0

0

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-06-16 09:28:42

บทนำ

 เสนอนิยาม ความสำคัญ และสถานการณ์กิจกรรมทางกายของคนไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมทางกายในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการสร้างสุขภาพที่ดีในระยะยาว พร้อมทั้งระบุปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสในการออกกำลังกาย และพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เพิ่มขึ้นจากวิถีชีวิตยุคใหม่ รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ ยังได้เสนอกรอบแนวทาง “5x5x5 Model” ซึ่งเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายอย่างเป็นระบบ ผ่านความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่สอดคล้องกับห่วงโซ่ผลลัพธ์การดำเนินงานตามเป้าหมาย10 ปี สสส. และรองรับกับชีวิตวิถีใหม่แบบ next normal ที่ส่งผลต่อเป้าหมายทั้งในระดับชาติ และระดับนานาชาติ อันเป็นที่มาของการพัฒนาแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ของประเทศไทย

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นกิจกรรมทางกาย และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ มาตรการขับเคลื่อนงานของ สสส. และภาคี

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอในประชากรทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้หญิง และผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับแนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDs)ที่เพิ่มขึ้น เอกสารเน้นความสำคัญของกิจกรรมทางกายที่มีผลต่อสุขภาพอย่างเป็นระบบ และเสนอแนวทางแก้ไขผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจระดับประเทศ และแนวโน้มพฤติกรรมในช่วงวิกฤต เช่น การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้อัตราการเคลื่อนไหวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 

โดยได้รวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ ไว้ในส่วนนี้ ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก 9 หัวข้อรอง และ 4 หัวข้อย่อย

1.1 นิยามและความหมาย: ตามหลักสากล และความเข้าใจเบื้องต้น

องค์การอนามัยโลก (WHO 2553) ได้ให้คำจำกัดความของกิจกรรมทางกายไว้ว่า “Physical activity is defined as any bodily movement produced by skeletal muscles that requires energy expenditure” ซึ่งแปลได้ว่า “กิจกรรมทางกาย คือ การเคลื่อนไหวร่างกายโดยกล้ามเนื้อโครงร่างซึ่งก่อให้เกิดการเผาผลาญใช้พลังงาน”  แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ตามการใช้แรงกาย ได้แก่ ระดับต่ำ (Mind) ระดับปานกลาง (Moderate) และระดับหนัก (Vigorous) โดยมีการจัดแบ่งออกกิจกรรมทางกายออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

 1) กิจกรรมทางกายที่เกี่ยวกับการทำงาน (Work-related Physical Activity) ทั้งงานบ้านและงานอาชีพ โดยประเมินจากอิริยาบถส่วนใหญ่ที่ใช้ในการทำงาน 

 2) กิจกรรมทางกายที่เกี่ยวกับการเดินทางในชีวิตประจำวัน (Transport-related Physical Activity) เช่น การเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปซื้อของ ไปจ่ายตลาด ไปทำธุระต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการเดินทางที่ใช้การเดินหรือการขี่รถจักรยานเป็นเวลาตั้งแต่ 10 นาทีขึ้นไป 

 3) กิจกรรมทางกายในเวลาว่างจากการทำงาน หรือ เสร็จสิ้นจากภารกิจงานประจำ (Physical Activity during Leisure Time) เช่น นันทนาการ (Recreational activity) การเล่น/แข่งกีฬา (Competitive Sports) และการออกกำลังกาย หรือ การฝึกฝนร่างกาย (Exercise/Exercise Training)

                โดยใช้เกณฑ์ชี้วัดตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก คือ The Global Physical Activity Questionnaire (GPAQ) เป็นเกณฑ์ติดตามผลและวัดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเป็นการวัดทั้ง  3 รูปแบบกิจกรรม รวมถึงการใช้อุปกรณ์ การวัดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ได้แก่ อุปกรณ์วัดระดับกิจกรรมทางกาย และ Application ในการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง

ปัจจุบันยังพบว่า สังคมไทยยังขาดการรับรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องและเพียงพอด้านกิจกรรมทางกายด้วยเพราะคนทั่วไปส่วนมากยังเข้าใจว่า “กิจกรรมทางกาย (Physical Activity)” เป็นเรื่องเดียวกันกับ “การออกกำลังกาย (Exercise)” หรือ มักมีการใช้พูดสื่อความหมายแทนกัน เนื่องจากเกี่ยวพันกับ “วิถีชีวิต” ของผู้คนในแต่ละช่วงวัยและช่วงเวลาของแต่ละวัน

1.2 แนวคิด ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย

 

1.2.1 กิจกรรมทางกายคืออะไร

กิจกรรมทางกาย” (Physical Activity) เหมือนหรือต่างกันกับ “การออกกำลังกาย” (Exercise) คนทั่วไปส่วนมากยังเข้าใจว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือมีความหมายเหมือนกันและมีการใช้พูดหรือสื่อความหมายแทนกัน เนื่องจากเกี่ยวพันกับ “วิถีชีวิต” ของผู้คนในแต่ละช่วงวัยและช่วงเวลาของแต่ละวัน และปัจจุบันยังพบว่าสังคมไทยยังขาดการรับรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องและเพียงพอด้านกิจกรรมทางกาย

องค์การอนามัยโลก (WHO 2553) ได้ให้คำจำกัดความของกิจกรรมทางกายไว้ว่า  Physical activity is defined as any bodily movement produced by skeletal muscles that requires energy expenditure” ซึ่งแปลได้ว่า “กิจกรรมทางกาย คือ การเคลื่อนไหวร่างกายโดยกล้ามเนื้อโครงร่างซึ่งก่อให้เกิดการใช้พลังงาน” ทั้งนี้กิจกรรมทางกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1) กิจกรรมทางกายที่เกี่ยวกับการทำงาน (Work-related Physical Activity) ทั้งงานบ้านและงานอาชีพ โดยประเมินจากอิริยาบถส่วนใหญ่ที่ใช้ในการทำงาน เช่น ยืน นั่ง หรือเดิน และประเภทของงานที่ทำ โดยดูจากลักษณะของการออกแรงในการทำงาน โดยรวมถึง งานที่ก่อให้เกิดรายได้ และไม่เกิดรายได้

2) กิจกรรมทางกายที่เกี่ยวกับการเดินทางในชีวิตประจำวัน (Transport-related Physical Activity) เช่น การเดินทางเพื่อไปทำงาน ไปซื้อของ ไปจ่ายตลาด ไปทำธุระต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับการเดินทางที่ใช้การเดินหรือการขี่รถจักรยานเป็นเวลาตั้งแต่ 10 นาทีขึ้นไป (ส่วนการเดินทางโดยวิธีอื่น ๆ เช่น การขับรถยนต์ไป โดยสารยานพาหนะอื่น ๆ ไป ไม่รวมอยู่ในกิจกรรมทางกายด้านนี้)

3) กิจกรรมทางกายในเวลาว่างจากการทำงาน หรือเสร็จสิ้นจากภารกิจงานประจำ (Physical Activity during Leisure Time)ซึ่งการทำกิจกรรมในเวลาว่างนี้ ยังแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท ได้แก่ การทำกิจกรรมนันทนาการ (Recreational activity) การเล่น/แข่งกีฬา (Competitive Sports)และการออกกำลังกายหรือการฝึกฝนร่างกาย (Exercise/Exercise Training) 

