3

5

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-07-30 02:32:24

บทนำ

  • คนไทยกินน้ำตาลถึงวันละ 25 ช้อนชา มากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำไว้คือ ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา
  • อาหารและเครื่องดื่มที่หวานเกินเกณฑ์มาตรฐานส่งผลให้คนไทยร้อยละ 75 ป่วยและเสียชีวิตจากโรค NCDs และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี มีข้อมูลพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากถึง 300,000 คนต่อปี
  • การลดปริมาณน้ำตาลควรค่อย ๆ ลดลงให้ร่างกายสามารถรับน้ำตาลได้น้อยที่สุด โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดอาหารเครื่องดื่มรสหวานและซ่อนหวาน

 

“คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากถึง 300,000 คนต่อปี …”

“คนไทยร้อยละ 75 ป่วยและเสียชีวิตจากโรค NCDs และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ...”

ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับการบริโภคหวานมากจนอาจมีผลต่อสุขภาพของคนไทย

ถึงแม้ว่า ประชาชนจำนวนมากจะรู้อยู่แล้วว่า “หวานมันร้าย” แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลด จึงจำต้องมีแรงผลักดันส่งเสริมจากภาคส่วนต่าง ๆ เกิดเป็นมาตรการและการรณรงค์เพื่อไปสู่เป้าหมายสังคมหวานน้อย

คนไทยวันนี้ยังหวานอยู่

พฤติกรรมการกินหวานของคนไทยในปี 2565 จากการสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมในการบริโภคอาหารของคนไทยผ่านช่องทางออนไลน์ Buzzebees Panel โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ไวตามินส์ คอนซัลติ้ง แอนด์ รีเสิร์ช พบว่า

กลุ่มคนทำงาน (18-39 ปี) ร้อยละ 57 ไม่ลดหวานเลยและเน้นความอร่อยเป็นหลัก

ร้อยละ 77 มักจะเพิ่มน้ำตาล เมื่อรับประทานก๋วยเตี๋ยวนอกบ้าน คนที่ไม่เติมน้ำตาลเลยมีร้อยละ 23 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง

ร้อยละ 51 ดื่มเครื่องดื่มรสชาติปกติที่ร้านชงให้ ไม่ลดความหวาน ส่วนคนที่สั่งไม่หวานหรือลดความหวานประมาณ 1 ใน 3 เป็นกลุ่มสูงวัย

ร้อยละ 14 มักเพิ่มความหวานในเครื่องดื่ม โดยเฉพาะคนทำงาน ร้อยละ 18 มักเติมน้ำตาลตั้งแต่ 4 ช้อนขึ้นไป เหตุเพราะเหนื่อยล้าจากการทำงาน จึงต้องการเครื่องดื่มที่มีความหวาน

ป้ายแนะนำระดับความหวานในร้านเครื่องดื่มมีผลต่อการลดปริมาณความหวานของผู้บริโภคร้อยละ 33 ขณะที่ร้อยละ 42 ทำให้ลังเล แต่ยังเลือกระดับความหวานปกติอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

จากการสำรวจ วิธีลดความหวานที่นิยมทำคือ ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ร้อยละ 35  รองลงมาคือ ไม่เติมน้ำตาล, อ่านฉลากโภชนาการดูระดับน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ, กินผลไม้สดแทนน้ำผลไม้หรือขนม เป็นต้น

ในความหวานมีด้านมืด

จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย พบว่า คนไทยกินน้ำตาลถึงวันละ 25 ช้อนชา มากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำไว้คือ ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา

ขณะที่ข้อมูลปี 2562 จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ในแต่ละวัน คนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยกว่า 3 แก้ว โดยเฉพาะเครื่องดื่มชงเย็นรสหวาน อย่างเช่น กาแฟ ชานมไข่มุก น้ำแต่งรสต่าง ๆ เป็นต้น

นอกจากในเครื่องดื่มหรืออาหารหวานต่าง ๆ แล้ว ในแต่ละวันยังมีน้ำตาลซ่อนอยู่ในอาหารคาว ของกินเล่น หรือแม้แต่ในน้ำจิ้มประเภทต่าง ๆ ทำให้ร่างกายรับน้ำตาลเกินเกณฑ์ได้

การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุของโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคตับ โรคมะเร็ง แก่ก่อนวัย ฝันผุ ฯลฯ

