0

0

บทนำ

Highlight

พฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) คือ กิจกรรมที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น  นั่งดูโทรทัศน์ เล่นเกม ขับรถ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต จนเกิดเป็นพฤติกรรมติดจอทําให้มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ

การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ตามมา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็ง

สำหรับกิจกรรมทางกายแบ่งเป็นระดับเบา รู้สึกเหนื่อยน้อย เช่น ยืน เดินระยะสั้น ๆ ฯลฯ ระดับปานกลาง กิจกรรมที่รู้สึกเหนื่อยไม่มาก เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ทํางานบ้าน ฯลฯ  และระดับหนัก กิจกรรมที่ทําให้รู้สึกเหนื่อยมาก ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น วิ่ง เดินขึ้นบันได ออกกําลังกาย เล่นกีฬา ฯลฯ

 

----

 

เมื่อกลับมาทำงานในออฟฟิศอีกครั้ง หลังจากเวิร์คฟอร์มโฮมยาวช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ชีวิตของเราก็กลับเข้าสู่โหมดเดิม ๆ ทุก ๆ วัน เหมือนเอาร่างกายผูกติดอยู่กับโต๊ะเก้าอี้เป็นระยะเวลานาน การลุกขึ้นเดินเพียงระยะสั้น ๆ ก็กลายเป็นเรื่องยาก แม้แต่การเปลี่ยนอริยาบถไปทำกิจกรรมห่างจากโต๊ะทำงานเพียงไม่กี่นาทีก็ยังไม่มีเวลา ไม่ต้องพูดถึงการออกกำลังกาย นอกจากนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์แล้ว แถมบางคนนั่งนิ่ง ๆ บนรถระหว่างการเดินทาง แล้วยังดูโทรทัศน์ เล่มเกม ใช้โทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก

หนึ่งวันในชีวิตคนทำงานส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการนั่งนิ่งเสียครึ่งค่อน ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดผลเสียต่อสมรรถภาพร่างกาย ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ไม่เพียงเท่านั้น ยังอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัว สังคม และประเทศด้วย

ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมเนือยนิ่งนี้ และเริ่มต้นแก้ไข ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการทำกิจกรรมทางกายให้เพียงพอ

พฤติกรรมเนือยนิ่ง เสี่ยงโรคร้าย

คนวัยทำงานคือ ประชากรที่อยู่ในช่วงวัย 15-60 ปี ซึ่งมีมากกว่าร้อยละ 50 ของประชากรทั้งหมด เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังสำคัญในการหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนองค์กร จึงเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ ทําให้เกิดการเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น สุขภาพของคนวัยทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ

คนวัยทำงานจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่ทํางาน ออกแรงและเคลื่อนไหวร่างกายน้อย อีกทั้งการทํางานเป็นลักษณะซ้ำ ๆ ทําให้มีการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมอยู่ตลอดเวลา ขาดการออกกำลังกาย มีกิจกรรมเนือยนิ่ง/พฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) คือ กิจกรรมที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งหมายรวมถึงการนั่งและการนอน (ไม่นับรวมการนอนหลับ) กิจกรรมเนือยนิ่งที่พบมาก เช่น  นั่งดูโทรทัศน์ เล่นเกม ขับรถ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต จนเกิดเป็นพฤติกรรมติดจอ (Screen time) ทําให้มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ

จากข้อมูลกิจกรรมทางกายในปี 2562-2563 ระบุว่า สัดส่วนของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอมีร้อยละ 30.9 (ชายร้อยละ 28.9 และหญิงร้อยละ 32.7) เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจในปี 2557 พบว่า สัดส่วนของประชาชนไทยที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเพิ่มมากขึ้น (ชายร้อยละ 18.4 และหญิงร้อยละ 20.0)

 

 

กิจกรรมเนือยนิ่งหรือพฤติกรรมเนือยนิ่งและกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นตัวการสำคัญของการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะ โรคกลุ่ม NCDs เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ฯลฯ

ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บ (BRFSS) พบว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 18-59 ปี มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่าเกณฑ์ปกติเพิ่มขึ้นทุกปีและพบว่าสถานการณ์ภาวะอ้วนลงพุงของประชากรกลุ่มวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนั้น โรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง รวมไปถึงโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางตา ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคเครียดจากการทำงานยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