     การออกกำลังกาย หมายถึง การกระทำที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายในรูปแบบที่ซ้ำๆ(repetitive) มีการวางแผน (planned) เป็นแบบแผน (structured) และมีวัตถุประสงค์ (purposive) เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก การบริหารร่างกาย การยกน้ำหนัก การเล่นกีฬา เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ เพื่อความสนุกสนาน และ/หรือเพื่อสังคม

    ปัจจุบันเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินวิถีชีวิตที่ช่วยให้เกิด ความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ลักษณะอาชีพหรือพฤติกรรมการทำงานของผู้คนเปลี่ยนไปอาชีพที่ต้องใช้แรงในการทำงานหรือการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง  ในขณะที่อาชีพนั่งโต๊ะทำงานหรือ

(http://www.euro.who.int/data/assets/pdf_file/0006/112578/

10_things_eng.pdfเรียบเรียงโดย:

นายพิชิต เอี่ยมเอมรัตน์, เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล โครงการพัฒนาความร่วมมือในระดับสากลแผนงานส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ(International Collaboration for Physical Activity – ICPA))

1.2.2 ระดับของกิจกรรมทางกาย

ระดับของกิจกรรมทางกาย แบ่งระดับความหนักได้ 4 ระดับ ดังนี้

   ระดับหนักมาก (Vigorous)คือ การเคลื่อนไหวร่างกายที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก หน้าแดงและมีเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็วมาก จนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ เช่น ขัดห้องน้ำ ยกของหนัก วิ่งเร็ว ว่ายน้ำเร็ว กระโดดเชือก ปั่นจักรยานเร็วระยะไกล

  ระดับปานกลาง (Moderate)คือ การเคลื่อนไหวร่างกายที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยปานกลาง หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้น หน้าแดงมีเหงื่อซึม ยังสามารถพูดเป็นประโยคได้ เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน เดินขึ้นลงบันได ทำสวน การเสิร์ฟอาหาร

   ระดับน้อย (Mild)คือ การเคลื่อนไหวร่างกายที่ออกแรงน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เดินระยะทางสั้น ๆ ล้างจาน พับผ้า โยคะ รดน้ำต้นไม้ ยืนบนรถโดยสาร

     ระดับนิ่งเฉย (Inactivity) คือ กิจกรรมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น นั่งเฉย ๆ นั่งดูทีวี นอนหลับ นั่งประชุม นั่งขับรถ นั่งสวดมนต์

1.2.3 กิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับช่วงวัย

กิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับช่วงวัย

องค์การอนามัยโลก ให้คำแนะนำกิจกรรมทางกายสำหรับช่วงอายุต่างๆ ไว้ดังนี้

ช่วงอายุ 5-17 ปี  สำหรับเด็กและเยาวชนกลุ่มวัยนี้ กิจกรรมที่เหมาะสมประกอบด้วย กิจกรรมนันทนาการ เล่นกีฬา พละศึกษา หรือการออกกำลังกายที่มีแบบแผน กิจกรรมสำหรับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เพื่อเสริมสร้างระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กระดูกและกล้ามเนื้อ และการเผาผลาญพลังงานในร่างกายดี ช่วยลดภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

1.ควรมีกิจกรรมทางกายในระดับปานกลางถึงหนักมาก สะสมอย่างน้อย 60 นาที/วัน

2.กิจกรรมทางกายที่มากกว่า 60 นาที/วัน ช่วยส่งผลให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง

3.กิจกรรมทางกายส่วนใหญ่ควรเป็นแบบแอโรบิค และควรมีกิจกรรมทางกายระดับหนักมากเพื่อเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์

ช่วงอายุ 18-64 ปี สำหรับผู้ใหญ่ในกลุ่มวัยนี้ กิจกรรมทางกายประกอบด้วย กิจกรรมสันทนาการ วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน การประกอบอาชีพ งานบ้าน เล่นกีฬา กิจกรรมในชีวิตประจำวัน กิจกรรมภายในครอบครัวและชุมชน เพื่อเสริมสร้างระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กล้ามเนื้อและกระดูก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและภาวะซึมเศร้า ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังนี้

1.ควรมีกิจกรรมทางกายความหนักระดับปานกลาง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือระดับหนักมาก 75 นาที/สัปดาห์ หรือมีกิจกรรมทางกายทั้งสองระดับผสมผสานให้สมดุลกัน

2.กิจกรรมทางกายแบบแอโรบิคควรทำเป็นยก อย่างน้อย 10 นาที/ยก

4.เพื่อให้มีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง ควรเพิ่มกิจกรรมทางกายแบบแอโรบิคความหนักระดับปานกลางให้ได้ 300 นาที/สัปดาห์ หรือระดับหนักมาก 150 นาที/สัปดาห์หรือมีกิจกรรมทางกายทั้งสองระดับผสมผสานให้สมดุลกัน

5. ควรออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (กล้ามเนื้อลำตัว แขน และ ขา) 2 วัน/สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น

ช่วงอายุ 65 ปีขึ้น สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ กิจกรรมทางกายประกอบด้วย กิจกรรมสันทนาการทั่วไป หรือการทำกิจกรรมในเวลาว่าง การเดิน วิ่ง กิจกรรมในชีวิตประจำวัน งานบ้าน เล่นกีฬา กิจกรรมภายในครอบครัวและชุมชน เพื่อเสริมสร้างระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด กล้ามเนื้อและกระดูก และลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้า และความรู้ความความเข้าใจลดลง ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำ ดังนี้

1.ควรมีกิจกรรมทางกายความหนักระดับปานกลาง อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือระดับหนักมาก75 นาที/สัปดาห์ หรือมีกิจกรรมทางกายทั้งสองระดับผสมผสานให้สมดุลกัน

2. กิจกรรมทางกายแบบแอโรบิคควรแบ่งทำเป็นครั้ง อย่างน้อย 10 นาที/ครั้ง

3.เพื่อให้มีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง ควรเพิ่มกิจกรรมทางกายแบบแอโรบิคความหนักระดับปานกลางให้ได้ 300 นาที/สัปดาห์ หรือระดับหนักมาก 150 นาที/สัปดาห์หรือมีกิจกรรมทางกายทั้งสองระดับผสมผสานให้สมดุลกัน

4.ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนที่ควรมีกิจกรรมทางกายที่ช่วยส่งเสริมการทรงตัวและป้องกันการล้ม 3 วัน/สัปดาห์ หรือมากกว่า

5.ควรออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (กล้ามเนื้อลำตัว แขน และ ขา) 2 วัน/สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น

6.ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถทำตามข้อแนะนำดังกล่าวได้เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ ควรทำกิจกรรมทางกายตามความสามารถและสภาพร่างกายเท่าที่ทำได้

