0

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-08-02 17:35:57

บทนำ

 

อยู่ ๆ พนักงานคนเก่งคนดีก็ลาออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น พวกเขาเคยแสดงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และหลงใหลในงานของตัวเองอย่างมาก

กับสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อค้นลงลึกอาจพบว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคือ Brown-out Syndrome” หรือ “ภาวะหมดใจในการทำงาน”

Brown-out หมายถึง ไฟตก อาจมีไฟดับเป็นบางช่วง ขณะที่ในโลกของการงาน บราวน์-เอาท์ ซินโดรม คือ การขาดแรงจูงใจ ขาดความกระตือรือร้น มีความสนใจในงานลดลง รู้สึกไม่ได้รับคุณค่าและความสำคัญเท่าที่ควร จึงทำให้ออกห่างจากงานมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งต่องานและชีวิตส่วนตัว

 

ภาวะหมดใจ (Brown-out Syndrome) นั้นคล้ายคลึงกับ ภาวะหมดไฟ (Burn-out Syndrome) อย่างมาก

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ภาวะหมดไฟ (Burn-out Syndrome) เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน (Occupational phenomenon) แต่ไม่จัดว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือมีเงื่อนไขทางการแพทย์ (Medical condition) โดยจำกัดความของภาวะหมดไฟใช้ในบริบทของคนทำงานหรือการทำงานเท่านั้น

สาเหตุของภาวะหมดไฟมาจากความเครียดเรื้อรังจากการทำงานที่จัดการได้ไม่ดีพอ ทำให้รู้สึกสูญเสียพลังงาน อ่อนเพลีย ไม่อยากทำงาน มีทัศนคติเชิงลบต่องาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อาจเพราะการขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ภาระงานที่มากเกิน ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกิน รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับ ความคาดหวังในการทำงาน การทำงานที่ไม่เหมาะกับตนเอง เป็นต้น

ภาวะหมดไฟทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง หลีกเลี่ยงงาน แยกตัวเองออกจากสังคม อาจหันมาใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อาการปวดกล้ามเนื้อ ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีแนวโน้มจะเกิดความเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามมา

ขณะที่ภาวะหมดใจ (Brown-out Syndrome) แสดงออกมาผ่านพฤติกรรมและความรู้สึกบางอย่าง เช่น รู้สึกว่าภาระงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องการหยุด ไม่อยากจะสนใจอาชีพการงานของตนอีกต่อไป มีส่วนร่วมในการประชุมหรือแสดงความคิดเห็นน้อยลง มีปัญหาในการติดต่อกับที่ทำงาน มีความทุกข์ทางจิตใจ มีปัญหาการใช้ชีวิต เช่น กิน นอน และออกกำลังกาย ไม่มีอารมณ์ขัน ก้าวร้าว ปิดกั้นตัวเองจากครอบครัวและเพื่อน เป็นต้น

 

 

ในความใกล้เคียง สิ่งที่ทำให้ภาวะหมดไฟและภาวะหมดใจแตกต่างกันคือ

• ภาวะหมดไฟสามารถสังเกตเห็นได้ แต่ภาวะหมดใจสังเกตได้ยาก พวกเขาอาจจะดูเป็นปรกติ สามารถทำงานได้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกอยากหยุดงานทุกอย่าง

• ภาวะหมดไฟมักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ภาวะหมดใจเป็นอาการระยะยาว ค่อย ๆ สะสมมาเรื่อย ๆ นำไปสู่การลาออกเงียบ ๆ ในที่สุด

หากคนระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารมีภาวะหมดใจ อาจส่งผลต่อสภาพแวดล้อมองค์กร ทำให้พนักงานคนอื่น ๆ เกิดภาวะบราวน์-เอาท์ ซินโดรมต่อได้

ภาวะหมดใจ เป็นสาเหตุที่ทำให้คนลาออกจากงานจำนวนมาก จากผลสำรวจของ คอร์ปอเรท บาลานซ์ คอนเซ็ปท์ (Corporate Balance Concepts) ระบุว่า พนักงานระดับสูงที่เผชิญกับภาวะหมดไฟมีจำนวนร้อยละ 5 แต่ผู้เผชิญกับภาวะหมดใจ มีร้อยละ 40

นั่นทำให้ภาวะหมดใจ นับเป็นภัยเงียบที่องค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญ

การแก้ไขและป้องกันภาวะหมดใจ ต้องย้อนกลับไปดูที่สาเหตุจะพบว่า องค์กรมีส่วนสำคัญ

ถ้าองค์กรไม่มีทิศทางในการทำงาน มีกฎระเบียบเข้มงวด จุกจิก ตีกรอบพนักงานมากเกินไป หรือภายในองค์กรมีความไม่เท่าเทียม ไม่เป็นธรรม ขาดความสัมพันธ์ที่ดี พนักงานไม่รู้ทิศทางขององค์กร มีความคาดหวังและความกดดันสูง ฯลฯ เหล่านี้ทำให้เกิดภาวะหมดใจได้

หากเป็นเช่นนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเช่น ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้เชี่ยวชาญจำเป็นต้องสื่อสารกับพนักงานทันทีที่สังเกตเห็นสัญญาณเตือน ต้องรับฟังความรู้สึก ความต้องการ และคาดหวัง เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข อาจมีการมอบหมายงานหรือตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ให้ลาหยุดงาน แบ่งเบาภาระงาน รวมทั้งปลูกฝังให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ชื่นชมยกย่องคนที่ทำงานได้ดี ให้อิสระในการทำงานภายใต้กรอบ เป็นต้น

