โอกาสและการเข้าถึงพื้นที่และบริการทางสุขภาพคือปัจจัยของการมีกิจกรรมทางกายของคนไทย จากการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2565 พบว่ายังมีปัจจัยการใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทย อาทิ การได้รับข้อมูลและคำแนะนำการมีกิจกรรมทางกาย การเข้าถึงและการใช้บริการ กิจกรรม พื้นที่ สถานที่หรืออุปกรณ์เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย เล่นกีฬา เคลื่อนไหวร่างกายและนันทนาการของชุมชนหรือที่ทำงาน เป็นต้น ที่เป็นปัจจัยสำคัญส่งผลต่อระดับการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดพื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แนวทางการลงทุนเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 8 ประการของ ISPAH ภายใต้แผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกายระดับโลก Global Action Plan on Physical Activity ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จึงทำให้สถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของประชากรไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฟื้นกลับมาเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลับพบว่าการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทยยังไม่สามารถฟื้นคืนใกล้เคียงปี 2562 ที่ร้อยละ 74.6 ได้ ทว่ากลับยังพบว่า กิจกรรมทางกายที่เพียงพอของประชากรไทย ปี 2565 ลดลงจากปี 2564 ที่ผ่านมา แม้สถานการณ์ของโควิด-19 มีการแพร่ระบาดน้อยลงก็ตาม
ผลการศึกษาสถานการณ์การใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพของประชากรไทย ชี้ให้เห็นได้ว่า ประชากรไทยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พื้นที่และการได้รับบริการทางสุขภาพน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนด้านการบริการสุขภาพ (Healthcare) การส่งเสริมกีฬาและนันทนาการสำหรับทุกคน (Sports and Recreation for All) การสื่อสารสาธารณะเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารมวลชน (Public Education, Including Mass Media) และการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียนเต็มรูปแบบ (Whole-of-school Pro grammes) ที่มีการส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างอยู่ในห้องเรียน
• “มีโอกาสและเข้าถึงการสนับสนุนด้านการบริการสุขภาพ (Healthcare) เพียงร้อยละ 36.8”
• “มีโอกาสเข้าถึงการส่งเสริมกีฬาและนันทนาการสำหรับทุกคน
• (Sports and Recreation for All) เพียงร้อยละ 37.8”
• “มีโอกาสเข้าถึงการสื่อสารสาธารณะเพื่อการเรียนรู้และสื่อสารมวลชน (Public Education, Including Mass Media) ร้อยละ 43.2”
•“มีโอกาสเข้าถึงการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียนเต็มรูปแบบ (Whole-of-school Pro grammes) ร้อยละ 56.7
กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสุขภาพระหว่างประเทศไทย (IHPP) ศึกษาวิจัยสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายเพียงพอและพฤติกรรมเนือยนิ่งของคนไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพคนไทยในปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้ที่มีอายุ 18 - 80 ปี จำนวน 78,717 คน ครอบคลุม 77 จังหวัด พบว่า 76% มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง โดยการนั่งตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน และ 72% มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ สาเหตุหนึ่งที่คนไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานที่ใช้แรงกายลดลง เช่น จากการทำงานภาคเกษตรกรรม หรืออุตสาหกรรม เป็นรูปแบบการนั่งในห้องทำงานแทน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากอัตราการเผาผลาญพลังงานต่ำ
Active Thai Archive: ได้นำเสนอผลการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางกายใน 4 ประเด็นหลัก ดังนี้
(1) นโยบายที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย: นโยบายที่ส่งเสริมกิจกรรมทางกาย แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ นโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด เช่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา ทางเดิน ทางจักรยาน เป็นต้น และนโยบายเกี่ยวกับการสร้างโอกาสการมีกิจกรรมทางกายของคนในจังหวัด เช่น งานแข่งขันกีฬา กิจกรรมผู้สูงอายุ เป็นต้น พบว่า