1.2.4 กิจกรรมทางกายกับสมรรถนะร่างกาย

กิจกรรมทางกายกับสมรรถนะร่างกาย

ทั้งนี้ เพื่อคงสมรรถภาพของร่างกาย ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางและระดับหนักมาก อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ โดยทำต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที/ครั้ง สะสมให้ครบ 150 นาทีภายในหนึ่งสัปดาห์ และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร พร้อมทั้งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองของผู้สูงอายุ ควรเพิ่มการทำกิจกรรมทางกายที่มีความหนักระดับปานกลางและระดับหนักมาก 300 นาที/สัปดาห์

สำหรับผู้ที่มีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและส่งเสริมให้สุขภาพดีและแข็งเรง แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและพอดีกับสภาพร่างกาย เพื่อคงสุขภาพดีไว้ สำหรับผู้ที่มีกิจกรรมทางกายน้อย แนะนำให้เพิ่มกิจกรรมทางกาย โดยเริ่มจากทำกิจกรรมเบา ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็นกิจกรรมที่หนักขึ้น เริ่มต้นจากกิจกรรมง่าย ๆ ภายในบ้าน เช่น ทำความสะอาดบ้าน จัดห้องพัก ขัดห้องน้ำ หรืออาจจะเริ่มจากการเดินไปที่ใกล้ ๆ เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วพอให้เหงื่อซึม เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะสายเกินป้องกัน

1.2.5 ปัญหาจากการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอในทุกช่วงวัย

ปัญหาจากการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอในทุกช่วงวัย

ด้านปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

องค์การอนามัยโลก ประมาณการว่า การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชากรโลก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลกร้อยละ 5.5 หรือประมาณ 3.2 ล้านรายต่อปี นอกจากนี้ วารสารวิชาการ The Lancet ฉบับปี 2555 ได้แสดงข้อมูลที่บ่งชี้ว่าการขาดการมีกิจกรรมทางกายเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่มีอัตราความชุกสูงกว่าและนำไปสู่การเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของประชากรโลกมากกว่าการสูบบุหรี่   (The Lancet 2012 “Stressing harms of physical inactivity to promote exercise” p.4)

ด้านสุขภาพ

มีผลการวิจัยเกี่ยวกับโรคระบาดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าร้อยละ 15-20 ของความเสี่ยงทั้งหมดต่อโรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่สอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และโรคกระดูกสะโพกร้าวในผู้ใหญ่มาจากสาเหตุการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ การมีกิจกรรมทางกายเป็นประจำสามารถป้องกันโรคไม่ติดต่อต่างๆเหล่านี้รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงและส่งเสริมสุขภาพทางจิต (WHO Europe (Nd.)

ด้านค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพ

ประเทศสูญค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมหาศาลเพราะการขาดกิจกรรมทางกาย:เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งคร่าชีวิตมนุษย์กว่า 35 ล้านคนต่อปีทั่วโลก คิดเป็นร้อยละ 60 ของการเสียชีวิตทั้งหมด ผลการวิจัยที่ทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรพบว่า การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอทำให้แต่ละประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายปีละ150-300 (7,500-15,000 บาท)ปอนด์ต่อพลเมืองหนึ่งคน  (WHO Europe (Nd.)

1.2.6 ประโยชน์ของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ

ประโยชน์ของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ

1.3 สถานการณ์กิจกรรมทางกาย: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ข้อมูลการสํารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2553-2557 พบว่า กลุ่มวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีปัญหาสุขภาพมาก โดยเฉพาะเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อ ผู้หญิงคิดเป็นร้อยละ 55 และผู้ชายคิดเป็นร้อยละ 42 จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ.2562-2563 พบว่า ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อ ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้นเท่าที่ควร ทั้งภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย

         ผลสํารวจพบว่า ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า เป็นโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 16.3) รองลงมาคือ โรคเบาหวาน/น้ำตาลในเลือดสูง (ร้อยละ 8.1) โรคไขมันในเลือดสูง/คอเลสเตอรอลสูง (ร้อยละ 7.5) โรคข้อเสื่อม/เข่าเสื่อม (ร้อยละ 3.8) โรคหัวใจ/หลอดเลือดหัวใจ (ร้อยละ 1.7) โรคหลอดเลือดสมอง/อัมพฤกษ์ อัมพาต (ร้อยละ 1.1) โรคปอดเรื้อรัง/ถุงลมโป่งพอง/หอบหืด (ร้อยละ 1.0) โรคมะเร็งเนื้องอก (ร้อยละ 0.6) และโรคซึมเศร้า (ร้อยละ 04)  นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังรายงานว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 15- 59 ปี เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อในสัดส่วนที่สูงสุดเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุอื่นในประชากรไทย ปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานจึงมีแนวโน้มเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน กระทบต่อสถานประกอบการ และเศรษฐกิจของประเทศตามมา

ช่วงปี 2562-2563พบว่า สัดส่วนของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอมีร้อยละ 30.9 (ชายร้อยละ 28.9 และหญิงร้อยละ 32.7) เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2557 พบว่า สัดส่วนของประชาชนไทยที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเพิ่มมากขึ้น (ชายร้อยละ 18.4 และหญิงร้อยละ 20.0)

ช่วงปี 2564-2565ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการสำรวจสถานการณ์กิจกรรมทางกายของประชากรไทย ตามโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2564 และ ปี 2565 ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มลดลง และผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติมากขึ้น หลายประเทศสามารถรับมือจนทำให้ประชาชนสามารถออกมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่ด้วยการส่งเสริมมาตรการในการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมในการปฏิบัติตัวร่วมกันและดำเนินชีวิตในแบบวิถีปกติใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมด้านการมีกิจกรรมทางกายของผู้คน ซึ่งสถานการณ์ด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ที่ผ่านมาพบว่า ปี 2563 ประชากรไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียง ร้อยละ 54.3 และในปี 2564 ระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 63.0 เนื่องจากภาคีเครือข่ายทราบถึงสถานการณ์และแนวโน้มของการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ทำให้สามารถมีทิศทางการดำเนินงานส่งเสริมกิจกรรมทางกายได้อย่างเหมาะสมและเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่งผลให้ระดับกิจกรรมทางกายและพฤติกรรมสุขภาพขยับเพิ่มขึ้นในระดับที่น่าพอใจ

1.3.1 ทิศทางและแนวโน้มการมีกิจกรรมทางกายของคนไทย ปี 2565

หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2564 ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้ดำเนินการสำรวจเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2565 พบว่า สถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายของคนไทยในภาพรวม ลดลงจากเดิมเล็กน้อย จากร้อยละ 63.0 ในปี 2564 เป็นร้อยละ 62.0

แม้ว่า สถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทยปี 2565 จะมีแนวโน้มการมีกิจกรรมทางกายของคนไทยเพิ่มขึ้นจากความผันผวนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระหว่างปี 2563 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2564 ที่ประชากรไทยมีกิจกรรมทางกายเพียงพอร้อยละ 63.0 ซึ่งในปี 2565 ลดลงเป็นร้อยละ 62.0 ชี้ให้เห็นได้ว่า ปัจจัยลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจและสังคม อันได้แก่ ด้านเพศ ช่วงวัย ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ยังคงมีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อระดับการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทยในภาพรวม สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมของการมีกิจกรรมทางกายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องที่ทุกภาคส่วนยังคงต้องให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในการส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสการมีกิจกรรมทางกาย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ผู้หญิง ผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่ไม่มีอาชีพ ผู้ไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อย เหล่านี้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง

และจากการสำรวจข้อมูลการมีกิจกรรมทางกายตามกลุ่มวัย พบว่า กลุ่มวัยผู้ใหญ่มีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ร้อยละ 65.8 วัยสูงอายุ ร้อยละ 60.6 ในขณะที่กลุ่มวัยเด็กและเยาวชนลดลงค่อนข้างมาก จากร้อยละ 24.2 ในปี 2564 เหลือเพียงร้อยละ 16.1 เท่านั้น ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอน้อยกว่า 11 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์เช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการมีกิจกรรมในกลุ่มของเด็กและเยาวชนอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกาย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษา “ความเหลื่อมล้ำด้านกิจกรรมทางกายในประเทศไทย: สถานการณ์ ข้อค้นพบ และข้อเสนอเชิงนโยบาย” ในช่วง 10 ปี ระหว่าง ปี 2555 –2564 พบว่าคนไทยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นในภาพรวม โดยในปี 2562 มีผู้มีกิจกรรมเพียงพอสูงสุดที่ 74.6% แต่ในขณะที่มีการระบาดช่วงโควิด-19 เมื่อปี 2563–2564 ระดับกิจกรรมลดลงเหลือ 54.3% และกลับขึ้นมาเล็กน้อยในปี 2564 อยู่ที่ 63.0%  ซึ่งผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึง 5 กลุ่มประชากรที่เผชิญความเหลื่อมล้ำ โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำคัญ ดังนี้

1. การสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

  • ใช้สื่อหลากหลายและเข้าถึงง่าย เช่น คลิปวิดีโอ โปสเตอร์ กิจกรรมในชุมชน

  • เน้นสื่อที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น เด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ

2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่

  • เพิ่ม “พื้นที่สุขภาวะ” เช่น สวนสาธารณะ ทางเดินปลอดภัย อุปกรณ์ออกกำลังกายฟรี

  • ต้องเข้าถึงง่าย ปลอดภัย และไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย

3. การออกแบบบริการและกิจกรรมที่หลากหลาย

  • ให้สอดคล้องกับความสามารถและวิถีชีวิตของแต่ละคน เช่น กิจกรรมเบาสำหรับผู้สูงอายุ หรือแม่บ้าน

  • ใช้กลไกชุมชน อสม. รพ.สต. หรือโรงเรียนเป็นฐาน

รายงานความเหลื่อมล้ำด้านกิจกรรมทางกายในประเทศไทย (2566) https://tpak.or.th/th/concept/tool_khowlegde 

1.3.2 โอกาสและการเข้าถึงพื้นที่และบริการทางสุขภาพคือปัจจัยของการมีกิจกรรมทางกายของคนไทย

โอกาสและการเข้าถึงพื้นที่และบริการทางสุขภาพคือปัจจัยของการมีกิจกรรมทางกายของคนไทย จากการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2565 พบว่ายังมีปัจจัยการใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทย อาทิ การได้รับข้อมูลและคำแนะนำการมีกิจกรรมทางกาย การเข้าถึงและการใช้บริการ กิจกรรม พื้นที่ สถานที่หรืออุปกรณ์เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย เล่นกีฬา เคลื่อนไหวร่างกายและนันทนาการของชุมชนหรือที่ทำงาน เป็นต้น ที่เป็นปัจจัยสำคัญส่งผลต่อระดับการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดพื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แนวทางการลงทุนเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 8 ประการของ ISPAH ภายใต้แผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกายระดับโลก Global Action Plan on Physical Activity ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จึงทำให้สถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของประชากรไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฟื้นกลับมาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลับพบว่าการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทยยังไม่สามารถฟื้นคืนใกล้เคียงปี 2562 ที่ร้อยละ 74.6 ได้ ทว่ากลับยังพบว่า กิจกรรมทางกายที่เพียงพอของประชากรไทย ปี 2565 ลดลงจากปี 2564 ที่ผ่านมา แม้สถานการณ์ของโควิด-19 มีการแพร่ระบาดน้อยลงก็ตาม

ผลการศึกษาสถานการณ์การใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทย ชี้ให้เห็นได้ว่า ประชากรไทยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพน้อยลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนด้านการบริการสุขภาพ (Healthcare) การส่งเสริมกีฬาและนันทนาการสำหรับทุกคน (Sports and Recreation for All) การสื่อสารสาธารณะเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารมวลชน (Public Education, Including Mass Media) และการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียนเต็มรูปแบบ (Whole-of-school Pro grammes) ที่มีการส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างอยู่ในห้องเรียน

• “มีโอกาสและเข้าถึงการสนับสนุนด้านการบริการสุขภาพ (Healthcare) เพียงร้อยละ 36.8”

• “มีโอกาสเข้าถึงการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการสำหรับทุกคน                                                                    

• (Sports and Recreation for All) เพียงร้อยละ 37.8”

• “มีโอกาสเข้าถึงการสื่อสารสาธารณะเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารมวลชน (Public Education, Including Mass Media) ร้อยละ 43.2”

•“มีโอกาสเข้าถึงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียนเต็มรูปแบบ (Whole-of-school Pro grammes) ร้อยละ 56.7

กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสุขภาพระหว่างประเทศไทย (IHPP)   ศึกษาวิจัยสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายเพียงพอและพฤติกรรมเนือยนิ่งของคนไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพคนไทยในปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้ที่มีอายุ 18 - 80 ปี จำนวน 78,717 คน ครอบคลุม 77 จังหวัด พบว่า 76% มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง โดยการนั่งตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน และ 72% มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ สาเหตุหนึ่งที่คนไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานที่ใช้แรงกายลดลง เช่น จากการทำงานภาคเกษตรกรรม หรืออุตสาหกรรม เป็นรูปแบบการนั่งในห้องทำงานแทน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากอัตราการเผาผลาญพลังงานต่ำ

Active Thai Archive: ได้นำเสนอผลการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางกายใน 4 ประเด็นหลัก ดังนี้ 

(1) นโยบายที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย:  นโยบายที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ นโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด เช่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา ทางเดิน ทางจักรยาน เป็นต้น และนโยบายเกี่ยวกับการสร้างโอกาสการมีกิจกรรมทางกายของคนในจังหวัด เช่น งานแข่งขันกีฬา กิจกรรมผู้สูงอายุ เป็นต้น พบว่า 

O มี 1 จังหวัด มีนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดอย่างเดียว

O มี 25 จังหวัด มีนโยบายเกี่ยวกับการสร้างโอกาสการมีกิจกรรมทางกายของคนในจังหวัดอย่างเดียว

oมี 44 จังหวัด มีนโยบายทั้งสองด้าน

oมี 4 จังหวัดไม่มีนโยบายทั้งสองด้าน

(2) จำนวนงานวิ่งต่อปี: กิจกรรมวิ่ง เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จึงทำให้เกิดงานวิ่งระดับจังหวัดประจำปีมากมาย การจัดระยะทางการวิ่งเริ่มตั้งแต่ 1.5 กิโลเมตร ไปจนถึง 42 กิโลเมตรถือเป็นโอกาสสำหรับของการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทยจำนวนงานวิ่ง 1,315 งาน โดยค่าเฉลี่ยการวิ่งของทุกจังหวัดพบว่า 17 งาน

