0

0

บทนำ

 

อยู่ ๆ พนักงานคนเก่งคนดีก็ลาออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น พวกเขาเคยแสดงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และหลงใหลในงานของตัวเองอย่างมาก

กับสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อค้นลงลึกอาจพบว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคือ Brown-out Syndrome” หรือ “ภาวะหมดใจในการทำงาน”

Brown-out หมายถึง ไฟตก อาจมีไฟดับเป็นบางช่วง ขณะที่ในโลกของการงาน บราวน์-เอาท์ ซินโดรม คือ การขาดแรงจูงใจ ขาดความกระตือรือร้น มีความสนใจในงานลดลง รู้สึกไม่ได้รับคุณค่าและความสำคัญเท่าที่ควร จึงทำให้ออกห่างจากงานมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งต่องานและชีวิตส่วนตัว

 

ภาวะหมดใจ (Brown-out Syndrome) นั้นคล้ายคลึงกับ ภาวะหมดไฟ (Burn-out Syndrome) อย่างมาก

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ภาวะหมดไฟ (Burn-out Syndrome) เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงาน (Occupational phenomenon) แต่ไม่จัดว่าเป็นความเจ็บป่วยหรือมีเงื่อนไขทางการแพทย์ (Medical condition) โดยจำกัดความของภาวะหมดไฟใช้ในบริบทของคนทำงานหรือการทำงานเท่านั้น

สาเหตุของภาวะหมดไฟมาจากความเครียดเรื้อรังจากการทำงานที่จัดการได้ไม่ดีพอ ทำให้รู้สึกสูญเสียพลังงาน อ่อนเพลีย ไม่อยากทำงาน มีทัศนคติเชิงลบต่องาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อาจเพราะการขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ภาระงานที่มากเกิน ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกิน รวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับ ความคาดหวังในการทำงาน การทำงานที่ไม่เหมาะกับตนเอง เป็นต้น

ภาวะหมดไฟทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง หลีกเลี่ยงงาน แยกตัวเองออกจากสังคม อาจหันมาใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อาการปวดกล้ามเนื้อ ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีแนวโน้มจะเกิดความเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามมา

ขณะที่ภาวะหมดใจ (Brown-out Syndrome) แสดงออกมาผ่านพฤติกรรมและความรู้สึกบางอย่าง เช่น รู้สึกว่าภาระงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องการหยุด ไม่อยากจะสนใจอาชีพการงานของตนอีกต่อไป มีส่วนร่วมในการประชุมหรือแสดงความคิดเห็นน้อยลง มีปัญหาในการติดต่อกับที่ทำงาน มีความทุกข์ทางจิตใจ มีปัญหาการใช้ชีวิต เช่น กิน นอน และออกกำลังกาย ไม่มีอารมณ์ขัน ก้าวร้าว ปิดกั้นตัวเองจากครอบครัวและเพื่อน เป็นต้น

 

 

ในความใกล้เคียง สิ่งที่ทำให้ภาวะหมดไฟและภาวะหมดใจแตกต่างกันคือ

• ภาวะหมดไฟสามารถสังเกตเห็นได้ แต่ภาวะหมดใจสังเกตได้ยาก พวกเขาอาจจะดูเป็นปรกติ สามารถทำงานได้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกอยากหยุดงานทุกอย่าง

• ภาวะหมดไฟมักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ภาวะหมดใจเป็นอาการระยะยาว ค่อย ๆ สะสมมาเรื่อย ๆ นำไปสู่การลาออกเงียบ ๆ ในที่สุด

หากคนระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารมีภาวะหมดใจ อาจส่งผลต่อสภาพแวดล้อมองค์กร ทำให้พนักงานคนอื่น ๆ เกิดภาวะบราวน์-เอาท์ ซินโดรมต่อได้

ภาวะหมดใจ เป็นสาเหตุที่ทำให้คนลาออกจากงานจำนวนมาก จากผลสำรวจของ คอร์ปอเรท บาลานซ์ คอนเซ็ปท์ (Corporate Balance Concepts) ระบุว่า พนักงานระดับสูงที่เผชิญกับภาวะหมดไฟมีจำนวนร้อยละ 5 แต่ผู้เผชิญกับภาวะหมดใจ มีร้อยละ 40

นั่นทำให้ภาวะหมดใจ นับเป็นภัยเงียบที่องค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญ

การแก้ไขและป้องกันภาวะหมดใจ ต้องย้อนกลับไปดูที่สาเหตุจะพบว่า องค์กรมีส่วนสำคัญ

ถ้าองค์กรไม่มีทิศทางในการทำงาน มีกฎระเบียบเข้มงวด จุกจิก ตีกรอบพนักงานมากเกินไป หรือภายในองค์กรมีความไม่เท่าเทียม ไม่เป็นธรรม ขาดความสัมพันธ์ที่ดี พนักงานไม่รู้ทิศทางขององค์กร มีความคาดหวังและความกดดันสูง ฯลฯ เหล่านี้ทำให้เกิดภาวะหมดใจได้

หากเป็นเช่นนั้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเช่น ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้เชี่ยวชาญจำเป็นต้องสื่อสารกับพนักงานทันทีที่สังเกตเห็นสัญญาณเตือน ต้องรับฟังความรู้สึก ความต้องการ และคาดหวัง เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข อาจมีการมอบหมายงานหรือตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ให้ลาหยุดงาน แบ่งเบาภาระงาน รวมทั้งปลูกฝังให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ชื่นชมยกย่องคนที่ทำงานได้ดี ให้อิสระในการทำงานภายใต้กรอบ เป็นต้น

ในส่วนคนทำงานสามารถเช็กอาการหมดใจของตนเองได้ ถ้าหากว่า …

• ความกระตือรือร้นในการทำงานลดลง

• ไม่อยากทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเคยทำได้

• พักผ่อนไม่เพียงพอ ป่วยบ่อยขึ้น ดูแลตัวเองน้อยลง

• ไม่ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมขององค์กร

• ปลีกตัวห่างจากสังคมเพื่อนร่วมงาน

• ขาดความสนใจในเรื่องทั่วไป ฯลฯ

 

เมื่อพบภาวะหมดใจ สิ่งที่ต้องทำคือ แบ่งเวลาการทำงานและการพักผ่อนให้ชัดเจนขึ้น ปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ หาเวลาพักร้อน ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน แต่หากมีอาการเศร้า หดหู่ เบื่อหน่าย ทุกข์ทรมาน มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ

เพราะว่า ภาวะหมดใจ Brown-out Syndrome เป็นปัญหาที่อาจกัดกร่อนความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลในที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ และส่งผลกระทบวงกว้าง การตระหนักถึงสัญญาณและการดำเนินการเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

 

อ้างอิง

ไทยรัฐออนไลน์, รู้จักภาวะหมดไฟและหมดใจในการทำงาน ความสำคัญและข้อแตกต่างที่น่ารู้, 20 มกราคม

2565, https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2292449

Apichaya Jatutain, ‘ภาวะ Brownout’ ไม่ได้หมดแรงแต่หมดใจ ไม่อยากไปต่อกับการทำงาน, 7 พฤษภาคม

2564, https://missiontothemoon.co/psychology-brownout/

Sahra Benseghir, Research Paper: How Coaching Can Prevent Brownout Syndrome?, 4 สิงหาคม 2563, https://coachcampus.com/coach-portfolios/research-papers/sahra-benseghir-how-coaching-can-prevent-brownout-syndrome/

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เข้าใจความหลากหลายในบ้าน สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก LGBTQ

คนรุ่นใหม่กับโรคติดพนัน และสัญญาณเตือนวิกฤตสุขภาพจิต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

คนรุ่นใหม่กับโรคติดพนัน และสัญญาณเตือนวิกฤตสุขภาพจิต

ถึงเวลาเลิกพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสริมแกร่งร่างกายห่างไกลโรค
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ถึงเวลาเลิกพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสริมแกร่งร่างกายห่างไกลโรค

“ธนาคารเวลา”  เสริมสร้างคุณภาพชีวิตสูงวัย ด้วยนวัตกรรมทางสังคม
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ธนาคารเวลา” เสริมสร้างคุณภาพชีวิตสูงวัย ด้วยนวัตกรรมทางสังคม

ส่วนที่ 4 ผลการประมวลและสังเคราะห์ข้อมูลองค์ความรู้
1708932589.JPG

Writer Don ID2

ส่วนที่ 4 ผลการประมวลและสังเคราะห์ข้อมูลองค์ความรู้

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

“งานหนักไม่เคยฆ่าใคร …”

อย่าเชื่อ ! ถ้ามีใครมาบอกคุณอย่างนั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่า งานหนักทำให้คนตายได้ จากผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่ในปี 2564 ระบุว่า ในหนึ่งปีมีมากกว่า 7 แสนคนเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไปจนส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