0

0

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-08-01 16:19:07

บทนำ

รวบรวมและจัดระบบองค์ความรู้ เครื่องมือ และสื่อ ที่สามารถนำไปใช้ในการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายอย่างเป็นรูปธรรม ตามกรอบแนวคิด “3A” ได้แก่ Active People, Active Environment และ Active Society โดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายตามช่วงวัย บริบทพื้นที่ และความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทของชุมชน ครอบครัว สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคมในฐานะพลังร่วมในการสร้าง “สังคมกระฉับกระเฉง” โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถเข้าถึงโอกาสในการเคลื่อนไหวอย่างเพียงพอในชีวิตประจำวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และการสนับสนุนจากสังคมโดยรวม

ส่วนที่ 3 บริบท เครื่องมือ สื่อ ปัจจัยเอื้อ นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นกิจกรรมทางกายที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ

แผนยุทธศาสตร์และแนวทางขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกายถูกแปลงเป็นการดำเนินงานจริงในรูปแบบของเครื่องมือ นวัตกรรม และคู่มือเฉพาะกลุ่ม เช่น โปรแกรม Active School, ลดพุงลดโรค, สนามเด็กเล่น Brain Based Learning และกิจกรรมขยับในองค์กร สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบให้เอื้อต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนสู่ Active Society ยังอาศัยพลังของชุมชนและองค์กรท้องถิ่น โดยใช้พื้นที่สร้างสรรค์และกิจกรรมชุมชนเป็นแกนหลักในการสร้างวัฒนธรรมการขยับร่วมกันในระดับสังคม

3.1 แหล่งที่มาและยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนงานของภาคี สสส.

จากการศึกษาทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงระบบ : การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย โดยอิงกรอบคิดตามแผนยุทธศาสตร์ 10 ปี สสส.  ยุทธศาสตร์แผนกิจกรรมทางกายภาย  3 A Active People Active People Active People  และแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพ 4 ด้าน ได้แก่ การใช้ฐานกลุ่มเป้าหมายตามกลุ่มวัย (Target based) ฐานพื้นที่ (Area based)  ฐานองค์กรหรือสถาบัน (Setting based )  เป็นกรอบในการวิเคราะห์ สังเคราะห์จากข้อมูล ความรู้ที่ได้จากการรวบรวมและคัดกรอง ผลการทำงาน 10 ปีที่ผ่านมาของ สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายจำนวน 285 องค์กร[1] โดยมีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนสถาบันการศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคม โดยมีแหล่งที่มาและการสืบค้นข้อมูล องค์ความรู้หลัก มี 2 แหล่งข้อมูลหลักคือ ฐานข้อมูลการรายงาน    และภาคีเครือข่าย สสส. : แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย และระบบออนไลน์ผ่าน Website และ Facebook ของภาคีเครือข่ายหลักของแผนกิจกรรมทางกาย รวมถึงการเสวนาร่วมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นเสนอแนะเพิ่มเติม คือ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (Thailand Physical Activity Knowledge Development Centre TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

โดยองค์ความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์/สังเคราะห์ ถูกจัดระบบองค์ความรู้เป็น 4 ยุทธศาสตร์หลักของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย คือ Active People: ส่งเสริมให้คนกระฉับเฉง Active Environment : สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย  Active Society : สังคมกระฉับกระเฉง และ Active System : ระบบที่เอื้อและสนับสนุนต่อกิจกรรมทางกาย ทั้งนี้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้ใช้กรอบคิดกฎบัตรออตตาวาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion -1986) ผสมผสานกับการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ได้แก่ การส่งเสริมป้องกันโรคตามกลุ่มวัย  การพัฒนาโดยยึดฐานพื้นที่หรือชุมชน (Area based strategy ) การพัฒนาโดยยึดความเป็นองค์กรและสถาบันเป็นฐาน( Setting based strategy ) และการทำงานโดยพิจารณาถึงบริบทเฉพาะ เช่นกลุ่มเปราะบาง เช่นพิการ หรือ ผู้สูงอายุ ความเป็นเมือง หรือ ชนบท นอกจากนี้ การจัดแบ่งตาม 4 ยุทธศาสตร์ ยังมีจุดมุ่งหมายให้เป็นแนวปฏิบัติที่สอดคล้องเหมาะสมกับกลุ่มวัย และ Cut across กับกลยุทธการทำงาน ตลอดจน มีองค์ความรู้ที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละกลุ่มวัย เป็นองค์ความรู้ที่ต้องผ่านกลไก/กลุ่มคนในการนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายของตนเอง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หรือประชาชนทั่วไป เป็นต้น


 


[1] ไฟล์เอกสารสำเนา สำนักรายชื่อภาคีเครือข่ายแผนกิจกรรมทางกาย เอกสารประกอบรายงานการประมวลและสังเคราะห์องค์ความรู้ สุขภาวะประเด็นกิจกรรมทางกาย  หมายเลข 2

3.2 ข้อมูล ความรู้ และเครื่องมือ สร้างเสริมกิจกรรมทางกาย จำแนกตามช่วงวัย “Active People: ส่งเสริมให้คนกระฉับกระเฉง”

นิยาม และความเข้าใจ : Active People (AP) - ส่งเสริมให้คนกระฉับเฉง  ผ่านกระบวนการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ส่งเสริมความรู้ ความตระหนัก และโอกาสเพื่อให้บุคคลทุกกลุ่มและทุกช่วงวัย มีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอ โดยส่งเสริมและกระตุ้นปัจจัยภายในตัวบุคคลให้มีความรอบรู้ทางกาย (physical literacy) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy)

3.2.1 ปฐมวัย: เด็กอายุุต่ำกว่า 5 ปี

องค์ความรู้ ประกอบด้วยชุดความรู้และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  คือความรู้สำหรับสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้กับกลุ่มหรือพื้นที่เป้าหมายโดยทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจง ผ่านสื่อในรูปแบบหรือลักษณะต่างๆ ได้แก่  แผ่นพับ หนังสือ/บทความ 4  ชิ้น และรูปแบบที่เป็น: Know- how ( วิธีการ) ซึ่งสามารถนำไปปรับหรือประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม หรือบริบทของกลุ่มหรือพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ คู่มือและเครื่องมือจำนวน 2 เรื่อง  โดยทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีการจัดพิมพ์และเผยแพร่ไปยังสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นองค์ความรู้ที่มุ่งเน้น ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เพื่อให้มีทักษะด้านกิจกรรมทางกาย ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill)  และสอดคล้องกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองต่อห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C4 : ส่งเสริมทักษะองค์ความรู้เท่าทันสถานการณ์  

3.2.1.1 คู่มือรูปแบบการเล่นด้วยกิจกรรมทางกายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและฝึกทักษะ สำหรับเด็กปฐมวัย

เนื้อหาในคู่มือประกอบด้วยวิธีการและเคล็ดลับการเล่น และข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในแต่ละกิจกรรมทางกาย ทั้งในรูปแบบการแนะนำการเล่นให้เด็กดู ทบทวนวิธีการเล่นโดยให้เด็กได้พูดก่อนเล่นทุกครั้ง และมีการประเมินหลังจากจบกิจกรรมด้วยคำถามเพื่อให้เด็กได้แสดงความรู้สึก พร้อมให้กำลังใจกับความพยายามของเด็ก เป็นกิจกรรมการเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 9 กิจกรรม ได้แก่ 1) เคลื่อนไหวมหาสนุก 2) จับคู่มหาสนุก 3) กล่องปริศนา 4 ) เติมให้เต็ม 5) กระโดน วิ่งคว้าฝัน 6) กบกระโดด 7) วิ่ง กระโดดสู่ฝัน 8) เคลื่อนไหวหรรษา และ 9) รูปทรงมหาสนุก และการเล่นอิสระ (Free play) คือ พฤติกรรม หรือ กระบวนการที่ริเริ่ม ควบคุม หรือจัดการ โดยเด็ก ๆ เองอย่างไม่มีแบบแผน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบังคับ เกิดขึ้นด้วยแรงผลักดันภายในตัวเด็กอย่างอิสระ เป็นธรรมชาติ ทำให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลินนำไปสู่การเล่นเพื่อการเรียนรู้ที่ดี  ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและครอบครัว ควรจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ๆละ 3 วันๆละอย่างน้อย 30 นาที

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/3606#wow-book/)

3.2.1.2 คู่มือเล่นเปลี่ยนโลก สำหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

เนื้อหาที่น่าสนใจในคู่มือนี้คือ การพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ผ่านการกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของสมองตามแต่ละช่วงวัยด้วย “กิจกรรมทางกาย” และ “การเล่น” การเล่น ทั้งการเล่นกับพ่อแม่ พี่น้อง ธรรมชาติ วิ่งเล่น  ในสนาม ปีนป่าย เล่นบทบาทสมมติ เล่นดนตรี ทำงานบ้าน และการอ่านหนังสือเป็นการกระตุ้นสมอง  ให้เปิดรับการเรียนรู้ผ่านความรู้สึกสนุก ก่อให้เกิดวงจรการเรียนรู้และพัฒนาการที่รอบด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม-จิตใจ และสติปัญญา พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก ผู้ดูแลเด็ก จำเป็นต้องมีความเข้าใจและสนับสนุน ส่งเสริมและให้โอกาสเด็กเกิดการเล่นที่สร้างการเรียนรู้ และการสร้างทักษะ จากผู้ร่วมเล่น คือ พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็ก ครู ภายใต้สภาพแวดล้อม พื้นที่ สื่อของเล่นที่เหมาะสมและเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัยของเด็ก อย่างอิสระ เพื่อให้เด็กได้เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ ตามจังหวะของตนเองและค้นพบตัวตนในที่สุด และยังส่งเสริมพัฒนาการเด็กในทุก ๆ ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ และด้านสังคม-จิตใจ

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/3603#wow-book/54

https://www.youtube.com/watch?v=kKbaAji-W3I)

3.2.2 เด็กและวัยรุ่นอายุุ 5-17 ปี

องค์ความรู้ในการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุ 5-17 ปี ประกอบด้วยชุดความรู้ และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น 

Know-what  นำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  ได้แก่ แผ่นพับ โปสเตอร์ จุสสาร หนังสือ/บทความ Video และ Infographic จำนวน 21  ชิ้น 