(3) จำนวนผู้ใช้บริการสวนสาธารณะ

สวนสาธารณะเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมของการมาออกกำลังกาย ส่วนใหญ่มาใช้บริการเพื่อเดินวิ่ง ใช้เครื่องออกกำลังกาย และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ ทั่วประเทศไทยมีสวนสาธารณะจำนวน 584 สวน มีค่าเฉลี่ยผู้ใช้บริการสวนต่อวัน 698 คน ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ใช้งานสถานที่สาธารณะทุกจังหวัด 702 คน ต่อสวนสาธารณะต่อวัน

(4) ผู้เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดกิจกรรมทางกาย

หลักฐานทางวิชาการยืนยันแล้วว่าการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ กิจกรรมทางกายยังช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูก และช่วยลดความเครียดและความซึมเศร้าทางอารมณ์ ผลการสำรวจและจัดเก็บข้อมูล พบว่า

O มีผู้เสียชีวิตจากโรคที่ขาดกิจกรรมทางกายรวมทุกจังหวัด 153,229 คน ค่าเฉลี่ยของทุกจังหวัด 1,990 คน คิดเป็นสัดส่วนจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากทุกโรค 31.53 % ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 30 %

O มีประชากรไทยที่ผ่านข้อแนะนำด้านกิจกรรมทางกายของ WHO ด้วยหลักความรอบรู้ด้านกิจกรรมทางกาย เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพและการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ สัดส่วนประชากรที่ผ่านเกณฑ์จาก WHO รวมทุกจังหวัด 37.70 % ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 30 %  และถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยจำนวนนาทีการมีกิจกรรมทางกายในประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่สากลแนะนำ แต่จำนวนนาทีนั้นแสดงให้เห็นถึง ความกระจุกของจำนวนนาทีในบางจังหวัดเท่านั้น ซึ่งการบ่งบอกถึงการประสบผลสำเร็จ ควรจะทำให้เกิดการ จำนวนนาทีของการมีกิจกรรมทางกายประชากรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (หรือประมาณ 30 นาทีต่อวัน เกือบทุกวัน)

       ในรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านการมีกิจกรรมทางกายในกลุ่มประชากรหญิงไทย ซึ่งจัดทำบทวิเคราะห์โดยศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) เมื่อปี 2564 ชี้ให้เห็นข้อมูลปี 2555–2564 ว่าผู้หญิงไทยขาดกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอในทุกช่วงวัย และมีระดับกิจกรรมทางกายต่ำกว่าผู้ชายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปีโควิด-19 รวมถึง ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศยิ่งกว้างขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2563–2564: Gini Coefficient เพิ่มจาก 0.440 เป็น 0.448 สะท้อนความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงกิจกรรมทางกาย และมีอุปสรรคสำคัญที่ผู้หญิงเผชิญ ได้แก่

  • ไม่มีเวลา พบในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะหญิงวัยทำงาน (46.1%) และหญิงสูงวัย (25.3%) ที่เกี่ยวเนื่องกับภาระงาน การดูแลครอบครัว และภารกิจในบ้าน

  • ขาดความมั่นใจ ในกลุ่มเด็ก-เยาวชนหญิง (16.7%) รู้สึกขาดทักษะหรือกลัวการถูกตัดสิน ส่วนกลุ่มหญิงวัยทำงานและผู้สูงอายุมีความกังวลภาพลักษณ์ หรือ มีข้อจำกัดทางสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ข้อเสื่อม

  • ไม่มีแรงจูงใจ พบในกลุ่มเยาวชนหญิง (21.2%) และหญิงวัยทำงาน (19.5%) ซึ่งมีสาเหตุจากการไม่พบกิจกรรมที่ชอบ ไม่รู้ว่าทำอะไรได้ หรือไม่มีแรงสนับสนุนจากครอบครัว/สังคม

(ผู้หญิงกล้าขยับ: บทวิเคราะห์สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านการมีกิจกรรมทางกายในกลุ่มประชากรหญิงไทย https://tpak.or.th/th/concept/print_media )

1.4 สสส. กับการขับเคลื่อนแผนกิจกรรมทางกาย

ทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีกระบวนการจัดทำ โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งจากภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม รวมทั้งบุคลากรและผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. ที่ได้ร่วมกัน คัดเลือกประเด็นสำคัญในการกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลอดจนกระบวนการทางวิชาการที่มีการทบทวนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การวิเคราะห์ปัจจัยภายในและภายนอก และการพิจารณาข้อเสนอแนะ ที่ได้จากการประเมินผลการดำ เนินงานที่ผ่านมา โดยสามารถสรุปเป็นการดำเนินงานภายใต้ทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในแบบจำลองบ้าน (housing model) ที่มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วน ดังภาพที่ 1 ภาพรวมทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574)

ส่วนที่ 1 : เป้าหมายการมีสุขภาพดี 4 มิติ แสดงเป้าหมายสูงสุดของการสร้างเสริมสุขภาพที่ต้องการให้บุคคลมีสุขภาพดี สมบูรณ์พร้อมทั้ง 4 มิติ คือการมี สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี สุขภาวะทางปัญญาดี และมีสังคมที่ดี ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร

ส่วนที่ 2 : เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ คือ จุดเน้นการทำงานที่เป็นเป้าหมายหลัก 7 เป้าหมาย และ 1 เป้าหมายพิเศษ เพื่อใช้รองรับและสนับสนุนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ โดยใช้เป็นเป้าหมายร่วมของ สสส. และภาคีเครือข่ายในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ ได้แก่ (1) ลดอัตราการบริโภคยาสูบ (2) ลดอัตราการบริโภคสุราและสิ่งเสพติด (3) เพิ่มสัดส่วนการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างสมดุล (4) เพิ่มสัดส่วนการมีกิจกรรมทางกายที่่เพียงพอ (5) ลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทางถนน (6) เพิ่มสัดส่วนผู้มีสุขภาพจิตดี (7) ลดผลกระทบสุขภาพจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และ (8) เตรียมพร้อมรับปัญหาสุขภาพอุบัติใหม่และปัจจัยเสี่ยงอื่น โดยการดำเนินงาน ในทุกประเด็นจะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย และเป็นการดำเนินการเพื่อลดช่องว่าง และต้องไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่่มากขึ้น

ส่วนที่ 3 :  ยุทธศาสตร์การทำงาน แสดงวิถีการทำงานของกองทุนภายใต้กรอบการทำงานการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพใน 5 ยุทธศาสตร์ คือ (1) การสนับสนุนงานวิชาการและรังสรรค์นวัตกรรม (2) พัฒนาศักยภาพ บุคคล ชุมชน และองค์กร (3) สานเสริมพลังเครือข่าย (4) พัฒนากลไกทางนโยบาย สังคม และสถาบัน และ (5) สื่อสาร จุดประกาย ชี้แนะ สังคม การขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้าน จะอยู่บนฐานของการบูรณาการสานพลัง 3 ด้าน คือ พลังนโยบาย พลังความรู้ และพลังสังคม (ไตรพลัง) เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมโดยรวมและมีความยั่งยืน

ส่วนที่ 4 :  การจัดโครงสร้างแผนและกลไกสนับสนุน เป็นการจัดโครงสร้างแผนและกลไกสนับสนุนการทำงานที่สำคัญตามบริบทของงานสร้างเสริมสุขภาพและการบูรณาการระหว่างแผน โดย สสส. ได้จัดโครงสร้างแผนเพื่อการบริหารจัดการออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มแผนเชิงประเด็น กลุ่มแผนเชิงพื้นที่ กลุ่มแผนเชิงองค์กรและกลุ่มประชากร และกลุ่มแผนเชิงระบบ ส่วนล่างสุดแสดงกลไกเพื่อสนับสนุนการทำงานตามยุทธศาสตร์และการจัดโครงสร้างแผนข้างต้น 5 กลไก คือ (1) การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร สสส. และภาคีเครือข่าย (2) ระบบงบประมาณและการสนับสนุนโครงการ (3) ระบบฐานข้อมูลและการจัดการความรู้  (4) การกำกับ ติดตาม และการประเมินผล และ (5) การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล

        อนึ่ง การขับเคลื่อนแผนกิจกรรมทางกายมีประวัติความเป็นมาต่อเนื่องนับจากปี 2559 ซึ่งประเทศไทยและประเทศสมาชิก 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นพ้องกันว่าเรื่องของการส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายมีความจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม จึงมีมติเห็นชอบร่วมกันเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Resolution SEA/RC69/R4 Promoting Physical Activity in South-East Asia Region) เป็นที่มาของการพัฒนาแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ของประเทศไทย โดยมีเจ้าภาพหลัก คือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จากนั้นตามมาด้วยแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2563 และแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2564-2565 แผนฯ ดังกล่าวถือเป็นเป้าหมายและทิศทางของการดำเนินงานด้านกิจกรรมทางกายมาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

       สำหรับแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรก ที่ให้ความสำคัญกับการมีกิจกรรมทางกายของประชาชนไทย แผนฯ นี้ได้รับการพัฒนาผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่หลากหลาย เช่น กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในมิติของการป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กสู่ทุกช่วงวัยนั้น สามารถสร้างความแข็งแรงของหัวใจ พัฒนาสมอง กล้ามเนื้อและกระดูก การคิดวิเคราะห์ และพัฒนาภาวะทางอารมณ์

          สามารถสรุปการดำเนินการที่สำคัญตามกรอบแนวคิดของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย คือ กลุ่มวัย สถานที่ และระบบสนับสนุนได้ 5 ประเด็น ดังนี้

1) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กปฐมวัย วัยเรียน และวัยรุ่นในสถานศึกษา

2) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับวัยทำงานในสถานประกอบการ

3) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะผู้สูงวัยในชุมชน กีฬามวลชน การคมนาคมและการผังเมือง

4) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในระบบบริการสาธารณสุข

5) การพัฒนาระบบการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

และกำหนดวิสัยทัศน์ให้มีความครอบคลุมกับประชากรทุกกลุ่มวัยในทุกบริบทพื้นที่ ภายใต้โมเดลที่เรียกว่า 5x5x5 (5 กลุ่มวัย X 5 สภาพแวดล้อม x 5 ระบบสนับสนุน) ซึ่งเป็นโมเดลที่เข้ามายกระดับพฤติกรรมด้านการมีกิจกรรมทางกายของคนไทยให้เพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลต่อการมีสุขภาพที่ดีในอนาคต https://www.theprachakorn.com )

1.4.1 แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (สำนัก 5)

แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย(สำนัก 5 ) เป็นกลุ่มแผนเชิงประเด็น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ ความตระหนัก และโอกาสเพื่อให้บุคคลทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยได้ตระหนักถึงการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและลดพฤติกรรมเนือยนิ่งที่ส่งผลต่อภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ดังนั้น การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ (physical inactivity) เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงหลักร่วมกับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และการสัมผัสกับมลภาวะทางอากาศ ซึ่งนำไปสู่การเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (Noncommunicable Diseases: NCDs) ของทั่วโลก และเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย องค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคไม่ติดต่อเป็นอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรัง ไม่มีสาเหตุมาจากเชื้อก่อโรค อันนำไปสู่การเกิด 5 โรคหลัก ได้แก่่ โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคทางจิตเวช โรคดังกล่าวอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ ปัจจุบันมีประชากรโลกเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ไม่น้อยกว่า 36 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 62 จากสาเหตุการเสียชีวิตและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ร้อยละ 75 หรือ 320,000 คนต่อปี คิดเป็นอัตราตายด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ชั่วโมงละ 37 คน กลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ก่อผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในเรื่องของภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และผลิตภาพของประชากรที่่สูญเสียไป โดยประเทศไทยมีการประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ใน 4 กลุ่มโรคหลัก(ไม่รวมภาวะทางสุขภาพจิต) พบว่า ในปี 2552 มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น 198,512 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือคิดเป็นมูลค่า 3,128 บาทต่อหัวประชากร

การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ หรือระดับหนักอย่างน้อย 75-150 นาทีต่อสัปดาห์ ขณะที่ประชากรวัยเด็ก (อายุุ 5-17 ปี) ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางถึงหนักอย่างน้อยเฉลี่ย 60 นาทีต่อวัน เด็กทารกและเด็กปฐมวัย (อายุุ 0-4 ปี) ควรมีกิจกรรมทางกายหลากหลายประเภทในทุกระดับความเข้มข้น โดยที่เด็กทารก (อายุุต่ำกว่า 1 ปี) ควรมีกิจกรรมทางกาย อย่างน้อย 30 นาทีต่อวันในท่าคว่ำ เด็กปฐมวัย (อายุุ1-2 ปี) ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวันและเด็กปฐมวัย (อายุ 3-4 ปี) ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวัน โดยมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางถึงหนักอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน

จนกระทั่งในปี 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติรวมถึงพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกาย สสส. และภาคีทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมต่าง ๆ ได้เร่งดำเนินการรณรงค์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ในการป้องกันโรค สามารถปรับตัว ในการดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพ ตลอดจนส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายที่บ้าน (Fit from Home) ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยมีประชาชนถึงร้อยละ 82.8 ที่ได้รับความรู้ข่าวสารที่่รณรงค์และสนับสนุนโดย สสส. และภาคี โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่่ได้มีการรับข้อมูล ข่าวสาร แนวทางการมีกิจกรรมทางกายที่่บ้าน จะมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ มากกว่ากลุ่มประชาชนที่ไม่ได้รับข่าวสารถึง 1.445 เท่า (ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกาย และพฤติกรรมอื่นในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกาย ประเทศไทย : TPAK) ต่อมาในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ประชากรทุกกลุ่ม เริ่มเข้าสู่ระยะการปรับตัว รับรู้ข้อมูลข่าวสาร

1.4.2 ผลการดำเนินงานที่สำคัญตั้งแต่ปี 2555-2563

 

1.4.2.1 พัฒนาการและการก่อตั้งศูนย์องค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK)

ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล  ได้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ด้านกิจกรรมทางกายของประเทศไทย ในภาพรวมจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ ทว่าความเร็วในการฟื้นตัวของสถานการณ์จะขึ้นอยู่กับจุดคานงัดที่สำคัญ คือ ทิศทางและจุดเน้นในการดำเนินการทางนโยบายในระดับประเทศ 

ผลการดำเนินงานที่สำคัญตั้งแต่ปี 2555-2563 มีรายละเอียดดังนี้

2555 : เริ่มโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย Global Physical Activity Questionnaire (GPAQ) ตามแนวทาง WHO (ผลการสำรวจประชากรไทย 2555 มีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ร้อยละ 66.3)

2557 : สสส. ภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนายุทธศาสตร์การส่งเสริมจักรยานในระดับจังหวัด คือ ยุทธศาสตร์ 3 ส. ได้แก่ 1 สวนสาธารณะที่เอื้อต่อการใช้จักรยาน, 1 สนาม สนามกีฬา สนามบิน สนามของหน่วยราชการให้มีการจัดเลนจักรยาน 1 เส้นทาง โดยแต่ละจังหวัดจัดเส้นทางที่มีผู้ใช้ประจำให้ปลอดภัย หมายเหตุ รัฐบาลมีนโนบายส่งเสริมการใช้จักรยานในวิถีชีวิต

2559 : ดำเนินโครงการสำรวจกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กและเยาวชนไทย (Thailand Report Card on Physical Activity for Children and Youth) ร่วมกับThe Active Healthy Kids Global Alliance และแลกเปลี่ยนผลสำรวจกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนกับอีก 38 ประเทศทั่วโลก ตามกระบวนการ Global Matrix 2.0 และนำผลการศึกษาไปใช้ผลักดันนโยบาย เป็นเจ้าภาพร่วม The 6th International Congress for Physical Activity and Health (ISPAH) และมีการประกาศ Bangkok Declaration on Physical Activity

2560 : ร่วมผลักดันให้เกิดมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ในการส่งเสริมให้คนไทยทุกกลุ่มวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น

2561 : ร่วมผลักดันจนเกิดการรับรองแผนระดับชาติ แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ.2561-2573 ร่วมผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ และร่วมเป็นคณะอนุกรรมการดำเนินงานแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ.2561-2563 + ร่วมผลักดัน มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ส่งเสริมพื้นที่สาธารณะ + ร่วมผลักดันแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกายระดับโลก WHO global action plan on physical activity 2018-2030 (GAPPA) + ร่วมจัดกิจกรรม Walk The Talk : The Health for All Challenge งานเดิน-วิ่ง เพื่อรณรงค์แก้ปัญหาความท้าทายเพื่อสุขภาพของทุกคน ในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2561 ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก World Health Assembly : WHA ครั้งที่ 71 ณ องค์การอนามัยโลก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกายโลก)

2562 : ดำเนินโครงการ Active Child Program ดำเนินการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในกลุ่มเด็กวัยเรียน ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Sport Association) และดำเนินโครงการสำรวจกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กและเยาวชนไทย (Thailand Report Card on Physical Activity for Children and Youth) ร่วมกับ The Active Healthy Kids Global Alliance และแลกเปลี่ยนผลสำรวจกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนกับอีก 38 ประเทศทั่วโลก ตามกระบวนการ Global Matrix 3.0 และนำผลการศึกษาไปใช้ผลักดันนโยบายแผน 

2563 : ก่อตั้งศูนย์องค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK)

1.4.2.3 จุดคานงัดเพื่อขับเคลื่อนแผนกิจกรรมทางกาย

ข้อเสนอแนะสำคัญที่ได้จากการประเมินแผนก่อนหน้า (พ.ศ. 2558-2560) ที่ถูกนำมาใช้ในการออกแบบแผนปัจจุบัน (พ.ศ. 2561-2563) ในด้านกระบวนการบริหารจัดการ (process) คือ ควรมีการสื่อสารสาธารณะให้สังคมรับรู้วาทกรรมต่าง ๆ ของแผนฯ เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนในวงกว้าง โดยแผนมีการสื่อสารสาธารณะ เพื่อให้สังคมรับรู้วาทกรรมและเข้าใจงานของแผนอย่างต่อเนื่อง มีการให้คำนิยามที่ชัดเจน เช่น พื้นที่สุขภาวะ กิจกรรมทางกาย ซึ่งถือเป็นทุนสำคัญในการขับเคลื่อนงานของแผน และ สสส. นั่นคือ หากจำลองสถานการณ์การฉายภาพความเป็นไปได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ออกเป็น 3 กรณี ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 

กรณีที่ 1 หากใช้วิธีการรณรงค์และ ดำเนินการทางนโยบายในลักษณะเดียวกันกับที่เคยดำเนินการมาก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 การเพิ่มขึ้นของระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนไทยจะค่อย ๆ เป็นไปอย่างช้า ๆ ตามช่วงระยะเวลา แต่จะมีช่วงบางปีที่มีการแกว่งตัวขึ้นลงอยู่บ้างด้วยปัจจัยความไม่คงที่ของการส่งเสริมกิจกรรม

กรณีที่ 2 หากมีการเร่งรณรงค์ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย โดยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่สามารถเข้าถึงและส่งเสริม ให้ประชากรไทยสามารถมีกิจกรรมทางกายได้ แม้จะอยู่ในช่วงระหว่างสถานการณ์วิกฤตและการแพร่ระบาด เช่น การรณรงค์เรื่องแนวทางการมีกิจกรรมทางกายที่บ้าน (Fit from Home) 

กรณีที่ 3 หากมีการระดมสรรพกำลังของ ภาคีต่าง ๆ ทั้งภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคนโยบาย ในการร่วมดำเนินนโยบายแบบหลากหลาย และครอบคลุมทั้งมิติของตัวบุคคล พื้นที่สุขภาวะ สังคมสุขภาวะ การพัฒนาความร่วมมือแบบเครือข่ายสหสาขาวิชาชีพ หลากหลายหน่วยงาน (multi-disciplinary) เพื่อร่วมขบเคลื่อนนโยบายด้านกิจกรรมทางกาย นอกจาก จะเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับมาตรการระดับสากลแล้ว การมุ่งเน้นพัฒนาระบบสนับสนุนและนวัตกรรม ที่มีประสิทธิภาพเพื่อการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย โดยระบบจะสนับสนุนทั้งในแง่ของข้อมูล องค์ความรู้ชุดความรู้ ต้นแบบ นวัตกรรม ที่แผนส่งเสริมมีต้นทุนการดำเนินงานที่พร้อมจะฟื้นฟููการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอให้กลับมา โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้มุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินงานให้สนับสนุนและสอดคล้องกับห่วงโซ่ผลลัพธ์ (Chain of Outcome) ตามทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574)

นอกจากนี้ แผนกิจกรรมทางกาย มีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกายระดับโลก (Global Action Plan on Physical Activity: GAPPA) ขององค์กรอนามัยโลกใน 4 กลยุทธ์หลัก คือ 

1) การสร้างบรรทัดฐานสังคมกระฉับกระเฉง (Active Society) 

2)การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย(Active Environment)  

3) การสร้างโอกาสต่อการมีกิจกรรมทางกาย (Active People) 

4) การสร้างระบบสนับสนุนที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย (Active System)

1.4.3 ผลการประเมินแผนหลักปี 2560-2563 ของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

ผลการประเมินแผนหลักปี 2560-2563 ของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

(รายงานผลการประเมิน (final report) การประเมินแผนหลัก 3 ปี พ.ศ. 2561-2563 ของ “แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย” สสส.)

