0

0

บทนำ

พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ นำมาสู่อัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยจำนวนมาก ควรลดอาหารหวาน มัน และเค็ม โดยใช้สูตร 6:6:1 เป็นตัวช่วย
 

NCDs โรคร้ายจากการใช้ชีวิต

ปัจจุบัน ในประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) 14 ล้านคน ทุกปีมีผู้เสียชีวิตด้วย NCDs กว่า 3 แสนคน รวมถึงคนอายุน้อยที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจำนวนมาก
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง หัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ทางเดินหายใจเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง อ้วน ฯลฯ สาเหตุไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน แต่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรม กระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง สร้างความสูญเสียให้กับประเทศอย่างมหาศาล
ปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคกลุ่มนี้คือ การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมากเกินไป เพื่อจัดการกับ NCDs สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำให้ใช้สูตร 6:6:1
 

6:6:1 สูตรสุขภาพดี

สูตร 6:6:1 คือ การจำกัดอาหารหวาน มัน และเค็ม โดยในแต่ละวันควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา และเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา (หรือน้ำปลาไม่เกิน 4 ช้อนชา)
เพราะการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น กระดูกและฟันไม่แข็งแรง เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความหวานยังทำให้เซลล์ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น
ถึงแม้ว่าไขมันบางชนิดจะมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่การกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ สร้างผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น นำไปสู่โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
ขณะที่การรับประทานอาหารเค็มมาก ทำให้เสี่ยงความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และอื่น ๆ

 

อาหารต้องระวังหวาน มัน เค็ม!

อาหารที่เราคุ้นเคยหรือรับประทานอยู่ทุกวัน อาจมีปริมาณความหวาน มัน และเค็มสูงเกินไป

อย่างเช่น เครื่องดื่มสุดโปรดหนึ่งแก้วอาจมีน้ำตาลสูงเกินปริมาณซึ่งควรบริโภคต่อวัน เช่น ชาเขียว 1 ขวด มีน้ำตาล 14 ช้อนชา ชานมไข่มุก 1 แก้ว น้ำตาล 11 ช้อนชา กาแฟสดเย็น 1 แก้ว น้ำตาล 9 ช้อนชา น้ำอัดลม 1 กระป๋อง น้ำตาล 8.5 ช้อนชา เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด น้ำตาล 7 ช้อนชา เป็นต้น

อาหารที่เต็มไปด้วยไขมันซึ่งต้องระวัง เช่น ไข่ดาว ไขมัน 4 ช้อนชา ไข่เจียว 5 ช้อนชา หอยทอด / ข้าวขาหมู 1 จาน 8 ช้อนชา โดนัท 1 ชิ้น 4.5 ช้อนชา พิซซ่า 1 ชิ้น 4 ช้อนชา มันฝรั่งทอด 20 ชิ้น 3 ช้อนชา ฯลฯ

อาหารยอดนิยมอย่าง หมูกระทะ ชาบู ฯลฯ พบโซเดียมกว่า 12,000 มิลลิกรัม ควรหลีกเลี่ยงการกินน้ำซุปหรือกินน้อยลง เพราะน้ำซุปมีปริมาณโซเดียมสูงจากเครื่องปรุงรสหรือซุปก้อน ส่วนส้มตำถาดปูปลาร้านั้นพบมีโซเดียมกว่า 2,000 มิลลิกรัม บะหมี่สำเร็จรูป 1 ห่อ มีโซเดียม 1,500 มล. (3/4 ช้อนชา) เป็นต้น

ในเครื่องปรุงต่าง ๆ มักจะมีโซเดียมสูงเช่น ไตปลา (1 1/2 ช้อนชา) ปลาร้า (3/4 ช้อนชา) เต้าเจี้ยว (1 ช้อนชา) ซุปก้อน (1 1/4 ช้อนชา) ฯลฯ

 

เพื่อการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรค ควรรักษาสมดุลในการบริโภค โดยควบคุมปริมาณน้ำตาล น้ำมัน และโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์แนะนำ

สูตร 6:6:1 สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ทุกคนบริโภคอาหารอย่างเหมาะสมได้

อ้างอิง

  • สสส. ชวนใช้สูตร 6:6:1 ปรุงอาหาร – 2:1:1 จัดจานสุขภาพดี ลดเสี่ยง NCDs ห่วงเมนูฉลองปีใหม่ “หมูกระทะ-ชาบู-ตำปูปลาร้า” โซเดียมกว่า 12,000 มก,30 ธันวาคม 2566, https://shorturl.asia/NrlWL
  • หวาน มัน เค็ม เลี่ยงได้ ด้วยสูตร 6:1:1, https://shorturl.asia/5VQ4P
  • คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการ สสส. ประจำเดือนมิถุนายน 2566, https://shorturl.asia/Y89bH
  • สุขภาพดีเริ่มที่...อาหาร ลด หวาน มัน เค็ม เติมเต็ม ผัก ผลไม้, สิงหาคม 2562,

https://shorturl.asia/4Lp9r
โรค NCDs ฆาตกรเงียบที่คุกคามอนาคตประเทศไทย, https://shorturl.asia/NJt38

0 ถูกใจ 1.3K การเข้าชม

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

พลิกวิกฤตการระบาดโควิด - 19 สู่บริการระบบสุขภาพวิถีใหม่
1708931705.jpg

Super Admin ID1

พลิกวิกฤตการระบาดโควิด - 19 สู่บริการระบบสุขภาพวิถีใหม่

Here to heal ...พื้นที่แห่งการดูแลจิตใจใกล้ตัว
1717644549.jpg

เบนจี้ ชลพรรษ

Here to heal ...พื้นที่แห่งการดูแลจิตใจใกล้ตัว

ติดต่อเรา
1719481749.jpeg

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

ส่วนที่ 3 : บริบทแวดล้อม และปัจจัยเอื้อ เครื่องมือ โปรแกรม สื่อ ในการสร้างเสริมสุขภาวะด้านสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
defaultuser.png

Admin ID3

ส่วนที่ 3 : บริบทแวดล้อม และปัจจัยเอื้อ เครื่องมือ โปรแกรม สื่อ ในการส...

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

admin

 

อาหารเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังของคนไทยปัจจุบันอาหารจึงไม่ใช่เรื่องเล็กที่ทุกคนจะละเลยได้อีกต่อไป เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปมีผลต่อสุขภาพ กล่าวคือ ถ้าเรากินพอดี เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ก็จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง แต่ถ้าเรากินอาหารมากไป เกินความต้องการของร่างกายอาหารก็จะไปสะสมบริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายและส่งผลให้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคไตเรื้อรัง ซึ่งโรคดังกล่าวสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ด้วยการมีพฤติกรรมการกินที่ถูกต้องเหมาะสมดังนี้

 

กินพอดีกินอย่างไร?

กินพอ คือ กินอาหารให้ครบทุกกลุ่มอาหาร ในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย

กินดี คือ กินอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลายชนิด ไม่ซ้ำซากจำเจ

การกินพอดี จะช่วยให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส ไม่เจ็บป่วยง่าย นอกจากนั้น             ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และสุขภาพแข็งแรง

การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทำให้ได้สารอาหารหลากหลาย ครบถ้วน ได้แก่

อาหารหมู่ที่ 1  กลุ่มเนื้อสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ นม ให้สารอาหารประเภทโปรตีน แคลเซียม

อาหารหมู่ที่ 2  กลุ่มข้าว-แป้ง ข้าวโพด เผือก มัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย

อาหารหมู่ที่ 3  กลุ่มผักต่างๆ ให้สารอาหารประเภทวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร

อาหารหมูที่ 4  กลุ่มผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารประเภทวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร

อาหารหมู่ที่ 5  กลุ่มไขมัน ให้พลังงาน สร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยดูดซึมวิตามิน

ดังนั้น เราควรกินอาหารให้หลากหลายชนิดในแต่ละกลุ่มหมุนเวียนกันไปไม่กินซ้ำซากจำเจเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อให้ได้สารอาหารต่างๆ ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการสะสมพิษภัยจากการปนเปื้อนในอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่กินเป็นประจำ

นอกจากกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และหลากหลายแล้ว ร่างกายยังต้องการอาหารแต่ละหมู่              ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดอาหาร 5 หมู่ ให้เป็นกลุ่มอาหารที่เราควรกิน    ในปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไปเพื่อให้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ เป็น “ธงโภชนาการ” การกินอาหารตาม             “ธงโภชนาการ” ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 5 วัน งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคเรื้อรัง

Food | Definition & Nutrition | Britannica

แหล่งข้อมูล : กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. สำรับอาหารสุขภาพ