0

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-08-01 10:42:50

บทนำ

 

Highlights:

  • ทุก ๆ ปีมีคนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากอุบัติเหตุทางถนน ด้วยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ท้าทายในการร่วมกันทำให้ถนนปลอดภัยกว่าเดิม
  • เปิดเผยความสัมพันธ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ระหว่างการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับอุบัติเหตุบนท้องถนน เจาะลึกต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมอันเป็นผลกระทบในวงกว้างและในระยะยาวต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน และเศรษฐกิจโดยรวม
  • ความพยายามในการใช้บทลงโทษที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อยับยั้งบุคคลให้ละเลิกลดพฤติกรรมขับขี่ที่เป็นอันตราย รวมทั้งพลังของการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเลือกอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อต่อสู้กับการดื่มแล้วขับ

 

“ดื่มแก้วเดียว ขับไปใกล้ ๆ ได้หรือเปล่า” คำตอบคือ “ไม่”

เพราะการขับรถหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงหนึ่งหรือสองแก้วมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักทำให้คนไทยเสียชีวิตจำนวนมากในแต่ละปีจนมีสถิติติดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยกว่าครึ่งเสียชีวิตจากเหตุที่เกิดใกล้บ้าน

อุบัติเหตุทางถนนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมอย่างมหาศาล

ที่ผ่านมา ปัญหานี้ถูกผลักดันให้เป็นวาระสำคัญแห่งชาติ แต่อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน การบาดเจ็บและเสียชีวิตยังห่างไกลเป้าหมาย โดยเฉพาะอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลซึ่งยังคงน่าวิตก

เพื่อเผชิญกับความท้าทายนี้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

ภัยซ่อนเร้นเบื้องหลังสถิติอุบัติเหตุ

อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุฯ รายงานสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ในปี 2564 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 13,621 คน และผู้บาดเจ็บ 883,336 คน ในปี 2565 เสียชีวิต 15,010 คน และบาดเจ็บ 926,829 คน

จากรายงานในวารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย พบว่า อุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่ปี 2554-2563 มีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมถึง 206,589 คน เฉลี่ยเสียชีวิต 20,659 คนต่อปี หรือ 58 คนต่อวัน ในช่วงโควิด-19 ระบาดมีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับปี 2562 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนก็ยังสูงถึง 17,831 คน หรือเฉลี่ยวันละ 49 คน

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า 5 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนรวม 96,230 ราย เฉลี่ยปีละ 19,246 ราย เป็นชายมากกว่าหญิงในสัดส่วน 3.7 ต่อ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-19 ปี คิดเป็นร้อยละ 11.37 และ 20-24 ปี คิดเป็นร้อยละ 11.05  ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์

ความเชื่อมโยงแสนอันตราย…แอลกอฮอล์ & อุบัติเหตุทางถนน

สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนมาจากพฤติกรรมการขับขี่โดยเฉพาะ “ดื่มแล้วขับ” ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง ความมึนเมาทำให้ขาดสติ คึกคะนอง ประมาท ฯลฯ อุบัติเหตุทางถนนเกิดสูงขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์

ข้อมูลจากกรมคุมประพฤติ สรุป 7 วันอันตรายช่วงปีใหม่ 2566 (29 ธ.ค. 2565 – 4 ม.ค. 2566) มีคดีจำนวนทั้งสิ้น 8,923 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 8,567 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.01 เทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 มีจำนวน 7,868 คดี พบว่า คดีขับรถขณะเมาสุรา มีจำนวนเพิ่มขึ้น 699 คดี คิดเป็นร้อยละ 8.88

ขณะที่ 7 วันอันตรายในเทศกาลสงกรานต์ 2566 (11-17 เม.ย. 2566) มียอดสะสม 8,869 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 8,575 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.69 เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 มีจำนวน 7,141 คดี พบว่า คดีขับรถขณะเมาสุรามีจำนวนเพิ่มขึ้น 1,434 คดี คิดเป็นร้อยละ 20.08

 

 

ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคม ผลกระทบจากอุบัติเหตุทางถนน

อุบัติเหตุทางถนนนอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประสบภัยแล้ว ยังทำให้เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย การเสียชีวิตจากและบาดเจ็บทำให้ผู้ประสบภัยและครอบครัวสูญเสียผลิตภาพ ส่งผลต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ อุบัติเหตุยังก่อให้เกิดต้นทุนอื่น ๆ เช่น ต้นทุนในการดำเนินคดี ต้นทุนจากผลกระทบต่อสภาพการจราจร เป็นต้น

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ความสูญเสียทางเศรษฐกิจปี 2566 กรณีเกิดผู้พิการรายใหม่จากอุบัติเหตุทางถนนตามข้อมูลสถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2560 - พ.ศ.2564) โดยคิดภาพรวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจ แบ่งตามระดับความรุนแรง ดังนี้ เสียชีวิต 511,515 ล้านบาท บาดเจ็บรุนแรง (IPD) 158,669 ล้านบาท บาดเจ็บเล็กน้อย (OPD) 144,957 ล้านบาท พิการ 306,156 ล้านบาท

นอกจากนี้อุบัติเหตุทางถนนทำคนไทยอายุขัยสั้นลงและสูญเสียทางเศรษฐกิจ 12 ล้านล้านบาท

อุบัติเหตุทางถนนยังมีผู้บาดเจ็บรุนแรง ต้องดูแลในโรงพยาบาลถึงปีละ 150,000-200,000 คน ซึ่ง ในจำนวนนี้ร้อยละ 4.6 มีความพิการทางร่างกาย เท่ากับมีผู้พิการรายใหม่ 7,000-13,000 คนต่อปี คิดเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประมาณการไว้สูงถึง ปีละกว่า 545,000 ล้านบาท

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน นับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดรั้งขีดความสามารถพัฒนาประเทศ

ดื่มแล้วขับกับบาดแผลในใจเหยื่อและญาติ

อุบัติเหตุทางถนนเป็นต้นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ บางคนต้องกลายเป็นผู้พิการ ทั้งยังอาจเจ็บป่วยทางจิตใจ ไม่เพียงเท่านั้นผลกระทบยังมีต่อสมาชิกครอบครัวและคนใกล้ชิด

ข้อมูลจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พบว่า ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัวถึงร้อยละ 51 และร้อยละ 53 ขับขี่ออกไปเสียชีวิตใกล้บ้านในรัศมีเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

หลังเกิดอุบัติเหตุทางถนนจึงทำให้ผู้ประสบภัยและครอบครัวได้รับผลกระทบในระยะยาว จากสภาวะความเครียดที่รุนแรง จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอวัยวะหรือถึงขั้นชีวิต เช่น โรคความเครียดจากการได้รับบาดเจ็บ, โรคซึมเศร้า ฯลฯ ซึ่งในระดับรุนแรงอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้

ในการฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ประสบภัยครอบครัวและคนรอบข้างสามารถช่วยได้ โดยการพูดคุยและคอยรับฟังในเวลาที่ต้องการให้ช่วยเหลือ หากอาการรุนแรงมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ควรพบผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช เพื่อรับคำปรึกษาและดูแลด้วยการใช้จิตบำบัด

บทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมอันตราย

ดื่มแล้วขับเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่อที่คนขับต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีผู้ได้รับความเสียหาย บาดเจ็บ เสียชีวิต

ตามกฎหมายระบุว่า บุคคลทั่วไปที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินร้อยละ 50 mg และผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินร้อยละ 20 mg ถือว่าเมาแล้วขับ หากปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ เท่ากับเมา

            สำหรับกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้เพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำกรณี “เมาแล้วขับ” โดยกำหนดบทลงโทษผู้เมาแล้วขับ ดังนี้

1. ทำผิดครั้งแรก อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท

2. ทำผิดซ้ำข้อหา "เมาแล้วขับ" ภายใน 2 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งแรก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000-100,000 บาท โดยศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วย พร้อมถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

3. เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เสียชีวิต โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

 

และภายใต้กฎหมายใหม่ที่ใช้ระบบตัดคะแนนผู้ขับขี่ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 อย่างเต็มรูปแบบ อาจจะมีส่วนช่วยให้คนไทยมีวินัยจราจรมากขึ้นและลดอุบัติเหตุบท้องถนนได้ โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและภาคี ได้ร่วมกันกําหนดเป้าหมายการเสียชีวิตจากปัจจุบัน 27.2 ต่อแสนประชากร ให้เหลือไม่เกิน 12 ต่อแสนประชากร ในปี 2570