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ คือ การขาดนโยบายการส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่บูรณาการความร่วมมือภาคส่วนต่าง ๆ ในระดับประเทศ รวมถึงการขาดแคลนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการมีกิจกรรมทางกายในวิถีชีวิต นอกจากนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประชาชนไทยยังคงขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย รวมไปถึงทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เหมาะสมจากรูปแบบวิถีชีวิตในปัจจุบันส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary behavior)  ที่สูงในทุกช่วงวัย อย่างไรก็ตาม แผนส่งเสริมกิจกรรมทางกายมีความพยายามถอดบทเรียนผ่านประสบการณ์การขับเคลื่อนงานอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา จนเกิดเป็นองค์ความรู้ในรูปแบบของ “ต้นแบบ” และ “แนวทาง”

1.4.3.1 ความสำเร็จในระดับ area, setting และmodel development

ความสำเร็จในระดับ area, setting และmodel development 

1. เกิดต้นแบบกิจกรรม Active Play ในโรงเรียนประถมศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสการมีกิจกกรมทางกายที่เพียงพอภายใต้แนวคิด Active School (การวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน “โรงเรียนฉลาดเล่น [Active School]) ที่สามารถเป็นพื้นที่รูปธรรมตัวอย่างทั้งในมิติ Area, Setting และModel development  คือ มีการสร้างต้นแบบ (Model) สำหรับโรงเรียนฉลาดเล่นขึ้น รวมทั้งมีการถอดบทเรียนในการดำเนินงาน ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของต้นแบบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการทำงาน และขยายผลต้นแบบกิจกรรมต่อไปยังโรงเรียนอื่นนอกเหนือโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ

2. เกิดกลไกต้นแบบในการสร้างชุดความรู้ และถ่ายทอดความรู้ ในรูปแบบของศูนย์ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงและใส่ใจดูแลสุขภาพ (Active & Healthy Lifestyles Promotion Center) ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย (โครงการคนไทยไร้พุง)  สามารถเป็นพื้นที่รูปธรรมตัวอย่างทั้งในมิติ Area, Setting และ Model development  คือ มีการสร้างระบบหรือกลไกเพื่อใช้สำหรับการถ่ายทอดความรู้สู่ภาคประชาชน ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ และจัดสร้างศูนย์ส่งเสริมสำหรับเป็นแหล่งรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งให้คำปรึกษา เพื่อนำไปสู่การขยายงาน healthy organization ต่อไป (แม้ว่าจะมีการดำเนินงานแยกตามกลุ่มประชากร แต่วัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าว คือ การวางระบบและสร้างกลไก เพื่อส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน จึงจัดผลลัพธ์นี้ในความสำหรับระดับ area/model development

3. เกิดพื้นที่สุขภาวะ หรือเมืองต้นแบบทั้งในการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย และการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน (โครงการพื้นที่สุขภาวะ, โครงการส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างชุมชนเมือง ให้มีสุขภาวะ, Active Walkable District, โครงการโพธาราม, โครงการชุมชนคนรักสุขภาพราชบุรี)    สามารถเป็นพื้นที่รูปธรรมตัวอย่างทั้งในมิติ Area, Setting และModel development  คือ คือมีการสร้างพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเดินทางกระฉับกระเฉง และกิจกรรมทางกายอื่น ๆ โดยมีการจัดทำในพื้นที่นำร่อง เพื่อถอดบทเรียนอันนำไปสู่การขยายผลไปยังพื้นที่อื่น และนำไปสู่การผลักดันนโยบายสาธารณะในอนาคต โดยการผลักดันนโยบายท้องถิ่นในระดับจังหวัดเพชรบุรีเพื่อการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะให้เป็นลานกีฬาวัฒนธรรมชุมชน

1.4.3.2 ห่วงโซ่ผลลัพธ์ของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย

มีการจัดทำห่วงโซ่ผลลัพธ์ของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกายระยะ 5 ปี (ปี 2567-2571)  เพื่อให้แนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หลักในการทำงานส่งเสริมกิจกรรมทางกายร่วมกับภาคีที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินงานตามเป้าหมาย10 ปี สสส. ทั้งนี้ แผนกิจกรรมทางกาย จึงได้พัฒนาและกำหนดห่วงโซ่ผลลัพธ์์ (Chain of Outcome) ให้สอดคล้องและตอบสนองต่อเป้าหมายและยุทธศาสตร์ สสส. ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ทางสังคมและรองรับกับชีวิตวิถีใหม่แบบ next normal ที่ส่งผลต่อเป้าหมายทั้งในระดับชาติ และระดับนานาชาติ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 Actives 

1) Active People: ส่งเสริมให้คนกระฉับเฉง 

2) Active Environment: สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย 

3) Active Society: สังคมกระฉับกระเฉงขึ้น 

อ้างอิง

เพลินพาดี. รายงานการทบทวนองค์ความรู้สุขภาวะการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ

ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าเติบโต เสี่ยงผลกระทบสุขภาพวัยรุ่น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าเติบโต เสี่ยงผลกระทบสุขภาพวัยรุ่น

กุญแจสู่การสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี
1708931705.jpg

Super Admin ID1

กุญแจสู่การสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี

พลิกวิกฤตการระบาดโควิด - 19 สู่บริการระบบสุขภาพวิถีใหม่
1708931705.jpg

Super Admin ID1

พลิกวิกฤตการระบาดโควิด - 19 สู่บริการระบบสุขภาพวิถีใหม่

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ดื่มแล้วขับกับอุบัติเหตุทางถนน ปัญหาที่ยังคงท้าทายของไทย

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นกิจกรรมทางกายที่เกี่ยวเนื่องกับกรอบแนวคิดหลัก สสส. และสอดคล้องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ

Admin nicky

วิเคราะห์กลไกและกระบวนการเชิงยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดสำคัญ เช่น กฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter), SDGs, WHO GAPPA และแผนยุทธศาสตร์ของ สสส. ขยายรูปธรรมขับเคลื่อนนโยบายและกลไกสู่ปฏิบัติการจริงในพื้นที่ โดยอิงกับกรอบแนวคิดจากระดับสากล แนวคิดด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior Change) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) กับการจัดสรรนโยบายสาธารณะ และการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายในทุกระดับ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย หรือ การขยับเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับบริบทประชากรกลุ่มต่างๆ เช่น GAPPA, กฎบัตรออตตาวา และ SDGs กลไกสำคัญคือ แนวคิด “3A” ได้แก่ Active People, Active Environment และ Active Society ซึ่งบูรณาการผ่านโมเดล “5x5x5” ที่ครอบคลุม 5 กลุ่มวัย  5 สภาพแวดล้อม และ5 ระบบสนับสนุน พร้อมทั้งใช้แนวคิดพฤติกรรมสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นแกนกลางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนอย่างยั่งยืน