเมืองและชุมชน และพื้นที่สาธารณะ ที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย และให้มีมาตรการหรือข้อตกลงในการใช้พื้นที่สาธารณะที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย และให้มีมาตรการหรือข้อตกลงในการใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายของคนทุกกลุ่มวัย

(3.2) จัดให้มีและจัดการพื้นที่ในการครอบครองของแต่ละองค์กรให้มีพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อและกระตุ้นต่อการมีกิจกรรมทางกายของทุกกลุ่มวัยในชุมชน

4. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมีนโยบาย แผนงานและโครงการ เพื่อส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีกิจกรรมทางกายร่วมกัน เพิ่มมากขึ้น 

5. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่นที่มีการจัดการศึกษามีนโยบายและสนับสนุนงบประมาณให้สถาบันการศึกษาทุกระดับ ทั้งที่เป็นสถานศึกษาของรัฐ และเอกชน จัดให้มีหลักสูตรกิจกรรมและสร้างเสริมสภาพแวดล้อมและการดูแลความปลอดภัยที่เอื้อให้เกิดการมีกิจกรรมทางกายของบุคคลกร นักเรียน นักศึกษาและชุมชน 

 6. ให้กระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจเอกชน กำหนดให้มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้สถานประกอบการ จัดกิจกรรมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการมีกิจกรรมทางกาย  นำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง พร้อมทั้งส่งเสริมบุคคลกรในองค์กร ให้มีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ 

7. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ สนับสนุนงบประมาณ  และให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ ในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ มีแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการมีกิจกรรมทางกายของคนทุกกลุ่มวัยในชุมชน โดยสอดคล้องกับแนวคิดนโยบายเรื่องแผนเดียว (One Plan) ของกระทรวงมหาดไทย 

  8. ให้สถาบันการวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยหลักร่วมกับหน่วยงานวิชาการอื่นๆ ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการทางการเงิน  รวมถึงองค์ความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น เพื่อสนองต่อกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาดำเนินการโดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 

   9. ให้สำนักนายกรัฐมนตรีโดยกรมประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง  กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) องค์กรสื่อสารมวลชน และเครือข่ายสื่อชุมชนเป็นแกนหลักร่วมกับเครือข่ายสื่ออื่นๆ ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อกิจกรรมทางกายและลดพฤติกรรมเนือยนิ่งของคน ทุกกลุ่มวัย

(https://infocenter.nationalhealth.or.th)

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานมาจากโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะการส่งเสริมให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ให้ดำเนินการระหว่างปี 2561 ถึง 2563 โดยสถาบันการจัดการระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมีผลการดำเนินงานเชื่อมต่อระบบข้อมูลระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง สื่อสารเรื่องกิจกรรมทางกายขยายเผยแพร่สู่สาธารณะในวงกว้างของสังคม นำไปสู่การรับรู้ เข้าใจ และมีความตระหนักต่อการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน ตลอดจน พัฒนาระบบสารสนเทศออนไลน์ที่ใช้ในการพัฒนาข้อเสนอโครงการและการติดตามประเมินผลโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพที่มีความรอบรู้และมีขีดความสามารถด้านสุขภาพประเด็นกิจกรรมทางกาย (Health Literacy - PA) ได้แก่ เครือข่ายกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบล (ท้องถิ่น สปสช.) 270 กองทุน และภาคีเครือข่ายแผนกิจกรรมทางกาย สสส. กอปรด้วยการพัฒนากลไกพี่เลี้ยงระดับเขตและระดับพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการในพื้นที่ต่างๆ ให้มีคุณภาพ                                     (https://www.pathailand.com/project/141/finalreport ) 

นอกจากนี้ ภายใต้โครงการดังกล่าวยังมีเอกสารวิชาการที่เป็นประโยชน์ในการสืบค้นรูปแบบ E-book ที่เป็นคู่มือ รายงาน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับประชากรกลุ่มต่างๆอีกด้วย (https://www.pathailand.com/paper/54) 

2.3 กรอบคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางกาย

 

2.3.1 แนวคิดและหลักการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

แนวคิดและหลักการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ พัฒนาขึ้นจากแนวคิด และทฤษฎีพฤติกรรมสุขภาพ3 เรื่อง ได้แก่

แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) (HBM)  (Janz K.N., Campion V.L., & Strecher V.J., 2002)เป็นทฤษฎีที่ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพในระดับบุคคล ซึ่งเสนอแนวคิดว่า บุคคลจะแสดงพฤติกรรมสุขภาพที่ดีตามที่แนะนำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการรับรู้และตระหนักในสิ่งดังต่อไปนี้ 

1) ตัวฉันหรือเราเสี่ยงที่จะเป็นโรคนั้น ๆ หรือไม่ (Perceived Susceptibility) HBM เชื่อว่า ถ้าคนตระหนักว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางอย่าง เขาก็มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำ เช่น บางคนอาจมีญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิดที่เส้นเลือดในสมองแตก จนเป็นอัมพาต ตัวเขาจึงอาจจะรู้สึกว่าเขามีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น ๆ เขาก็จะออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค 

2) โรคที่จะเป็นนั้นมีความรุนแรงขนาดไหน (Perceived Severity) HBM เชื่อว่า ถ้าคนรับรู้ว่าภาวะโรคที่อาจเกิดกับเขานั้นมีความรุนแรง อาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิต เสียหายเศรษฐกิจและสังคม เขาก็มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำ เช่น คนที่รู้สึกว่าภาวะหลอดเลือดในสมองแตก น่ากลัว อาจทำให้เขาต้องเป็นอัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้ไปทั้งชีวิต เขาก็จะออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค 

3)การรับรู้ต่อประโยชน์ของพฤติกรรมสุขภาพที่ได้รับการแนะนำ (Perceived Benefits)  HBM เชื่อว่า ยิ่งคนรับรู้ว่าพฤติกรรมสุขภาพที่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำนั้นมีประโยชน์ต่อตัวเขามากเพียงใด เขาก็มีโอกาสที่จะทำพฤติกรรมสุขภาพนั้น ๆ มากขึ้นเท่านั้น เช่น คนเชื่อว่าการออกกำลังกายจะช่วยลดไขมันในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดหลอดเลือดในสมองแตกได้ เขาก็จะออกกำลังกายเป็นประจำ

4) การรับรู้ต่อปัญหาและอุปสรรคในการทำพฤติกรรมสุขภาพที่ได้รับการแนะนำ  (Perceived Barriers) HBM เชื่อว่า ยิ่งคนรับรู้ถึงอุปสรรคและความยากลำบากในการทำพฤติกรรมสุขภาพที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำมากเพียงใด เขาก็จะยิ่งไม่แสดงพฤติกรรมสุขภาพนั้น ๆ เช่น คนรับรู้ว่าการออกกำลังกายนั้นเหนื่อย ยุ่งยาก และต้องอุทิศเวลา เขาก็จะไม่ออกกำลังกาย

ถ้าระดับการรับรู้ต่อประโยชน์มากกว่าระดับการรับรู้ต่ออุปสรรค ก็มีโอกาสอย่างมากที่คนจะทำพฤติกรรมสุขภาพที่ได้รับคำแนะนำมา

5) สิ่งกระตุ้นเตือนให้แสดงพฤติกรรมสุขภาพ (Cues to Action) HBM เชื่อว่า คนถ้าได้รับสิ่งกระตุ้นเตือนให้แสดงพฤติกรรมสุขภาพบ่อย ๆ เขาก็จะตระหนักและแสดงพฤติกรรมสุขภาพนั้น ๆ การกระตุ้นนั้นอาจมาจากทั้งสิ่งเร้าภายใน เช่น ความสนใจด้านสุขภาพ ทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรมสุขภาพ และความรู้สึกร่วมมือ เป็นต้น และอาจมาจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น มีการรณรงค์การออกกำลังกายผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ให้คนได้ยินและได้เห็นอยู่เป็นประจำ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นแรงจูงใจให้คนแสดงพฤติกรรมที่ได้รับการกระตุ้นเตือน อย่างเช่นการออกกำลังกายตามการรณรงค์

6) การรับรู้ต่อสมรรถนะแห่งตนในการทำพฤติกรรมสุขภาพ (Self-Efficacy) HBM เชื่อว่า ถ้าคนรู้สึกมั่นใจว่าเขาสามารถจัดการกับอุปสรรคต่าง ๆ ในการทำพฤติกรรมสุขภาพได้ เขาก็จะทำพฤติกรรมนั้น สืบเนื่องจากการรับรู้อุปสรรคเรื่องการออกกำลังกาย ถึงแม้คนจะรู้สึกว่าการออกกำลังกายต้องใช้เวลาและยุ่งยาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่า “ฉันทำได้ ฉันบริหารจัดการเวลาของตัวเองได้” เขาก็มีโอกาสจะออกกำลังกาย

ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support Theory) (Heaney C.A., & Israel B.A., 2002) แนวคิดเกี่ยวกับแรงสนับสนุนทางสังคมมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีที่เป็นผลมาจากการศึกษาทางด้านสังคมจิตวิทยา ซึ่งพบว่า “การตัดสินใจส่วนใหญ่ของบุคคลจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลของบุคคลผู้ซึ่งมีความสำคัญและมีอำนาจเหนือกว่าตัวเราอยู่ตลอดเวลา” มีผู้ให้ความหมายของแรงสนับสนุนทางสังคมไว้มากมายหลายมุมมอง โดยภาพรวมสรุปได้ว่า การสนับสนุนทางสังคม เป็นสิ่งที่บุคคลได้รับการช่วยเหลือประคับประคองจากบุคคลอื่นในสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การสนับสนุนทางสังคม หมายถึงการที่บุคคลได้รับการตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม จากการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม

ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคมแบ่งแรงสนับสนุนทางสังคมออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ 

1. การสนับสนุนทางด้านอารมณ์ (Emotional Support) หมายถึง การแสดงออกถึงความรัก  ความเอาใจใส่ ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความไว้วางใจ และการห่วงใยเอื้ออาทร

2. การสนับสนุนทางด้านสิ่งที่เป็นรูปธรรม (Instrumental Support) หมายถึง การสนับสนุนสิ่งต่าง ๆ ที่จับต้องได้ เช่น เงิน อาหาร ยานพาหนะ เสื้อผ้า ยารักษาโรค วัสดุอุปกรณ์ การบริการรถรับส่ง   เป็นต้น

3. การสนับสนุนทางด้านข้อมูลข่าวสาร (Information Support) หมายถึง การสนับสนุนในเรื่องข้อมูล¬¬¬ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ เช่น การให้คำแนะนำปรึกษา การให้ความรู้ด้านสุขภาพ เป็นต้น

4. การสนับสนุนทางด้านการประเมินคุณค่า (Appraisal Support) หมายถึง การสนับสนุนโดยการให้ข้อมูลที่คนสามารถนำไปประเมินตัวเองได้ เช่น การให้รางวัลแก่ผู้ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ โดยรางวัลนี้จะเป็นสิ่งบอกให้คนที่ออกกำลังกายรู้ว่า พฤติกรรมที่เขาทำนั้นถูกต้อง และควรทำต่อไป เป็นต้น

2.3.1.1 กรอบทฤษฎีสำคัญ ในการพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ

Trans Theoretical Model (TTM) (Pro-Change Behavioral Systems, Inc., 2013) ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ.1980 โดย Jame O.Prochaska และ Carlo C.Diclemente ด้วยความพยายามที่จะเข้าใจว่า กระบวนการเปลี่ยนพฤติกรรมแบบตั้งใจ ของคนเป็นอย่างไร พวกเขาอยากจะรู้ว่าจะมีรูปแบบอะไรที่สามารถจะทำนายการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนได้หรือไม่ ทฤษฎีนี้เป็นการรวมกันของสิ่งที่คิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนพฤติกรรมของคน กับแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยมีคนคิดและพิสูจน์ไว้ในทฤษฎีอื่นๆ อยู่แล้ว TTM นำเสนอวิธีการสร้างเสริมสุขภาพบนพื้นฐานความเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนนั้น เป็นกระบวนการที่เป็นขั้นเป็นตอน คนจะเปลี่ยนพฤติกรรมโดยก้าวผ่านไป ทีละขั้นละขั้น (Stages of Change) ขั้นของการเปลี่ยนแปลงนี้คือสิ่งกำหนดขึ้นเพื่อเป็นตัวบอกว่า เมื่อไรการเปลี่ยนพฤติกรรมจะเกิดขึ้น ขั้นของการเปลี่ยนแปลงยังเป็นตัวบอกถึงความพร้อมในการเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่พฤติกรรมใหม่ และการคงพฤติกรรมใหม่นั้นไว้ให้ยาวนาน

ขั้นของความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ

ขั้นที่ 1 Pre-contemplation (ระยะไม่สนใจ) : ไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน 6 เดือนนี้ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ คนที่ไม่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมเลย ไม่เห็นประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และไม่ว่าจะทำอย่างไรคนกลุ่มนี้ก็จะไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม

ขั้นที่ 2 Contemplation (ระยะลังเลใจ) : ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใน 6 เดือนนี้  คนที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ คนที่ยังสงสัยว่าพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยนนั้นดีจริงหรือไม่ ต้องรอดูผลจากคนอื่นก่อนจนแน่ใจจึงจะยอมเปลี่ยนพฤติกรรม

ขั้นที่ 3 Preparation (ระยะตัดสินและเตรียมพร้อม) : มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใน 30 วัน คนที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ คนที่พร้อมจะเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว เห็นข้อดีของพฤติกรรมนั้นแล้ว แต่ยังขัดข้องบางประการทำให้ยังเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ เช่น เห็นว่าการใช้หมวกกันน็อคคดีแล้ว แต่ยังไม่ใช้เพราะยังไม่มีหมวก ต้องรอเงินเดือนออกก่อนจึงจะซื้อหมวกได้ เมื่อนั้นก็จะสวมหมวกกันน็อคทุกครั้งที่ขี่รถมอเตอร์ไซด์

ขั้นที่ 4 Action (ระยะปฏิบัติ) : เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว แต่ยังไม่ถึง 6 เดือน คนที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ คนที่เปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว แต่พึ่งเปลี่ยนไม่นาน จึงยังมีโอกาสที่จะเลิกทำพฤติกรรมใหม่ แล้วกลับไปทำพฤติกรรมเดิมที่เคยทำมา เช่น พึ่งเลิกสูบบุหรี่ได้ไม่นาน ก็อาจจะกลับไปสูบอีกได้ เป็นต้น

ขั้นที่  5 Maintenance (ระยะการคงอยู่ของพฤติกรรม) : เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาเกิน 6 เดือนแล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ คนที่เปลี่ยนพฤติกรรมมานานแล้ว เป็นช่วงการคงไว้ซึ่งพฤติกรรมนั้นให้นานจนเป็นนิสัย

2.3.2 ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)

ความรอบรู้ด้านสุขภาพ  (Health Literacy)  : ความสามารถของแต่ละบุคคลในการเข้าถึง เข้าใจ ใช้ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ประเมินการปฏิบัติและจัดการตนเอง รวมทั้งสามารถ ชี้แนะเรื่องสุขภาพส่วนบุคคล ครอบครัวและชุมชนเพื่อสุขภาพที่ดีและเหมาะสม และนำไปสู่ “การปรับเปลี่ยน วิถีชีวิต สภาพความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อหรือสนับสนุนให้มีสุขภาวะที่ดี ”

 

(https://resourcecenter.thaihealth.or.th/assets/mediadol/

download_dol/4852e322-569e-eb11-80ec-00155d09b41f)

2.3.2.1 องค์ประกอบของ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ

องค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพ  6 ด้าน

1. การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ (Access skill) หมายถึง ความสามารถในการค้นหาข้อมูลทางด้านสุขภาพ จากแหล่งข้อมูลต่างๆที่มีความน่าเชื่อถือ เกี่ยวกับการปฏิบัติตนและการใช้บริการทางด้านสุขภาพ

2. ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive skill) หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลทางด้านสุขภาพในการที่จะนำไปปฏิบัติในการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม

3. ทักษะการสื่อสาร (Communication skill) หมายถึง ความสามารถในการสื่อสารข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ ด้วยวิธีการพูด อ่าน เขียน เพื่อให้บุคคลอื่นเข้าใจและสามารถโน้มน้าวให้บุคคลอื่นยอมรับข้อมูลด้านสุขภาพ

4. ทักษะการจัดการตนเอง (Self-management skill) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย วางแผน และปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตนให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง

5. ทักษะการตัดสินใจ (Decision skill) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดทางเลือก และหลีกเลี่ยงวิธีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมโดยการใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ผลดี-ผลเสียเพื่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสุขภาพ แก่ตนเองและผู้อื่นน้อยที่สุด

6. การรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy skill) หมายถึง ความสามารถ ในการตรวจสอบความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้านสุขภาพ ที่สื่อนำเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงข้อมูลที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสามารถประเมินข้อความสื่อเพื่อชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติตนให้กับชุมชนและสังคม                                       

2.3.2.2 แนวทางการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ

ความรอบรู้ด้านสุขภาพไม่สามารถเกิดเองได้ จะเกิดได้ ต้องมีหรือทำอะไรบ้าง 

1. มีการสนับสนุนแหล่งความรู้ ที่สามารถเข้าถึงหรือได้มาทางด้านสุขภาพ นั่นคือ บุคคลต้องมีความรู้เบื้องต้นเป็นพื้นฐาน และมีแหล่งความรู้ ที่ทันสมัยและถูกต้อง เช่น เอกสารคู่มือ เว็บไซต์วิชาการ การฝึกอบรม ข้อมูลหรือผู้รู้จากโซเชียล และบุคลากรทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้

2. มีการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน บุคคลต้องสนใจ อัพเดตความรู้ในปัจจุบัน ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ไม่เชื่อข้อมูลที่แชร์ต่อ ๆ กันมา ไม่รู้ ต้องอ่าน ฟัง พูดคุย ปรึกษาผู้รู้ที่เกี่ยวข้อง เมื่อเกิดความสงสัย ต้องค้นคว้า หรือถามผู้รู้จนเข้าใจ

3. จัดตั้งกลุ่มนำความรู้ความเข้าใจมาสื่อสารแลกเปลี่ยนกัน เช่น กลุ่มวิชาการ กลุ่มไลน์ กลุ่มในสื่อโซเชียล กลุ่มในสถานศึกษา กลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนร่วมโรค เป็นต้น

4. เป็นผู้ที่สามารถดูแลสุขภาพตนเองเพื่อเป็นตัวอย่างผู้อื่นได้ เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เมาไม่ขับ ลดน้ำหนัก ทำตามนโยบาย 5 อ. ออกกำลังกาย ดูแลด้านอาหาร อารมณ์ อากาศ การขับถ่ายอุจจาระ เป็นต้น  หรือ เป็นบุคคลต้นแบบ

5. สามารถถ่ายทอดความรู้ เรื่องการดูแลสุขภาพพื้นฐาน การรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้ครอบครัวและชุมชน

6. รู้เท่าทันสื่อ ไม่แชร์ข่าวปลอม (Fake news) ทางสุขภาพ และการโฆษณาอาหารเสริมเกินจริง ซึ่งระบาดหนัก สร้างปัญหาให้สังคม ควรอ่านเนื้อหาข่าวทางสุขภาพอย่างละเอียดระมัดระวัง

2.3.3 กฎบัตรออตตาวาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion -1986)

กฎบัตรออตตาวาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion -1986)

แนวทางปฏิบัติการตามกฎบัตรออตตาวาร์ชาร์เตอร์  มีดังนี้

 1. สร้างนโยบายที่เอื้อต่อสุขภาพ (Building Healthy Public Policy) การส่งเสริมสุขภาพนั้นเป็นมากกว่าบริการ สุขภาพ โดยสุขภาพขึ้นกับการกำหนดนโยบายของทุกภาคส่วน ผู้กำหนดนโยบายต้องตระหนักว่าว่านโยบาย เหล่านั้นจะส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพหรือไม่และต้องยอมรับว่าเป็นหน้าที่ของภาคส่วนนอกสุขภาพที่ต้อง รับผิดชอบต่อสุขภาพด้วย เครื่องมือหรือกลไกของนโยบายการส่งเสริมสุขภาพมีความหลากหลาย ได้แก่ มาตรการด้านกฎหมาย การเงินการคลัง การเก็บภาษีหรือการปรับเปลี่ยนองค์กร 

2.สร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ (Created supportive Environment) สังคมมีความซับซ้อนและเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กัน สุขภาพไม่สามารถที่แยกออกจากเป้าหมายอื่นๆได้ และไม่สามารถที่แยกคนออกจากสิ่งแวดล้อมที่ ล้อมรอบตัวคนได้ จึงต้องประยุกต์ใช้แนวคิดในเรื่องบูรณาการสังคมและสิ่งแวดล้อมกับเรื่องสุขภาพ สุขภาพจะ ดีภายใต้ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวคนมากที่สุดคือ ครอบครัว เพื่อนบ้าน และชุมชน รวมถึงทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจึงถึงเป็นความรับผิดชอบ  ประเมินผลกระทบอต่อสุขภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในเรื่องของการ เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี สภาพการทำงาน แบบแผนการใช้พลังงานเพื่อการผลิต ความเป็นเมือง เป็นสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบสุขภาพโดยรวม 

3. พัฒนาความเข้มแข็งของปฏิบัติการชุมชน (Strengthened Community Actions) การส่งเสริมสุขภาพทำงาน โดยอาศัยปฏิบัติการของชุมชนที่มีประสิทธิภาพทั่งในเรื่อง การลำดับความสำคัญ การตัดสินใจ การวางแผนกล ยุทธ์ การดำเนินตามแผน เพื่อให้สุขภาพของชุมชนดีขึ้น โดยหัวใจสำคัญของกระบวนการคือการเสริมพลังให้กับ ชุมชน ให้เกิดความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ และเสริมพลังให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ชุมชน กำหนด ด้วยความร่วมมือของชุมชน และใช้ทรัพยากรในชุมชน การพัฒนาชุมชน จำเป็นต้องอาศัยกำลังคนและ ทรัพยากรในชุมชน เพื่อให้เกิดชุมชนที่สามารถจัดการตนเองได้ (Self Help) และพัฒนาระบบที่จะทำให้เกิดความ ร่วมมือในชุมชนที่มีความยืดหยุ่นและมีทิศทางเพื่อยกระดับสุขภาพหรือปัจจัยกำหนดสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมี และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องและทันเวลา มีโอกาสการเรียนรู้เพื่อสุขภาพ รวมถึงการสนับสนุนทางด้านการเงินหรืองบประมาณ 

4. การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล (Develop Personal Skill) การส่งเสริมสุขภาพส่งเสริมการพัฒนาคนและสังคม โดยการสนับสนุน ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษาเพื่อสุขภาพ และการพัฒนาทักษะชีวิต การกระทำดังกล่าวเป็น การเพิ่มทางเลือกสำหรับประชาชนในการทำแบบฝึกหัดเพื่อที่จะควบคุมสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และปัจจัยกำหนด สุขภาพ การเสริมพลังให้บุคคลเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเตรียมตัวที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆในแต่ละช่วงวัย รวมถึง โรคเรื้อรังและการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งดำเนินการได้ทั้งในฐานที่ตั้ง (Setting) ของโรงเรียน ที่บ้าน ที่ทำงาน และที่ชุมชน โดยผู้ที่เสริมพลังเป็นได้ทั้ง ครู หรือ นักการศึกษา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัคร รวมถึง อสม.

 5. ปรับระบบบริการสุขภาพ (Reoriented Health Services) การส่งเสริมสุขภาพในระบบบริกากรสุขภาพคือ การแบ่งปันระหว่างบุคคล กลุ่มในชุมชน และวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข สถานบริการและสถาบันต่างๆทางด้าน สาธารณสุขรวมถึงรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดต้องบูรณาการงานร่วมกันในระบบบริการสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อ สุขภาพ บทบาทของภาคส่วนสุขภาพต้องมามุ่งเน้นที่การส่งเสรำมสุขภาพให้มากขึ้น นอกเหนือจากการให้บริการ ทางคลินิกหรือการรักษาพยาบาล บริการสุขภาพต้องคนึงถึงความอ่อนไหวและเคารพในมิติของความเชื่อและ วัฒนะรรม และสนับสนุนความต้องการของบุคคลและชุมชนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีขึ้น และเปิดช่องทางให้ภาคส่วนสุขภาพและภาคส่วนทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและสิ่งแวดล้อม เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของสุขภาพด้วย

(https://www.ph.mahidol.ac.th/upload/e-book)

2.4 หน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการขับเคลื่อนตามแผนแม่บทการส่งเสริม กิจกรรมทางกาย (พ.ศ. 2561 - 2573)

1. กระทรวงสาธารณสุข ผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านสาธารณสุขเน้นการมีชีวิต ที่กระฉับกระเฉง (Active Living) ของประชาชนทุกกลุ่มวัย อาชีพ และสถานที่ และแผนพัฒนาสุขภาพ แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และการมีหน่วยงานหลักในการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ได้แก่ กองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย 

