พฤติกรรมการบริโภคอาหารส่งผลต่อภาวะโภชนาการและสุขภาพที่อาจก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภาระทางสุขภาพและสาเหตุของความสูญเสียปีสุขภาวะจากการตายก่อนวัยอันควรลำดับต้นๆ ของประชากรไทย ซึ่งผลการศึกษาภาระโรคสะท้อนโดยการคำนวณการสูญเสียปีสุขภาวะหรือ Disability-Adjusted Life Years (DALYs) ใน พ.ศ.2556 พบว่าการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการคือหนึ่งในสี่ของปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมที่สำคัญ โดยก่อให้เกิดภาระโรคเป็นอันดับที่ 3, 6 และ 7 ในเพศชาย และก่อให้เกิดภาระโรคเป็นอันดับที่ 1, 2, 4 และ 7 ในเพศหญิง โดยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ. 2562 (BURDEN OF DISEASES) ระบุว่าผู้เสียชีวิต 5 แสนคนในปี 2562 ร้อยละ 81 จากโรค NCDs โดย 1 ใน 5 ของปัจจัยเสี่ยงคือปัญหาโภชนาการจะเห็นได้ว่าภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา โดยมีแนวโน้มและทิศทางเดียวกันกับปัญหาระดับโลก ดังนี้
(กนิษฐา บุญธรรมเจริญ. (2559). ภาระโรคของคนไทย เปิดผลสำรวจสถานการณ์ภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย. กรุงเทพมหานคร.)
ภาวะโภชนาการและสุขภาพคนไทย
• ปี 2564 ร้อยละของเด็กวัยเรียน อายุุ 6-14 ปี มีภาวะเตี้ย ผอม น้ำหนักเกิน อ้วน และสูงดีสมส่วน เท่ากับ ร้อยละ 7.6, 3.8, 12.4 และ 65.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนของเด็กวัยเรียนมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจากปี 2562–2563 แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในภาพรวมยังถือว่าภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนของเด็กวัยเรียนยังเป็นปัญหาด้านโภชนาการที่่สำคัญต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
• ปี 2563 พบว่า ร้อยละ 73.0 ของประชาชนไทยอายุุ 15 ปีขึ้นไป กินอาหารครบ 3 มื้อต่อวัน โดย กลุ่มอายุุกิน ครบ 3 มื้อน้อยที่่สุดคือ 15-29 ปี (ร้อยละ 64.0) ผู้ใหญ่วัยแรงงานส่วนมาก (ร้อยละ 43.0-60.0) งดอาหารมื้อเช้า ผู้สูงอายุุ ส่วนมาก (ร้อยละ 45.0-66.0) งดอาหารมื้อกลางวัน
• ปี 2562
-อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนแรก อยู่ที่่ร้อยละ 14 มีแนวโน้มลดลงอย่างมากจากร้อยละ 23.1 ในปี 2559 โดยต่ำกว่าค่าเป้าหมายด้านโภชนาการระดับโลก(Global Nutrition Targets 2025) กำหนดเป้าหมาย Exclusive Breast Feeding อยู่ที่่ร้อยละ 50 ขึ้นไป
-ร้อยละของเด็กอายุุน้อยกว่า 5 ปี มีภาวะน้ำหนักน้อยเตี้ย ผอม และน้ำหนักเกิน (overweight) เท่ากับ ร้อยละ 7.6, 13.3, 7.7 และ 9.2 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกด้านเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานการสำรวจในปี 2559
• ปี 2560 ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึงจำนวน 102,583 คน แบ่งตามช่วงอายุได้แก่กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปจำนวน 62,993 คน ช่วงอายุ 50-69 ปี จำนวน 28,864 คน ช่วงอายุ 15-49 ปี จำนวน 10,551 คน ช่วงอายุ 5-14 ปี จำนวน 95 คน และช่วงอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 80 คน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการสำรวจสุขภาพคนไทยระดับเขต พ.ศ. 2555 – 2560 ระบุว่าสาเหตุการป่วยอันดับแรกในระดับเขต ได้แก่ ความดันโลหิตสูง รองลงมาคือ โรคเบาหวาน
(1.Hannah Ritchie. (2018). Global Burden of Disease. อ้างใน ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย โครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายควบคุมและส่งเสริมให้มีการบริโภคไขมันอย่างเหมาะสมในประเทศไทย เลขที่ข้อเสนอโครงการ 001425/63 รหัสโครงการ 64-00176. สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5
2. แผนหลัก. (พ.ศ. 2566-2570). แผน 14 แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
หน้า 267 – 282.