อาหารและเครื่องดื่มที่หวานเกินเกณฑ์มาตรฐานส่งผลให้คนไทยร้อยละ 75 ป่วยและเสียชีวิตจากโรค NCDs และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี มีข้อมูลพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากถึง 300,000 คนต่อปี

“ติดหวาน” แล้ว ทำอย่างไรดี

การลดเลิกบริโภคหวาน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสำหรับบางคน ไม่ได้แค่ชอบ แต่กลับเสพติดความหวานไปแล้ว

เมื่อกินอาหารที่มีรสชาติหวาน น้ำตาลจะกระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้น ก่อนส่งสัญญาณและกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ (Brain Reward System) ให้หลั่งสารโดพามีน ทำให้รู้สึกดี เคลิบเคลิ้ม และอยากกินอีก กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ ทำให้เกิดพฤติกรรมเสพติด สังเกตได้จากพฤติกรรมอย่างเช่น หลังมื้ออาหารจะต้องมีของหวาน หากไม่ได้กินของหวานจะรู้สึกโหย หงุดหงิดจนต้องหาของหวานมากิน เป็นต้น

          การลดปริมาณน้ำตาลควรค่อย ๆ ลดลง ให้ร่างกายสามารถรับน้ำตาลได้น้อยที่สุด โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดอาหารเครื่องดื่มรสหวานและซ่อนหวาน เช่น เปลี่ยนมากินข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีตแทนข้าวขาวหรือขนมปังขาว รับประทานผลไม้สดที่มีน้ำตาลต่ำ อาหารควรจะมีเส้นใยสูง เช่น ถั่ว ผัก และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ สำหรับการหักดิบตัดน้ำตาลออกไปทั้งหมดในทันทีอาจมีโอกาสล้มเหลวมากกว่า

สำหรับคนที่ต้องการดื่มเครื่องดื่มเย็น แนะนำให้สั่งสูตรหวานน้อย จะช่วยให้กลไกการหลั่งโดพามีนทำงานปกติ ลดความเสี่ยงการเสพติดความหวานได้

ที่สำคัญคือ ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพราะภาวะขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการอยากกินของหวาน เมื่อรู้สึกต้องการของหวานให้เบี่ยงเบนความสนใจไปทำกิจกรรมอื่น ๆ แทน

 

 

ภาษีเพื่อสุขภาพ … ช่วยได้ ?

เมื่ออาหารรสหวานที่อร่อยถูกปากสร้างผลกระทบทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยแย่ลงและค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น

หนึ่งในความพยายามเพื่อแก้ไขลดความเสี่ยงในการบริโภคน้ำตาลเกินขนาดคือ การเก็บภาษีความหวานในเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้ ฯลฯ

ภาษีความหวาน กฎหมายระบุไว้ให้เป็นการเก็บภาษีตามขั้นบันได เริ่มต้นระยะที่ 1 เมื่อปี 2560 ปัจจุบันเก็บอัตราภาษีอยู่ในระยะที่ 2 โดยปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาท/ลิตร - ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาท/ลิตร

ส่วนระยะที่ 3 มีการเลื่อนบังคับใช้ โดยจะเริ่ม เม.ย. 2566 อัตราภาษี ระยะที่ 3 ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 0.3 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาท/ลิตร • ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาท/ลิตร ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาท/ลิตร

ภายหลังการเก็บภาษี จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2563 พบว่า ในกลุ่มประชากรไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลง จาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 โดยเครื่องดื่มที่มีการบริโภคลดลงมากที่สุดคือ เครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋อง ตามด้วยเครื่องดื่มสมุนไพร และน้ำผลไม้แบบกล่อง

จากการสำรวจปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า หลังการจัดเก็บภาษีส่งผลให้คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 15.3 และ 14.0 ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ และในปี 2563 พบว่าคนเป็นโรคอ้วนลดลง 9,306 คน

สั่งได้ … หวานน้อยไม่เกิน 2 ช้อนชา

เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนลดหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับภาคีเครือข่ายร่วมกันรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ถึงภัยร้ายจากความหวาน โดยเฉพาะในหมู่คนวัยทำงานที่นิยมบริโภคเครื่องดื่มชงเย็น