ด้วยบทลงโทษที่เข้มขึ้นนี้อาจทำให้ทุกคนต้องคิดให้มากขึ้นก่อนจะชนแก้วแล้วเหยียบคันเร่ง

“ดื่มไม่ขับ กรึ่ม ๆ ก็ถึงตาย”

หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยไม่มีผลกับร่างกาย แต่ในความเป็นจริง การดื่มแอลกอฮอล์เพียงหนึ่งหรือสองแก้วสามารถส่งผลต่อความสามารถในการขับรถและการตัดสินใจซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รณรงค์ “ดื่มไม่ขับ กรึ่ม ๆ ก็ถึงตาย” เพื่อเน้นย้ำผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงแก้วเดียวแล้วขับขี่ก็อาจเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า บางคน “เมาแล้วขับ” ได้ดี ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดและเป็นความคิดที่อันตรายมาก เพราะในขณะที่ยัง “รู้สึก” ว่ามีสติอยู่ แต่แอลกอฮอล์ในเลือดไม่ว่าจะมีปริมาณเท่าใด อาจทำให้เกิดอาการมึนเมา มีผลออกฤทธิ์กดประสาท ทำให้สมองทำงานช้าลง ความคิดสับสน ส่งผลต่อการตัดสิน ฯลฯ

การดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้วขับขี่ โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 2 เท่า ส่งผลทางระบบประสาทและมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มความเสี่ยงถึง 6 เท่า สูญเสียการทรงตัว มึนงง เดินไม่ตรงทาง และหากมีปริมาณแอลกอฮอล์สูง 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป โอกาสเกิดอุบัติเหตุเสี่ยงสูงถึง 40 เท่า จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกตัวช้า ระบบในร่างกายทำงานแย่ลง ไม่สามารถควบคุมรถได้

 

ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนโดยเฉพาะจากการดื่มแล้วขับในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ร่วมกัน ทุกคนต้องรับผิดชอบในการงดเว้นจากการดื่มแล้วขับ เพื่อมุ่งไปสู่สังคมซึ่งมีอันตรายจากอุบัติเหตุทางถนนน้อยลง

เพราะว่า คนขับที่ดีที่สุดคือ คนขับที่ไม่ดื่ม และนักขับที่เก่งที่สุดรู้ว่า จะต้องไม่ไปนั่งหลังพวงมาลัยหลังจากดื่มแอลกอฮอล์!

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/323233

https://www.tcijthai.com/news/2023/4/scoop/12909

https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/114433-isranews-news-34.html

https://www.bugaboo.tv/news/595662

https://www.hfocus.org/content/2019/12/18257

https://www.thaipbs.or.th/news/content/323121

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/1488/iid/147290

https://www.thaihealth.or.th/เดินหน้าสร้างควาตระหนั/

https://www.thaihealth.or.th/สานพลังลดอุบัติเหตุสงก/ 

https://www.thairsc.com/data-compare

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น
1708932589.JPG

Writer hotmail

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

สร้างรากฐานชีวิตเด็ก ๆ ด้วยหนังสือ ไม่มีวิธีการสื่อสารใดทดแทนการอ่านได้
1708931705.jpg

Super Admin ID1

สร้างรากฐานชีวิตเด็ก ๆ ด้วยหนังสือ ไม่มีวิธีการสื่อสารใดทดแทนการอ่านได...

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้...

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า
defaultuser.png

ชลธิดา เณรบำรุง

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า

เรื่องกินเรื่องใหญ่…กว่าที่คิด  พฤติกรรมกินขาด ๆ เกิน ๆ โรคร้ายจะมาเยือน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เรื่องกินเรื่องใหญ่…กว่าที่คิด พฤติกรรมกินขาด ๆ เกิน ๆ โรคร้ายจะมาเยื...