Know- how  ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้ มุ่งเน้นให้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  ประกอบด้วย คู่มือและเครื่องมือ 4 เรื่อง (5 ชิ้น)ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่นำมาจัดการนั้นมีความโดดเด่นด้านส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ และจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง โดยยังคงเน้นการเล่นที่มีลักษณะการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างเพื่อน ครู หรือพี่เลี้ยง  (Interactive /communicative ) ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการสร้างความรอบรู้ขั้นตอนการโต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ผ่านการเล่นและคำถาม หรือการกระตุ้นให้ได้คิดและลงมือทำด้วยตนเองหรือเพื่อน และสอดคล้องกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ คือด้านทักษะด้านสุขภาพระดับบุคคล และเมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับ ห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) แล้วจะตอบสนองต่อ C4 คือการส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ เท่าทันสถานการณ์

 

3.2.2.1 โปรแกรมเรียนรู้และคู่มือการออกกำลังกาย โดยใช้จานร่อนสำหรับคนพิการ และชุดความรู้ “การพัฒนาผู้ฝึกสอนการออกกำลังกายโดยใช้จานร่อน” สำหรับคนพิการ

กิจกรรมจานร่อนสำหรับคนพิการประกอบด้วยความรู้พื้นฐานในการเล่น เทคนิคและข้อควรระวังในการเล่นที่เหมาะสมกับคนพิการแต่ละประเภท รวมถึงการบริหารร่างกายเพื่อการอบอุ่นร่างกายก่อนการเริ่มต้นการออกกำลังกาย ซึ่งปรับปรุงมาจากคู่มือที่ใช้ในการพัฒนาผู้สอนเล่นจานร่อนให้แก่นักเรียนพิการตามโครงการกีฬาสร้างเสริมสุขภาพสำหรับคนพิการ และมีการทำงาน ร่วมกับประสบการณ์ของผู้สอนที่นำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของตน

        การเล่นจานร่อนถือเป็นทางเลือกหนึ่ง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านการออกกำลังกายของนักเรียนพิการ โดยเหมาะสมสำหรับเด็ก และเยาวชนพิการที่เข้าไม่ถึงกีฬาประเภทอื่น ๆ อาจด้วยสุขภาพร่างกาย ความจำกัดในการเคลื่อนไหว ความเข็งแรงของร่างกาย รวมถึงการออกกำลังกายโดยใช้จานร่อนเป็นกีฬาที่เล่นง่าย สนุก สามารถเล่นได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ สามารถมีส่วนร่วมได้ทั้งผู้พิการ และบุคคลทั่วไป และกิจกรรมการออกกำลังกายโดยใช้จานร่อน ยังเป็นการออกกำลังกายที่สามารถเล่นได้ในทุกความหลากหลายของความพิการ รวมถึงผู้พิการที่มีความต้องการจำเป็นในเรื่องสุขภาพ กลไกกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสด้วยเช่นกัน

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool)

3.2.2.2 คู่มือการเล่นลูสพาร์ท: ชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้ (Loose parts play)

คู่มือแปลภาษาไทย “การเล่นลูสพาร์ท : ชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้ (Loose partsplay)”ได้รับอนุญาตแปลอย่างเป็นทางการจากผู้เขียนคุณ Theresa Casey คุณ Juliet Robertsonและรัฐบาลสก็อตแลนด์ จะช่วยให้คนทำงานด้านการเล่นอิสระ ได้มีมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการเล่นกับลูสพาร์ทในสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน

เด็กได้เลือกอย่างอิสระ กำหนดสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง และเกิดจากแรงจูงใจภายในตนเอง การเล่นเกิดขึ้นโดยไม่มีเป้าหมายหรือรางวัลภายนอกมาล่อใจ แต่เป็นพื้นฐานและเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการและสุขภาวะ ไม่ใช่เพื่อเด็กคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วย คุณลักษณะเด่นหลัก ๆ ของการเล่น คือ ความสนุกความไม่แน่นอน ความท้าทาย ความยืดหยุ่น และการไม่คาดหวังถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น การเล่นอาจเกิดขึ้นทั้งในอาคารหรือกลางแจ้ง และอาจจะมีหรือไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็ได้ รวมถึงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ทุกวันทั้งในสิ่งแวดล้อมที่มีการออกแบบไว้สำหรับการเล่น หรือในสถานที่ที่เด็ก ๆ หรือเยาวชนเลือกจะเล่นเอง

ผู้ใหญ่ที่เข้าใจการเล่นแบบนี้ จะมีบทบาทอย่างสำคัญในการนำการเล่นแบบแยกชิ้นส่วนได้มาแนะนำ และผลักดันให้เกิดความสำเร็จ การสนับสนุนในจุดอ่อนบางจุดให้กับเด็กขณะเล่นจะเป็นการช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับเด็ก ทั้งนี้จะต้องไม่เข้าไปแทรกแซงก่อนเวลาอันควร

หลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนผ่านการเล่น(play-based pedagogies) การเล่นกลางแจ้ง(outdoor playing) กับการเรียนรู้ของเด็กในบริบทสังคมของสก็อตแลนด์ และนำไปปรับใช้ให้เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง

การเล่นลูสพาร์ท : ชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้สามารถส่งเสริมเด็กและเยาวชนด้านความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามตัวชี้วัด (wellbeing indicator) ดังนี้

1. ด้านความปลอดภัย (Safe) เด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยของตัวเอง สามารถตัดสินใจจัดการกับความเสี่ยง ความท้าทาย และการเรียนรู้ทักษะชีวิต

2. ด้านสุขภาพดี (Healthy) เด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะได้เล่นกับชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายกลางแจ้งในทุกวัน ได้มีโอกาสสัมผัสธรรมชาติตลอดทั้งปี ได้สัมผัสสภาวะดินฟ้าอากาศในทุกฤดูกาล เพื่อส่งเสริมให้เกิดสุขภาพดีโดยรวม

3. การบรรลุผล (Achieving) เด็กและเยาวชน ได้รับการสนับสนุนให้มีประสบการณ์การเล่นที่ท้าท้าย เสี่ยง และผจญภัย ทำให้เกิดความรู้สึกของการบรรลุผลประสบผลสำเร็จ และความเบิกบานใจ มีโอกาสที่จะสร้างสรรค์ มียุทธศาสตร์การแก้ปัญหา มีการคิดเป็นลำดับขั้นมากขึ้น รวมทั้งมีการสื่อสาร และจินตนาการที่ดีขึ้น

4. ได้รับการบำรุงเลี้ยง (การดูแลเอาใจใส่) (Nurtured) เด็กและเยาวชน มีพื้นที่ที่มีความหมายต่อเขา รู้สึกปลอดภัย และทำให้เกิดความรู้สึกมีอิสระ เป็นเจ้าของกับสถานที่นั้น ๆ (place-attachment) และมีผู้ใหญ่อยู่รอบ ๆ คอยให้การสนับสนุนกระบวนการเล่นอย่างเคารพ และใส่ใจ ได้มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้ารองเท้าที่เหมาะสมกับการเล่นกับชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้ในกลางแจ้งตลอดทั้งปี

5. มีความพร้อม -คล่องแคล่ว (Active) เด็กมีเสรีภาพในการเล่นอย่างเต็มที่ มีความกระตือรือร้นได้เคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อแข็งแรงมีความคล่องแคล่ว และความแข็งแกร่งจากการเล่นกับชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้

6. การได้รับการเคารพ และยอมรับ (Respected) เด็กได้รับการเคารพเรื่องสิทธิการเล่น และได้รับสนับสนุนให้ได้เล่น มีโอกาสมีส่วนร่วมในการรักษาประเมิน และพัฒนาข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการเล่นลูสพาร์ท: ชิ้นส่วนเคลื่อนย้ายได้ รวมถึงการได้รับการยอมรับ รับฟังความคิดเห็นทุกด้าน

7. ความรับผิดชอบ (Responsible) เด็กและเยาวชน มีโอกาสได้ร่วมมือกับผู้อื่น และมีความรับผิดชอบ ต่อผู้อื่น ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม

8. มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (Included) เด็กและเยาวชน ได้มีโอกาสเล่นตามวิถี และจังหวะที่ได้เลือกเอง ได้ทำตามความสนใจของตนเอง ได้รับการยอมรับให้เล่นตามลำพัง หรือ กับกลุ่มเล็ก ๆ ได้เล่นกับเด็กที่มีช่วงอายุที่หลากหลาย หรือเล่นรวมกันทั้งชุมชน ได้รับการช่วยเหลือ และสนับสนุนให้ได้เล่นตามความต้องการ

(https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/zjW2)

3.2.2.3 คู่มือเล่นกลางโรค

ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากคู่มือการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยการเล่นตามแนวคิด ACP (Active Child Program) ที่ผสมผสานการเล่นของเด็กไทยและเด็กญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกัน โดยคู่มือฉบับนี้ได้นำกิจกรรมการเล่นเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing play) ที่่สมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่น (JSPO) ใช้ส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้กับเด็กญี่ปุ่น ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาบรรจุไว้ เพื่อให้เป็นกิจกรรมทางเลือกในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ โดยรวบรวมกิจกรรมการเล่นของญี่ปุ่นและไทยจำนวน 50 กิจกรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) การเล่นเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing play) และ 2) การเล่นในช่วงปกติ (Normal play) ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมนิสัยการออกกำลังกาย และการเล่นกีฬาให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย และเชื่อว่า “รากฐานของการกีฬาตลอดชีวิต” เป็น “การปลูกฝังทักษะการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์มั่งคั่ง” และมีกิจกรรมการเล่นปกติ (Normal play) สำหรับใช้ในสถานการณ์ทั่วไป และถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์กับสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้กับเด็กนักเรียนในทุกโอกาส ทุกที่ที่เด็กอยู่โรงเรียน โดยมีคุณครูเป็นผู้นำเครื่องมือไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กนักเรียนตามโอกาส รวมถึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกทำกิจกรรมตามความสนใจได้อย่าอิสระ และมีกิจกรรมทางกายได้ครบ 60 นาทีทุกวัน ซึ่งจะช่วยพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการสมวัย 5 มิติ ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม การสื่อสาร/ทักษะชีวิต การคิดวิเคราะห์ และทักษะทางวิชาการ

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

https://tpak.or.th/backend/print_media_file/652/คู่มือเล่นกลางโรค.pdf)

