1

0

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-08-01 12:09:46

บทนำ

เสนอความเป็นมาและความสำคัญ และสถานการณ์ระบบอาหารเพื่อสุขภาวะของประเทศไทย ทั้งในมิติของความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย และโภชนาการในทุกช่วงวัย โดยอิงจากข้อมูลระดับโลก และระดับประเทศ เช่น แนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การปนเปื้อนในอาหาร พฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อสุขภาพ และความไม่มั่นคงในระบบผลิตอาหารในประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และแนวทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระบบอาหารที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาวะของประชาชน ให้บรรลุตัวชี้วัด 3 เรื่องสำคัญคือ การบริโภคผักและผลไม้ตามเกณฑ์ที่แนะนำ ลดอัตราการเกิดโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ สัดส่วนสถานศึกษาที่จัดอาหารปลอดภัยและสอดคล้องกับหลักโภชนาการ อปท./ชุมชน/พื้นที่มีแผนจัดการระบบอาหารสุขภาวะในท้องถิ่น และระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ของประชากรทุกกลุ่มวัยเพิ่มขึ้น

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ มาตรการขับเคลื่อนงานของ สสส. และภาคี

เอกสารส่วนนี้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์ระบบอาหารของประเทศไทย ทั้งในมิติของความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย และโภชนาการในทุกช่วงวัย โดยอิงจากข้อมูลระดับโลก และระดับประเทศ เช่น แนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การปนเปื้อนในอาหาร พฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อสุขภาพ และความไม่มั่นคงในระบบผลิตอาหารในประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และแนวทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระบบอาหารที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาวะของประชาชน

        

1.1 สถานการณ์ด้านอาหารในระดับโลก ประเทศ และแนวโน้มปัญหาระบบอาหารในอนาคต

 

1.1.1 สถานการณ์อาหารโลก

อาหารและโภชนาการคือรากฐานสำคัญของชีวิต การบริโภคอาหารที่หลากหลาย ปลอดภัย มีคุณค่าโภชนาการ ครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนที่เพียงพอเหมาะสมตามวัยคือหนึ่งในเส้นชัยสู่การมีโภชนาการที่ดี การมีพฤติกรรมสุขภาพไม่พึงประสงค์ เช่น การติดรสหวาน มัน เค็ม กินผักผลไม้น้อย ขาดการออกกำลังกายและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ คือหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่การเกิดภาวะทุพโภชนาการ ส่งผลกระทบที่เป็นภาระสุขภาพและสาเหตุความสูญเสียปีสุขภาวะจากการตายก่อนวัยอันควรลำดับต้นๆของประชากรทั่วโลก ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และมะเร็ง (สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ. (2558). รายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ. 2556. นนทบุรี : บริษัทเดอะกราฟิโกซิสเต็มส์จำกัด. สืบค้นจาก http://bodthai.net/ download/ รายงานภาระโรค-2556)

 

การศึกษาวิจัยปี 2562 เกี่ยวกับ dietary risks พบว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ชนิดของอาหาร และสารอาหารมีนัยยะสำคัญต่อการเกิดโรคและเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก โดยพบว่าประชากรโลกมีปัจจัยเสี่ยงจากการบริโภคอาหารคือ กินธัญพืชน้อย โซเดียมสูง ผลไม้ไม่่เพียงพอ ในระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้้(SEA) พบว่าปัจจัยเสี่่ยง ต่อการกินที่ส่งผลต่อการเสียชีวิตของประชากรก็เป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งความเสี่่ยงของพฤติกรรมการบริโภคอาหารเป็นปัจจัยเสี่่ยงสำคัญที่ส่งผลให้้ประชากรโลกมีการเสียชีวิตมากที่่สุด  ข้อมูลในปี พ.ศ.2560พบว่ามีประชากรทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังประมาณ 41 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 73 จากอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด   โดยเป็นการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุด ประมาณ 18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 32 จากอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด (Hannah Ritchie. (2018). Global Burden of Disease. อ้างใน ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย  โครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายควบคุมและส่งเสริมให้มีการบริโภคไขมันอย่างเหมาะสมในประเทศไทย เลขที่ข้อเสนอโครงการ 001425/63 รหัสโครงการ 64-00176. สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5 ) 

ข้อมูลจาก Global Nutrition Report 2020ได้มีการรายงานความชุกนํ้าหนักน้อย และนํ้าหนักเกิน ในวัยเด็กและวัยรุ่น (อายุ 5-19 ปี) พบว่าความชุกของนํ้าหนักน้อย ในปี 2016 ทั้งชายและหญิง (ชายร้อยละ 31.6 และหญิงร้อยละ 25.9) ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2000 (ชายร้อยละ 37.0 และหญิงร้อยละ 29.6) ในขณะที่ความชุกของนํ้าหนักเกินเพิ่มขึ้นทั้งในชายและหญิงเช่นกัน ในปี 2016 มีความชุกนํ้าหนักเกินในชายร้อยละ 19.2 และหญิงร้อยละ 17.5 จากเดิมในปี 2000 มีความชุกนํ้าหนักเกินในชายและหญิง ร้อยละ 10.3  นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีเด็กที่มีภาวะแคระแกร็น (Stunting) ในปี 2018 อยู่ที่ 149 ล้านคน เด็กที่มีภาวะผอมแห้ง (Wasting) อยู่ที่ 49.5 ล้านคน (ร้อยละ 7.3) ส่วนเด็กที่มีนํ้าหนักเกินอยู่ที่ 40.1 ล้านคน (ร้อยละ 5.9)  ในวัยผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปี ขึ้นไป) มีความชุกของนํ้าหนักน้อยลดลง และนํ้าหนักเกินเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับวัยเด็กและวัยรุ่น (อายุ 5-19 ปี) ในปี 2016 มีความชุกนํ้าหนักน้อยในชายร้อยละ 9.4 และหญิงร้อยละ 8.6 จากเดิมในปี 2000 มีความชุกนํ้าหนักน้อย ในชายและหญิงร้อยละ 11.5 และ 11.1 ตามลำดับ ส่วนความชุกของนํ้าหนักเกิน ในปี 2000 ในชายและหญิงร้อยละ 31.7 และ 29.7 ตามลำดับ  แต่ในปี 2016 เพิ่มขึ้นในชาย  ร้อยละ 39.2 และหญิงร้อยละ 38.5 สำหรับพฤติกรรมการบริโภคเกลือเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2017 มีการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 5.6 กรัม ในขณะที่ตั้งเป้าไว้ที่ 3.95 กรัมในปี 2025 และเมื่อดูการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก พบว่าความชุกของเบาหวานและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นจาก baseline ในปี 2012 ตั้งเป้าไว้ไม่ให้เพิ่มขึ้น ส่วนความดันโลหิตสูงที่ตั้งเป้าไว้ให้ลดลงร้อยละ 25 พบว่าความชุกแทบไม่เปลี่ยนแปลงจาก baseline โดยสรุปสถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั่วโลกยังไม่บรรลุเป้าหมาย

จากการติดตามดัชนีราคาอาหาร (Food Price Index) ของ FAO ชี้ว่าราคาอาหารสำคัญของโลกที่วัดจากดัชนีราคาธัญพืช เนื้อสัตว์ นม น้ำตาล และน้ำมันพืช ขณะนี้อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี และสูงกว่าดัชนีราคาอาหารเมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นวิกฤตอาหารสำคัญของโลก (Global Food Crisis)  ราคาเนื้อสัตว์และธัญพืชพุ่งสูงขึ้นพร้อมกันจากหลายสถาณการณ์รวมทั้งปัญหาการเมืองระหว่างตะวันตกและยูเครนกับรัสเซีย เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม ไทย กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากราคาเนื้อสัตว์และโปรตีนที่พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ ร้อยละ 20–2,500 จากโรคระบาด นอกจากนี้ผลจากราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลพุ่งสูงขึ้นเป็นการเพิ่มราคาปัจจัยการผลิตสำคัญ ได้แก่ ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในเครื่องจักรกลการเกษตรและการขนส่งในอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ ส่งผลให้ราคาอาหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น  รายงาน State of Food Security and Nutrition in the World 2021  ระบุว่าประชากรโลกราว 720–811 ล้านคน กำลังประสบปัญหาภาวะอดอยาก เผชิญหน้ากับความหิวโหย ซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2009 ราว 161 ล้านคน ขณะที่ประชากรโลกกว่า 2.3 พันล้านคน หรือประมาณ ร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมดทั่วโลกประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารที่เพียงพอตลอดปี สะท้อนให้เห็นระดับความไม่มั่นคงทางอาหารของโลกในระดับปานกลางหรือรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการผลิตอาหารทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 300 ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1960 แต่ภาวะทุพโภชนาการกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อายุขัยของประชากรโลกลดลง 

ในหลายพื้นที่ทั่วโลกการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อให้เกิดภาวะถดถอยอย่างรุนแรงและสร้างอุปสรรคต่อการเข้าถึงอาหาร ยิ่งทำให้ความอดอยากแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง โดยในปี 2020 ความหิวโหยพุ่งสูงขึ้นแซงหน้าการเติบโตของประชากร พบว่าในระยะ 1 ปีที่ผ่านมาประชากรโลกขาดสารอาหารเพิ่มขึ้น 1.2 เท่า กล่าวคือเพิ่มจาก ร้อยละ 8.4 ในปี 2019 เป็นร้อยละ 9.9 ในปี 2020  

ความเสี่ยงด้านอาหารระดับโลกในอนาคต (ระยะ 10 ปีข้างหน้า)จากรายงานความเสี่ยงระดับโลก (The Global Risks Report 2020) ของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum :WEF) ได้ชี้ให้เห็นผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และหลังโควิด ความกังวลความเสี่ยงที่สำคัญ 5 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ สังคม และเทคโนโลยี ความเสี่ยงครึ่งหนึ่งคือด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลกระทบในด้านอื่นทุกด้าน  โดยเฉพาะการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  วิกฤตทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของความมั่นคงทางอาหาร การสูญเสียจะส่งผลกระทบทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสุขภาพ 

(ทีมวิชาการ มูลนิธิชีววิถี. (2565). ไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่วิกฤตอาหาร 2022 หลังโควิด. เผยแพร่เมื่อ 30เมษายน 2565 อ้างใน วิฑูรย์  เลี่ยนจำรูญ รายงานความก้าวหน้าฉบับสมบูรณ์ ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2564–11 พฤษภาคม 2565. โครงการขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงทางอาหารและการบริโภคผักผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ยั่งยืน. รหัสโครงการ 64-00178 ข้อตกลงเลขที่ 64–00–166. โครงการรับทุน สสส. สำนัก 5)

 

1.1.2 สถานการณ์และแนวโน้มปัญหาด้านอาหารของประเทศไทย

 

1.1.2.1 สถานการณ์ด้านความมั่นคงทางอาหาร

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 ของโลก และอันดับที่ 2 ของเอเชียรองจากประเทศจีน  แต่ผลการวิเคราะห์ระบบอาหารและความมั่นคงทางอาหารของประเทศกลับพบว่า

1) การผลิตอาหารมีปัญหาเรื่องที่่ดินและชลประทาน เน้นการเกษตรเชิงเดี่ยว ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้  

2) การส่งออกผลผลิตเกษตรของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง พืชเศรษฐกิจที่่ผลิตส่วนใหญ่ เช่น อ้อย ข้าวโพด มัน มีผลตอบแทนต่อไร่ต่ำมาก ขณะที่่การผลิตพืชอินทรีย์/เกษตรผสมผสาน/เกษตรทางเลือก เช่น ข้าว ผลไม้ พืชสมุนไพร สามารถทำกำไรดีกว่า พื้นที่เกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนต่อพื้นที่่ทั้งประเทศยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก 

3) ความหลากหลายของพันธุุกรรมในระบบอาหารและระบบการผลิตอาหารมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว อาหาร พืชผัก ผลไม้ที่่ขายในระบบค้าปลีกมีเพียงไม่กี่่สายพันธุ์  

4) การรวมศูนย์ปัจจัยการผลิตและการกระจายอาหารเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าพันธุ์สัตว์ ร้อยละ 100 ถือครองโดย 4 บริษัท และพันธุ์พืช ร้อยละ 75 อยู่ในการถือครองของ 7 บริษัท การกระจายอาหารรวมศูนย์จากระบบค้าปลีกซึ่งคาดว่าในระยะ 10 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มรวมศูนย์ระบบค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ ความหลากหลายของอาหาร และยังลดการได้รับคุณค่าทางโภชนาการ โดยไม่รวมถึงการเกิดโรคระบาดและอื่นๆ ที่่มาจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวที่ใช้สารเคมี ปริมาณมาก 

5) สถานะของเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร  ส่วนใหญ่อยู่ในวัยชรา มีภาระหนี้สิน และอยู่ได้เพราะพึ่งพารายได้นอกภาคเกษตร โดยอายุุเฉลี่ยของเกษตรกรสูงขึ้นจาก 54 ปี ในปี 2551 เป็น 58 ปี ในปี 2561 และมีภาระหนี้สิน โดยเฉลี่ย 221,490 บาท/ครัวเรือน/ปี แต่กลับมีปริมาณผลผลิตลดลง มีความเหลื่อมล้ำและมีค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้น ปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อความไม่มั่นคงทางอาหารจากการผลิตพืชอาหาร เช่น ฐานทรัพยากรธรรมชาติมีแนวโน้มเสื่อมโทรมรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ระบบการผลิตภาคเกษตรยังต้องพึ่งปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง ขณะที่พื้นที่การเกษตรมีจำกัดและถูกใช้ไปเพื่อกิจการอื่น (นนทกานต์ จันทร์อ่อน. (2557). บทความวิชาการ ความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย (Thailand Food Security). กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. สืบค้นจาก https://library.senate.go.th/ document/ Ext7091/7091777_0002.PDF) 

จากรายงานวิเคราะห์ความมั่นคงทางอาหารและภาวะโภชนาการของไทย พ.ศ.2548-2554 ระบุว่าประเทศไทยมีระดับความมั่นคงทางอาหารสูงซึ่งสอดคล้องกับข้อมูล Global Food Security Index 2020 (GFSI) ที่ระบุว่าประเทศไทยมีระดับความมั่นคงทางอาหารอันดับที่ 51 จาก 113 ประเทศ และข้อมูลจากโครงการติิดตาม พฤติิกรรมการกินผักและผลไม้้ของคนไทยปี 2564 พบว่าประชาชนกลุ่มตัวอย่างอายุุ 13 ปีขึ้นไป มีคะแนนเฉลี่ยความไม่มั่นคงทางอาหารอยู่ที่่ 0.89 คะแนน จากคะแนนเต็ม 8 คะแนน โดยร้อยละ 5.6 และร้อยละ 2.9 มีความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับปานกลางและรุนแรง ตามลำดับ  และข้อมูลขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่าคนไทยส่วนหนึ่งยังจัดอยู่ในกลุ่มผู้อดอยาก (Hunger) หรืออยู่ในภาวะทุพโภชนาการ (Undernourished people)  ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่กำลังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารอาหารที่เพียงพอและหลากหลาย โดยเฉพาะหลังการแพร่่ระบาดโรคโควิด-19

(สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2556). รายงานการวิเคราะห์ความมั่นคงทางอาหารและภาวะโภชนาการของไทย พ.ศ.2548-2554. กรุงเทพฯ: บริษัท ธรรมดาเพรส จำกัด.)

1.1.2.2 สถานการณ์ด้านความปลอดภัยของอาหาร

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) สรุปสาเหตุส่วนใหญ่ของการเจ็บป่วยจากการบริโภคอาหารเกิดจากอาหารที่่ปนเปื้อนเชื้อจุุลินทรีย์และสารเคมี เช่น สารเคมีที่่ใช้ในการกำจัดศัตรููพืช ยาปฏิชีวนะ และยาที่่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ วัตถุุเจือปนอาหาร รวมไปถึงสารพิษจากจุุลินทรีย์และสารเคมีปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค งบประมาณ และเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังมีภัยอุบัติใหม่ที่่อาจปนเปื้อนในอาหารซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่ยังส่งผลกระทบต่อการค้า และภาพลักษณ์ของประเทศด้วย  

ความปลอดภัยของผักและผลไม้ จากการสำรวจข้อมูลกลุ่มตัวอย่างโดยเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัด ศัตรููพืช (Thai PAN) ปี 2563 สุ่มตรวจผักผลไม้ 509 ตัวอย่าง จากทั่วประเทศ พบว่าผักและผลไม้มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน สูงถึงร้อยละ 58.7 โดยพบทั้งตลาดทั่วไปและห้างสรรพสินค้าในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (ร้อยละ 60.1 และ56.7 ตามลำดับ)  ซึ่งสอดคล้องกับรายงานผลการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผักและผลไม้้ โดยกระทรวงสาธารณสุข และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับข้อมูลมูลค่าการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตร ปี 2561 อยู่ที่่ 292 รายการ คิดเป็น 170,932,622 กิโลกรัม เฉลี่ยแล้วคนไทย 1 คน จะได้รับสารเคมี 2.5 กิโลกรัม ในขณะที่่พื้นที่่เกษตรอินทรีย์มีเพียงร้อยละ 0.38 หรือ 570,409 ไร่ จากพื้นที่่การเกษตรทั้งหมด 149,225,195 ไร่ (ข้อมูล ปี 2560) ข้อมูลจากกรม  วิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี 2562 พบว่าความไม่ปลอดภัยของเนื้อสัตว์แย่กว่าในผักและผลไม้ กล่าวคือ ตัวอย่าง เนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านมาตรฐาน เฉลี่ยร้อยละ 40-80 และยังพบการปนเปื้อนเชื้อดื้อยาในเนื้อหมูู เนื้อวัว และเนื้อไก่ กว่าร้อยละ 56.5-98.5  ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นปัญหาซับซ้อนของระบบการผลิตเกษตรกรรมและอาหาร ระบบการกระจายอาหาร วิถีวัฒนธรรมการบริโภคสมัยใหม่ และปัญหาทางนโยบายของรัฐและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ผักผลไม้จำนวนมากในตลาดไม่ปลอดภัยและขาดความหลากหลาย แต่อีกด้านหนึ่งผักผลไม้พื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักยืนต้น/ไม้ผลยืนต้นซึ่งมีศักยภาพสำคัญต่อระบบเกษตรกรรมยั่งยืน มีคุณค่าด้านโภชนการและสมุนไพรสูง เป็นแหล่งอาหารที่หลากหลาย ปลอดภัย กลับค่อยๆหมดความสำคัญลงหรือสูญหายไปอย่างช้า ๆ เพราะถูกละเลยไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างเพียงพอทั้งในระดับหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการผลิต หรือส่งเสริมเรื่องการบริโภคโดยตรง รวมทั้งประชาชนที่เกิดมาในยุคหลังจำนวนมากไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ  ไม่เห็นคุณค่า หรือไม่สามารถเข้าถึงผักผลไม้ประเภทนี้ได้  นอกจากนี้วิกฤตโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร โดยหลังจากที่เกิดการระบาดทำให้ food safety testing market เพิ่มขึ้น  เป็นโอกาสของธุรกิจการขายอาหารที่จะมีีเรื่อง food safety เข้ามาเกี่ยวข้องสูงมาก ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนงานอาหารปลอดภัย

1.1.2.3 สถานการณ์ด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหารและภาวะโภชนาการ

พฤติกรรมการบริโภคอาหารส่งผลต่อภาวะโภชนาการและสุขภาพที่อาจก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภาระทางสุขภาพและสาเหตุของความสูญเสียปีสุขภาวะจากการตายก่อนวัยอันควรลำดับต้นๆ ของประชากรไทย ซึ่งผลการศึกษาภาระโรคสะท้อนโดยการคำนวณการสูญเสียปีสุขภาวะหรือ Disability-Adjusted Life Years (DALYs) ใน พ.ศ.2556 พบว่าการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการคือหนึ่งในสี่ของปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมที่สำคัญ โดยก่อให้เกิดภาระโรคเป็นอันดับที่ 3, 6 และ 7 ในเพศชาย และก่อให้เกิดภาระโรคเป็นอันดับที่ 1, 2, 4 และ 7 ในเพศหญิง โดยมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ  ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ. 2562 (BURDEN OF DISEASES) ระบุว่าผู้เสียชีวิต 5 แสนคนในปี 2562 ร้อยละ 81 จากโรค NCDs โดย 1 ใน 5 ของปัจจัยเสี่ยงคือปัญหาโภชนาการจะเห็นได้ว่าภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา โดยมีแนวโน้มและทิศทางเดียวกันกับปัญหาระดับโลก ดังนี้

(กนิษฐา บุญธรรมเจริญ. (2559). ภาระโรคของคนไทย เปิดผลสำรวจสถานการณ์ภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย. กรุงเทพมหานคร.) 

ภาวะโภชนาการและสุขภาพคนไทย

• ปี 2564 ร้อยละของเด็กวัยเรียน อายุุ 6-14 ปี มีภาวะเตี้ย ผอม น้ำหนักเกิน อ้วน และสูงดีสมส่วน เท่ากับ ร้อยละ 7.6, 3.8, 12.4 และ 65.5 ตามลำดับ ทั้งนี้ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนของเด็กวัยเรียนมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจากปี 25622563 แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในภาพรวมยังถือว่าภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนของเด็กวัยเรียนยังเป็นปัญหาด้านโภชนาการที่่สำคัญต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

• ปี 2563 พบว่า ร้อยละ 73.0 ของประชาชนไทยอายุุ 15 ปีขึ้นไป กินอาหารครบ 3 มื้อต่อวัน โดย กลุ่มอายุุกิน ครบ 3 มื้อน้อยที่่สุดคือ 15-29 ปี (ร้อยละ 64.0) ผู้ใหญ่วัยแรงงานส่วนมาก (ร้อยละ 43.0-60.0) งดอาหารมื้อเช้า ผู้สูงอายุุ ส่วนมาก (ร้อยละ 45.0-66.0) งดอาหารมื้อกลางวัน 

• ปี 2562 

-อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนแรก อยู่ที่่ร้อยละ 14 มีแนวโน้มลดลงอย่างมากจากร้อยละ 23.1 ในปี 2559 โดยต่ำกว่าค่าเป้าหมายด้านโภชนาการระดับโลก(Global Nutrition Targets 2025) กำหนดเป้าหมาย Exclusive Breast Feeding อยู่ที่่ร้อยละ 50 ขึ้นไป 

-ร้อยละของเด็กอายุุน้อยกว่า 5 ปี มีภาวะน้ำหนักน้อยเตี้ย ผอม และน้ำหนักเกิน (overweight) เท่ากับ ร้อยละ 7.6, 13.3, 7.7 และ 9.2 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกด้านเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานการสำรวจในปี 2559 

 ปี 2560 ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึงจำนวน 102,583 คน แบ่งตามช่วงอายุได้แก่กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปจำนวน 62,993 คน ช่วงอายุ 50-69 ปี จำนวน 28,864 คน ช่วงอายุ 15-49 ปี จำนวน 10,551 คน ช่วงอายุ 5-14 ปี จำนวน 95 คน และช่วงอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 80 คน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการสำรวจสุขภาพคนไทยระดับเขต พ.ศ. 2555 – 2560 ระบุว่าสาเหตุการป่วยอันดับแรกในระดับเขต ได้แก่ ความดันโลหิตสูง รองลงมาคือ โรคเบาหวาน

(1.Hannah Ritchie. (2018). Global Burden of Disease. อ้างใน ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย  โครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายควบคุมและส่งเสริมให้มีการบริโภคไขมันอย่างเหมาะสมในประเทศไทย เลขที่ข้อเสนอโครงการ 001425/63 รหัสโครงการ 64-00176. สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5

2.  แผนหลัก. (พ.ศ. 2566-2570). แผน 14 แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

หน้า 267 – 282.

3.  วิชัย เอกพลากร และคณะ. (2564). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562 -2563.  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล.

4.สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ. (2559). การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี พ.ศ.2558-2559Health Data Center. สืบค้นจาก http://www.pcko.moph.go.th/hdc.html 

5.สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ. (2563). การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย  ปี พ.ศ.2562. Health Data Center. สืบค้นจาก http://www.pcko.moph.go.th/hdc.html และกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. (2561). รายงานสุขภาพคนไทยระดับเขต พ.ศ.2555 2560. กรุงเทพ: ชินอักษรการพิมพ์.)

พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทย

1)  การบริโภคน้ำตาล ข้อมูลของ Global Agricultural Information Network ปี 2557 พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลถึง 28.4 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (แนะนำไว้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา) ถึง 4.7 เท่า (มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์. หวาน...ไปหรือเปล่า. สืบค้นจาก http://www. thaiheartfound.org/category/details/food/374) ในรายงานสำรวจอนามัยสวัสดิการและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากร พ.ศ.2560 กลุ่มที่บริโภครสหวานในอาหารมื้อหลักที่รับประทานเป็นประจำ คือ กลุ่มวัยเด็กอายุ 6-14 ปี ร้อยละ 32.5 ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภครสหวานเพียงร้อยละ 6.6 ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจการเติมเครื่องปรุงก่อนรับประทานพบว่า ประชากรอายุ  6 ปีขึ้นไป มีการเติมเครื่องปรุงก่อนรับประทานอาหารถึงร้อยละ 55.8 โดยพบว่ากลุ่มวัยเด็กส่วนใหญ่จะเติมน้ำตาล แต่กลุ่มอายุอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเติมน้ำปลาหรือซีอิ้วขาว วิธีปรุงอาหารที่รับประทานเป็นประจำของประชากร พบว่าร้อยละ 50.4 ใช้วิธีต้มหรือลวก แต่เมื่อสังเกตเฉพาะกลุ่มวัยจะพบว่า วิธีปรุงอาหารที่กลุ่มวัยเด็กรับประทานเป็นประจำส่วนใหญ่คือ ทอด (ร้อยละ 36.4) (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2560). การสำรวจอนามัย สวัสดิการ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากร พ.ศ.2560. กรุงเทพฯ: บริษัทเท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จำกัด.)

ผลการศึกษาวิจัยจาก สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2563 พบว่า ประชากรไทยอายุุ 6 ปีขึ้นไป บริโภคเครื่องดื่มที่่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างอายุุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภคน้ำตาลสูงสุด ร้อยละ 7.2 โดยเครื่องดื่มที่่มีการบริโภคลดลงมากที่สุดคือเครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋อง ร้อยละ 17.7  น้ำสมุนไพร ร้อยละ 10.0 และน้ำผลไม้แบบกล่อง ร้อยละ 9.2 ตามลำดับ  

2) การบริโภคอาหารไขมันสูง จากรายงานสุขภาพคนไทยปี 2563 โดย สสส. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าวัยรุ่นและเยาวชนอายุในช่วง 10-24 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร บริโภคอาหารฟาสต์ฟูดแบบตะวันตกอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ มากถึงร้อยละ 69 รองลงมาคือภาคกลาง ภาคใต้ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ร้อยละ 55, 49, 42 และ 39 ตามลำดับ ปัจจุบันผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบายในการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery นอกจากความสะดวกสบายที่ได้รับแล้วยังมีข้อเสนอพิเศษต่างๆการลดแลกแจกแถมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ทำให้อาหารเหล่านี้เป็นที่นิยมยิ่งขึ้น อาหารที่ได้รับความนิยมสั่งในทุกกลุ่มวัย มักเป็นอาหารจานด่วนหรือเป็นอาหารฟาสต์ฟูดแบบตะวันตก เช่น ไก่ทอด เบอร์เกอร์ และพิชซ่า ซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคลอเรสเตอรอลสูงเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง  จากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาภาวะโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเกิดขึ้นทุกช่วงวัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1) ประชาชนขาดข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องในการบริโภคอาหารที่มีไขมันอย่างเหมาะสม  และ 2) สภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูง 

(Hannah Ritchie. (2018). Global Burden of Disease. อ้างใน ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย  โครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายควบคุมและส่งเสริมให้มีการบริโภคไขมันอย่างเหมาะสมในประเทศไทย เลขที่ข้อเสนอโครงการ 001425/63 รหัสโครงการ 64-00176. สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5)

3)  การบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง จากการสำรวจโดยเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม ปี 2562-2563 พบว่า การบริโภคโซเดียมเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือถึง 1.8 ช้อนชา โดยปริมาณการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงที่สุดในภาคใต้ 4,108 มก./วัน, รองลงมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3,316 มก./วัน, กรุงเทพมหานคร 3,496 มก./วัน, ภาคเหนือ 3,563 มก./วัน และภาคกลาง 3,760 มก./วัน ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลการสำรวจปริมาณการบริโภคเกลือแกงของประเทศไทย โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย พ.ศ. 2552 พบว่า คนไทยได้รับเกลือเฉลี่ยจากการรับประทานอาหาร 10.8 กรัมต่อวันต่อคน คิดเป็นปริมาณเกลือโซเดียมที่ได้มากถึง 4,351.69 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคโซเดียมของคนไทยมีแนวโน้มในทิศทางที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น 

(สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย. โครงการลดการบริโภคโซเดียมในประชากรไทย. เลขที่ข้อเสนอโครงการ 000159/64 รหัสโครงการ 64-00255 สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 5)

4)  การบริโภคผักและผลไม้ จากการสำรวจปี พ.ศ. 2557 ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป บริโภคผักและผลไม้เพียงพอตามข้อแนะนำเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2552 แต่ก็มีเพียงร้อยละ 25.9 เท่านั้นที่กินผักและผลไม้ได้รวมกัน  5 ส่วนมาตรฐานต่อวัน (วิชัย เอกพลากร(บรรณาธิการ). (2557). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ.2557. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข)

ในขณะที่เด็กอายุ 2-14 ปี กินผักและผลไม้โดยเฉลี่ยเป็นมัธยฐานเพียงวันละ 1 ส่วน ร้อยละ 62.1 ของเด็ก  เด็กวัยนี้กินผักและผลไม้น้อยกว่า 2 ส่วนต่อวัน (ลัดดา เหมาะสุวรรณ. (2561). ภาวะโภชนาการของเด็กไทย. ใน: วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ฉบับสุขภาพเด็ก พ.ศ. 2557. (น.121-46) นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) ข้อมูลจากการสำรวจนี้ชี้ว่าประชากรไทยทั้งผู้ใหญ่และเด็กมีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นและยังบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอ(วราภรณ์ เสถียรนพเก้า. (2561). พฤติกรรมการกินอาหาร. ใน: วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ฉบับสุขภาพเด็ก พ.ศ. 2557. (น.61-97). นนทบุรี:สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข)

ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ในปี 2561 และ 2562 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)                          (1. สิรินทร์ยา พูลเกิด, สาสินี เทพสุวรรณ์, ณัฐจีรา ทองเจริญชพูงศ์. (2562). การสำรวจพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2561. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล.2.  สิรินทร์ยา พูลเกิด, สาสินี เทพสุวรรณ์, ณัฐจีรา ทองเจริญชพูงศ์. (2563). โครงการติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2562. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)

พบว่า คนไทยมีแนวโน้มกินผักผลไม้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 320.37 กรัมต่อวัน เป็น 373.14 กรัมต่อวัน แต่ยังคงอยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์แนะนำ (400 กรัมต่อวัน)  เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุพบว่าในกลุ่มเด็กโต (10-14 ปี)  กินผักและผลไม้เพิ่มขึ้น จาก 197.64 กรัมต่อวัน เป็น 225.49 กรัมต่อวัน ขณะที่เด็กเล็ก (6-9 ปี) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มยังคงกินได้ต่ำกว่าเกณฑ์แนะนำ  ในวัยผู้ใหญ่ ทุกกลุ่มอายุกินผักและผลไม้ได้เพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่ยังคงกินได้ไม่ถึงเกณฑ์แนะนำที่เหมาะสม ยกเว้นกลุ่มอายุ 45-59 ปีที่ในปี 2562 กินผักและผลไม้ได้เพียงพอตามเกณฑ์  หากพิจารณาสัดส่วนของผู้ที่กินผักและผลไม้ได้เพียงพอตามเกณฑ์ พบว่า ในปี 2562 ทุกกลุ่มอายุมีสัดส่วนการกินเพียงพอเพิ่มขึ้น มากกว่าปี 2561 ยกเว้นกลุ่มเด็กเล็ก (6-9 ปี) และกลุ่มวัยทำงานตอนกลาง (30-44 ปี) ที่มีสัดส่วนคนกินเพียงพอลดลง (จากร้อยละ 23.0 เหลือร้อยละ 20.8 และจากร้อยละ 39.2 เหลือร้อยละ 39.0 ตามลำดับ) โดยกลุ่มวัยทำงานตอนปลาย (45-59 ปี) มีสัดส่วนคนกินเพียงพอมากที่สุด (ร้อยละ 43.8) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลการสำรวจของสุรินทร์ยา พลูเกิด และคณะ ปี 2564 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการกินผักและผลไม้โดยเฉลี่ยต่อวันของปี 2562 กับปี 2564 พบว่า ส่วนใหญ่เกือบทุกกลุ่มวัยมีการกินผักและผลไม้ปริมาณลดลง ยกเว้นกลุ่มวัยเด็กเล็ก 69 ปี และกลุ่มวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในส่วนของร้อยละของผู้ที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอ พบว่าส่วนใหญ่เกือบทุกกลุ่มวัยมีร้อยละของผู้ที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอลดลงจากปี 2562 ทั้งสิ้น ยกเว้นกลุ่มวัยเด็กเล็ก 6 –9 ปี ที่กินเพียงพอเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการกินผักและผลไม้เพียงพอของคนไทยในปี 2561 และ 2562 ได้แก่ คนที่สมรส มีการศึกษาสูง มีอาชีพเกษตรกร และมีรายได้สูง ขณะที่คนไทยที่ยังกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ คือ คนโสด มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือต่ำกว่า  มีอาชีพพนักงานเอกชน และมีรายได้น้อย (ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน) แต่ผลการศึกษาในปี 2562 และ ปี 2564 กลับพบว่ากลุ่มที่มีการศึกษาน้อย (ประถมศึกษาและต่ำกว่า) และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลับเป็นกลุ่มที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่มีการศึกษาสูงและมีรายได้สูง  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายอื่นๆ เช่น ปัจจัยภายใน พบว่าผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสมในการกินผักและผลไม้วันละ 400 กรัมขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่ไม่มีความรู้ เช่นเดียวกับทัศนคติ พบว่า หากกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการกินผักและผลไม้จะเป็นกลุ่มที่กินผักและผลไม้เพียงพอมากกว่ากลุ่มที่มีทัศนคติไม่ถูกต้อง สำหรับความกลัวหรือความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีในผักและผลไม้ พบว่ากลุ่มที่มีความกลัวหรือวิตกกังวลจะมีการได้กินผักและผลไม้เพียงพอน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่มีความกลัวหรือวิตกกังวล  ปัจจัยภายนอก  พบว่ากลุ่มที่ได้กินผักและผลไม้เพียงพอจะมาจากการปลูกผักสวนครัวของตนเอง มีผู้ซื้อ/จัดหาผักผลไม้มาให้กิน และความเข้มข้นของการรณรงค์ในชุมชน  โดยสถานที่หลักในการซื้อผักผลไม้ของคนไทยยังคงเป็นตลาดสด/ตลาดนัด

(สุรินทร์ยา พลูเกิด และอารี จำปากลาย. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาสถานการณ์การบริโภคผักผลไม้ของคนไทย ระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2565. รหัสโครงการ 64 – 00005 ข้อตกลงเลขที่ 64-00-0020. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.))

1.1.2.4 การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน

การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ในปี พ.ศ.2556 ของประชากรอายุ  26-30 ปี พบว่ามีค่าใช้จ่ายด้านอาหารสูงถึงร้อยละ 77 ซึ่งสาเหตุที่ค่าใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มขึ้นสูงเช่นนี้ คาดว่าเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป มีการปรุงประกอบอาหารเองน้อยลง ในขณะที่มีการรับประทานอาหารนอกบ้านหรือการซื้ออาหารสำเร็จรูปมากขึ้น และยังพบว่าคนในชนบทเริ่มมีค่าใช้จ่ายการรับประทานอาหารนอกบ้านและซื้ออาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2559). พฤติกรรมการบริโภค. ใน: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. สุขภาพคนไทย 2559. (น.18-19). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง) สอดคล้องกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พบว่า ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป รับประทานอาหารนอกบ้านอย่างน้อย 1 มื้อ แหล่งอาหารที่รับประทานบ่อยที่สุดในช่วงสุดสัปดาห์คือ ร้านอาหารตามสั่ง รองลงมาคือ ซื้ออาหารปรุงเสร็จ และการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ปี พ.ศ.2560 พบว่า ความถี่ในการบริโภคอาหารในกลุ่มอาหารสำเร็จรูป แช่แข็ง หรืออาหารพร้อมปรุงแช่เย็นตามร้านสะดวกซื้อ กำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป มีการรับประทาน 1-2 วันต่อสัปดาห์ ถึงร้อยละ 46.6 (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2561). การสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากร พ.ศ.2560. กรุงเทพฯ:สำนักงานสถิติแห่งชาติ) 

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้คาดการณ์ไว้ว่า ในบรรดาสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม อาหารพร้อมทานยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในปี พ.ศ.2563 อย่างไรก็ตามจากผลของภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่อาจจะยังอ่อนแรง จะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมการกินอยู่ของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคที่อยู่ในตลาดแรงงาน เริ่มตั้งแต่เปรียบเทียบด้านราคามากขึ้น ลดการบริโภค หรือเปลี่ยนไปรับประทานอาหารประเภทอื่นที่มีราคาประหยัดและคุ้มค่ากว่าอาหารพร้อมทาน เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป ร้านอาหารข้างทาง เป็นต้น        (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย. (2563).  คาดตลาดอาหารพร้อมทานยังโต 3-5% แต่ต้องปรับธุรกิจตามภาวะตลาดและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังอ่อนแรง. สืบค้นจาก https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/business /Pages /z3060.aspx )

1.1.2.5 สถานการณ์ด้านระบบตลาด เศรษฐกิจ และการค้า

พัฒนาการของระบบการค้าในโลกทุนนิยมเสรี คือ ปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากระบบกระจายอาหารดั้งเดิมสู่ระบบการกระจายอาหารสมัยใหม่ มีการประเมินว่าแรงกดดันต่อธุรกิจถึงผลกระทบที่มีในห่วงโซ่อุปทานมีแนวโน้ม ที่่จะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในระบบเกษตรและการผลิตอาหารที่่มีแนวโน้มจะรวมศูนย์โดยห่วงโซ่อุปทานที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายจะเหลือเพียงไม่กีราย หากพิจารณาระบบการกระจายอาหารของไทยเมื่อปี 2544 พบว่าสัดส่วนโมเดิร์นเทรด มีเพียงร้อยละ 35 ของระบบการกระจายอาหารที่มีอยู่ แต่ในปี 2560 กลับพบว่าสัดส่วนโมเดิร์นเทรดเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 66.4 ที่่ผ่านมาร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดได้เปลี่ยนแปลงระบบกระจายอาหารทั่วลกด้วยวิธีการขยายจากเมืองใหญ่ไปสู่เมืองเล็กเกือบทุกจังหวัด นอกจากนี้ระบบการจัดซื้อรวมศูนย์ทำให้้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้เปรียบร้านขายของชำ (โชห่วย) อย่างมาก

(แผนหลัก. (พ.ศ. 2566-2570). แผน 14 แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)หน้า 267 – 282)

การศึกษามูลค่าตลาดและปริมาณการจำหน่ายในช่วงปี 2558-2563 และประมาณการมูลค่าตลาดและปริมาณการจำหน่าย ระหว่างปี 2563-2568 ของอาหารสำเร็จรูป (ready meal) อาหารฟาสต์์ฟูด (fast food)  เครื่องดื่มพรอมดื่ม (ready-to-drink soft drinks) เครื่องปรุงรส (sauces, dressing and condiments) และเนื้อสัตว์แปรรูป (processed meats) ในประเทศไทย  พบว่าปริมาณการจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 58 ในช่วงปี 2558-2563  ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดแช่แข็งและแช่เย็น เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ต้องการความสะดวกสบายไม่มีเวลาเตรียมอาหารหรือมีข้อจำกัดในการปรุงประกอบอาหารในที่พักอาศัย 

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศต่อการผลิตอาหารในประเด็น CPTPP ที่่จะมีผลต่อการเก็บรักษาและคัดเลือก เมล็ดพันธุ์ กรรมาธิการสภาได้้ทำการศึกษาสรุปชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายย่อยอย่างมากและกว้างขวาง  นอกจากนี้การรวมตัวของการพัฒนาระดับภูมิภาคของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic CommunityAEC) และการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade AreaFTA) ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้บริโภคทั้งในด้านปริมาณอาหารและราคาอาหารในระดับภูมิภาค ดังนั้นนโยบายสำคัญของประเทศคือ “นโยบายส่งเสริม ขีดความสามารถในการแข่งขัน” พร้อมกับ “การเพิ่มบทบาทของผู้ประกอบการรายย่อย” จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้้ประกอบการธุรกิจการเกษตรขนาดเล็ก-กลางในชนบทสามารถเชื่อมโยงเกษตรกรรายย่อยกับห่วงโซ่อุปทานและความต้องการของผู้บริโภคได้ พร้อมกับสร้างความเป็นธรรม และความยั่งยืนของการกระจายอาหารเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารได้

1.1.2.6 ภาวะวิกฤตด้านอาหาร ปัญหาสุขภาพอุบัติใหม่ และสถานการณ์ภัยพิบัติ

สังคมไทยเคยเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตอาหาร เช่น วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 2540 สถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเปราะบางเมื่อเกิดภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีการคาดการณ์ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและส่งผลกระทบเชิงลบสะสม ตั้งแต่ พ.ศ.2548–2558 เป็นมูลค่า 0.590–2.485 ล้านล้านบาท     ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับภาวะสงครามและการแพร่่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่่ยังคงอยู่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างมาก และยังทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และภาวะโภชนาการ

วิกฤตโควิด-19 มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาวะโภชนาการ การปิดเมือง ห้ามเดินทาง ธุรกิจปิดตัว  คนตกงาน ราคาอาหารสูงขึ้น โดยเฉพาะในเมือง รวมทั้งการ disruption ของระบบอาหารตั้งแต่การผลิต คลังสินค้า การกระจายขายปลีก ทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป เกิดการสั่งอาหารทางออนไลน์และสะสมอาหาร   สำเร็จรููปมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน สำหรับกลุ่มคนเปราะบางได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เพราะความสามารถของครัวเรือนในการเข้าถึงอาหารทั้งคุณภาพและปริมาณลดลง ส่งผลให้ขาดความมั่นคงทางอาหารและยังส่งผลกระทบต่อเด็กต่อการขาดสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินและธาตุุเหล็ก เกิดความหิวโหยในกลุ่มเปราะบาง/ยากจน นำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งกลุ่มที่่จะเห็นผลกระทบเร็วสุดคือทารกในครรภ์ จากรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2565 พบว่า โรคโควิด–19 ส่งผลต่อพฤติกรรมด้านอาหารโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย จากการสำรวจผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัดกรุงเทพฯ พบว่า ร้อยละ 37.8 ต้องลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและลดการบริโภคอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น สัตว์น้ำ เนื้อสัตว์ และผลไม้ 

นอกจากนี้ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2565 มีสัญญาณบ่งชี้ว่าโลกและประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตอาหารแล้ว โดยดัชนีราคาอาหาร (Food Price Index) ของ FAO ชี้ว่าราคาอาหารสำคัญของโลกที่่วัดจากดัชนีราคาธัญพืช  เนื้อสัตว์ นม น้ำตาล และน้ำมันพืช ขณะนี้อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี และสูงกว่าดัชนีราคาอาหารเมื่อปี ค.ศ. 2008 ซึ่งเป็นวิกฤตอาหารครั้งสำคัญของโลก (global food crisis) ทำให้้เห็นอย่างชัดเจนว่าวิกฤตอาหารร้ายแรง กว่าวิกฤตพลังงาน เมื่อพบว่าเดือนเมษายน 2566 ราคาอาหารพุ่งร้อยละ 30 จากสงครามยูเครนและรัสเซียกระทบผลผลิตสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของโลก อีกทั้งราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาปัจจัยการผลิตที่่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรููพืช รวมทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในเครื่องจักรกลการเกษตร  การขนส่งในอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ ส่งผลให้้ราคาอาหารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น

(แผนหลัก. (พ.ศ. 2566-2570). แผน 14 แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)หน้า 267 – 282) 

1.1.3 แนวโน้มและทิศทางระบบอาหารในอนาคต

สถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารความปลอดภัยของอาหารและโภชนาการ องค์การอนามัยโลก ได้เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ในการสนับสนุนอาหารเพื่อสุขภาวะ (healthy diets) ได้แก่ 

1)  การสร้างประสานเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติิและแผนการลงทุน (creating coherence in national policies and investment plans – including trade, food and agricultural policies – to promote a healthy diet and protect public health

2)  หาแนวทางกระตุ้นความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ (demand) ให้สูงขึ้น (encouraging consumer demand for healthy foods and meals

3)  การให้ความสำคัญในประชากรกลุ่มเฉพาะ กลุ่มทารกและเด็กเล็ก ส่งเสริมอาหารกลุ่มทารกและเด็กเล็กเหมาะสม (promoting appropriate infant and young child feeding practices)

(FAO, IFAD, UNICEF, WFP and WHO. (2020). The State of Food Security and Nutrition in the World 2020: Transforming food systems for affordable healthy dietsRomeFAO, 

IFAD, UNICEF, WFP and WHO.)

รายงานสถานการณ์ด้านสุขภาพคนไทย Thai Health Watch 2022 ได้นำเสนอข้อมูลด้านสุขภาวะ ทิศทาง แนวโน้มสถานการณ์ด้านสุขภาพ มีสาระสำคัญที่่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร กล่าวคือการสร้างความมั่นคงทางอาหาร  การบริโภคอย่างสมดุล วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ผลผลิตเพื่อการบริโภคลดลงและมีปัญหาในหลายๆ ด้าน ทำให้กลุ่มคนด้อยโอกาส  คนไร้บ้าน หลายคนประสบปัญหาในด้านอาหารการกิน แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มเด็กที่่เรียนออนไลน์ คนที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านรับประทานอาหารเดลิเวอรี่เกิดการบริโภคเกินความจำเป็น ควบคู่ไปกับการเนือยนิ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นแนวโน้มการขับเคลื่อนประเด็นอาหารในอนาคต จำเป็นต้องขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Adaptive living: ปรับการใช้ชีวิต พร้อมก้าวไปในยุุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเกิดความตระหนัก และสามารถรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายให้มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง รวมถึงพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับการแก้ปัญหาต่างๆ ไปพร้อม กันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) แล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ร่วมกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบและรวดเร็วในอนาคต เน้นการพัฒนาการนำเทคโนโลยีมาใช้จัดการข้อมูลทางอาหารเพื่อสุขภาวะให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุดกับประชาชนทุกกลุ่มวัย

ผลการวิเคราะห์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านอาหารและโภชนาการยังอยู่ในภาวะวิกฤต และมีแนวโน้มจะเกิดความไม่ปลอดภัยของอาหาร ความไม่มั่นคงทางอาหารที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะโภชนาการและสุขภาพคนไทย ดังนั้นการนำองค์ความรู้ สื่อ นวัตกรรมที่มีอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ สสส. มาจัดหมวดหมู่และสังเคราะห์อย่างเป็นระบบ จะช่วยสะท้อนให้เห็นต้นทุนทางความรู้ที่มีอยู่ในกลุ่มเป้าหมายหรือประเด็น ใดบ้างที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานให้เกิดความต่อเนื่อง ประเด็นใด/กลุ่มเป้าหมายใดที่ยังต้องเติมเต็ม ปรับปรุง  และออกแบบพัฒนาต่อยอดให้เกิดการเข้าถึงทั้งในระดับบุคคล/องค์กร และมีการใช้ประโยชน์ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นตัวกลาง หรือโดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมายด้วยช่องทางการเผยแพร่ที่หลากหลายตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ 

1.2 เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหารตามภารกิจ สสส.

 

1.2.1 เป้าหมายระดับโลก: การพัฒนาที่ยั่งยืน

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development GoalsSDGs) ที่นานาประเทศนำไปใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ รวมถึงประเทศไทย และ สสส.ได้รับมาเป็นเป้าหมายเช่นกัน  SDGs จัดทำขึ้นภายหลังการสิ้นสุดเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals MDGs) เมื่อ พ.ศ. 2558 โดยสหประชาชาติกำหนดขึ้นภายใต้กรอบความคิดที่มองการพัฒนาเป็นมิติ (Dimensions) ของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้มีความเชื่อมโยงกันใช้เป็นทิศทางการพัฒนาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ถึงเดือนสิงหาคม 2573 ครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี ประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย 169 ตัวชี้วัด สำหรับเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ สสส.  มีอย่างน้อย 12 เป้าหมาย  โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร มี 3 เป้าหมาย ได้แก่ 

เป้าหมายที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (End hunger, achieve food security and improved nutrition and promote sustainable agriculture) ประกอบด้วย 5 เป้าหมายย่อย ดังนี้

เป้าหมายที่ 2.1 ยุติความหิวโหยและสร้างหลักประกันให้ทุกคนโดยเฉพาะที่ยากจนและอยู่ในภาวะเปราะบางอันรวมถึงทารก ได้เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย มีโภชนาการ และเพียงพอตลอดทั้งปี ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 2.2 ยุติภาวะทุพโภชนาการทุกรูปแบบและแก้ไขปัญหาความต้องการสารอาหารของหญิงวัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้สูงอายุ ภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงบรรลุเป้าหมายที่ตกลงร่วมกันระหว่างประเทศว่าด้วยภาวะแคระแกร็นและผอมแห้งในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ภายในปี 2568

เป้าหมายที่ 2.3 เพิ่มผลิตภาพทางการเกษตรและรายได้ของผู้ผลิตอาหารรายเล็ก โดยเฉพาะผู้หญิง  คนพื้นเมือง เกษตรแบบครอบครัว คนเลี้ยงปศุสัตว์ ชาวประมง ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยรวมถึงการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรและปัจจัยนำเข้าในการผลิต ความรู้ บริการทางการเงิน ตลาด และโอกาส สำหรับการเพิ่มมูลค่าและการจ้างงานนอกฟาร์มอย่างปลอดภัยและเท่าเทียม ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 2.4  สร้างหลักประกันระบบการผลิตที่ยั่งยืนและสามารถนำไปปรับใช้ในระบบ

การเกษตรที่สามารถเพิ่มผลผลิตและการผลิตได้ที่ช่วยรักษาระบบนิเวศน์ ที่เพิ่มความเข้มแข็งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศที่รุนแรง ความแห้งแล้ง น้ำท่วม และภัยพิบัติอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อคุณภาพพื้นที่และดิน ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 2.5  คงความหลากหลายทางพันธุกรรมของเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้เพาะปลูก สัตว์ในไร่นาและที่เลี้ยงตามบ้านเรือน และชนิดพันธุ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับพืชและสัตว์เหล่านั้น รวมถึงให้มีธนาคารเมล็ดพันธุ์และพืชที่มีการจัดการที่ดีและมีความหลากหลายทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ และสร้างหลักประกันว่าจะมีการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์เกิดจากการใช้ทรัพยากรทางพันธุกรรมและองค์ความรู้ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ตามที่ตกลงกันระหว่างประเทศ ภายในปี 2573 

เป้าหมายที่ 3 มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รับรองการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในทุกช่วงอายุ (Ensure healthy lives and promote well-being for all at all ages) มี 3 ใน 9 เป้าหมายย่อยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร ดังนี้

เป้าหมายที่ 3.1 ลดอัตราการตายของมารดาทั่วโลก ให้ต่ำกว่า 70 ต่อการเกิด มีชีพ 1 แสนคน 

ภายใน ปี  2573

เป้าหมายที่ 3.2 ยุติการตายที่ป้องกันได้ของทารกแรกเกิดและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยทุกประเทศ มุ่งลดอัตราการตายในทารกลงให้ต่ำถึง 12 ต่อการเกิดมีชีพพันคน และลดอัตราการตายในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ลงให้ต่ำถึง 25 ต่อการเกิดมีชีพพันคน ภายในปี 2573 

เป้าหมายที่ 3.4 ลดการตายก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ ให้ลดลงหนึ่งในสาม ผ่านทางการ

ป้องกันและการรักษาโรค และสนับสนุนสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 12สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Ensure sustainable consumption and production patterns)  ดังนี้

เป้าหมายที่ 12.2 บรรลุการจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 12.3 ลดขยะเศษอาหารลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค และลดการสูญเสีย

อาหารจากกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว ภายในปี 2573

เป้าหมายที่ 12.4 การจัดการสารเคมีและของเสียทุกชนิดตลอดวงจรชีวิตของสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปลดปล่อยของเสียออกสู่อากาศ น้ำและดิน เพื่อจะลดผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ภายในปี 2563

(1.ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Centre for SDG Research and Support: 

SDGMOVE) SDG MOVE: MOVING TOWARDS SUSTAINABLE FUTURE. คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัย 

ธรรมศาสตร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร/ สืบค้นจาก https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs     

2. มหาวิทยาลัยมหิดล. เป้าหมาย SDGs 17 ประการสืบค้นจาก https://science.mahidol.ac.th/sdgs/sdgs-17)

1.2.2 เป้าหมายและยุทธศาสตร์ระดับประเทศ

กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย เป็นกรอบบูรณาการครอบคลุมทั้งความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย และโภชนาการตามภารกิจ สสส.ภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ และ สสส. มีบทบาท ร่วมสนับสนุน สานเสริมพลัง บูรณาการขับเคลื่อนกรอบยุทธศาสตร์์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่่ 2 (พ.ศ. 2561–2580) ภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติิ 4 เป้าหมายที่่สำคัญ คือ 

เป้าหมายที่่ 1 จำนวนคนขาดแคลนอาหารลดลง (SDG2) 

เป้าหมายที่่ 3 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อคุณภาพและความปลอดภัยอาหารเพิ่มขึ้น 

เป้าหมายที่่ 5 จำนวนคนที่มีภาวะทุพโภชนาการลดลง 

เป้าหมายที่่ 6 มีกลไกประสานงานกลางและบูรณาการทำงาน ตลอดจนกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเป้าหมายระดับโลก “การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” เช่น เป้าหมายที่ 2, 12  และสอดคล้องกับเป้าหมายที่ 3 ของ สสส. “เพิ่มสัดส่วนการบริโภคอาหารอย่างสมดุล” ซึ่งผลการสังเคราะห์องค์ความรู้สุขภาวะประเด็นอาหารที่ได้ในครั้งนี้จะมีประโยชน์ในการพัฒนางานและเห็นเส้นทางมุ่งสู่เป้าหมายชัดเจนขึ้น

กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2555 – 2559) และ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 25612580)  เป็นกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารฯที่เชื่อมโยงทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับอาหารจากภาคการเกษตร การแปรรูป การบริการสู่โภชนาการ สุขภาพผู้บริโภค ตลอดจนถึงวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การบริการและการค้า โดยน้อมนำหลัก “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นหลักคิดพื้นฐานในการวางกลยุทธ์เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทุกมิติอย่างสมดุล เน้นการนำความรู้และปัญญามาสู่การปฏิบัติที่มีคุณธรรมและจริยธรรม โดยกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยฉบับนี้ กำหนดวิสัยทัศน์คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อชาวไทยและชาวโลกอย่างยั่งยืน” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการฐานทรัพยากรการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเสริมสร้างองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่อาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่รวมถึงผู้บริโภค และก่อให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการในทุกระดับทั้งในภาวะปกติและวิกฤติ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านความมั่นคงอาหาร มีเป้าประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการอย่างยั่งยืน อันเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจชีวภาพ ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร มีเป้าประสงค์เพื่อสร้างความมั่นใจในอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการค้าทั้งในและต่างประเทศ

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านอาหารศึกษา มีเป้าประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและวิจัยให้เกิดความรู้ ความตระหนักแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อาหาร เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และสร้างความตระหนักในการบริโภคอาหารเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการบริหารจัดการ มีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาการจัดการด้านอาหารของประเทศตลอดห่วงโซ่อาหารอย่างเป็นระบบ สร้างความเข้มแข็งของการดำเนินงานทุกภาคส่วนให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงและภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และสอดคล้องกับกติกาการค้าสากล 

(คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ. (2561). กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2555 – 2559) และ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2561-2580). นนทบุรี: สำนักงานคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ  สืบค้นจาก https://www.slideshare.net/benzwongumpornpinit/2556-58354447)

 

1.2.3 เป้าหมายและยุทธศาสตร์ สสส. – แผนอาหารสุขภาวะ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นองค์กรหนึ่งที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยกำหนดทิศทาง เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายด้านอาหารและโภชนาการสอดคล้องกับบริบท สสส. ตั้งแต่ระดับวิสัยทัศน์ “ทุกคนบนแผ่นดินไทย มีขีดความสามารถ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ” (พ.ศ. 2555–2564) และ “ทุกคนบนแผ่นดินไทยมีวิถีชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนต่อการมีสุขภาวะที่ดี” (พ.ศ. 2565–2574) และพันธกิจ “จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลังบุคคล ชุมชน และองค์กรทุกภาคส่วนให้มีขีดความสามารถและสร้างสรรค์ระบบสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี”  ในการกำหนดเป้าหมายเฉพาะ (Specific Strategic Target) จะยึดตามเป้าหมายระดับชาติ โดยบูรณาการถ่ายระดับสู่เป้าหมาย 7 + 1 ประเด็น โดยเฉพาะประเด็นอาหาร เป็นเป้าหมายการพัฒนาตามภารกิจ สสส.เป้าหมายที่ 3 ได้มีการถ่ายทอดสู่แผนปฏิบัติการของสำนักต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระยะ 10 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ.2555–2564)  และระยะมองไปข้างหน้า 10 ปี (พ.ศ. 2565–2574)  

1.2.3.1 เป้าหมายและยุทธศาสตร์ สสส. ประเด็นอาหาร ย้อนหลัง 10 ปี (พ.ศ. 2555–2564)

ในระยะเริ่มต้น (พ.ศ.2546–2554) โครงการด้านอาหารได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เพื่อการบรรลุผลตามเป้าประสงค์ที่ 1 ลดปัจจัยเสี่ยงหลัก ต่อมาในระยะที่ 2 (พ.ศ.2555–2563) ได้ยกระดับขึ้นเป็นแผนงาน ชื่อ แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ (แผน 14) ภายใต้การบริหารของสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ (สำนัก 5) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักตามประเด็นยุทธศาสตร์ คือ ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัยของอาหาร และโภชนาการ การบริหารแผนใช้แนวคิด “ระบบอาหาร” เพื่อบูรณาการภาคีเครือข่ายทั้งสามกลุ่มให้เชื่อมต่อกันตลอดห่วงโซ่อุปทานโดยมีผู้บริโภคเป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาแผนอาหารเพื่อสุขภาวะได้วางยุทธศาสตร์ประเด็นอาหารไว้ 2 เป้าหมายหลัก คือ  

1)  เพิ่มอัตราการบริโภคผักผลไม้อย่างเพียงพอ (400 กรัม/วัน/คน) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2557 และต่อมาขยายระยะเวลาสู่การบรรลุเป้าหมาย ภายในปี 2564  

2)  ลดอัตราชุกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนให้น้อยกว่าร้อยละ 10 ภายในปี 2562 โดยดำเนินการในกลุ่มประชากรเป้าหมาย 3 กลุ่มวัย ได้แก่ วัยเด็ก วัยทำงาน และวัยผู้สูงอายุ และ 4 พื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน โรงพยาบาล สถานประกอบการ และชุมชน มีการขับเคลื่อนงานในลักษณะภาคี จุดเน้นในช่วง 5 ปีแรก (พ.ศ.2555–2559) คือ “Healthy Food,  Healthy Nutrition, Healthy People” ภายใต้การวางยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญอาหารปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการตลอดห่วงโซ่อาหาร ได้แก่ ระบบการผลิต  ให้ความสำคัญกับ 1)  ส่งเสริมระบบการผลิตอาหารปลอดภัยจากสารเคมีจำกัดศัตรูพืช   2) สนับสนุนการขับเคลื่อนมาตรการผลผลิตที่ปลอดภัย และ 3) ส่งเสริมชุมชนความมั่นคงทางอาหาร  ระบบการตลาด ให้ความสำคัญกับ 1)  ส่งเสริมช่องทางการกระจายผลผลิตพืชผักปลอดภัย เช่น ตลาดสีเขียว และระบบสมาชิกผักปลอดภัย และ 2) ส่งเสริมแหล่งจำหน่ายอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย เช่น มาตรฐานร้านอาหาร แผงลอยสุขภาพ ตลาดเกษตรกร   และ ระบบการบริโภค โภชนาการและสุขภาพ ให้ความสำคัญกับ 1) รณรงค์สร้างพฤติกรรมและค่านิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ 2) สร้างเสริมสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มโอกาสของการบริโภคอาหารสุขภาวะ 3) ส่งเสริมระบบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ 4)  ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และ 5) การเฝ้าระวังภาวะโภชนาการและสุขภาพ

ต่อมาระยะ 5 ปีหลัง (พ.ศ. 2560–2564)  ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561–2580) ประกอบกับแผนอาหารเพื่อสุขภาวะมีการประเมินผลครึ่งแผนจึงได้มีการปรับจุดเน้นให้เข้าใกล้เป้าหมายและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีมากขึ้น โดยปรับจุดเน้นไปที่ “Food Citizenship, Food Community, Food Literacy” ให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ 

1) ศึกษาพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายอาหารเพื่อสุขภาวะทั้งในด้านความมั่นคง ปลอดภัย มีคุณค่าโภชนาการ ยั่งยืน และเป็นธรรม   

2) ส่งเสริมพลังพลเมืองอาหารทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่นให้ตระหนักถึงสิทธิบทบาทหน้าที่ในการขับเคลื่อนสังคมในห่วงโซ่อาหาร 

3) ส่งเสริมให้เกิดช่องทางหรือกลไกการกระจายอาหารเพื่อสุขภาวะในระดับพื้นที่ องค์กร หรือยุทธศาสตร์ในรูปแบบที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจชุมชน 

4) สื่อสารสร้างความรอบรู้การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลเรื่องการพัฒนาภาคเกษตรที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร ตลอดจนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และพัฒนานวัตกรรม ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals SDGs) ในเป้าหมายที่ 2 ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารรวมถึงยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และเป้าหมายที่ 12 สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน 

(1.วรพงษ์ เวชมาลีนนท์. (บรรณาธิการต้นฉบับ). (2565). รวมพลังสร้างระบบอาหารสุขภาวะอย่างยั่งยืน วาระครบรอบ 20 ปี สสส. กรุงเทพ: แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

2.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. รายงานประจำปี 2564)

1.2.3.2 เป้าหมายและยุทธศาสตร์ สสส. ประเด็นอาหาร มองไปข้างหน้า ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565 – 2574 )

สสส.มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ “ทุกคนบนแผ่นดินไทยมีวิถีชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนต่อการมีสุขภาวะที่ดี” พันธกิจ “จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลังบุคคล ชุมชน และองค์กรทุกภาคส่วนให้มีขีดความสามารถและสร้างสรรค์ ระบบสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี” จุดเน้นการทำงานที่เป็นเป้าหมายหลัก 8 ประเด็น (7+1) ใช้เป็นเป้าหมายร่วมของ สสส. และภาคีเครือข่ายในการทำงานเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ หนึ่งในเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหารคือ เป้าหมายที่ 3 “เพิ่มสัดส่วนการบริโภคอาหารอย่างสมดุล” เพื่อลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการทั้งขาดและเกิน ลดความรุนแรงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของประชากรโลกรวมถึงประชากรไทย โดยกำหนดขอบเขตการดำเนินงานที่สำคัญไว้ดังนี้ 

(1) การเพิ่มสัดส่วนประชากรที่มีโภชนาการเหมาะสมตามช่วงวัย เน้นการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการในแต่ละช่วงวัย ควบคู่กับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ มุ่งเน้นการสร้างความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยการพัฒนาศักยภาพแกนนำ และกระบวนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งส่งเสริมระบบเฝ้าระวังและคุ้มครองผู้บริโภคด้านคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร เพื่อสื่อสารผลกระทบและทำให้ประชาชนเท่าทันต่อสถานการณ์ด้านอาหาร 

(2) การเสริมสร้างคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยเน้นพฤติกรรมการบริโภคอาหารควบคู่กับ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมคุณภาพและปลอดภัย พัฒนาระบบเฝ้าระวังและคุ้มครองผู้บริโภคด้านคุณภาพและ ความปลอดภัยของอาหาร และส่งเสริมระบบการบริหารจัดการเพื่อการเข้าถึงอาหารปลอดภัย ผ่านการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม รวมถึงสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการบริโภคอาหารปลอดภัย 

(3) การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร  เน้นหลักการผลิตที่เพียงพอ การเข้าถึงและพึ่งพาตนเองด้านอาหาร เพื่อสร้างพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) การเข้าถึงอาหาร (Food Access) การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization) และการมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability) ดังนั้น จึงควรมีการผลักดันนโยบายและสานเสริมพลังเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยการส่งเสริมระบบผลิตอาหารที่ยั่งยืน รวมทั้งการสนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งต่อกระบวนการผลิตอาหาร และอุตสาหกรรมอาหาร  

แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ โดย สำนัก 5 ในฐานะหน่วยงานหลักของ สสส.ที่รับผิดชอบประเด็นอาหารได้ถ่ายระดับยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ  โดยวางกรอบการดำเนินงานสู่เป้าหมาย ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566–2570) คือประชาชนมีความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะภายใต้้ระบบอาหารที่่ยังยืน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 3 เรื่อง ได้แก่  (1) ประชาชนมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5  (2)  ประชาชนมีความรอบรู้ด้านอาหารเพื่อสุขภาวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และ (3) การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อ สุขภาวะ/ปกป้องระบบอาหารยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 3 เรื่อง  ทำงานผ่านตัวกำหนดสุขภาพที่่สำคัญในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย โภชนาการ  ภายใต้ยุทธศาสตร์เฉพาะ 4 เรื่อง ดังนี้ 

(1) food literacy สร้างความรอบรู้ด้านอาหารเพื่อนำไปสู่ความเข้มแข็งของพลเมืองอาหารและชุมชนอาหาร 

(2)  food environment สร้างสภาพแวดล้อม ที่่เอื้อต่ออาหารเพื่อสุขภาวะ 

(3)  food economy สนับสนุนเศรษฐกิจอาหารชุมชนและการกระจายอาหารเพื่อสุขภาวะ

(4) food policy ส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมาย โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่่สำคัญประกอบด้วย  กลุ่มเปราะบาง กลุ่มทารกแรกเกิดถึง 5 ปี กลุ่มเด็กเยาวชน กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มผู้สูงอายุุ โดยมี 5 ระบบ/กลไกสนับสนุน ได้แก่ กลไกสนับสนุนการบูรณาการระบบข้อมูลต่างๆ กลไกสนับสนุนเรื่องการสื่อสาร การขยายผล การพัฒนาความร่วมมือ และการจัดการความรู้  ทั้งนี้้เป็นกระบวนการปฏิบัติการร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาคียุทธศาสตร์ ภาคีเครือข่ายที่่มีศักยภาพ และภาคีในระดับพื้นที่่ รวมถึงการเปิดพื้นที่่ทำงานกับภาคีหน้าใหม่หรือภาคีกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย

จุดเน้นของแผนระยะ 5 ปี  ยังคงวางอยู่บนหลักการที่่สำคัญ คือ 

1) ยึดทิศทาง และเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2565-2574) 

2) ยึดแนวนโยบาย ยุทธศาสตร์์ และสถานการณ์ภาพรวมของประเทศ และทำงานเชิงรุกเตรียมพร้อมรองรับกับสถานการณ์สุขภาพ เช่น การสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันการแพร่่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ 

3) มุ่งแสวงหาปัจจัยการขยายผลเชิงยุทธศาสตร์ (strategy and multiplier effect) เพื่อสร้างผลลัพธ์ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างก้าวกระโดด เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน 

4) คำนึงการลดความเหลื่อมล้ำของประชากร กลุ่มเป้าหมาย สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริบททางศาสนา วัฒนธรรม ชุมชน หรือท้องถิ่น 

5) เน้นการส่งเสริมความเข้มแข็งภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างนวัตกรรมในการสร้างเสริมวิถีการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ 

ดำเนินงานภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 

ยุทธศาสตร์ที่่ 1 สร้างความรอบรู้ด้านอาหารเพื่อสุขภาวะ เกิดพลเมืองอาหารและชุมชนอาหาร  โดยส่งเสริมการปรับพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพลดหวานมันเค็มในประชาชนทุกช่วงวัยเพื่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สื่อสารรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะที่่นำไปสู่การเป็นพลเมืองอาหารที่่ตระหนักถึงศักยภาพสิทธิ และบทบาทหน้าที่ในการเข้าถึงและบริโภคอาหารสุขภาวะโดยสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อตนเองและสังคม

ยุทธศาสตร์ที่่ 2 สร้างสภาพแวดล้อมอาหารที่่เอื้อต่อการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ โดยบูรณาการสานเสริมพลัง องค์กรชุมชน และภาคีเครือข่ายเพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบอาหารที่่ยั่งยืน สนับสนุนระบบการบริหารจัดการอาหารและโภชนาการอย่างครบวงจร  เพื่อการแบ่งปัน พึ่งพาตนเอง สร้างวิถีการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ รวมทั้งการพัฒนามาตรการหรือแนวทางเพื่อการควบคุมปัจจัยเสี่ยงด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะที่่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งเชิงปริมาณ คุณภาพและความหลากหลายเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีของประชาชนทุกช่วงวัย  ลดการเจ็บป่วยจากการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจอาหารชุมชนและการกระจายอาหารเพื่อสุขภาวะ   มุ่งสร้างความเข้มแข็งต่อกระบวนการผลิตอาหารในระดับครัวเรือน ชุมชน และอุตสาหกรรมอาหารด้วยระบบอาหารที่่ยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงผลผลิตอาหารเพื่อสุขภาวะจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในภาวะวิกฤตและภาวะปกติ  รวมทั้งขยายผลจากโมเดล นวัตกรรม และองค์ความรู้จากภาคีเครือข่ายด้านการผลิต การกระจาย/แบ่งปัน/ การปรุงประกอบอาหารเพื่อการเข้าถึงอาหารปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ  โดยให้้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง ที่่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตด้านความมั่นคงทางอาหาร  อาหารปลอดภัยและโภชนาการ

ยุทธศาสตร์ที่่ 4 ส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมาย โดยพัฒนาองค์ความรู้นวัตกรรม งานวิชาการงานศึกษาวิจัยและพัฒนาที่่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ พัฒนาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสู่การผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและปกป้องระบบอาหารที่่ยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ  โดยสรุปเป็นกรอบแนวคิดและห่วงโซ่ผลลัพธ์ ได้ ดังภาพ 

 

 (สำนักนโยบายและพัฒนายุทธศาสตร์. (2564). ทิศทางและเป้าหมาย ระยะ 10 ปี (พ.ศ.2565 – 2574).  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). 

1.2.4 แผนงาน/โครงการอาหารเพื่อสุขภาวะที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ระหว่างปี 2555 – 2565

จากการรวบรวมแผนงาน/โครงการรับทุนประเด็นอาหารจากแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนัก 5 สสส. ระหว่าง ปี 2555–2565 มีโครงการรับทุนตามจำนวนที่รวบรวมได้ทั้งหมด 235  โครงการ มีไฟล์ข้อมูล 194  โครงการ คิดเป็นร้อยละ 84.56  (รายงานฉบับสมบูรณ์ 118 โครงการ รายงานงวด 26 โครงการ ข้อเสนอ/สัญญาโครงการ 50 โครงการ)  จำแนกเป็น 

1) แผนงาน/โครงการรับทุนด้านโภชนาการ 77 โครงการ มีไฟล์ข้อมูล 58 โครงการ (รายงานฉบับสมบูรณ์ 28 โครงการ รายงานงวด 7 โครงการ ข้อเสนอ/สัญญาโครงการ 25 โครงการ) 

2) แผนงาน/โครงการรับทุนด้านอาหารปลอดภัย 80 โครงการ มีไฟล์ข้อมูล 67 โครงการ (รายงานฉบับสมบูรณ์ 50 โครงการ รายงานงวด 9 โครงการ ข้อเสนอ/สัญญาโครงการ 8 โครงการ) 

3) แผนงาน/โครงการรับทุนด้านความมั่นคงทางอาหาร 78 โครงการ มีไฟล์ข้อมูล 67 โครงการ (รายงานฉบับสมบูรณ์ 40 โครงการ รายงานงวด 10 โครงการ ข้อเสนอ/สัญญาโครงการ 17 โครงการ) 

รูปแบบการดำเนินงานของโครงการรับทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา - ปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับการสานและเสริมพลังการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม สร้างขีดความสามารถของบุคคลที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะ และเพิ่มขีดความสามารถเชิงสถาบันและส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรในการพัฒนาสุขภาวะองค์รวม หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของตน โดยตัวชี้วัดหลักประกอบด้วยพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้วันละ 400 กรัม และลดอัตราชุกของภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนในกลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการรับทุน สสส.ให้น้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งสอดรับกับทิศทาง ยุทธศาสตร์แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ  สสส. และเป้าหมายระดับชาติและสากล 

1.2.5 ผลการดำเนินงาน ปัจจัยความสำเร็จและปัญหาอุปสรรค

 

1.2.5.1 ผลการดำเนินงานของ สสส. ภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555–2565)

ผลการดำเนินงานของ สสส. ภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555–2565) สสส.ประสบความสำเร็จในการสร้างและสื่อสารองค์ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความตระหนักรู้ของสังคมไทย ได้ร่วมมือกับภาคีระดับต่าง ๆ ผลักดันนโยบายและมาตรการที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมอาหารและโภชนาการที่ดีเพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้าและสุขภาวะของสังคมโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ทั้ง 2 ตัวชี้วัด คือ

1) การแก้ไขปัญหาภาวะอ้วนในเด็ก พบว่าโรงเรียนในโครงการรับทุน สสส. มีความชุกของเด็กที่มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน อยู่ระหว่างร้อยละ 9.5–9.91 หรือโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 8.66  ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของ สสส.ที่กำหนดไว้น้อยกว่าร้อยละ 10 ในปี 2562 

2) เพิ่มการบริโภคผักผลไม้พอเพียงวันละ 400 กรัม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2564 ผลการดำเนินงานทำได้สูงกว่าเป้าหมายถึง 1.5 เท่า (ร้อยละ 78.0

1.2.5.2 ความท้าทายในการขับเคลื่อนแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ

ความท้าทายในการขับเคลื่อนงาน 

จากผลการประเมินการดำเนินงานประเด็นอาหาร ภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ ปี 2555–2565 โดยผู้ประเมินภายนอก ชี้ให้เห็นว่า การดำเนินงานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา (ณัฐกร อุเทนสุต. หลักการภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สืบค้นจากhttps://thainhf.org/en/work/) การบริโภคผักผลไม้ของคนไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่แนะนำอยู่มาก ในขณะที่การบริโภคไขมัน โซเดียมและน้ำตาลของคนไทยยังมากกว่าเกณฑ์ที่แนะนำอยู่มาก เมื่อสิ้นสุดแผนระยะที่ 2 พบว่ามีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจแม้จะไม่บรรลุผลตามตัวชี้วัดเชิงสุขภาพได้อย่างชัดเจนนัก แต่ได้ก่อให้เกิดนโยบายรูปธรรมที่เอื้อต่อวิถีชีวิตสุขภาวะของประชาชนในระยะยาวหลายเรื่อง เช่น เพิ่มค่าอาหารกลางวันรายหัวของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาจาก 13 บาท เป็น 20 บาท ในปี 2557 และเพิ่มเป็น 21 บาทในปีการศึกษา 2565  พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ให้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณความหวาน, พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560  ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมแบนสารเคมี “พาราควอต-คลอร์ไพรีฟอส” เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้น  โดย ผู้ประเมินได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอต่อการยกระดับและพัฒนาการขับเคลื่อนงานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ 11 ประเด็น ดังนี้ 

(1) ปรับเป้าหมายเป็นการบริโภคอาหารสมวัยครบห้าหมู่ และเพิ่มตัวชี้วัด “เตี้ยและผอม” โดยพัฒนาคู่มือการประเมินความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหาร  การประเมินภาวะโภชนาการ ที่สอดคล้องไปกับมาตรฐานวิชาการ   (2) เพิ่มตัวชี้วัดการขับเคลื่อนงานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ จำนวนหรือสัดส่วนโครงการที่ผลการดำเนินงานถูกนำไปขยายผล/ใช้ประโยชน์โดยภาคีหลักหรือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ใช้ประโยชน์โดยตรง

(3) วิเคราะห์กลุ่มประชากรเปราะบางตามสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ และวิถีชีวิต ให้เห็นภาพกลุ่มประชากรเปราะบางต่อการเข้าไม่ถึงอาหารปลอดภัยได้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อเลือกมาตรการสำหรับกลุ่มประชากรเปราะบางในการมีและเข้าถึงแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างเหมาะสม

(4) เพิ่มการสนับสนุนห่วงโซ่การผลิตในประเด็นอาหารจากแหล่งฐานทรัพยากรธรรมชาติ” และ “การกระจาย” ในระยะต่อไป ด้วยการสนับสนุนการพัฒนาตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยประยุกต์ใช้ชุดความรู้กลไกการจัดการด้านการตลาดจากภาคีเครือข่ายที่มีต้นทุนด้านนี้

(5) สนับสนุนกลไกการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านอาหาร เพื่อกำหนดประเด็นที่เป็นปัญหาในการขับเคลื่อนงาน ตลอดจนประเด็นที่เป็นคำถามในเชิงวิจัย เพื่อส่งต่อให้หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันอุดมศึกษา 

(6) พัฒนากลไกหนุนเสริมบทบาทเชิงรุกที่ชัดเจนของหน่วยงาน/องค์กรภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่งานด้านอาหารและโภชนาการ โดยให้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดประเด็นในการพัฒนางานอาหารและโภชนาการและวางแผนการใช้ประโยชน์จากผลการดำเนินงานโครงการฯร่วมกัน

(7) ยกระดับภาคีหลักที่มีศักยภาพให้เป็นหน่วยบริหาร(node)เชิงประเด็นเพื่อช่วยในการบริหารจัดการ และเปิดพื้นที่ให้มีเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างภาคีเครือข่ายเชิงประเด็นมากขึ้น 

(8) จัดให้มีกระบวนการทบทวนวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดโครงการที่เป็นไปได้ และจัดลำดับการเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ชัดเจน  

(9) กำหนดกลไกที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการส่งต่อผลการดำเนินงานโครงการ หรือภารกิจความสำเร็จของโครงการ ให้หน่วยงาน องค์กร หรือภาคประชาสังคมที่เป็นผู้ใช้ เพื่อการขยายผล และความยั่งยืน 

(10) สร้างกลไกที่ให้เกิดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ต้นแบบและศูนย์เรียนรู้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะการขยายในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ แผนอาหารเพื่อสุขภาวะอาจส่งต่อหรือสนับสนุนคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) และกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับพื้นที่ ซึ่งกลไกด้านบริหารจัดการและงบประมาณระดับพื้นที่ที่มีอยู่ปัจจุบัน

(11) รวบรวมชุดความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงและแผนที่แหล่งเรียนรู้ ตลอดจนพัฒนาชุดความรู้ที่ยังไม่ชัดเจนที่ได้จากการระดมความคิดของภาคีแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ และผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชุดความรู้ดังกล่าวควรมีการจัดเก็บในระบบฐานความรู้ที่เอื้อต่อการเข้าถึง และใช้งานมากที่สุด(ภัทระ แสนไชยสุริยา. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการ ประเมินผลการดาเนินงานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563. รหัสโครงการ 63-00131,ข้อตกลงเลขที่ 63-00-0104 (เลขรหัสโครงการโภชนาการที่ 51). สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).)

ซึ่งสอดคล้องกับ ข้อเสนอแนะเพื่อปิดช่องว่างเชิงนโยบายงานด้านโภชนาการ ที่สำคัญเร่งด่วน คือ 

(1) การเสริมพลังประชาชนให้มีความรอบรู้ด้านโภชนาการ การสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องและทันสมัย  

(2) การเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการในการทำงานของภาคีเครือข่าย มาตรการและประเด็นที่ควรขับเคลื่อน ได้แก่ การควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มประเภทน้ำตาลหรือไขมันหรือโซเดียมสูงที่มุ่งเป้าต่อเด็ก การลดขนาดบริโภคในระบบบริการ/จำหน่ายอาหารเครื่องดื่มและลดขนาดบรรจุภัณฑ์ของอาหารและเครื่องดื่มที่มีพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง การทำงานร่วมกับศาสนสถาน ชุมชน โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหารภัตตาคาร เพื่อให้มีอาหารชูสุขภาพบริการหรือจำหน่าย การพัฒนาเครื่องชี้วัดด้านอาหารและโภชนาการที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคอาหารที่เหมาะสมตามวัยเพื่อใช้ระดับบุคคล องค์กร ชุมชนและประเทศ การเสริมสร้างความรู้ความตระหนักเรื่องโภชนาการแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อาหารและการควบคุมการจำหน่ายและบริการอาหารประเภทน้ำตาล หรือ ไขมัน หรือ โซเดียมสูง บริเวณรอบสถานศึกษาในรัศมีไม่น้อยกว่า 500 เมตร 

(ลัดดา เหมาะสุวรรณ. (2563). รายงานการจัดการความรู้การดำเนินงานด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาวะ. กรุงเทพฯ; สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ.)

1.2.5.3 ผลการประเมินจาก TDRI โดยการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม

การศึกษาประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  (TDRI โดยมีผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการประเมินโครงการและแผนอาหารเพื่อสุขภาวะของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยเครื่องมือ SROI เพื่อวิเคราะห์ "ผลตอบแทนทางสังคม" จากการลงทุนเชิงสุขภาวะในระบบอาหาร ระหว่างปี 2555–2565 โดยมีเป้าหมายของการประเมินเพื่อวัด “มูลค่าผลตอบแทนทางสังคม” เทียบกับงบประมาณที่ลงทุน และประเมินผลลัพธ์ทั้งเชิงสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมจากการขับเคลื่อนแผนอาหาร ซึ่งจะชี้ให้เห็น จุดคุ้มทุนทางสังคม (Social Value for Money) จากการดำเนินงานของ สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ผลการประเมินระบุว่าโครงการที่ สสส.ให้การสนับสนุนมีผลตอบแทนกลับคืนสู่สังคมอย่างคุ้มค่า เช่น โครงการด้านการบริโภคอาหาร ทุก 1 บาทที่ลงทุนให้ผลตอบแทนกลับสู่สังคม 13 บาท โครงการด้านเด็กและเยาวชนทุก 1 บาทที่ลงทุนให้ผลตอบแทนกลับสู่สังคมประมาณ 7 บาท และได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ผู้ปกครอง ครู และคนในชุมชน เด็กที่เข้าร่วมโครงการมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดีขึ้น มีการออกกำลังกายมากขึ้น ผู้ปกครองพอใจกับการใช้เวลาที่เป็นประโยชน์ของเด็ก ชุมชนได้มีโอกาสร่วมในกิจกรรมของเด็ก เด็กได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นดีขึ้น กิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การปลูกผัก การขี่จักรยานสำรวจวัดในชุมชน การช่วยกันทำสื่อเผยแพร่ความรู้ในชุมชน กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ชุมชน ครูกับเด็กก็ดีขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างของ “การสร้างเสริมสุขภาพ” ตามมาตรา 3 ของกฎหมายจัดตั้ง สสส. ที่ให้คำจำกัดความของการ “สร้างเสริมสุขภาพ” ว่า การสร้างเสริมให้คนมีสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม โดยสนับสนุนพฤติกรรมของคน สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่ร่างกายที่แข็งแรง จิตที่สมบูรณ์ อายุยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดี การประเมินผลตอบแทนทางสังคมข้างต้นชี้ว่าการสร้างเสริมสุขภาพในความหมายดังกล่าวมิใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม เพราะสามารถวัดได้ว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เห็นได้จากผลลัพธ์เชิงคุณภาพ เหล่านี้

  • สุขภาพดีขึ้น: ลดภาวะน้ำหนักเกินในเด็กจากเฉลี่ย 13% เหลือต่ำกว่า 10% ในโรงเรียนที่เข้าร่วม

  • พฤติกรรมเปลี่ยน: เพิ่มการบริโภคผักผลไม้ในกลุ่มเป้าหมาย >400 กรัม/วัน สูงถึง 78%

  • พื้นที่เรียนรู้ต้นแบบ: เกิดตลาดสีเขียวกว่า 100 แห่ง และโรงเรียนอาหารปลอดภัย 200+ แห่ง

การลดค่าใช้จ่ายระยะยาว: การป้องกันโรค NCDs ผ่านโภชนาการช่วยลดภาระงบประมาณสุขภาพในอนาคต

1.2.5.4 ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับโลก ระดับชาติ ระยะ 10 ปี

เมื่อวิเคราะห์ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับโลก ระดับชาติ ระยะ 10 ปี พบว่า ผลการดำเนินงานของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติกว่า 12 เป้าหมาย จากรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี 2563 และจากการจัดอันดับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG Index 2020) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 41 จากทั้งหมด 166 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งได้ร่วมสนับสนุน สานเสริมพลัง บูรณาการขับเคลื่อนกรอบยุุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2561–2580) ภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ  โดยมีวิสัยทัศน์“ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อชาวไทยและชาวโลกอย่างยั่งยืน”  ซึ่งเชื่อมโยงกับประชาคมโลก มี 4 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สำคัญ คือ 

  • เป้าหมายที่ 1 จำนวนคนขาดแคลนอาหารลดลง (การผลิตอาหารอย่างเพียงพอ เข้าถึงได้ และยั่งยืน     (SDG 2; Zero Hunger), SDG 12 ; Responsible Consumption & Production)

  • เป้าหมายที่ 3 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อคุณภาพและความปลอดภัยอาหารเพิ่มขึ้น 

  • เป้าหมายที่ 5 จำนวนคน ที่มีภาวะทุพโภชนาการลดลง 

เป้าหมายที่ 6 มีกลไกประสานงานกลางและบูรณาการทำงาน 

1.2.5.5 ผลวิเคราะห์โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากแผนฯ

—ผลการวิเคราะห์โครงการที่ได้รับการสนับสนุน พบว่า มีความสอดคล้องกับจุดเน้นการสนับสนุนโครงการ ของ สสส.คือ การทำโครงการต้องตอบโจทย์/ ปัญหา/ ความต้องการของพื้นที่และปัญหาระดับประเทศ ซึ่งโครงการได้นำเสนอกิจกรรม และผลงานที่เห็นการวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา บริบทของพื้นที่อย่างชัดเจน  ซึ่งโครงการที่ได้รับการสนับสนุนมีลักษณะเด่นคือ

1. มีความหลากหลายทางพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย

  • ดำเนินงานครอบคลุม ทั้งในเมือง–ชนบท, พื้นที่เสี่ยง และพื้นที่ชายขอบ

  • ครอบคลุม ทุกช่วงวัย: เด็กเล็ก, วัยเรียน, วัยทำงาน, ผู้สูงอายุ, กลุ่มเปราะบาง

2. ใช้เครื่องมือหลากหลายในการเปลี่ยนพฤติกรรม

  • สื่อสร้างการเรียนรู้ เช่น VDO, Infographic, หนังสือคู่มือพัฒนา พื้นที่ต้นแบบ เช่น โรงเรียนอาหารปลอดภัย ตลาดสุขภาวะ ครัวเรือนต้นแบบ

  • การใช้ ระบบข้อมูลท้องถิ่น และ การประเมินโภชนาการในชุมชน

3. สนับสนุนเครือข่ายภาคีหลากหลาย

  • หน่วยงานท้องถิ่น (อบต./เทศบาล)

  • โรงเรียน/สถานศึกษา

  • โรงพยาบาล/รพ.สต.

  • กลุ่มเกษตรกร/กลุ่มแม่บ้าน

  • องค์กรภาคประชาสังคม (เช่น มูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค)

ทั้งนี้ จุดสำคัญของการขับเคลื่อนแผนอาหารเพื่อสุขภาวะคือ การบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติ และกลไกระดับพื้นที่ โดยอาศัย “กลไกการมีส่วนร่วม” ของภาคีในทุกระดับ ซึ่งเป็นจุดคานงัดสำคัญในการเชื่อมโยงทุกมิติของระบบอาหาร ท่ามกลางความท้าทายจากสถานการณ์ภาวะโภชนาการที่ไม่สมดุล การเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย และความเปลี่ยนแปลงของระบบเกษตรกรรม รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร  กลไกที่ปรากฏขึ้นนั้นร่วมกันสร้างความรอบรู้ด้านอาหาร (Food Literacy) พัฒนาแหล่งเรียนรู้ และต้นแบบพื้นที่อาหาร (Food Community) รวมถึง ส่งเสริมนโยบายท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้กลายเป็นฐานสำคัญของการจัดการอาหารได้ตามบริบทของแต่ละพื้นที่ และสามารถจำแนกกลไกการมีส่วนร่วมได้ตามภาคี 3 ระดับ ได้แก่

  • ระดับนโยบาย  เช่น คณะกรรมการอาหารแห่งชาติสสส. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

  • ระดับปฏิบัติการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนโรงพยาบาล และตลาดชุมชน

  • ระดับชุมชน เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตอาหารปลอดภัย และชุมชนต้นแบบ

อ้างอิง

1. เพลินพาดี. รายงานการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะอาหารเพื่อสุขภาวะเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล.ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น เพื่อการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

2. วรลักษณ์ คงหนู. รายงานฉบับสมบูรณ์การสังเคราะห์ประมวลผลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น

ภาพรวมประเด็นอาหาร.สนับสนุนโดยโครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น

เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค
defaultuser.png

Don Admin

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค

ติดต่อเรา
1748965111.jfif

Super Admin ID2

ติดต่อเรา

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ  ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นอาหารกับกรอบแนวคิดหลัก สสส. และสอดคล้องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ

Admin nicky

วิเคราะห์กลไกเชิงโครงสร้าง นโยบาย และเครื่องมือทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการระบบอาหารเพื่อสุขภาวะของประเทศไทย ตั้งแต่มาตรการภาษีสุขภาพ ฉลากโภชนาการ มติคณะรัฐมนตรี ไปจนถึงมาตรการเฉพาะด้าน อย่างเช่นโภชนาการในโรงเรียน โดยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการ ความสำเร็จ และบทเรียนจากการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึง ข้อเสนอแนะเชิงระบบ เพื่อให้เกิดการประสานกลไกอย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ ทั้งในระดับประเทศ อำเภอ ตำบล และท้องถิ่น ในลักษณะการทำงานแบบบูรณาการที่เชื่อมโยง ภาครัฐ ภาคประชาสังคม เอกชน สถาบันวิชาการ และชุมชนท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