2 . กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา ในการส่งเสริมและพัฒนาการพลศึกษา กีฬาขั้นพื้นฐาน กีฬาเพื่อมวลชน นันทนาการ และวิทยาศาสตร์ การกีฬา เพื่อให้เยาวชนและประชาชนมีสุขภาพและพลานามัยที่แข็งแรง พระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศ ไทย พ.ศ. 2558 โดยการจัดตั้งคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกีฬาจังหวัดในแต่ละ จังหวัด แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 – 2559) และแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2561 – 2564) อันมียุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมให้เกิดความรู้และความตระหนัก ด้านการ ออกก าลังกาย และการกีฬาขั้นพื้นฐาน และยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมให้มวลชนมีการออกก าลังกายและมี ส่วนร่วมในกิจกรรมการกีฬา ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกายมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬา 

3. สถาบันการพลศึกษา ผ่านพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา และยุทธศาสตร์สถาบัน การพลศึกษา พ.ศ.2556 - 2561 เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรทางพลศึกษา การกีฬา วิทยาศาสตร์ การกีฬา วิทยาศาสตร์สุขภาพ นันทนาการ และบุคลากรในด้านที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย มีความสอดคล้องกับนโยบายสถาบันการพลศึกษา 48 

4. กระทรวงมหาดไทย ผ่านยุทธศาสตร์การผังเมือง โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ในการวางผังเมืองระดับต่างๆ กรมโยธาธิการออกแบบการก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้างอาคาร ดำเนินการและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านการพัฒนาเมือง พื้นที่ และชนบท โดยการกำหนดและกำกับ ดูแลนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดิน และยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเสริมสุขภาพประชาชน ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกายมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย

 5. กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านแผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) ในการจัดทำแผนแม่บทด้านการศึกษา การศาสนา และการวัฒนธรรม การพัฒนาระบบ รูปแบบ หลักสูตร และวิธีการจัดการศึกษา ร่วมกับกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา ในการจัดหลักสูตรพลศึกษา และการเรียนนอกหลักสูตร เช่น ลูกเสือ เนตรนารี พัฒนาโรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพ ที่มีการส่งเสริมการออกกำลังกายในโรงเรียน ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ด้วยการลดเวลาการนั่งเรียนในห้อง ไปเรียนรู้นอกห้องเรียน และนอกหลักสูตรแทน ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกายมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

6. กระทรวงแรงงาน ผ่านยุทธศาสตร์การพัฒนาแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในการก าหนดและพัฒนามาตรฐานแรงงาน รวมทั้งการส่งเสริม กำกับ ดูแล ให้การรับรองสถานประกอบ กิจการที่มีการบริหารจัดการตามมาตรฐานแรงงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานสากล คุ้มครองและดูแล แรงงานทั้งในและนอกระบบ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และส่งเสริมและดำเนินการให้มีการจัดสวัสดิการแรงงาน ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาแรงงาน

 7. กระทรวงคมนาคม ผ่านยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง (พ.ศ. 2558 - 2565) โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เน้นการส่งเสริมโครงสร้าง พื้นฐานทางรถไฟ ถนน น้ำ อากาศ เขตกรุงเทพและปริมณฑล ชายแดน โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ไปใช้การขนส่งที่เป็นรูปแบบที่มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่า เช่น การขนส่งทางราง เสริมสร้างการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน การเร่งรัดขยายเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางให้ประชาชนได้ใช้รถที่ได้มาตรฐาน ใช้เชื้อเพลิงที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดมลพิษในเขตเมือง กำหนดสัดส่วนการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะกับการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล เท่ากับ ร้อยละ 60 ต่อ 40 ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกายมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย

8. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.2546 ให้มีระบบการจัดบริการทางสังคม ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา การพัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสมเป็นธรรม และให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงาน และการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไป โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิที่ประชาชนพึงได้รับ และการมีส่วนร่วม ซึ่งการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว 

9 . องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 โดยมีการกำหนดนโยบาย ดำเนินการ บริหารงบประมาณ เพื่อตอบความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น ในการส่งเสริมสุขภาพให้ประชาชนทุกกลุ่มวัย ผ่านการจัดหาสวนสาธารณะ ฟิตเนส สถานที่ออกกำลังกาย ชมรมออกกำลังกาย สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ การจัดทำผังเมือง ทางจักรยาน ทางเดินเท้า จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนในศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน ดูแลกำกับสถานประกอบการ เป็นต้น