ในส่วนคนทำงานสามารถเช็กอาการหมดใจของตนเองได้ ถ้าหากว่า …

• ความกระตือรือร้นในการทำงานลดลง

• ไม่อยากทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเคยทำได้

• พักผ่อนไม่เพียงพอ ป่วยบ่อยขึ้น ดูแลตัวเองน้อยลง

• ไม่ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมขององค์กร

• ปลีกตัวห่างจากสังคมเพื่อนร่วมงาน

• ขาดความสนใจในเรื่องทั่วไป ฯลฯ

 

เมื่อพบภาวะหมดใจ สิ่งที่ต้องทำคือ แบ่งเวลาการทำงานและการพักผ่อนให้ชัดเจนขึ้น ปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ หาเวลาพักร้อน ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน แต่หากมีอาการเศร้า หดหู่ เบื่อหน่าย ทุกข์ทรมาน มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ

เพราะว่า ภาวะหมดใจ Brown-out Syndrome เป็นปัญหาที่อาจกัดกร่อนความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลในที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ และส่งผลกระทบวงกว้าง การตระหนักถึงสัญญาณและการดำเนินการเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

 

อ้างอิง

ไทยรัฐออนไลน์, รู้จักภาวะหมดไฟและหมดใจในการทำงาน ความสำคัญและข้อแตกต่างที่น่ารู้, 20 มกราคม

2565, https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2292449

Apichaya Jatutain, ‘ภาวะ Brownout’ ไม่ได้หมดแรงแต่หมดใจ ไม่อยากไปต่อกับการทำงาน, 7 พฤษภาคม

2564, https://missiontothemoon.co/psychology-brownout/

Sahra Benseghir, Research Paper: How Coaching Can Prevent Brownout Syndrome?, 4 สิงหาคม 2563, https://coachcampus.com/coach-portfolios/research-papers/sahra-benseghir-how-coaching-can-prevent-brownout-syndrome/

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

อุบัติเหตุบนท้องถนน คนเดินเท้าเสี่ยงเสียชีวิต-บาดเจ็บมากสุด
1708931705.jpg

Super Admin ID1

อุบัติเหตุบนท้องถนน คนเดินเท้าเสี่ยงเสียชีวิต-บาดเจ็บมากสุด

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 2 : กระบวนการ และกลไก สร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้...

สร้างรากฐานชีวิตเด็ก ๆ ด้วยหนังสือ ไม่มีวิธีการสื่อสารใดทดแทนการอ่านได้
1708931705.jpg

Super Admin ID1

สร้างรากฐานชีวิตเด็ก ๆ ด้วยหนังสือ ไม่มีวิธีการสื่อสารใดทดแทนการอ่านได...

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น
1708932589.JPG

Writer hotmail

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

อิทธิพลของเอลนีโญต่อฝุ่น PM2.5 ปี 2567 กับภัยคุกคามสุขภาพที่รุนแรงขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

อิทธิพลของเอลนีโญต่อฝุ่น PM2.5 ปี 2567 กับภัยคุกคามสุขภาพที่รุนแรงขึ้น

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

“ติดเค็ม” … สะเทือนไต คนวัยทำงาน ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรค

Super Admin ID1

 

 

 

Highlight

  • ผู้ใหญ่วัยทำงานจำนวนมากติดเค็มและบริโภคโซเดียมมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง
  • จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชาหรือ 5 กรัม เฉลี่ยแล้วไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร
  • โซเดียมไม่ใช่แค่เกลือหรือน้ำปลา อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดมีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่และน้ำผลไม้ ซึ่งมีโซเดียมแฝงมาในวัตถุเจือปนอาหาร โดยเฉพาะสารกันบูด
  • อาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ดมากกว่าครึ่งใช้โซเดียมเป็นส่วนประกอบในระดับความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ โดยกับข้าวและอาหารจานเดียวส่วนใหญ่มีโซเดียมเกินกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อถุงหรือกล่อง
  • วิธีหลีกเลี่ยงการบริโภคโซเดียมที่ได้ผลคือปรุงอาหารรับประทานเอง ควรเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ สามารถช่วยคุมปริมาณเกลือในมื้ออาหารได้ ปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น ไม่เติมผงชูรส ผงปรุงรส หรือซอสต่าง ๆ ควรเลือกซื้ออาหารจากร้านค้าที่มั่นใจว่าที่ไม่ใช้ผงชูรส ผงปรุงแต่งรส หรือซื้อจากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

 

 

ในหนึ่งวันของชีวิตคนวัยทำงาน อาจจะเริ่มต้นด้วย เติมพลังยามเช้าด้วยขนมปังทาเนย ไส้กรอก ไข่ดาวเหยาะซอสปรุงรสแล้วรีบเร่งไปทำงาน มื้อกลางวันรับประทานอาหารจานเดียวง่าย ๆ อย่างเช่นก๋วยเตี๋ยวร้านข้างออฟฟิศที่ต้องปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้ม ฯลฯ ตามความเคยชิน พอถึงช่วงบ่าย เปิดถุงขนมขบเคี้ยวรสเค็มเป็นของว่าง ตกค่ำกลับบ้านทำกับข้าวสูตรเด็ดที่ประกอบด้วยสารพัดซอส และดึกดื่นตื่นมากินบะหมี่สำเร็จรูปอีกสักห่อ …’

หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องปรกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่ถ้าฉุกใจลองคิดคำนวณดูอาจพบว่าอาหารที่เราบริโภคในแต่ละวันนั้นมีปริมาณเกลือหรือโซเดียมมากเกินไปแบบไม่ธรรมดา

ที่ผ่านมามีผลการศึกษาระบุว่า ผู้ใหญ่วัยทำงานจำนวนมากติดเค็มและบริโภคโซเดียมมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง

เพื่อลดความเสี่ยงโรคเหล่านั้น จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยการ “ลดเค็ม” แม้เพียงเล็กน้อยอาจสามารถส่งผลให้สุขภาพดีขึ้นอย่างมาก