ฤดูฝนเป็นช่วงที่สภาพถนนเปียกลื่น มีน้ำท่วมขัง และทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง และรุนแรงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตก 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่รถมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดจากการลื่นไถล เพราะน้ำฝนจะชะล้างคราบน้ำมันและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนน ทำให้เกิดเป็นเสมือนแผ่นฟิล์มฉาบอยู่บนผิวถนน อาจส่งผลให้รถลื่นและเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุได้
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้กล่าวถึงสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่น่าตกใจ คือ ช่วงเดือนกันยายนปี 2565 ที่มีฝนตกหนัก มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8,138 ราย เสียชีวิต 105 รวม 8,243 ราย จึงขอแนะนำให้ประชาชนผู้ใช้ถนนในวันฝนตกดังนี้
1.เพิ่มความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ โดยลดความเร็วลงกว่าระดับปกติ เนื่องจากพื้นถนนที่เปียก รถจะใช้ระยะเบรกเพิ่มขึ้น และควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมไม่เกิน 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.เปิดไฟหน้ารถเสมอ ใช้ไฟต่ำจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้น และให้รถคันอื่นมองเห็นรถของเราได้ในระยะไกล
3.เปิดใบปัดน้ำฝน ปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝนให้สัมพันธ์กับความแรงของฝนที่ตกลงมา จะช่วยให้เรามองเห็นเส้นทางได้ตลอดเวลา
4.เว้นระยะห่างจากท้ายรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอย่างน้อย 10-15 เมตร เพื่อให้มีระยะเบรกที่เพียงพอและปลอดภัย
5.หลีกเลี่ยงการแซง แต่หากจำเป็นควรประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนแซง
6.ในกรณีที่รถลื่นไถลหรือเหินน้ำ ไม่ควรเหยียบเบรกจนล้อหยุดหมุนทันที อาจทำให้รถพลิกคว่ำได้ ควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆ เบรก เพื่อลดความเร็ว แล้วจึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ
7.เมื่อต้องขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ขอให้หยุดประเมินสถานการณ์ หากระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถ ไม่ควรขับฝ่าไป ควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ให้โทร 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันที
นอกจากนี้ การดูแลรักษารถยนต์ให้มีความพร้อมในการขับขี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญเช่นกัน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ได้ให้คำแนะนำไว้ ดังนี้
- ตรวจเช็กระบบเบรก ผ้าเบรก จานเบรก และน้ำมันเบรกให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
- หม้อน้ำ ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่อุดตัน รั่วซึม เติมน้ำให้อยู่ในระดับที่กำหนด
- ใบปัดน้ำฝน เนื้อยางต้องไม่แห้งกรอบ สามารถกวาดน้ำได้สะอาด ไม่มีรอยขุ่นมัว และไม่มีเสียงดังขณะใช้งาน
- ยางรถยนต์ มีดอกยางละเอียด ร่องยางลึก ไม่มีรอยปริ แตก บวม ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติ 2 – 3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำและยึดเกาะถนน
- สัญญาณไฟ สว่างไม่ขุ่นมัวทุกดวง ปรับตั้งให้ส่องสว่างเห็นเส้นทางชัดเจน และอยู่ในระดับเดียวกันทั้ง 2 ข้าง
- อุปกรณ์ฉุกเฉินที่ควรมี เช่น ยางอะไหล่ ไฟฉาย อุปกรณ์ลากพ่วงจูง ฯลฯ
ดังนั้นคำว่า “ฝนราชการ” จึงถือเป็นปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่มาพร้อมคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ว่าจะเจอฝนชนิดใด อย่าลืมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและดูแลสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มป่วยจากโรคที่มากับฝน
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0