3.2.2.4 ส่งเสริมการเรียนรู้ 3 มิติ เล่น เรียน รู้

สถานการณ์ COVID-19 การเตรียมความพร้อมผู้ปกครองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้จากที่บ้านของนักเรียน และมีแนวทางที่มีประสิทธิผลในการส่งเสริมการเรียนรู้จากที่บ้าน เช่น เล่น เรียน รู้ (ธรรมชาติของเด็ก) ตารางการเรียนรู้ของเด็ก ๆ เมื่ออยู่ที่บ้าน การสร้างเสริมสุขลักษณะ สุขนิสัย และการป้องกันโรค เป็นต้น โดยตารางการเรียนรู้ 3 มิติ ได้แก่ 

มิติที่ 1: เล่น การเล่นเพื่อความสนุกสนาน/ผ่อนคลาย (Active Play for Emotional Benefits) เต้นตามเพลง/เดินเล่นหรือเดินกับสัตว์เลี้ยง/เล่นดนตรี/ปั่นจักรยาน/ทำสวนหรือปลูกต้นไม้ทำงานบ้าน/ทำอาหารร่วมกับผู้ปกครอง

มิติที่ 2 : เรียน เรียน 7 กลุ่มสาระวิชา 

มิติที่ 3 : รู้ ได้แก่ 1) สนับสนุนการเรียนรู้ เช่น จัดตารางเรียน จัดพื้นที่ สื่อสารกับโรงเรียน เป็นต้น  2) เสริมทักษะเพื่อสุขภาวะทางใจ เช่น จัดการความเครียดตนเองและลูก กระตุ้นการเรียนรู้ เป็นต้น 3) สร้างสุขอนามัยเพื่อภูมิคุ้มกันโรค เช่น การป้องกันตนเองและลูกหลานให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ควบคุมการใช้หน้าจอ การโภชนาการ และการหลับนอน เป็นต้น

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/Jo7g

https://tpak.or.th/backend/print_media_file/243/

ชุดคู่มือส่งเสริมการเรียนรู้-3-มิติ-เนื้อใน.pdf)

3.2.3 ผู้ใหญ่/วัยทำงาน อายุุ 18-59 ปี

ประกอบด้วยชุดความรู้และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  มีเนื้อหาย่อยทั้งหมด 8 เรื่อง ประกอบด้วยลักษณะสื่อที่หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ แผ่นพับ หนังสือ video และ Infographic  จำนวน 28 ชิ้น และบางชุดความรู้มีลักษณะ Know- How  ร่วมด้วยกล่าวคือนำเสนอวิธีการนำไปใช้ร่วมกับเนื้อหา ผู้สนใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและบริบทเพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  เนื้อหาประกอบด้วย แนวทางการส่งเสริมทักษะกิจกรรมทางกายในรูปแบบต่างๆ เช่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อ คลายเส้น พักสายตา การละเล่นพื้นบ้านฯ และ  3 อ.กับการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

3.2.3.1 คู่มือลดพุงลดโรค

ให้คำแนะนำในการลดพุงลดโรคให้กับกลุ่มคนวัยทำงานอย่างง่าย ๆ ด้วยหลัก  3 อ.  อารมณ์ อาหาร และออกกำลังกาย เพื่อให้มีสุขภาพกายใจที่ดี ห่างไกลจากโรคอ้วนลงพุง และมีคำแนะนำเริ่มสำรวจตนเอง อ้วนลงพุงไหม และใช้หลัก 3 อ. ได้แก่ 

1) อารมณ์ ต้านความอยาก พิชิตอารมณ์ 

2) อาหาร ปรับพฤติกรรมการกิน กินถูกวิธี จัดมื้ออาหารให้สมดุลและแนะนำการปรุงอาหาร 

3) ออกกำลังกาย การมีกิจกรรมทางกายไม่ว่าจะเบาหรือหนักล้วนก่อประโยชน์ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าแล้ว ยังช่วยให้การลดพุงไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นกว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางเป็นเวลาอย่างน้อย 150นาทีต่อสัปดาห์ หรือการใช้กำลังกายอย่างหนักเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 75 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งการใช้กำลังกายนี้สามารถรวมจากการทำงาน การเดินทาง และการใช้กำลังกายในเวลาพักผ่อนเข้าด้วยกัน รวมถึงการทำกายบริหารแกว่งแขน

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool

https://resourcecenter-uat.thaihealth.or.th/article/คู่มือลดพุงลดโรค?view-item=view_most)

3.2.3.2 คู่มืออยากสุขภาพดีต้องมี 3 อ. สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

การตั้งครรภ์และให้นมบุตรเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของสตรีมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย อารมณ์และจิตใจอย่างมาก ดังนั้น การโภชนาการที่ดีมีความสำคัญทั้งต่อแม่และทารก รวมถึงการออกกำลังกายให้ปลอดภัยและเหมาะสม และการรับมือโรคซึมเศร้าในคุณแม่ตั้งครรภ์ ปัจจัยที่สำคัญมากต่อการมีสุขภาพดีหรือไม่ดีของเราแต่ละคนในทุกเพศและทุกวัย คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือดำเนินชีวิตใน 3 เรื่อง คือ อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “3 อ.”

อาหาร เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ช่วยให้ร่างกายเจริญ เติบโต แข็งแรง ให้พลังงาน ความอบอุ่นต่อร่างกาย และช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ ดังนั้น จึงควรเลือกกินอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ถูกหลักโภชนาการ ครบ 5 หมู่ สัดส่วนที่เหมาะสม ปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และลดอาหารที่มัน หวาน และเค็ม ด้วย

ออกกำลังกาย ช่วยการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย ทำได้ทุกคน ทำด้วยความพอดีมีมากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน วันละ 30 นาที ตามความสะดวก ในบ้าน นอกบ้าน และที่ทำงาน

อารมณ์ ที่เป็นสุข มั่นคง มีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม แม้มีอารมณ์เครียดหรืออารมณ์ด้านลบ แต่รู้จักดูแลอารมณ์นั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยคู่มือฯมีเนื้อหา ดังนี้ 1) การบริโภคอาหารสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร 2) การออกกำลังกายในคุณแม่ตั้งครรภ์ และ 3) ซึมเศร้าในคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือ หลังคลอด

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/QWLM)

3.2.3.3 คู่มือขยับในออฟฟิศกันเถอะ

ปัญหาของคนวัยทำงาน คือ มักไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อยู่ที่ทำงานก็ใช้เวลากับการนั่งเสียส่วนใหญ่ พอเสร็จสิ้นจากงาน ช่วงเวลาเย็นก็ใช้ไปกับการเดินทางกลับบ้านหรือเที่ยวกินเพื่อผ่อนคลาย สรุปแล้วจะสังเกตว่ามนุษย์ชาวออฟฟิศแทบไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลย ส่งผลให้คนวัยทำงานมักเกิดอาการออฟฟิศซินโดรม เส้นยึดตึงช่วงแขนขา ปวดตามไหล่ หลัง คอ แม้กระทั่งความเมื่อยล้าทางสายตา ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นาน วันจะเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ ได้ การนั่งนิ่งๆนานเกิน 2 ชั่วโมง และไม่ออกกำลังกายเป็นต้นเหตุของโรคออฟฟิศซินโดรม อีกทั้งยังเป็นต้นตอการเกิดหลายโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคน้ำตาลในเลือดสูงหรือเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ และโรคอ้วน ดังนั้น ควรสร้างจังหวะขยับบริหารร่างกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อต่าง ๆ ง่ายๆ ในที่ทำงานสักนิดอย่างสม่ำเสมอทุกวัน รวมถึงท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/3qM)

3.2.3.4 คู่มือการจัดกิจกรรม walk shop เครื่องมือส่งเสริมการจัด Healthy Active Meeting

หลังจากที่นั่งประชุมอย่างต่อเนื่องนาน และสู่ชั่วโมงที่ 3 หรือมากกว่านั้น พบว่า ความเมื่อยล้าทั้งกล้ามเนื้อและสมองมากขึ้น และสมาธิ ความสนใจในห้องประชุมจะลดลง ด้วยเหตุนี้ หากลองปรับเปลี่ยนวิธีการประชุมแบบเดิม ๆ เป็นการเดินประชุม(Walk)  เพื่อแลกเปลี่ยนและหยิบจับ (Shop) ความคิดดี ๆ ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินพูดคุยหารือของสมาชิกกัน จะเป็นแนวทางหนึ่งที่กระตุ้นประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ของการประชุมได้มากขึ้น และยังทำให้ได้เพิ่มเวลาในการมีกิจกรรมทางกาย เพื่อการมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นด้วย

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

https://tpak.or.th/backend/print_media_file/739/)

3.2.3.5 คู่มือแนวทางการดำเนินงานสำหรับบุคลากรการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงหลังคลอด

เป็นแนวปฏิบัติสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด (Physical Activity Pregnant and Postpartum Women Guideline) และพัฒนาจัดชุดบริการการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอดที่เหมาะสมในแต่ละไตรมาสตามช่วงอายุการตั้งครรภ์ โดยมีองค์ประกอบการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในสถานบริการสาธารณสุข คือ กรอบแนวคิด 5A (5As framework) เป็นรูปแบบการให้คำปรึกษาซึ่งเป็นกรอบที่จดจำง่ายและเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติ ได้แก่ 1) Assess (ประเมิน) (ระดับกิจกรรม, สุขภาพ และความพร้อม) 2) Advise (แนะนำ) (หลักการทั่วไป, หลักการ FITT ประกอบด้วย ความถี่ (Frequency) ความหนัก (Intensity) เวลา (Time) และประเภท (Type)) 3) Agree (ตกลง) (การตั้งเป้าหมาย ใบสั่งกิจกรรม) 4) Assist (สนับสนุน) (ข้อมูล ความรู้ ทักษะและสถานที่) 5) Arrange (จัดเตรียม) (ให้คำปรึกษากิจกรรมทางกายครอบคลุมตั้งแต่การนัดติดตาม การแจ้งเตือน รวมถึงการส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ)

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

tpak.or.th/backend/print_media_file/741/แนวทางการดำเนินงานสำหรับบุคลากร%20PA%20ในหญิงตั้งครรภ์.pdf)

3.2.3.6 คู่มือแนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค กรณีการหมดสติหรือเสียชีวิตขณะวิ่งในที่สาธารณะ สำหรับผู้ปฏิบัติงาน

แนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการสอบสวนโรค กรณีการหมดสติหรือเสียชีวิตขณะวิ่งในที่สาธารณะ มีขั้นตอนการดำเนินงาน 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การรับแจ้งเหตุการณ์ ตรวจจับ/ค้นหาข่าวเหตุการณ์ ขั้นตอนที่ 2 การยืนยันการเกิดเหตุการณ์ ขั้นตอนที่ 3 การเตรียมการสอบสวน ขั้นตอนที่ 4 ดำเนินการสอบสวนและติดตาม ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 6 การสื่อสารให้ผู้อื่นทราบ

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all)

3.2.3.7 คู่มือรูปแบบการเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและทักษะเด็กปฐมวัยไทยสำหรับผู้เลี้ยงดูเด็ก

เนื้อหาหลักในคู่มือฯ ประกอบด้วย 5 ได้แก่ 

(1) แนวทางการจัดกิจกรรมทางกาย ควรจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ๆ ละ 3 วันๆละอย่างน้อย 30 นาที 

(2) เคล็ดลับหรือเทคนิคการเล่น                       

(3) ข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในแต่ละกิจกรรม ซึ่งพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กสามารถเลือกกิจกรรมที่กำหนดไปจัดให้แก่เด็กปฐมวัย อายุ 2-6 ปี 

(4) รูปแบบการเล่นประกอบด้วย 9 กิจกรรม ได้แก่ 1) เคลื่อนไหวมหาสนุก 2) จับคู่มหาสนุก 3) กล่องปริศนา 4 ) เติมให้เต็ม 5) กระโดด วิ่งคว้าฝัน 6) กบกระโดด 7) วิ่ง กระโดดสู่ฝัน 8) เคลื่อนไหวหรรษา และ 9) รูปทรงมหาสนุก 

 (5) การเล่นอิสระ (Free play) เป็นการเล่นที่เด็กสนุกสนานมีส่วนร่วมการออกแบบการเล่นด้วยกันเอง ควรจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ๆละ 3 วันๆ ละอย่างน้อย 30 นาที เป้าหมายการเล่นเป็นหลัก พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็กเป็นผู้อำนวยการเล่น และให้โอกาสลูกได้เล่นอิสระ ตัวอย่างการเล่น เช่น มุมทราย มุมแฟนซี มุมเชือกฟาง มุมศิลปะ มุมธรรมชาติ มุมน้ำ เกมผ้าร่มชูชีพ มุมวิทยาศาสตร์ แป้งมายากล มุมกล่อง เป็นต้น

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/3762#wow-book/)

3.2.3.8 คู่มือรอบรู้...สุขภาพวัยทำงาน

วัยทำงานเป็นวัยที่มีความสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพสูงที่สุด เนื่องมาจากการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ทั้งการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ การสูบบุหรี่และดื่มสุรา ขาดการจัดการความเครียดที่เหมาะสม ส่งผลให้วัยทำงานมีปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน และโรคNCDs

คู่มือนี้เป็นองค์ความรู้ที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยในเนื้อหาประกอบไปด้วยองค์ความรู้ทั้ง 6 ด้าน เป็นความรู้ที่ประชาชนทั้งวัยทำงานตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย จำเป็นต้องรู้ เพื่อการมีสุขภาพที่ดี  

1) ด้านการมีกิจกรรมทางกาย 

2) อาหาร 

3) สุขภาพช่องปากและฟัน 

4) การนอนหลับที่มีคุณภาพ

 5) อนามัยการเจริญพันธุ์ 

6) อนามัยสิ่งแวดล้อม 

พร้อมแบบประเมินภาวะสุขภาพสำหรับวัยทำงานและเตรียมพร้อมวัยทำงานตอนปลายเข้าสู่ผู้สูงวัยสุขภาพดี

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/970#wow-book/)

3.2.4 ผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป

ประกอบด้วย ชุดความรู้และสื่อที่เป็น Know-what ซึ่งจะนำเสนอเนื้อหาสาระผ่านสื่อรูปแบบหรือลักษณะต่างๆ  ได้แก่ แผ่นพับ หนังสือ และInfographic จำนวน 6 ชิ้น และองค์ความรู้ที่มีลักษณะ Know- how (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้) สอดคล้องกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C4 ส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ เท่าทันสถานการณ์ โดยมีองค์ความรู้ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกตามเกณฑ์กลางของโครงการฯ  

3.2.4.1 โปรแกรมการออกกำลังกายเพื่อผู้สูงอายุ E75

ประกอบด้วยเนื้อหาหลักคือ การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในสูงอายุและสามารถใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายผู้สูงอายุมีอายุ คาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีที่ 75 ปี และป้องกันภาวะความเสื่อมของร่างกายในด้านต่างๆ โดยมีท่าบริหารร่างกายกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อส่วนบน ส่วนแกนกลาง และส่วนล่าง จำนวน 15 ท่ากายบริหาร และสำหรับผู้สูงอายุที่กล้ามเนื้อต้นขาที่ยังไม่แข็งแรง การทรงตัวไม่ดี จะมีท่าฝึกทดแทน

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/3517#wow-book/)

3.2.5 กลุ่มประชาชน/ทุกช่วงวัย

องค์ความรู้ ประกอบด้วยชุดความรู้และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  นำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ  ได้แก่ แผ่นพับ จุลสาร หนังสือ/บทความ และ Infographic 17 ชิ้น และชุดความรู้และสื่อที่อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่เป็น  Know- how (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้)  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  ได้แก่ คู่มือและเครื่องมือ 2 เรื่อง เนื้อหาความรู้ส่งเสริมทักษะการมีกิจกรรมทางกายในครอบครัว เป็น Health Literacy ระดับความรู้ด้านสุขภาพระดับปฏิสัมพันธ์  (Interactive/communicative Health literacy)  ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ตรงกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C4 ส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ เท่าทันสถานการณ์

3.2.5.1 ขยับสนุกทั้งครอบครัว

คู่มือฉบับนี้ ให้ความรู้ ในเรื่อง

1) การเช็คสัญญาณอันตรายถึงเวลาต้องขยับ เช่น ง่วงนอนขณะทำงานหรือเรียน แต่เมื่อถึงเวลานอนกลับนอนไม่หลับ อ่อนเพลียง่าย เป็นต้น 

2) ขยับเท่าไรจึงจะดีพอในแต่ละช่วงวัย ได้แก่ วัยผู้ใหญ่ มีกิจกรรมทางกายระดับหนัก 75 นาทีต่อสัปดาห์ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายในระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งแต่ละครั้งนั้นควรทำต่อเนื่องตั้งแต่ 10 นาทีขึ้นไป เด็กวัยเรียน ระดับประถม ควรใช้วิธีออกมาเล่นให้ได้อย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน ด้วยกิจกรรมทางกายระดับหนักถึงปานกลาง 

3) แนวคิดประยุกต์ใช้กับครอบครัวมือใหม่หัดขยับ ได้แก่ (1) ขยับง่าย ๆ ที่บ้าน เช่น ชวนกันตื่นเช้าบริหารร่างกาย 10 นาที วันหยุดชวนทำสวน เล่นเกมเต้น เป็นต้น (2) แปลงร่างของใช้ใกล้ตัวเป็นอุปกรณ์บริหารร่างกาย เช่น ขวดน้ำพลาสติกแทนดัมเบลล์ ผ้าขนหนูยืดเส้นเอน เป็นต้น (3) อยู่กับที่ก็มีเหงื่อได้ เช่น แกว่งแขน ทำวันละ 500 ถึง 1,000-2,000 ครั้งจะพอดีกับเวลา 30 นาที (มีคำแนะนำวิธีการแกว่างแขน) เป็นต้น 4) เคล็ดลับชักชวนกันออกมา“ขยับ” กันทั้งครอบครัว เริ่มแรกคงต้องมีการสร้างบรรยากาศและมีข้อตกลงที่จริงจัง ดังนี้ (1) ข้อตกลงในการดูทีวีหรือเล่นสมาร์ทโฟนใน ครอบครัว (2) ทำงานเป็นเล่น (3) ทำมุมเล่นให้รอบ ๆ บ้าน (4) ชวนไปขยับนอกบ้าน

(https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/JvrD)

3.2.5.2 คู่มือกิจกรรมทางกายประจำบ้าน

กิจกรรมทางกาย สามารถจำแนกเป็น 3 หมวดกิจกรรม ได้แก่ 

1) กิจกรรมทางกายในการทำงาน 

2) กิจกรรมทางกายในการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง 3) กิจกรรมทางกายเพื่อนันทนาการหรือกิจกรรมยามว่าง หากสมาชิกในครอบครัวมีการปฏิบัติกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ “โรคในกลุ่ม Non-Communicable Diseases: NCDs” นอกจากประโยชน์ทางตรงด้านสุขภาพแล้วกิจกรรมทางกายยังมีประโยชน์ทางอ้อมควบคู่อีกหลายประการ เช่น 

กลุ่มเด็กๆกิจกรรมทางกายจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการให้เหมาะสมตามช่วงวัย สร้างเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม

กลุ่มวัยรุ่น ก็จะทำให้รูปร่างดี สมส่วน กล้ามเนื้อสวยงาม สุขภาพจิตดี ไม่ซึมเศร้า

กลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็จะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน 

กลุ่มผู้สูงอายุ การปฏิบัติกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี การเคลื่อนไหวร่างกายและการทำกิจวัตรประจำวันมีความคล่องแคล่ว ที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บที่รุนแรง หรือ ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

กิจกรรมทางกาย จึงเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านที่ทุกครอบครัวควรทำความรู้จัก ทำความเข้าใจ และทราบวิธีการนำไปปฏิบัติให้เกิดคุณประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยหาโอกาสและจัดตารางเวลาให้เหมาะสมกับชีวิตของท่านและครอบครัว “คู่มือกิจกรรมทางกายประจำบ้าน”เล่มนี้ จึงรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายที่สามารถทำได้เมื่ออยู่ที่บ้าน พร้อมกับวิธีการปฏิบัติแบบง่าย ๆ สำหรับสมาชิกทุกวัยในครอบครัว (จัดหมวดหมู่จำแนกไว้ตามช่วงวัย) ไว้ในเล่มเดียวอย่างครบถ้วน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ พร้อมแบบประเมินง่าย ๆ เพื่อให้รู้กันก่อนว่าปัจจุบันนี้สถานะของท่านมีกิจกรรมทางกายมากน้อยเพียงใด

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/Kp5x)

3.3 ข้อมูล ความรู้ และเครื่องมือ สร้างเสริมกิจกรรมทางกายจำแนกตามช่วงวัย “Active Environmental: การจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย”