จากข้อมูลการสํารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2553-2557 พบว่า กลุ่มวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่มีปัญหาสุขภาพมาก โดยเฉพาะเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อ ผู้หญิงคิดเป็นร้อยละ 55 และผู้ชายคิดเป็นร้อยละ 42 จากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ.2562-2563 พบว่า ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อ​ ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้นเท่าที่ควร ทั้งภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย

ผลสํารวจพบว่า ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า เป็นโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 16.3) รองลงมาคือ โรคเบาหวาน/น้ำตาลในเลือดสูง (ร้อยละ 8.1) โรคไขมันในเลือดสูง/คอเลสเตอรอลสูง (ร้อยละ 7.5) โรคข้อเสื่อม/เข่าเสื่อม (ร้อยละ 3.8) โรคหัวใจ/หลอดเลือดหัวใจ (ร้อยละ 1.7) โรคหลอดเลือดสมอง/อัมพฤกษ์ อัมพาต (ร้อยละ 1.1) โรคปอดเรื้อรัง/ถุงลมโป่งพอง/หอบหืด (ร้อยละ 1.0) โรคมะเร็งเนื้องอก (ร้อยละ 0.6) และโรคซึมเศร้า (ร้อยละ 04)

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังรายงานว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 15- 59 ปี เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อในสัดส่วนที่สูงสุดเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุอื่นในประชากรไทย ปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานจึงมีแนวโน้มเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน กระทบต่อสถานประกอบการ และเศรษฐกิจของประเทศตามมา

กิจกรรมทางกายแค่ไหนจึงเรียกว่า … พอ

ด้วยสถานการณ์พฤติกรรมเนือยนิ่งหรือพฤติกรรมติดจอที่ดูจะมีความรุนแรงมากขึ้น เป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ซึ่งทางออกก็คือ การเพิ่มกิจกรรมทางกาย

กิจกรรมทางกาย (Physical Activity) หมายถึง การขยับเคลื่อนไหวร่างกายในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดการใช้และเผาผลาญพลังงานโดยกล้ามเนื้อ ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจําวัน ทั้งการทํางาน การเดินทาง และทำกิจกรรมต่าง ๆ

 

สําหรับผู้ใหญ่มีรูปแบบกิจกรรมทางกายและการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งที่เหมาะสมกับลักษณะการทํางาน และชีวิตประจําวัน โดยเน้นไปที่การลดพฤติกรรมเนือยนิ่งเป็นระยะ ๆ ในขณะทํางาน กิจกรรมทางกายจากการเดินทางและนันทนาการ เป็นกิจกรรมที่สามารถทําได้ก่อนทํางานและหลังเลิกงาน รวมทั้งมีข้อแนะนํากิจกรรมทางกายสําหรับผู้ป่วยในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ประโยชน์จากกิจกรรมทางกายและการลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ช่วยสร้างเสริมความแข็งแรงของระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อ กระดูก รวมถึงความยืดหยุ่นของร่างกาย ลดโอกาสการป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ฯลฯ ทำให้มีความกระตือรือร้น ลดความเครียด และภาวะซึมเศร้า ลดภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล ลดการขาด/ลางาน เพิ่มศักยภาพในการทํางาน และขับเคลื่อนประเทศ รวมทั้งเตรียมความพร้อมเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรงและมีคุณค่าในอนาคต

เมื่อรู้ถึงความสำคัญและจำเป็นของการทำกิจกรรมทางกายเพียงพอแล้ว บางคนอาจจะเกิดคำถามว่า แค่ไหนอย่างไรจึงเรียกว่า เพียงพอ

การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ (Adequate Physical Activity) สำหรับคนอายุ 15-17 ปี คือ ทํากิจกรรมต่าง ๆ ในระดับปานกลางและหรือระดับหนัก ระยะเวลาตั้งแต่ ๔๒๐ นาที[YT1] [KJ2] /สัปดาห์ ส่วนคนอายุ 18 ปีขึ้นไปมีระยะเวลาในการทํากิจกรรมต่าง ๆ ในระดับหนัก ระยะเวลาตั้งแต่ 75 นาที/สัปดาห์ และหรือมีระยะเวลาในการทํากิจกรรมต่าง ๆ ในระดับปานกลาง ระยะเวลาตั้งแต่ 150 นาที/สัปดาห์

สำหรับกิจกรรมทางกายแบ่งเป็นระดับเบา (Light Intensity) ออกแรงเคลื่อนไหวน้อย รู้สึกเหนื่อยน้อย เช่น การเคลื่อนไหวในชีวิตประจําวัน ได้แก่ ยืน เดินระยะทางสั้น ๆ ฯลฯ  กิจกรรมทางกายระดับปานกลาง (Moderate Intensity) กิจกรรมที่ทําให้รู้สึกเหนื่อยปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ทํางานบ้าน ฯลฯ  ระหว่างทํากิจกรรมสามารถพูดเป็นประโยคได้ มีเหงื่อซึม อัตราการเต้นหัวใจอยู่ระหว่าง 120-150 ครั้งต่อนาที และกิจกรรมทางกายระดับหนัก (Vigorous Intensity)  ทําให้รู้สึกเหนื่อยมาก ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น วิ่ง เดินขึ้นบันได ออกกําลังกาย เล่นกีฬา ฯลฯ โดยระหว่างทํากิจกรรมไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ รู้สึกหอบเหนื่อย อัตราการเต้นหัวใจ 150 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป

กิจกรรมทางกายแบ่งออกเป็น แบบแอโรบิคที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องตั้งแต่ 10 นาทีขึ้นไป เน้นการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น เดินเร็ว วิ่ง กระโดด ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีแบบสร้างความแข็งแรง เน้นกิจกรรมที่กล้ามเนื้อต้องออกแรงต้านทานกับน้ำหนักของร่างกาย หรือน้ำหนักอุปกรณ์ อย่างเช่น การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางกายแบบสร้างความอ่อนตัว เช่น การเหยียดยืด โยคะ ฯลฯ และแบบสร้างความสมดุล/การทรงตัว เช่น การเดินตามเส้นตรงด้วยปลายเท้า การยืนด้วยเท้าข้างเดียวกางแขน เป็นต้น

สําหรับผู้ใหญ่หรือคนในวัยทำงานที่ต้องนั่งเก้าอี้หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลายาวนานในแต่ละวัน ควรที่จะมีกิจกรรมทางกายก่อนหรือหลังเลิกงานเป็นประจํา และในขณะทํางานควรเปลี่ยนอิริยาบถร่างกายเป็นระยะด้วย เพื่อเลี่ยงพฤติกรรมเนือยนิ่งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ในคนทำงานที่ใช้แรงงานระหว่างวันอยู่แล้ว ก็ควรมีการสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อที่ใช้งานเป็นประจํา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

ก่อนจะลุกขึ้นมาขยับทำกิจกรรมทางกาย สำหรับคนที่ไม่เคยมีกิจกรรมทางกายมาก่อนให้ค่อย ๆ เริ่มทําจากเบาไปหนัก จากช้าไปเร็ว ให้มีกิจกรรมทางกายแบบแอโรบิค ซึ่งช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ มีทั้งกิจกรรมระดับหนักและปานกลางผสมผสานกัน

ตัวอย่างเช่น ทำกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ทําสวน ปั่นจักรยาน ยกของเบา และทําความสะอาดบ้าน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ร่วมกับทำกิจกรรมทางกายระดับหนัก เช่น วิ่งเร็ว ว่ายน้ำ ขุดดิน เดินขึ้นบันได และเล่นกีฬาอย่างน้อย 75 นาที ต่อสัปดาห์ หรือวันละ 15 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

หากปฏิบัติได้อาจเพิ่มความเข้มข้นของกิจกรรมทางกายขึ้นไปอีกได้ ในแต่ละสัปดาห์ควรเพิ่มกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อ เพื่อความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ โดยเน้นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ขา สะโพก หลัง ท้อง หน้าอก ไหล่ ต้นแขน เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มกิจกรรมพัฒนาความอ่อนตัวของกล้ามเนื้อ เช่น โยคะ รำมวยจีน ฯลฯ