O มี 1 จังหวัด มีนโยบายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดอย่างเดียว
O มี 25 จังหวัด มีนโยบายเกี่ยวกับการสร้างโอกาสการมีกิจกรรมทางกายของคนในจังหวัดอย่างเดียว
oมี 44 จังหวัด มีนโยบายทั้งสองด้าน
oมี 4 จังหวัดไม่มีนโยบายทั้งสองด้าน
(2) จำนวนงานวิ่งต่อปี: กิจกรรมวิ่ง เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จึงทำให้เกิดงานวิ่งระดับจังหวัดประจำปีมากมาย การจัดระยะทางการวิ่งเริ่มตั้งแต่ 1.5 กิโลเมตร ไปจนถึง 42 กิโลเมตรถือเป็นโอกาสสำหรับของการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทยจำนวนงานวิ่ง 1,315 งาน โดยค่าเฉลี่ยการวิ่งของทุกจังหวัดพบว่า 17 งาน
(3) จำนวนผู้ใช้บริการสวนสาธารณะ
สวนสาธารณะเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมของการมาออกกำลังกาย ส่วนใหญ่มาใช้บริการเพื่อเดินวิ่ง ใช้เครื่องออกกำลังกาย และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ ทั่วประเทศไทยมีสวนสาธารณะจำนวน 584 สวน มีค่าเฉลี่ยผู้ใช้บริการสวนต่อวัน 698 คน ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ใช้งานสถานที่สาธารณะทุกจังหวัด 702 คน ต่อสวนสาธารณะต่อวัน
(4) ผู้เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดกิจกรรมทางกาย
หลักฐานทางวิชาการยืนยันแล้วว่าการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ กิจกรรมทางกายยังช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูก และช่วยลดความเครียดและความซึมเศร้าทางอารมณ์ ผลการสำรวจและจัดเก็บข้อมูล พบว่า
O มีผู้เสียชีวิตจากโรคที่ขาดกิจกรรมทางกายรวมทุกจังหวัด 153,229 คน ค่าเฉลี่ยของทุกจังหวัด 1,990 คน คิดเป็นสัดส่วนจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากทุกโรค 31.53 % ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 30 %
O มีประชากรไทยที่ผ่านข้อแนะนำด้านกิจกรรมทางกายของ WHO ด้วยหลักความรอบรู้ด้านกิจกรรมทางกาย เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพและการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ สัดส่วนประชากรที่ผ่านเกณฑ์จาก WHO รวมทุกจังหวัด 37.70 % ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 30 % และถึงแม้ว่าค่าเฉลี่ยจำนวนนาทีการมีกิจกรรมทางกายในประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่สากลแนะนำ แต่จำนวนนาทีนั้นแสดงให้เห็นถึง ความกระจุกของจำนวนนาทีในบางจังหวัดเท่านั้น ซึ่งการบ่งบอกถึงการประสบผลสำเร็จ ควรจะทำให้เกิดการ จำนวนนาทีของการมีกิจกรรมทางกายประชากรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (หรือประมาณ 30 นาทีต่อวัน เกือบทุกวัน)
ในรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านการมีกิจกรรมทางกายในกลุ่มประชากรหญิงไทย ซึ่งจัดทำบทวิเคราะห์โดยศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) เมื่อปี 2564 ชี้ให้เห็นข้อมูลปี 2555–2564 ว่าผู้หญิงไทยขาดกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอในทุกช่วงวัย และมีระดับกิจกรรมทางกายต่ำกว่าผู้ชายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปีโควิด-19 รวมถึง ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศยิ่งกว้างขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2563–2564: Gini Coefficient เพิ่มจาก 0.440 เป็น 0.448 สะท้อนความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงกิจกรรมทางกาย และมีอุปสรรคสำคัญที่ผู้หญิงเผชิญ ได้แก่
ไม่มีเวลา พบในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะหญิงวัยทำงาน (46.1%) และหญิงสูงวัย (25.3%) ที่เกี่ยวเนื่องกับภาระงาน การดูแลครอบครัว และภารกิจในบ้าน
ขาดความมั่นใจ ในกลุ่มเด็ก-เยาวชนหญิง (16.7%) รู้สึกขาดทักษะหรือกลัวการถูกตัดสิน ส่วนกลุ่มหญิงวัยทำงานและผู้สูงอายุมีความกังวลภาพลักษณ์ หรือ มีข้อจำกัดทางสุขภาพ เช่น โรคอ้วน ข้อเสื่อม
ไม่มีแรงจูงใจ พบในกลุ่มเยาวชนหญิง (21.2%) และหญิงวัยทำงาน (19.5%) ซึ่งมีสาเหตุจากการไม่พบกิจกรรมที่ชอบ ไม่รู้ว่าทำอะไรได้ หรือไม่มีแรงสนับสนุนจากครอบครัว/สังคม
(ผู้หญิงกล้าขยับ: บทวิเคราะห์สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านการมีกิจกรรมทางกายในกลุ่มประชากรหญิงไทย https://tpak.or.th/th/concept/print_media )
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0