นิยามและความเข้าใจ :  Active Environment : สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย เป็นการจัดปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก(extrinsic factor) มุ่งเน้นการจัดการสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสภาพแวดล้อมในโรงเรียนทั้งโปรแกรมการเรียนการสอน สภาพแวดล้อม ฯลฯ การส่งเสริมการสัญจรที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงสำหรับประชากรทุกกลุ่ม การสร้างผังเมืองที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกายและนันทนาการ การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในสถานที่ทำงาน และการจัดการสภาพแวดล้อมในชุมชนให้ประชาชนเข้าถึงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง (Healthy Space and Built Environment ของคนทุกกลุ่มทุกวัยอย่างเสมอภาค บ้าน โรงเรียน วัด ชุมชน ย่านและเมือง)

3.3.1 ปฐมวัย: เด็กอายุุต่ำกว่า 5 ปี

ประกอบด้วยชุดความรู้และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  นำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ   ได้แก่ Infographic จำนวน 1  ชิ้น และชุดความรู้และสื่อที่อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่เป็น  Know- how   (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้)  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ   ได้แก่ คู่มือและเครื่องมือ 2 เรื่อง ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่นำมาจัดการเด่นด้านส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ และจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็น Health Literacy ระดับความรู้ด้านสุขภาพระดับปฏิสัมพันธ์ (Interactive/communicative Health literacy)  ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ตรงกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านเสริมสร้างกิจกรรมชุมชนให้เข้มแข็ง(Strengthen community action)  และด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C3 ศักยภาพและแนวปฏิบัติของชุมชนและองค์กรเพื่อเอื้อจัดการสภาพแวดล้อม

3.3.1.1 Move More เรียนสนุกลุกขึ้นขยับ

กิจกรรมทางกายส่งเสริมพัฒนาทางร่างกายและสัมพันธ์กับการพัฒนาการสมองแต่ละส่วนอย่างสัมพันธ์กัน ดังนั้น ยิ่งมีการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหวที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายและสมองส่วนต่าง ๆ ทำงานได้ดี จะส่งผลดีระยะยาวต่อร่างกาย ในคู่มือนี้ ยังให้ความรู้ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาการทำงานสมองส่วนต่าง ๆ และตามช่วงวัย รวมถึงรูปแบบสื่อการเรียนรู้ ที่ประกอบด้วย 

1) ลูกเต๋า (จำนวนเลข และเสียบบัตรคำ/บัตรภาพ) 

2) บัตรคำ/บัตรภาพ และคู่มือการใช้สื่อการเรียนการสอน

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool

https://resourcecenteruat.thaihealth.or.th/index.php/health)

3.3.1.2 คู่มือการสร้างสนามเด็กเล่นโดยใช้หลักการเรียนรู้ของสมองเป็นพื้นฐาน

แนวคิด “10 ฐานสนามเด็กเล่นโดยใช้หลักการเรียนรู้ของสมองเป็นฐาน” เป็นรูปแบบสนามเด็กเล่นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละวัย โดยกิจกรรมแต่ละฐานล้วนออกแบบให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้มีทักษะในการคิดและการเรียนรู้อย่างมีเหตุผล  รูปแบบของสนามเด็กเล่นจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาของเด็ก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดแนวคิด “สนามเด็กเล่นโดยใช้หลักการเรียนรู้ของสมองเป็นฐาน” เป็นรูปแบบสนามเด็กเล่นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละวัย โดยกิจกรรมแต่ละฐานล้วนออกแบบให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้มีทักษะในการคิดและการเรียนรู้อย่างมีเหตุผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการ โดยให้มีความสัมพันธ์สอดคล้องกลมกลืนกับความเป็นธรรมชาติและพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็กในแต่ละวัย

(https://dol.thaihealth.or.th/Media/Index/50884239)

3.3.1.3 ข้อแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย พฤติกรรมเนือยนิ่งและการนอนหลับ สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี

กองกิจกรรมทางกาย กรมอนามัย ได้จัดทำข้อแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย พฤติกรรมเนือยนิ่ง และการนอนหลับ สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ออกเผยแพร่ในปี 2564 เป้าหมายเพื่อเสนอแนะช่วงเวลาในหนึ่งวันที่เด็กเล็กซึ่งมีอายุต่ำกว่า 5 ปี ควรจะได้มีการขยับร่างกายหรือนอนหลับอย่างเพียงพอเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงระยะเวลาที่เด็กกลุ่มนี้ควรใช้ไปกับการอยู่บนหน้าจอโดยไม่มีการเคลื่อนไหวหรือถูกจำกัดการเคลื่อนไหว นอกจากนั้น ยังได้รวมคำแนะนำของคณะกรรมการยุติโรคอ้วนในเด็ก และแผนการดำเนินงานระดับโลกด้านกิจกรรมทางกายปี 2561-2573 ให้นำไปปฏิบัติในการเลี้ยงดูเด็กเล็กอย่างใสใจมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมทางกาย และพฤติกรรมเนือยนิ่ง

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book)

3.3.2 เด็กและวัยรุ่น อายุ 5-17 ปี

องค์ความรู้ ประกอบด้วย ชุดความรู้และสื่อที่อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่เป็น  Know- how (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้)  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  ประกอบด้วย คู่มือและเครื่องมือ จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่นำมาจัดการเด่นด้านส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ และจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็น Health Literacy ระดับความรู้ด้านสุขภาพระดับปฏิสัมพันธ์ (Interactive/communicative Health literacy)  ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ตรงกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านเสริมสร้างกิจกรรมชุมชนให้เข้มแข็ง(Strengthen community action)  และด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C3 ศักยภาพและแนวปฏิบัติของชุมชนและองค์กรเพื่อเอื้อจัดการสภาพแวดล้อม

3.3.2.1 คู่มือการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยการเล่นตามแนวคิด Active Child Program (ACP)

ปัญหาการขาดกิจกรรมทางกายของเด็กและเยาวชนนั้นยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันและเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นได้เผชิญปัญหาการมีกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกาย  รวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกายผ่านการเล่นของเด็กโดยเฉพาะปัญหาการออกแรงที่ลดน้อยลง ขณะที่ประเทศไทยนั้นประสบปัญหาในลักษณะที่คล้ายกันคือเด็ก ๆมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกายและการเล่นอย่างอิสระน้อยลง  โดยสมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่นร่วมมือกับการกีฬาแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  และมหาวิทยาลัยมหิดล  เพื่อแนะนำโครงการ Active Child Program (ACP) ที่พัฒนาและดำเนินการโดยสมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโปรแกรมการออกกำลังกายที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก (มีกิจกรรมการเล่นเพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลาย 60 กิจกรรม) เพื่อปลูกฝังรากฐานของการเล่นกีฬาตลอดชีวิต โดยถ่ายทอดความสุขของการทำกิจกรรมทางกาย และการเล่นกีฬา ด้วยเหตุนี้ทางโครงการจึงหวังว่าจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายและการเล่นอิสระของเด็ก ๆ ในประเทศไทย

การเล่น เป็นกิจกรรมที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้เด็กทุกคน การเล่นอย่างเหมาะสมจะนำไปสู่การสร้างปฏิสัมพันธ์ พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์และสังคมทักษะการคิดวิเคราะห์และการสื่อสาร สติปัญญาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กได้อย่างครบถ้วนและเหมาะตามช่วงวัย อาจกล่าวได้ว่าเป็น “มหัศจรรย์ของการเล่น

การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโครงการ Active Child Program (ACP) และนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ร่วมในการจัดค่ายฝึกกีฬาสำหรับเด็ก (SAT Summer Camp) ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ซึ่งจะตรงกับเดือนเมษายนของทุกปี นอกจากนั้น การกีฬาแห่งประเทศไทยมีแผนในการขยายผลการดำเนินงานดังกล่าวไปสู่หน่วยงานการกีฬาแห่งประเทศไทยในระดับภูมิภาคและจังหวัดรวมถึงใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้ความรับผิดชอบของ กกท. อาทิ โครงการ Sports Hero

ทีแพค(TPAK) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานวิชาการ ที่นำแนวคิด ACP  มาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทไทย โดยจัดทำเป็นโครงการ THAI-ACP ร่วมกับโรงเรียนต้นแบบ 9 แห่ง ในประเทศไทย โดยการประยุกต์กับวิชาเรียนพลศึกษา และการจัดสรรเวลาหลังเลิกเรียน (After School Program) และมีการติดตามประเมินผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการพัฒนาการของนักเรียน

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/Lq5r)

3.3.2.2 คู่มือแนวทางโรงเรียนส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทย และแผ่นพับการส่งเสริม กิจกรรมทางกายในโรงเรียน

เด็กและเยาวชนไทยประมาณ 1 ใน 4 เท่านั้น ที่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2563 ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทำให้กิจกรรมทางกายของเด็กและเยาวชนไทยลดลงต่ำสุดในรอบ 9 ปี (ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 17.1) นอกจากนี้ การสำรวจในปี 2561ยังพบว่า เด็กและเยาวชนไทยมีการเล่นออกแรงแบบไม่มีกฎกติกาหรือการเล่นแบบอิสระมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน (Active Play) เพียงร้อยละ 8.7 เท่านั้น รวมถึง มีเด็กและเยาวชนไทยเพียงร้อยละ 44.1 เท่านั้น ที่ได้เล่นกีฬาและ/หรือกิจกรรมทางกายที่มีโครงสร้าง เช่น กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายในวิชาพลศึกษา

การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน ด้วยแนวคิดการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบแบบ 4PCคือ 

1) Active Policy: กำหนดนโยบายส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายในทุกโอกาส 

2) Active People: ส่งเสริมให้บุคลากรเป็นแบบอย่างที่กระฉับกระเฉงและตื่นรู้

3) Active Program: ร่วมออกแบบแผนกิจกรรมฉลาดเล่น 

4) Active Place: พัฒนาและประยุกต์ให้เกิดพื้นที่ส่งเสริมการเล่น 

5) Active Classroom: ส่งเสริมห้องเรียนฉลาดรู้

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all)