ที่สำคัญคือ ในตอนนั่งทํางาน นั่งประชุม ใช้คอมพิวเตอร์ นั่งดูโทรทัศน์ และใช้โทรศัพท์มือถือ ควรลุกเปลี่ยนอิริยาบถทุก 2 ชั่วโมงด้วยการลุกยืน เดินไปมา หรือยืดเหยียดร่างกาย เป็นต้น

 

องค์กรช่วยสร้างกิจกรรมทางกายได้

การสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีโดยมีกิจกรรมทางกายให้เพียงพอในคนวัยทำงานนั้น สถานที่ทํางานหรือสถานประกอบการต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญ สามารถช่วยสนับสนุนการเพิ่มระดับกิจกรรมทางกายในระหว่างการทํางาน รวมทั้งลดพฤติกรรมเนือยนิ่งได้

จากหนังสือ “ข้อแนะนำการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย การลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง และการนอนหลับ สำหรับผู้ใหญ่ (18-59 ปี)” ซึ่งกรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำขึ้นได้แนะนำว่า ควรสร้างนโยบายจูงใจหรือสวัสดิการเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกาย โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเป็นต้นแบบผู้นํากิจกรรมทางกายและเชิญชวนพนักงาน

การจัดกิจกรรมขยับร่างกายก่อนหรือหลังทํางาน และทุก ๆ 2 ชั่วโมง ด้วยการนํายืดเหยียด ร่างกายสั้น ๆ หรือเดินประมาณ 3-5 นาที

ส่งเสริมให้มีการจัดกลุ่มหรือชมรมออกกําลังกายตามความสนใจของพนักงาน ควรให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรวมกลุ่มและบริหารจัดการเอง แต่ให้มีการสนับสนุนด้านงบประมาณ สถานที่ และอุปกรณ์

จัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น ห้องอาบน้ำ ลู่วิ่ง โต๊ะปิงปอง จุดจอดจักรยานที่ปลอดภัย โต๊ะทํางานแบบยืน เก้าอี้ลูกบอล

นอกจากนี้ ยังสามารถรณรงค์การมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง เช่น เดินทางด้วยการเดิน ปั่นจักรยาน หรือใช้รถสาธารณะ การใช้บันได เดินหรือวิ่งส่งเอกสาร สำหรับกิจกรรมในสถานที่ทํางาน อย่างเช่น การเดินขึ้นลงบันได การยืดเหยียด การเดินรับส่งเอกสาร การปั่นจักรยาน การเดินระหว่างอาคาร เป็นต้น

 


 [YT1]ตัวเลขนี้ถูกต้องนะคะ  (ดูมากกว่า 18 ปีขึ้นไปเยอะมากค่ะ)

 [KJ2]ถูกต้องค่ะ ตาม ref.ที่ 3 ของบทความ หน้าที่ 45 ค่ะ

ประชุมอย่างไรให้เฮลตี้

การประชุมมีความสำคัญและจำเป็น สำหรับบางออฟฟิศหรือบางอาชีพ นอกจากประชุมแล้วก็อาจจะมีทั้งการสัมมนา การจัดอบรม ฯลฯ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนทำงานที่มาพร้อมกับการนั่งเป็นระยะเวลานาน ซึ่งถ้าหากนั่งเกิน 1 ชั่วโมงก็จะเป็นผลเสียต่อสุขภาพได้ และคงจะดีกว่าถ้าหากว่า ทุกการประชุม สัมมนา หรืออบรมเปลี่ยนไปเป็นกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมไม่ต้องนั่งยาว แต่สามารถลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวขยับร่างกายได้

 

ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ให้แนวคิดเรื่องการจัดประชุมที่ถูกสุขภาวะและยั่งยืน โดยทางสสส. และเครือข่ายคนไทยไร้พุงนำมาปรับเรียงเป็นชุดความรู้ “คู่มือการจัดประชุมแบบเฮลท์ตี้ แอคทีฟ มีต ติ้ง” ในคู่มือระบุไว้ว่า ในการประชุม สัมมนา และอบรม ต้องมี 3 เรื่องหลักซึ่งต้องคำนึงถึงคือ นั่งนานอันตราย, การประชุมต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ควรมีการพักอย่างน้อย 10 นาที และควรเชิญชวนให้มีการเพิ่มกิจกรรมทางกายในช่วงพัก

การจัดประชุมที่ถูกสุขภาวะจัดการได้ตั้งแต่การเลือกสถานที่จัดประชุมและที่พัก ซึ่งสามารถใช้การเดินมาเข้าร่วมประชุมได้ เพื่อเพิ่มกิจกรรมทางกาย ในพื้นที่ของห้องประชุมจัดให้มีมุมพักและนิทรรศการเพิ่มการมีกิจกรรมทางกายในบริเวณงาน จัดให้มีโต๊ะยืนในห้องประชุมอย่างน้อย 10% ของจํานวนที่นั่งทั้งหมด เพื่อเพิ่มความกระฉับกระเฉง และลดการเนือยนิ่ง จัดพื้นที่นิทรรศการเพิ่มการมีกิจกรรมทางกายสามารถทําได้โดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ในพื้นที่ อาทิ ผ้าขาวม้า ไม้เท้า ร่ม จักรยานแม่บ้าน ยิมบอล เป็นต้น

ความสําคัญของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอโดยเฉพาะกับคนวัยทำงาน โดยเน้นกิจกรรมที่สอดคล้องกับชีวิตประจําวัน ในแบบที่เรียกว่า ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกคนเข้าถึงได้ นอกจากจะช่วยให้แต่ละคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพิ่มศักยภาพในการทํางาน ยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอีกด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง การลุกขึ้นมาขยับเนื้อตัวให้มีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอยังมีส่วนช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับครอบครัว สังคม และประเทศ โดยเฉพาะในวันที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนวัยทำงานไม่ต่างกับเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรงและมีคุณค่านั่นเอง

อ้างอิง

บทความ สถานการณ์ “โรคปัจจุบัน” ของกลุ่มคนวัยทำงานใน “โลกปัจจุบัน” https://www.ohswa.or.th/17675458/health-promotion-for-jorpor-series-ep2

ข้อแนะนำการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย การลดพฤติกรรมเนือยยิ่ง และการนอนหลับ สำหรับผู้ใหญ่ (18-59 ปี) https://happynetwork.org/upload/forum/ebook_PA18to592.pdf

การสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ. 2564 www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/ด้านสังคม/สาขาสุขภาพ/สำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร/2564/report_2501_64.pdf

รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562-2563 https://online.fliphtml5.com/bcbgj/znee/#p=1

คู่มือการจัดประชุมแบบเฮลตี้+แอคทีฟมีตติ้ง https://dol.thaihealth.or.th/Media/Pdfview/4f7e8002-a788-ec11-80f9-00155d1aab27

0 ถูกใจ 615 การเข้าชม

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ฝุ่น PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็ง เสี่ยงเสียชีวิตสูง ตายปีละ 7 หมื่นคน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ฝุ่น PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็ง เสี่ยงเสียชีวิตสูง ตายปีละ 7 หมื่นคน

ติดต่อเรา
1719481749.jpeg

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น

ขยับตัวเพื่อสุขภาพ เด็กไทยเอาชนะพฤติกรรมเนือยนิ่งและบอกลาโรคอ้วน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ขยับตัวเพื่อสุขภาพ เด็กไทยเอาชนะพฤติกรรมเนือยนิ่งและบอกลาโรคอ้วน

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค
defaultuser.png

Don Admin

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

 

 

รู้หรือไม่ว่า เด็กไทยจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นิ่ง ๆ และมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ?

“พฤติกรรมเนือยนิ่ง” ดังกล่าว เป็นต้นเหตุปัญหาสุขภาวะที่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยทุกภาคส่วนสามารถช่วยสร้าง สนับสนุน และส่งเสริมให้เด็กไทยมีวิถีชีวิตที่ “แอ็กทีฟ” ยิ่งขึ้น ด้วยการขยับตัว ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ทั้งสนุก มีความสุข ไปพร้อมกับการรักษาสุขภาพ!