2.5 แพลตฟอร์มฐานข้อมูลเพื่อพัฒนางานสร้างเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบ

องค์กรเบดร็อค อนาไลติกส์ จับมือร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พัฒนา "แพลตฟอร์มส่งเสริมกิจกรรมทางกาย" ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Platform) ด้านกิจกรรมทางกาย ซึ่งจุดเด่นของแพลตฟอร์มเป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ระบบสุขภาพ โซเชียลมีเดีย บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ วิเคราะห์แนวโน้ม เช่น พฤติกรรมสุขภาพ แนวโน้มโรค และข้อมูลเพื่อใช้กำหนดยุทธศาสตร์  สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาเมืองสุขภาวะอย่างยั่งยืน 

แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลเพื่อออกแบบแนวทางส่งเสริมสุขภาพที่ตรงจุดและยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา Healthy City Index ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาวะของเมืองในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ มีการแปลผลเป็น Dashboard แสดงถึง

  • ด้านสุขภาพของประชากร (Active People) ประกอบด้วย ข้อมูลกิจกรรมทางกาย ข้อมูลโรคไม่ติดต่อ (NCDs)

  • ด้านสังคมและนโยบาย (Active Society) มีการเผยแพร่ข้อมูลโครงการส่งเสริมสุขภาพ

  • ด้านสภาพแวดล้อม (Active Environment) เป็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลพื้นที่สาธารณะ

ทั้งนี้  สสส. มีความมุ่งหวังให้แพลตฟอร์มส่งเสริมกิจกรรมทางกายนี้ เป็นประโยชน์กับการดำเนินงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ในแง่

1. ยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพระดับประเทศ 

2. สนับสนุนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ 

3. ส่งเสริมการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะอย่างยั่งยืน 

4. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในการส่งเสริมสุขภาพ 

5. ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning ในการคาดการณ์แนวโน้มสุขภาพ 

6. เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักวิจัยและภาควิชาการ

 สามารถสืบค้นรายละเอียดได้ที่https://thaihealthphysicalactivity.com/dashboard ซึ่งมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มสนับสนุนสุขภาวะที่ดีด้วยข้อมูลกิจกรรมทางกาย “City Health Check TH" ในงาน PA Data-Driven Health and Wellbeing” เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ณ Mandarin Hotel Bangkok นอกจากนี้ ยังเป็นการประชาสัมพันธ์เผยแพร่สื่อสารต่อสาธารณะ รวมถึงการสาธิตและทดลองใช้แพลตฟอร์มอีกด้วย (https://www.thaihealth.or.th/?p=382311)

อ้างอิง

เพลินพาดี. รายงานการทบทวนองค์ความรู้สุขภาวะการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าเติบโต เสี่ยงผลกระทบสุขภาพวัยรุ่น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าเติบโต เสี่ยงผลกระทบสุขภาพวัยรุ่น

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นอาหารกับกรอบแนวคิดหลัก สสส. และสอดคล้องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นอาหารกับกรอบแนวคิ...

นโยบายเว็บไซต์
1748965111.jfif

Super Admin ID2

นโยบายเว็บไซต์

แผนผังโครงสร้างระบบ (Site map)
1748965111.jfif

Super Admin ID2

แผนผังโครงสร้างระบบ (Site map)

ยอมรับ! ต่างรุ่นต่างประสบการณ์ ช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัว
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ยอมรับ! ต่างรุ่นต่างประสบการณ์ ช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัว

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 3 บริบท เครื่องมือ สื่อ ปัจจัยเอื้อ นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นกิจกรรมทางกายที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ

Admin nicky

รวบรวมและจัดระบบองค์ความรู้ เครื่องมือ และสื่อ ที่สามารถนำไปใช้ในการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายอย่างเป็นรูปธรรม ตามกรอบแนวคิด “3A” ได้แก่ Active People, Active Environment และ Active Society โดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายตามช่วงวัย บริบทพื้นที่ และความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทของชุมชน ครอบครัว สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคมในฐานะพลังร่วมในการสร้าง “สังคมกระฉับกระเฉง” โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถเข้าถึงโอกาสในการเคลื่อนไหวอย่างเพียงพอในชีวิตประจำวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และการสนับสนุนจากสังคมโดยรวม