3.3.2.3 Active Play Active School “โรงเรียนฉลาดเล่น”

องค์ความรู้กิจกรรมทางกาย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเด็กในมิติทางกาย สมองและสังคม เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กเล่นแบบอิสระ   มีผลงานวิจัยว่า หากเด็กมีกิจกรรมทางกายทุกวัน จะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น เพราะการออกมาเล่น จะช่วยให้เด็กตื่นตัวโดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ มีสมาธิและความจำ รวมถึงการสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับผู้อื่น โรงเรียนฉลาดเล่น หรือ Active School มีความสำคัญ เพราะเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียน โรงเรียนและครูจะต้องเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยให้เด็กมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมและเพียงพอ ผ่านการเรียนการสอนแบบ Active Learning

(1) กระบวนการหลักสำคัญในการพัฒนาโรงเรียนฉลาดเล่น นำเสนอรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับเด็กและมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย 

(2) การรวบรวมข้อมูลเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบ Active School ในระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ และQR Code สื่อความรู้ที่เป็นหนังสือ แผ่นพับและโปสเตอร์  ซึ่งโรงเรียนและคุณครูเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็กที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้มีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมและเพียงพอ ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning รวมทั้งการปรับโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมทางกาย เช่น การสร้างสนามเด็กเล่นโดยใช้หลักการเรียนรู้ของสมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning: BBL)

(https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/QpNG)

3.3.3 ผู้ใหญ่/วัยทำงาน อายุ 18-59 ปี

องค์ความรู้ ประกอบด้วย ชุดความรู้และสื่อที่อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่เป็น  Know- how (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้)  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ ได้แก่ คู่มือและเครื่องมือ 5 เรื่อง ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่นำมาจัดการเด่นด้านส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ และจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็น Health Literacy ระดับความรู้ด้านสุขภาพระดับปฏิสัมพันธ์ (Interactive/communicative Health literacy)  ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ตรงกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านเสริมสร้างกิจกรรมชุมชนให้เข้มแข็ง(Strengthen community action)  และด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO)  ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ C2 นโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย C3 ศักยภาพและแนวปฏิบัติของชุมชนและองค์กรเพื่อเอื้อจัดการสภาพแวดล้อม  C4 ส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ เท่าทันสถานการณ์

3.3.3.1 องค์กรสร้างเสริมสุขภาพ “ลดพุง ลดโรค”

การดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดองค์กรสร้างเสริมสุขภาพ (Healthy Organization) มีกลไกสำคัญในการดำเนินการ คือ คณะทำงาน ที่จะดำเนินงาน ทั้งในส่วนของการผลักดันให้เกิดนโยบาย “องค์กรลดพุงลดโรค” ในองค์กร และการส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเสริมสร้างสุขภาพที่ดีลดพุงลดโรคของพนักงานหรือบุคลากรภายในองค์กร ภายใต้ปัจจัยเงื่อนไขสำคัญ คือ ผู้บริหาร จะต้องให้ความสำคัญ และกระบวนการหรือวิธีการที่ทำให้พนักงานให้ความตระหนักต่อภาวะโรคอ้วนและสนใจเข้าร่วมกิจกรรม (เรียบเรียงข้อมูลจากคู่มือการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็น Healthy Organization และคู่มือองค์กรลดพุงลดโรค 9 ขั้นตอนสู่การเป็นองค์กรลดพุงลดโรค)

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool/detail/ https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/Jg2o)

3.3.3.2 คู่มือสารตั้งต้นเล่ม 1 สนามฉลาดเล่น และ คู่มือสารตั้งต้นเล่ม 2 ห้องเรียนฉลาดรู้

เปลี่ยนพื้นที่เดิมในโรงเรียนให้เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์และพัฒนาการพื้นฐานที่จำเป็นตามช่วงวัยของเด็กด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักเรียนได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง และสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้

คู่มือฉบับนี้ เปิดพื้นที่สร้างประสบการณ์ และพัฒนาการพื้นฐานที่จำเป็นตามช่วงวัยของเด็ก ๆ โดยให้คุณครูที่มีความสนใจในการนำกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในคู่มือนี้ไปใช้สำหรับต่อยอดความคิดจากกิจกรรมที่มีอยู่ให้เกิดกิจกรรมใหม่ ๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ท้าทาย และเหมาะสมตามช่วงวัยของผู้เรียน รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ตามขั้นพัฒนาการต่าง ๆ ของเนื้อหากิจกรรมได้ และถูกสร้างบนหลักการที่นำมาซึ่งสิ่งใหม่ ๆ จึงมีหลักคิด 2 ประการ ได้แก่ 

1) แกนหลักของกิจกรรม (Concept)คือ กิจกรรมนั้น ๆ มีวิธีการหลักในการดำเนินกิจกรรมหลักอย่างไร เช่น การตอบคำถามตามโจทย์ การเติมคำในช่องว่าง การใช้ทักษะการรวมจำนวนตัวเลข เป็นต้น

2) เนื้อหาของกิจกรรม (Content)คือ เนื้อหาตามกลุ่มสาระวิชาที่สามารถนำมาใช้ในการทำกิจกรรมนั้น ๆ ได้ เช่น การเรียนรู้เรื่องเศษส่วน การคูณ การท่องคำศัพท์ ความรู้รอบตัว ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เป็นต้น ซึงจะเห็นได้ว่า ในหลายกิจกรรมสามารถบูรณาการเนื้อหาของกิจกรรมได้มากกว่า 1 สาระวิชาหรือประเด็นการเรียนรู้ ขณะเดียวกันแต่ละกิจกรรมสามารถสลับไขว้ระหว่าง Concept และ Content ขึ้นกับแนวคิดที่คุณครูต้องการสร้างสรรค์ออกมาเป็นกิจกรรม เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ในทักษะเรื่องใด

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all)

3.3.3.3 คู่มือข้อแนะนำมาตรฐานสถานประกอบกิจการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ฉบับที่ 1

จัดทำขึ้นโดยคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานสถานประกอบกิจการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และคณะทำงานพัฒนาศักยภาพสถานบริการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ 

มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่ข้อแนะนำมาตรฐานสถานประกอบกิจการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้แก่ ผู้ประกอบการและหน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพสถานประกอบกิจการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

แนวทางในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพสถานประกอบกิจการด้านการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ด้านอุปกรณ์ออกกำลังกาย ด้านการให้บริการ ด้านบุคลากรผู้ให้บริการ และด้านความปลอดภัยและมาตรการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน 

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/968#wow-book)

3.3.4 กลุ่มประชาชน/ทุกช่วงวัย

องค์ความรู้ ประกอบด้วยชุดความรู้และสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ ในรูปแบบที่เป็น Know-what  นำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ  ได้แก่ แผ่นพับ  หนังสือ/บทความ  และ Infographic จำนวน 4  ชิ้น และและชุดความรู้และสื่อที่อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่เป็น  Know- how   (มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้)  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  ได้แก่ คู่มือและเครื่องมือ 4 เรื่อง ซึ่งเนื้อหาความรู้ที่นำมาจัดการเด่นด้านส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ และจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็น Health Literacy ระดับความรู้ด้านสุขภาพระดับปฏิสัมพันธ์ (Interactive/communicative Health literacy)  ร่วมกับการใช้ทักษะทางด้านสังคม (Social skill) ตรงกับกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์ ด้านเสริมสร้างกิจกรรมชุมชนให้เข้มแข็ง(Strengthen community action)  และด้านพัฒนาทักษะด้านสุขภาพส่วนบุคคล และตอบสนองห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการมีกิจกรรมทางกายที่พอเพียง (CoO) C2 นโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย C3 ศักยภาพและแนวปฏิบัติของชุมชนและองค์กรเพื่อเอื้อจัดการสภาพแวดล้อม

3.3.4.1 Fit From Home อยู่บ้านก็ฟิตได้

การออกกำลังกายที่บ้านแบบวิถีใหม่ ตามแนวทางและกิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมตามช่วงวัย รวมถึงเครื่องมือการออกกำลังกายที่ใช้พื้นที่น้อยของคู่มือ Fit From Home อยู่บ้านก็ฟิตได้

คู่มือออกกำลังกายที่บ้าน สอดรับวิถีใหม่ ช่วยรักษาความสมดุลด้านสุขภาพได้ แบ่งเป็น 3 ตอน คือ 

ตอน 1 : ออกกำลังกายที่บ้านก็ฟิตได้ ด้วยวิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทุกคนต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ในบ้านเป็นหลัก และพบว่า คนไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งสะสมต่อวันสูงถึง 14 ชั่วโมง 32 นาที มีผลเสียและเป็นปัจจัยความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะเสี่ยงต่อโรคNCDs 

ตอน 2 : ออกกำลังกายสมวัยที่บ้าน การออกกำลังกายให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็น และการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับช่วงอายุก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะร่างกายแต่ละช่วงวัยต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกประเภทและวิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับอายุ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ได้แก่ 

1) วัยเด็ก ประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับเด็ก ควรเน้นความสนุกและปลอดภัยเป็นหลัก และเป็นกิจกรรมที่เล่นได้ในบ้านหรือรอบบริเวณบ้าน นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว เด็กยังได้เรียนรู้กฎกติกาและวิธีการเอาตัวรอด ควรเล่นอย่างน้อย 20-30 นาที กิจกรรม เช่น เล่นวิ่งไล่จับ หรือแปะแข็ง หรือขว้างรับบอล เป็นกิจกรรมที่ใช้พื้นที่น้อย และได้ฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อแขนจากการพุ่ง ทุ่ม ขว้าง ควรให้เด็กได้ใช้แขนทั้งสองข้าง ข้างละ10-15 ครั้ง รวม 3-4 เซตอย่างน้อย 15-20 นาที

 2) วัยเรียน และวัยทำงาน เด็กวัยเรียน เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต ต้องสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงผ่อน-คลายความเครียดจากการนั่งเรียนอยู่ในบ้าน ออกกำลังการประเภทฮูลาฮูป วัยทำงาน การนั่งนาน ๆ ทั้งเสี่ยงก่อโรคและสะสมความเครียด ควรออกกำลังกายประเภทแอโรบิค และยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่ใช้งานบ่อย ๆ 

3) ผู้สูงอายุ ควรออกกำลังกายประเภทที่ช่วยรักษาสมดุลการเคลื่อนไหวของร่างกาย และไม่ควรทำกิจกรรมที่หักโหมเกินไป (สร้างความสมดุล + เพิ่มความคล่องแคล่ว + เพิ่มความแข็งแรงให้หัวใจและกล้ามเนื้อ) เช่น เดินย่ำอยู่กับที่ เดินต่อเท้า เป็นต้น

 ตอน 3 :  ไอเดียขยับ สนุก สร้างสรรค์ การออกกำลังกายที่ใช้พื้นที่น้อย ทำที่บ้านหรือ ในห้องได้ ได้แก่ 

1) ตาราง 9 ช่อง 

2) วอร์ชวลออนไลน์ (Virtual Online) ออกกำลังกายไปกับเพื่อนฝูงหรือคนอื่นที่มีความชื่นชอบการออกกำลังกายเหมือนกันทางออนไลน์ โดยไม่ต้องพบปะกัน เช่น โครงการ Virtual Run 

3) ออกกำลังกายผ่าน Active Video Games สะสมระยะวิ่งเวลาไหนก็ได้ในวันที่กำหนด ผู้วิ่งสามารถกำหนดเส้นทางเอง และได้รับเหรียญรางวัล โปรแกรมนี้สามารถให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในงานวิ่งมาราธอนจริงๆ แม้จะวิ่งอยู่บ้าน 

4) TikTok เคลื่อนไหวร่างกายประกอบเพลง

(https://dol.thaihealth.or.th/Media/Index/56de4ca4-3333-ed11-80fa-00155db45626)

3.3.4.2 คู่มือลานกีฬาวัฒนธรรมชุมชน

ลานกีฬาวัฒนธรรมชุมชน คือ พื้นที่สุขภาวะในชีวิตของชุมชน ที่ไม่ได้หมายถึงพื้นที่ออกกำลังกายเท่านั้น แต่รวมถึงสุขภาวะทางใจและเป็นพื้นที่ส่งเสริมการมีสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมด้วย   ในปี 2557 สสส. ได้สนับสนุนสถาบันอาศรมศิลป์ ในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่สุขภาวะใน “โครงการลานกีฬาพัฒน์” ซึ่งทำให้ชุมชนที่อยู่โดยรอบมีสุขภาพทั้งกายและใจที่ดีขึ้น จึงได้ร่วมผลักดัน”โครงการลานกีฬาวัฒนธรรมชุมชน” เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพและความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่นใน 4 จังหวัด 8 พื้นที่ เป็นพื้นที่สุขภาวะระดับเมือง ได้แก่ 

  • ลานประวัติศาสตร์ป้อมวิเชียรโชฎก จังหวัดสมุทรสาคร 

  • ลานอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน จังหวัดสมุทรสงคราม 

  • ลานสุขภาวะเทศบาลหาดเจ้าสำราญ จังหวัดเพชรบุรี 

  • ลานสุขภาวะเทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ 

สำหรับพื้นที่สุขภาวะระดับชุมชน ได้แก่ 

  • ลานสุขภาวะท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร 

  • ลานสุขภาวะอบต.บางสะแก จังหวัดสมุทรสงคราม 

  • ลานสุขภาวะเทศบาลตำบลบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี 

  • ลานสุขภาวะอบต.หนองตาแต้ม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

    โดยมีเป้าหมาย เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบพื้นที่สุขภาวะขุมชนโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วมในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาวะที่ดี โดยมีรายละเอียด คือ

    ลานสุขภาวะต้นแบบ 8 พื้นที่ เป็นตัวอย่างการเกิดพื้นที่สุขภาวะในบริบทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีโจทย์ละความท้าทายที่แตกต่างกันในระดับเมือง 4 พื้นที่ และในระดับชุมชน 4 พื้นที่ ซึ่งคาดหวังว่าเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจในการประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ๆ 

    การถอดบทเรียนจากคณะทำงานในการขับเคลื่อนพื้นที่สุขภาวะมีภาคีเกี่ยวข้องที่สำคัญในการพัฒนาพื้นที่คือใครบ้าง และองค์ประกอบพื้นฐานที่เป็นปัจจัยในการดำเนินงานให้บรรลุความสำเร็จ โดยมีขั้นตอนดำเนินงาน 4 ขั้นตอนหลักๆ ในการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะโดยชุมชนเป็นเจ้าของ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการไปถึงการดูแลบริหารจัดการพื้นที่

    กิจกรรมและเครื่องมือในการดำเนินงาน การรวบรวมตัวอย่างกิจกรรมและเครื่องมือที่คณะทำงานทดลองใช้ในการดำเนินโครงการที่ผ่านมาทั้งหมด โดยแต่ละกิจกรรมจะมีรายละเอียด วัตถุประสงค์ ขั้นตอน กระบวนการ ผู้เกี่ยวข้องและภาพตัวอย่างกิจกรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงแนะนำเทคนิคที่ผ่านการทดลองทำจริง เพื่อเป็นวิธีการให้สามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะต่อไป

    (https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/wL7g)

3.3.4.3 คู่มือเกณฑ์มาตรฐานสวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกาย

ปัจจุบันปัญหากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดโรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูง กำลังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่นับวันกำลังทวีความรุนแรงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โรคเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการมีวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การขาดการออกกำลังกาย การบริโภคที่ไม่ได้สัดส่วนความเครียดเรื้อรัง การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ อย่างมหาศาล ซึ่งข้อมูลทางด้านวิชาการ มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ถึงร้อยละ 25โรคหลอดเลือดหัวใจ ร้อยละ 28 โรคหัวใจร้อยละ 40 และมะเร็งเต้านมได้ร้อยละ 40 และการไม่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ร้อยละ 22-23มะเร็งลำไส้ร้อยละ 16-17 เบาหวาน ร้อยละ 15 หลอดเลือดสมองร้อยละ 12-13

สวนสาธารณะ มีบทบาทสำคัญที่ทำให้คนได้พบกับประสบการณ์ต่างไปจากชีวิตประจำวัน โดยมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและเป็นแหล่งนันทนาการที่มีกิจกรรมหลากหลาย มีพื้นที่ในการออกกำลังกายที่ส่งผลให้มีพลานามัยที่ดี

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/969#wow-book)

3.3.4.4 คู่มือเกณฑ์มาตรฐานสวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกาย (สำหรับจนท.สธ.) กรมอนามัย

โดยกองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒินักวิชาการสวนสาธารณะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำและพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานสวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกายโดยมี  มาตรฐานสวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกาย 3 ด้าน ได้แก่ 

1. ด้านการบริหารจัดการ มีคณะกรรมการจากทุกภาคส่วน ในการจัดทำนโยบายแผนงาน กระบวนการทำงานเพื่อควบคุมกำกับและติดตามประเมินผล จัดให้การสื่อสารสาธารณะ ประชาสัมพันธ์สวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกายทุกช่องทาง 

2. ด้านการตอบสนองผู้มาใช้บริการ ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยมีการสำรวจความต้องการ ความพึงพอใจและการมีส่วนร่วมของผู้มาใช้บริการ ตลอดทั้งการจัดทำทะเบียน และพัฒนาศักยภาพของผู้นำการออกกำลังกายในแต่ละกิจกรรม นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายองค์กร ภาคเอกชน ชุมชน ให้มีการสนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรม/วัสดุ อุปกรณ์ กำลังคน ในสวนสาธารณะเพื่อการออกกำลังกาย

3. ด้านกายภาพ จัดให้มีระบบรักษาความปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่และอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกาย บริการทดสอบสมรรถภาพทางกาย มีศูนย์ติดต่อประสานงานและการประชาสัมพันธ์สำหรับผู้มาใช้บริการ รวมถึงจุดปฐมพยาบาลและประสานงานบริการแพทย์ฉุกเฉิน ตลอดจนจัดให้มีบุคลากรดูแลรักษาสวนสาธารณะด้านกายภาพและภูมิทัศน์ให้มีความสวยงามและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

(https://dopah.anamai.moph.go.th/th/e-book/968#wow-book)

3.4 ข้อมูล ความรู้ และเครื่องมือ สร้างเสริมกิจกรรมทางกาย “Active Society : สังคมกระฉับกระเฉง”

นิยามและความเข้าใจ :  Active Society - สังคมกระฉับกระเฉง เป็นการสร้างค่านิยมของสังคมที่เห็นและเข้าใจถึงประโยชน์ของการมีกิจกรรมทางกาย และการยกระดับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานของสังคมที่กระฉับกระเฉงไม่เนือยนิ่ง โดยการสรรสร้างปัจจัยเอื้อและสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างปัจจัยภายในตัวบุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกอย่างเหมาะสมตามบริบทสังคม กระทั่งกลายเป็นสังคมสุขภาวะ (healthy society) ที่มีการรับรู้ทราบถึงประโยชน์ และค่านิยมในการให้ความสำคัญการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงไม่เนือยนิ่ง  มีองค์ความรู้สำคัญทั้งหมด 3 เรื่อง ลักษณะชุดความรู้พร้อมใช้ด้วยตนเอง (Self-Learning) โดยมีเนื้อหาสาระทั้งที่เป็น Know what : นำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญผ่านสื่อในรูปแบบของคู่มือ และองค์ความรู้ที่เป็น Know How : มีเนื้อหาสาระสำคัญมีทั้งความรู้และวิธีการนำไปใช้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ โดยผู้นำไปใช้จะต้องมีความรู้หรือข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายและบริบท เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม หรือบริบทนั้นๆ  

3.4.1 แนวทางปฏิบัติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

 

3.4.1.1 คู่มือการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง

เป็นแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับการออกกำลังกายการแข่งวิ่ง มกราคม 2563 ความสุขในการเฉลิมฉลองปีใหม่ถูกยับยั้งด้วยเหตุการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมหลายอย่างได้ถูกระงับลง เพื่อป้องกันการระบาดของโรค ด้วยนโยบาย Social distancing และการรักษาสุขอนามัยของตนเอง และร่วมรับผิดชอบต่อส่วนรวม

ในภาวะวิกฤตนี้กลับเกิดโอกาสที่ทำให้เราได้หันมาใส่ใจในสุขภาพของตนเองว่า ได้ดูแลรักษาสุขภาพอย่างดีแล้วหรือยัง เพื่อจะแข็งแรงพอในการรับมือกับการระบาดของโรคต่าง ๆ และหลายๆสื่อที่ออกมาเชิญชวนให้อยู่บ้าน ทำให้เกิดวิถีและบรรทัดฐานใหม่ในการใช้ชีวิตในนามNew Normal สู่ยุคของการดูแล รักษา และฟื้นฟูสุขภาพ โดยการออกกำลังกายช่วงวิกฤติ Covid-19 ในวิถีชีวิตใหม่ที่เราต้องอยู่ร่วมกันโดยรักษาระยะห่างที่เหมาะสม

การนำไปใช้ : มีการนำไปขยายผลแบบทวีคูณ ที่มีกระบวนการ จัดการความรู้ ได้ทดลองใช้ในพื้นที่อื่นแล้วนำชุดความรู้ที่ประสบความสำเร็จมาผลิตซ้ำ ปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ โดยสามารถสืบค้นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแหล่งข้อมูล สสส.  