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ลด ละ เลิกเหล้า ด้วยพลังของชุมชน

Super Admin ID1

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย ท่ามกลางการต่อสู้อันยาวนานนี้ หนึ่งในสัญญาณแห่งความหวังที่จะสนับสนุนให้ประชากรเลิกสุราได้ คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน
จากรายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย ปี 2557 พบว่า การเสพติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุลำดับที่ 5 ของการสูญเสียปีสุขภาวะ (DALYs) ในเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 4.5 และเป็นสาเหตุลำดับที่ 1 ของการสูญเสียปีสุขภาวะจากภาวะบกพร่องทางสุขภาพ (YLDs) ในเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 13.1 และเป็นสาเหตุลำดับที่ 12 ในเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 1.7 


ในการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากร ปี 2560 พบว่า ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 55.9 ล้านคน ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 10.7 ล้านคน กลุ่มอายุ 25-44 ปี มีอัตราการดื่มสุราสูงสุด ร้อยละ 36.0
ผลการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ ปี 2556 พบว่า คนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีความผิดปกติของพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2.7 ล้านคน แต่เข้ารับบริการสุขภาพเพียงร้อยละ 1.6 และในปี 2563 จากรายงานกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้มีปัญหาจากการดื่มสุราเข้ารับการบำบัดในสถานบริการสุขภาพเพียงร้อยละ 9.47

ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้มีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการบำบัดฟื้นฟูและเลิกดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง โดยดึงชุมชนเข้ามามีบทบาทสำคัญ
สมาคมฮักชุมชน โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  (สสส.) ได้จัดทำโครงการเพื่อส่งเสริมการลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เน้นการทำงานผ่านชุมชนและวัด ซึ่งใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย โดยถือเอาช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน เป็นจุดเริ่มต้น
เป้าหมายเพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนโดยที่คนในชุมชนซึ่งเข้าใจปัญหาได้เข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการให้ความรู้ ทักษะ เครื่องมือในการดูแลผู้มีปัญหาสุรา และสามารถติดตามผลได้ นอกจากช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มแล้ว ยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับครอบครัวและชุมชน ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย











โครงการมี 2 รูปแบบคือ “รูปแบบธรรมนำทาง” เป็นกิจกรรมในวัดที่มีพระสงฆ์ช่วยสร้างสติเสริมปัญญา ควบคู่ไปกับการให้ความรู้จากบุคลากรสุขภาพ พร้อมมีชุมชนและครอบครัวร่วมสนับสนุน
ส่วน “รูปแบบกลุ่มฮักครอบครัว” เป็นการทำกิจกรรมกลุ่ม โดยผู้มีปัญหาสุราและสมาชิกในครอบครัวต้องเข้าร่วมทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมีการติดตามผล
ทั้ง 2 รูปแบบใช้เวลา 12 เดือน ระหว่างนั้นจะมีการติดตาม การฝึกพัฒนาทักษะให้อาชีพสร้างรายได้ เพื่อให้เลิกสุราได้อย่างยั่งยืน
หนึ่งในพื้นที่ต้นแบบซึ่งประสบความสำเร็จจากการดูแลผู้มีปัญหาสุราโดยชุมชนคือ เทศบาลตำบลสบเตี๊ยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพื้นที่นำร่องใน 8 หมู่บ้านของตำบลสบเตี๊ยะซึ่งเป็นรูปแบบกลุ่มฮักครอบครัว หลังจากดำเนินการมา 2 ปี ได้มีการอบรมพัฒนาทักษะคนในพื้นที่ 124 คน ให้มีความรู้ด้านบริหารจัดการและการจัดกิจกรรมกลุ่มฮักครอบครัว และบำบัดการเลิกเหล้า



ในจำนวนนี้ผู้มีปัญหาจากการดื่มสุราที่มีแนวโน้มดื่มจนทำให้เกิดปัญหากับตนเอง ครอบครัว และชุมชน เข้าร่วมจำนวน 55 คน สามารถปรับพฤติกรรมจนเลิกดื่มสำเร็จ 12 คน (ร้อยละ 22) ลดการดื่มลง 38 คน (ร้อยละ 69) ดื่มในระดับเดิม 4 คน (ร้อยละ 7) และเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว 1 คน
ผู้มีปัญหาสุราส่วนใหญ่ที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยลดการดื่มสุราลงได้ จะมีสุขภาพดีขึ้น ได้รับโอกาสการจ้างงาน มีความเข้าใจกันในครอบครัวมากขึ้น และเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนมากขึ้น
จากผลสำเร็จของการดำเนินโครงการ ทำให้เทศบาลตำบลสบเตี๊ยะมีศักยภาพพร้อมเป็นพื้นที่ต้นแบบชุมชนสุขภาวะและจะมุ่งขยายให้เกิดพื้นที่ต้นแบบในทุกภูมิภาคต่อไป