3. วิชัย เอกพลากร และคณะ. (2564). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562 -2563. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
4.สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ. (2559). การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี พ.ศ.2558-2559. Health Data Center. สืบค้นจาก http://www.pcko.moph.go.th/hdc.html
5.สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ. (2563). การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี พ.ศ.2562. Health Data Center. สืบค้นจาก http://www.pcko.moph.go.th/hdc.html และกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. (2561). รายงานสุขภาพคนไทยระดับเขต พ.ศ.2555 – 2560. กรุงเทพ: ชินอักษรการพิมพ์.)
พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทย
1) การบริโภคน้ำตาล ข้อมูลของ Global Agricultural Information Network ปี 2557 พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลถึง 28.4 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (แนะนำไว้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา) ถึง 4.7 เท่า (มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์. หวาน...ไปหรือเปล่า. สืบค้นจาก http://www. thaiheartfound.org/category/details/food/374) ในรายงานสำรวจอนามัยสวัสดิการและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากร พ.ศ.2560 กลุ่มที่บริโภครสหวานในอาหารมื้อหลักที่รับประทานเป็นประจำ คือ กลุ่มวัยเด็กอายุ 6-14 ปี ร้อยละ 32.5 ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภครสหวานเพียงร้อยละ 6.6 ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจการเติมเครื่องปรุงก่อนรับประทานพบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป มีการเติมเครื่องปรุงก่อนรับประทานอาหารถึงร้อยละ 55.8 โดยพบว่ากลุ่มวัยเด็กส่วนใหญ่จะเติมน้ำตาล แต่กลุ่มอายุอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเติมน้ำปลาหรือซีอิ้วขาว วิธีปรุงอาหารที่รับประทานเป็นประจำของประชากร พบว่าร้อยละ 50.4 ใช้วิธีต้มหรือลวก แต่เมื่อสังเกตเฉพาะกลุ่มวัยจะพบว่า วิธีปรุงอาหารที่กลุ่มวัยเด็กรับประทานเป็นประจำส่วนใหญ่คือ ทอด (ร้อยละ 36.4) (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2560). การสำรวจอนามัย สวัสดิการ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากร พ.ศ.2560. กรุงเทพฯ: บริษัทเท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จำกัด.)
ผลการศึกษาวิจัยจาก สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2563 พบว่า ประชากรไทยอายุุ 6 ปีขึ้นไป บริโภคเครื่องดื่มที่่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างอายุุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภคน้ำตาลสูงสุด ร้อยละ 7.2 โดยเครื่องดื่มที่่มีการบริโภคลดลงมากที่สุดคือเครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋อง ร้อยละ 17.7 น้ำสมุนไพร ร้อยละ 10.0 และน้ำผลไม้แบบกล่อง ร้อยละ 9.2 ตามลำดับ
2) การบริโภคอาหารไขมันสูง จากรายงานสุขภาพคนไทยปี 2563 โดย สสส. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าวัยรุ่นและเยาวชนอายุในช่วง 10-24 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร บริโภคอาหารฟาสต์ฟูดแบบตะวันตกอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ มากถึงร้อยละ 69 รองลงมาคือภาคกลาง ภาคใต้ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ร้อยละ 55, 49, 42 และ 39 ตามลำดับ ปัจจุบันผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายในการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery นอกจากความสะดวกสบายที่ได้รับแล้วยังมีข้อเสนอพิเศษต่างๆการลดแลกแจกแถมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ทำให้อาหารเหล่านี้เป็นที่นิยมยิ่งขึ้น อาหารที่ได้รับความนิยมสั่งในทุกกลุ่มวัย มักเป็นอาหารจานด่วนหรือเป็นอาหารฟาสต์ฟูดแบบตะวันตก เช่น ไก่ทอด เบอร์เกอร์ และพิชซ่า ซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคลอเรสเตอรอลสูงเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาภาวะโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเกิดขึ้นทุกช่วงวัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1) ประชาชนขาดข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องในการบริโภคอาหารที่มีไขมันอย่างเหมาะสม และ 2) สภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง
(Hannah Ritchie. (2018). Global Burden of Disease. อ้างใน ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย โครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายควบคุมและส่งเสริมให้มีการบริโภคไขมันอย่างเหมาะสมในประเทศไทย เลขที่ข้อเสนอโครงการ 001425/63 รหัสโครงการ 64-00176. สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5)
3) การบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง จากการสำรวจโดยเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม ปี 2562-2563 พบว่า การบริโภคโซเดียมเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือถึง 1.8 ช้อนชา โดยปริมาณการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงที่สุดในภาคใต้ 4,108 มก./วัน, รองลงมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3,316 มก./วัน, กรุงเทพมหานคร 3,496 มก./วัน, ภาคเหนือ 3,563 มก./วัน และภาคกลาง 3,760 มก./วัน ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลการสำรวจปริมาณการบริโภคเกลือแกงของประเทศไทย โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย พ.ศ. 2552 พบว่า คนไทยได้รับเกลือเฉลี่ยจากการรับประทานอาหาร 10.8 กรัมต่อวันต่อคน คิดเป็นปริมาณเกลือโซเดียมที่ได้มากถึง 4,351.69 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคโซเดียมของคนไทยมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
(สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย. โครงการลดการบริโภคโซเดียมในประชากรไทย. เลขที่ข้อเสนอโครงการ 000159/64 รหัสโครงการ 64-00255 สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5)
4) การบริโภคผักและผลไม้ จากการสำรวจปี พ.ศ. 2557 ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป บริโภคผักและผลไม้เพียงพอตามข้อแนะนำเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2552 แต่ก็มีเพียงร้อยละ 25.9 เท่านั้นที่กินผักและผลไม้ได้รวมกัน ≥ 5 ส่วนมาตรฐานต่อวัน (วิชัย เอกพลากร(บรรณาธิการ). (2557). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2557. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข)
ในขณะที่เด็กอายุ 2-14 ปี กินผักและผลไม้โดยเฉลี่ยเป็นมัธยฐานเพียงวันละ 1 ส่วน ร้อยละ 62.1 ของเด็ก เด็กวัยนี้กินผักและผลไม้น้อยกว่า 2 ส่วนต่อวัน (ลัดดา เหมาะสุวรรณ. (2561). ภาวะโภชนาการของเด็กไทย. ใน: วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ฉบับสุขภาพเด็ก พ.ศ. 2557. (น.121-46) นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) ข้อมูลจากการสำรวจนี้ชี้ว่าประชากรไทยทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นและยังบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอ(วราภรณ์ เสถียรนพเก้า. (2561). พฤติกรรมการกินอาหาร. ใน: วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ฉบับสุขภาพเด็ก พ.ศ. 2557. (น.61-97). นนทบุรี:สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข)
ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ในปี 2561 และ 2562 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) (1. สิรินทร์ยา พูลเกิด, สาสินี เทพสุวรรณ์, ณัฐจีรา ทองเจริญชพูงศ์. (2562). การสำรวจพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2561. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.2. สิรินทร์ยา พูลเกิด, สาสินี เทพสุวรรณ์, ณัฐจีรา ทองเจริญชพูงศ์. (2563). โครงการติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2562. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)
พบว่า คนไทยมีแนวโน้มกินผักผลไม้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 320.37 กรัมต่อวัน เป็น 373.14 กรัมต่อวัน แต่ยังคงอยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์แนะนำ (400 กรัมต่อวัน) เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุพบว่าในกลุ่มเด็กโต (10-14 ปี) กินผักและผลไม้เพิ่มขึ้น จาก 197.64 กรัมต่อวัน เป็น 225.49 กรัมต่อวัน ขณะที่เด็กเล็ก (6-9 ปี) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มยังคงกินได้ต่ำกว่าเกณฑ์แนะนำ ในวัยผู้ใหญ่ ทุกกลุ่มอายุกินผักและผลไม้ได้เพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่ยังคงกินได้ไม่ถึงเกณฑ์แนะนำที่เหมาะสม ยกเว้นกลุ่มอายุ 45-59 ปีที่ในปี 2562 กินผักและผลไม้ได้เพียงพอตามเกณฑ์ หากพิจารณาสัดส่วนของผู้ที่กินผักและผลไม้ได้เพียงพอตามเกณฑ์ พบว่า ในปี 2562 ทุกกลุ่มอายุมีสัดส่วนการกินเพียงพอเพิ่มขึ้น มากกว่าปี 2561 ยกเว้นกลุ่มเด็กเล็ก (6-9 ปี) และกลุ่มวัยทำงานตอนกลาง (30-44 ปี) ที่มีสัดส่วนคนกินเพียงพอลดลง (จากร้อยละ 23.0 เหลือร้อยละ 20.8 และจากร้อยละ 39.2 เหลือร้อยละ 39.0 ตามลำดับ) โดยกลุ่มวัยทำงานตอนปลาย (45-59 ปี) มีสัดส่วนคนกินเพียงพอมากที่สุด (ร้อยละ 43.8) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลการสำรวจของสุรินทร์ยา พลูเกิด และคณะ ปี 2564 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการกินผักและผลไม้โดยเฉลี่ยต่อวันของปี 2562 กับปี 2564 พบว่า ส่วนใหญ่เกือบทุกกลุ่มวัยมีการกินผักและผลไม้ปริมาณลดลง ยกเว้นกลุ่มวัยเด็กเล็ก 6–9 ปี และกลุ่มวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในส่วนของร้อยละของผู้ที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอ พบว่าส่วนใหญ่เกือบทุกกลุ่มวัยมีร้อยละของผู้ที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอลดลงจากปี 2562 ทั้งสิ้น ยกเว้นกลุ่มวัยเด็กเล็ก 6 –9 ปี ที่กินเพียงพอเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการกินผักและผลไม้เพียงพอของคนไทยในปี 2561 และ 2562 ได้แก่ คนที่สมรส มีการศึกษาสูง มีอาชีพเกษตรกร และมีรายได้สูง ขณะที่คนไทยที่ยังกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ คือ คนโสด มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือต่ำกว่า มีอาชีพพนักงานเอกชน และมีรายได้น้อย (ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน) แต่ผลการศึกษาในปี 2562 และ ปี 2564 กลับพบว่ากลุ่มที่มีการศึกษาน้อย (ประถมศึกษาและต่ำกว่า) และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลับเป็นกลุ่มที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่มีการศึกษาสูงและมีรายได้สูง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายอื่นๆ เช่น ปัจจัยภายใน พบว่าผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสมในการกินผักและผลไม้วันละ 400 กรัมขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่ไม่มีความรู้ เช่นเดียวกับทัศนคติ พบว่า หากกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการกินผักและผลไม้จะเป็นกลุ่มที่กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่มีทัศนคติไม่ถูกต้อง สำหรับความกลัวหรือความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีในผักและผลไม้ พบว่ากลุ่มที่มีความกลัวหรือวิตกกังวลจะมีการได้กินผักและผลไม้เพียงพอน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มีความกลัวหรือวิตกกังวล ปัจจัยภายนอก พบว่ากลุ่มที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอจะมาจากการปลูกผักสวนครัวของตนเอง มีผู้ซื้อ/จัดหาผักผลไม้มาให้กิน และความเข้มข้นของการรณรงค์ในชุมชน โดยสถานที่หลักในการซื้อผักผลไม้ของคนไทยยังคงเป็นตลาดสด/ตลาดนัด

(สุรินทร์ยา พลูเกิด และอารี จำปากลาย. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาสถานการณ์การบริโภคผักผลไม้ของคนไทย ระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2565. รหัสโครงการ 64 – 00005 ข้อตกลงเลขที่ 64-00-0020. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.))
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0