(https://learningpartner.thaihealth.or.th/supportingtool)

3.4.1.2 คู่มือการจัดกิจกรรมวิ่งประเภทถนนของ IAAF

จากกระบวนการ ศึกษากระบวนการพัฒนาแนวทางและมาตรฐานการจัดงานวิ่งของต่างประเทศและให้คำแนะนำเพื่อการวางมาตรฐานสำหรับประเทศไทย สำหรับผู้จัดการแข่งขันวิ่งประเภทถนนสามารถเป็นผู้จัดระดับคุณภาพของการจัดการแข่งขันวิ่งถนนและการจัดการแข่งขันเกิดความปลอดภัยและเท่าเทียมโดยนำคู่มือฯเป็นแนวทางในการตั้งต้นเริ่มจัดงานตลอดจนเพื่อช่วยสร้างงานวิ่งคุณภาพที่มีมาตรฐานในการแข่งขันระดับนานาชาติ

คู่มือฯประกอบด้วย การกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นหลักประกันเบื้องต้นให้แก่ผู้จัดกิจกรรมวิ่งประเภทถนนถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ส่งเสริมความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งประเภทถนน

(https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/Ep0)

3.4.1.3 คู่มือการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง: วิถีของการวิ่ง แบบ New Normal

นักวิ่งมีสุขภาพดี ด้วยวิถีของการวิ่ง แบบ New Normal ที่จำเป็นต้องดูแลในด้านสุขลักษณะส่วนบุคคล และรับผิดชอบต่อส่วนรวม เมื่อประเมินตนเองว่า พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย พร้อมจะสร้างความแข็งแรง และรักษาประสิทธิภาพ

(https://www.thaisook.org/2022/12/07/running/)

3.5 ข้อมูล ความรู้ เอกสาร และเครื่องมือรูปแบบอื่น “Active System : ระบบจัดการและสนับสนุนที่เอื้อ”

 

 

 

3.5.1 องค์ความรู้เรื่องลดความเหลื่อมล้ำด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

การจัดทำแผนปฏิบัติการในระดับสากล “Global action plan on physical activity 2018–2030: more active people for a healthier world” โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) มี วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ  เพื่อส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกาย ชี้นำสนับสนุนการดำเนินนโยบาย “ความเสมอภาคตลอดทุกช่วงวัย” รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ำในการมีกิจกรรมทางกายที่เกิดจากอายุ เพศ ความพิการ ภาวะตั้งครรภ์ สถานะทางเศรษฐกิจ สังคม และภูมิประเทศ โดยการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับนี้พิจารณาความต้องการที่แตกต่างกันในช่วงชีวิตที่ต่างกัน เช่น วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ และความแตกต่างของระดับการมีกิจกรรมทางกาย โดยมีแนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย  4 ประการ ได้แก่

1. สร้างบรรทัดฐานสังคมที่ไม่เนือยนิ่ง (Create active societies)

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย (Create active environments)

3. ส่งเสริมโอกาสต่อการมีกิจกรรมทางกาย (Create active people)

4. สร้างการขับเคลื่อนสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ ระบบที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย                        (Create active systems)

ซึ่งชุดความรู้นี้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการส่งเสริมด้านสุขภาพตามแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals; SDGs) ทั้งในระดับบุคคล และชุมชน อาทิ 

  • เป้าหมายที่ 5มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางเพศ 

  • เป้าหมายที่ 10มุ่งเป้าสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม

  • เป้าหมายที่ 11มุ่งพัฒนาเมืองและชุมชนที่ยั่งยืนเพื่อการเข้าถึงคมนาคมขนส่งที่มีความปลอดภัย สามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่มวัยและคำนึงถึงคนเปราะบางกลุ่มต่าง ๆ โดยสอดรับกับการเพิ่มโอกาสในการมีกิจกรรมทางกายอีกด้วย

     

     

    (https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all

https://tpak.or.th/backend/print_media_file/526/ความเหลื่อมล้ำของการมีกิจกรรมทางกายในประเทศไทย.pdf)

3.5.2 แนวทางการดำเนินนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน

การจัดการเชิงระบบช่วยหนุนเสริมให้การออกแบบนโยบายและแผนดำเนินงาน/กิจกรรมในโรงเรียนสามารถบูรณาการการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเข้ากับกิจกรรมเชิงนโยบายและการเรียนรู้ต่างๆ ได้  โดยใช้“ แนวคิดการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบแบบ 4 PC” ซึ่งเป็นเครื่องมือเชิงนวัตกรรมทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านการมีกิจกรรมทางกาย มีองค์ประกอบสำคัญ คือ 

1) นโยบายส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายในทุกโอกาส (Active Policy)

2) บุคลากรที่มีความกระฉับกระเฉงตื่นรู้ (Active People)

3) แผนกิจกรรมฉลาดเล่น (Active Program)

4) พื้นที่ส่งเสริมการเล่น (Active Place)

5) ห้องเรียนฉลาดรู้ (Active Classroom)

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all)

3.5.3 การกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสารความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการสื่อสารในการเข้าถึงกิจกรรมทางกาย มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1) สามารถส่งข้อความได้ชัดเจน 

2) สามารถเข้าถึงประชากรได้กลุ่มใหญ่หรือเป็นจำนวนมาก 

3) สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีกิจกรรมทางกาย

     โดยปรับยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานด้านการสื่อสารความรู้ความเข้าใจประเด็นกิจกรรมทางกาย ดังนี้

  1. บรรจุแผนการดำเนินงานไว้ในยุทธศาสตร์ย่อย และกำหนดยุทธศาสตร์หลัก และวางกลยุทธ์/แนวปฏิบัติที่ชัดเจนจากภาครัฐด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการสื่อสารความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายให้ถูกต้อง เหมาะสม และทั่วถึง

  2. มุ่งเป้าการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ความหมายของกิจกรรมทางกายของประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มี ความต่อเนื่อง ตลอดจน สร้างความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันวิเคราะห์ถึงช่องทางการรับรู้สื่อของประชาชน รวมทั้ง ร่วมพัฒนาประเด็นสื่อสารให้มีเนื้อหาดึงดูดใจและทันสมัยที่ประชาชนเข้าถึงง่าย

  3. สนับสนุนให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ และการวิจัยด้านกิจกรรมทางกาย สำหรับการพัฒนาระบบเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ในการเก็บข้อมูลด้านการรับรู้กิจกรรมทางกายจากการสื่อสารรณรงค์ผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ เพื่อใช้ข้อมูลเป็นฐานการวิเคราะห์และพัฒนานโยบายต่อไป

  4. คำนึงถึงการพัฒนารูปแบบสื่อในการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ให้เหมาะสมครอบคลุมทุกกลุ่มวัยที่มีวิถีชีวิต/รูปแบบพฤติกรรมหลากหลาย ไปจนถึงกลุ่มอาชีพ และบริบทสังคมที่แตกต่างกัน รวมทั้ง ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์หาช่องทางเผยแพร่ที่เหมาะสมกับแต่ละวัย เพื่อให้การสื่อสารการส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายสู่ประชาชนมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมประชาชนมากที่สุด
  5. ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และภาคีร่วมให้ชัดเจน รวมทั้ง เพิ่มนโยบายการขยายภาคีเครือข่ายสนับสนุนการดำเนินงานด้านการสื่อสารกิจกรรมทางกาย และส่งออกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ผ่านสื่อมวลชนในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น

  6. การลงทุน หรือ เพิ่มแนวทางการออกแบบเนื้อหาสำหรับการสื่อสารรณรงค์กิจกรรมทางกายที่หลากหลาย และเหมาะสมกับช่องทางการสื่อสาร เช่น ข่าว รายการโทรทัศน์ โฆษณา อินโฟกราฟิก ผ่านโซเชียลมีเดีย อินเทอร์เน็ต นิตยสาร และสื่ออื่น ๆ

(https://tpak.or.th/th/concept/print_media/all/all/all)

3.5.4 มาตรการ/แนวปฏิบัติ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

 

3.5.4.1 แนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับสวนสาธารณะ และสนามกีฬากลางแจ้ง

กำหนดมาตรการแนวทางปฏิบัติให้สถานที่ที่มีการให้บริการสถานที่และบุคลากรผู้ให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มุ่งให้การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค ซึ่งรองรับประชาชนทุกเพศทุกวัยเพื่อออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน

(https://dopah.anamai.moph.go.th/web-upload/)

3.5.4.2 แนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับสนามกีฬาในร่มและโรงยิม

กำหนดมาตรการแนวทางปฏิบัติให้สถานที่ที่มีการให้บริการสถานที่และบุคลากรผู้ให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มุ่งให้การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรค ซึ่งรองรับประชาชนทุกเพศทุกวัยเพื่อออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน

(https://covid19.anamai.moph.go.th/web-upload/)

อ้างอิง

เพลินพาดี. รายงานการทบทวนองค์ความรู้สุขภาวะการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)
defaultuser.png

Don Admin

การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)

เกี่ยวกับเรา
1748965111.jfif

Super Admin ID2

เกี่ยวกับเรา

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ

ติดต่อเรา
1748965111.jfif

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นกิจกรรมทางกาย และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ มาตรการขับเคลื่อนงานของ สสส. และภาคี

Admin nicky

 เสนอนิยาม ความสำคัญ และสถานการณ์กิจกรรมทางกายของคนไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมทางกายในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งระบุปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสในการออกกำลังกาย และพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เพิ่มขึ้นจากวิถีชีวิตยุคใหม่ รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ ยังได้เสนอกรอบแนวทาง “5x5x5 Model” ซึ่งเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายอย่างเป็นระบบ ผ่านความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่สอดคล้องกับห่วงโซ่ผลลัพธ์การดำเนินงานตามเป้าหมาย10 ปี สสส. และรองรับกับชีวิตวิถีใหม่แบบ next normal ที่ส่งผลต่อเป้าหมายทั้งในระดับชาติ และระดับนานาชาติ อันเป็นที่มาของการพัฒนาแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ของประเทศไทย