โครงการนี้ได้พัฒนาเครื่องมือที่เป็นเกณฑ์ระดับความหวานสำหรับเครื่องดื่มเย็นขึ้น เพื่อเทียบเคียงระดับความหวานในปริมาณต่าง ๆ ให้เห็นระดับที่หวานมาก-หวานเกินสำหรับคนไทย โดยใช้ “ช้อนชา” ในการวัดปริมาณความหวานที่ใส่ในเครื่องดื่ม และบอกระดับที่ไม่ควรกินเกินต่อแก้ว คือ ไม่เกินระดับ 2 หรือ ความหวานไม่เกิน 2 ช้อนชา

ไม่ว่าจะเป็นความหวานจากน้ำตาล นมข้น น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม หรือไซรัป ซึ่งผสมในเครื่องดื่มชงเย็นทุกประเภท เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด วิธีนี้จะช่วยลดความหวานในเครื่องดื่มที่โดยทั่วไปร้านต่าง ๆ มักจะใส่ความหวานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชา

เกณฑ์นี้จะช่วยสร้างมาตรฐานระดับความหวานน้อยใหม่ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่จะได้รับ หากทำต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน ร่างกายจะค่อย ๆ เรียนรู้ ลิ้นจะคุ้นชินและปรับการรับรสระดับความหวานได้

 

การลดหวานเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำเพื่อตัวเอง

อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาหารเครื่องดื่มรสหวานมีอยู่ทั่วไปรอบตัวเรา

เพียงแค่เริ่มต้นตอนนี้ อย่างช้า ๆ ทำไปทีละวัน ๆ  ก่อนจะรู้ตัว คุณอาจจะไม่อยากหวานอีกต่อไป

อ้างอิง

https://www.brandbuffet.in.th/2022/09/thai-health-insight-workers-like-more-sweet/

https://www.pptvhd36.com/health/food/2167

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/article/กินหวานแต่พอดีชีวีเป็นสุข

https://www.thebangkokinsight.com/news/business/1021681/

https://www.thaihealth.or.th/?p=314094

https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/230964/

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ทำบุญให้ได้บุญอย่างแท้จริง เลือกอาหารเพื่อสุขภาพถวายพระสงฆ์
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ทำบุญให้ได้บุญอย่างแท้จริง เลือกอาหารเพื่อสุขภาพถวายพระสงฆ์

หยุดกินตามอารมณ์ ตัดวงจรพฤติกรรมทำลายสุขภาพ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

หยุดกินตามอารมณ์ ตัดวงจรพฤติกรรมทำลายสุขภาพ

ติดต่อเรา
1748965111.jfif

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

การสื่อสารระหว่าง Generation Gap เปลี่ยน ‘ช่องว่าง’ ให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การสื่อสารระหว่าง Generation Gap เปลี่ยน ‘ช่องว่าง’ ให้เป็นพื้นที่สร้า...

ส่วนที่ 3 บริบท เครื่องมือ สื่อ ปัจจัยเอื้อ นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นอาหารที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 3 บริบท เครื่องมือ สื่อ ปัจจัยเอื้อ นวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะใ...

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องกินเรื่องใหญ่…กว่าที่คิด พฤติกรรมกินขาด ๆ เกิน ๆ โรคร้ายจะมาเยือน

Super Admin ID1

Highlight

1749132601.png

• ในช่วงปิดภาคเรียนและเรียนออนไลน์ขณะมีโควิด-19 ระบาด พบว่าในปี 2565 เด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนเพิ่มขึ้น  ร้อยละ 13.40 ส่วนหนึ่งเพราะได้รับพลังงานอาหารเกินความต้องการ และบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น ซึ่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่อาจเสี่ยงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

• สูตรรับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ใช้ 2 : 1 : 1 คือ รับประทานผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และเนื้อ 1 ส่วน และให้ “ลด” อาหารหวาน มัน เค็ม “เพิ่ม” การรับประทานผักผลไม้ 400 กรัมต่อวัน “ปรับ” พฤติกรรมโดยอยู่หน้าจอไม่เกิน 2 ชั่วโมง ออกกำลังกายวันละ 30 - 60 นาที  และ “เปลี่ยน” น้ำหวานน้ำอัดลมในตู้เย็นเป็นนมหรือแช่ผลไม้

• นักโภชนาการแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปเพราะมีสารตั้งต้นก่อมะเร็ง มีโซเดียมสูง หากเลี่ยงไม่ได้ให้รับประทานคู่กับผักและผลไม้ ในขณะที่เด็ก ๆ ควรจะได้กินโปรตีนขนาดเท่าฝ่ามือ 2 ฝ่ามือต่อ 1 สัปดาห์ เพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานสูง