0

0

บทนำ

 

ได้เวลาเลิกงาน ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมา ทำให้ต้องเดินทางกลับบ้านกลางสายฝนวันแล้ววันเล่า

“ฝนราชการ” ที่ไม่เคยพลาดเวลาเลิกงานนี้ แท้ที่จริงเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือสามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ บทความนี้มีคำตอบ พร้อมด้วยวิธีรับมือกับฝนให้รอดปลอดภัยและสบายดี … หยิบร่มมาแล้วออกเดินทางกันเลย!

ทำไมฝนชอบตกตอนเลิกงาน?

กับคำถามที่หลายคนสงสัย ฝนในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และสามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายสาเหตุที่ฝนชอบตกตอนเย็น ๆ ใกล้เวลาเลิกงานหรือเวลากลับบ้านว่า “สาเหตุเพราะในช่วงหน้าฝนมีไอน้ำในอากาศเยอะ ความชื้นสัมพัทธ์สูง พออากาศโดนแดดนานเข้าจากเช้า สาย เที่ยง บ่าย ไอน้ำในอากาศซึ่งร้อนขึ้นจะฟิตจัดหรือมีพลังงานเยอะ จึงลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ จำนวนมาก ก่อม็อบกลายเป็นเมฆก้อนหนักขึ้น จนถึงจุดหนึ่งก็หนักเกินไป ตกลงมาเป็นฝน…

 

“ช่วงเย็นที่ฝนตกตรงเวลา น่าจะเป็นเพราะมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งพอมรสุมตัวนี้เข้ามาแล้ว มันจะมีวงจรของมันที่เกิดจากพลังงานของดวงอาทิตย์ พอถึงวงรอบได้ที่ก็กระตุ้นให้เกิดฝนตก ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาคนเลิกงานพอดี”

ส่วนฝนตกตอนเย็นจะเกี่ยวกับปรากฏการณ์โดมความร้อนคือ การที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ มีความร้อนสะสมตัวกักเก็บไว้ในเมืองอยู่สูงหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องถกเถียง และรอการพิสูจน์

 

ระวัง! โรคติดต่อที่มากับฤดูฝน

ก้าวเข้าสู่ฤดูฝน สิ่งที่จะได้มาไม่ใช่เพียงสายฝนที่ตกลงมา แต่ยังนำด้วยโรคต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขได้ระบุเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูฝน ดังนี้

  • โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง มีอาการคือ ตาแดง ปวดตา คันตา น้ำตาไหล สามารถป้องกัน

ด้วยการล้างมือและเลี่ยงใช้ของร่วมกับผู้อื่น

  • โรคไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยมักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ไอเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ป้องกันได้ด้วย

การใช้ผ้าปิดปากและจมูก สวมหน้ากากอนามัย หรือฉีดวัคซีนป้องกัน

  • โรคไข้เลือดออก อาการคือ ปวดตัวและกระดูก มีไข้สูงประมาณ 2-7 วัน จากนั้นไข้จะลด

เฉียบพลัน มีผื่นแดงหรือจ้ำเลือด ป้องกันด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

  • โรคฉี่หนู อาการไข้ขึ้นสูง ตาแดง ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อน่องและโคนขาอย่างรุนแรง โดยผู้ป่วย 5-

10% มีอาการรุนแรง เช่น ไตวาย หรือช็อคได้

  • โรคอุจจาระร่วงบิด, ไทฟอยด์, อาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสีย มีไข้ ปวดบิดในท้อง หากติดเชื้อมักจะมีอาการถ่ายมีมูกเลือดปน
เปียกฝนอย่างไรให้ยังสบายดี!

เมื่อต้องเจอกับฝน หากไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ร่ม เสื้อกันฝน ฯลฯ ให้พร้อมก็อาจต้องเปียกและถ้าเปียกแล้ว ควรทำอย่างไรถึงจะไม่ป่วย  

1. ถอดเสื้อผ้าเปียกหรือเปลี่ยนชุด (ถ้าทำได้) ให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งเอง อาจทำให้เป็นไข้หวัด และรีบซักเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เกิดราหรือเหม็นอับ

2. อาบน้ำ ในน้ำฝนอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อน หลังถอดเสื้อผ้าเปียกออกแล้วต้องอาบน้ำสระผมชำระร่างกายทันที ถ้าอาบน้ำเย็นให้ราดน้ำที่เท้าก่อนเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย ทำความสะอาดจุดที่สัมผัสฝน เช่น เท้า เพื่อป้องกันเชื้อโรค

3. เช็ดตัวและเป่าผมให้แห้ง เพื่อป้องกันการเป็นไข้ไม่สบาย

4. ดื่มเครื่องดื่มร้อน ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น สบาย ผ่อนคลาย และหลับสบาย อาทิ น้ำขิง นมร้อน ชาร้อน ฯลฯ

5. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อเปียกฝน อุณหภูมิร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายอ่อนแอ หากนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีพลัง

6. ไม่เปียกฝนซ้ำบ่อย ๆ ควรพกอุปกรณ์กันฝนไว้เสมอ

 

 

ขับขี่อย่างปลอดภัยในหน้าฝน

ฤดูฝนเป็นช่วงที่สภาพถนนเปียกลื่น มีน้ำท่วมขัง และทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง และรุนแรงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตก 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่รถมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดจากการลื่นไถล เพราะน้ำฝนจะชะล้างคราบน้ำมันและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนน ทำให้เกิดเป็นเสมือนแผ่นฟิล์มฉาบอยู่บนผิวถนน อาจส่งผลให้รถลื่นและเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุได้

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้กล่าวถึงสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่น่าตกใจ คือ ช่วงเดือนกันยายนปี 2565 ที่มีฝนตกหนัก มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8,138 ราย เสียชีวิต 105 รวม 8,243 ราย จึงขอแนะนำให้ประชาชนผู้ใช้ถนนในวันฝนตกดังนี้

1.เพิ่มความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ โดยลดความเร็วลงกว่าระดับปกติ เนื่องจากพื้นถนนที่เปียก รถจะใช้ระยะเบรกเพิ่มขึ้น และควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมไม่เกิน 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.เปิดไฟหน้ารถเสมอ ใช้ไฟต่ำจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้น และให้รถคันอื่นมองเห็นรถของเราได้ในระยะไกล 

3.เปิดใบปัดน้ำฝน ปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝนให้สัมพันธ์กับความแรงของฝนที่ตกลงมา จะช่วยให้เรามองเห็นเส้นทางได้ตลอดเวลา 

4.เว้นระยะห่างจากท้ายรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอย่างน้อย 10-15 เมตร เพื่อให้มีระยะเบรกที่เพียงพอและปลอดภัย

5.หลีกเลี่ยงการแซง แต่หากจำเป็นควรประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนแซง

6.ในกรณีที่รถลื่นไถลหรือเหินน้ำ ไม่ควรเหยียบเบรกจนล้อหยุดหมุนทันที อาจทำให้รถพลิกคว่ำได้ ควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆ เบรก เพื่อลดความเร็ว แล้วจึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ

7.เมื่อต้องขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ขอให้หยุดประเมินสถานการณ์ หากระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถ ไม่ควรขับฝ่าไป ควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน  ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ให้โทร 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันที

 

          นอกจากนี้ การดูแลรักษารถยนต์ให้มีความพร้อมในการขับขี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญเช่นกัน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ได้ให้คำแนะนำไว้ ดังนี้

- ตรวจเช็กระบบเบรก ผ้าเบรก จานเบรก และน้ำมันเบรกให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

- หม้อน้ำ ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่อุดตัน รั่วซึม เติมน้ำให้อยู่ในระดับที่กำหนด

- ใบปัดน้ำฝน เนื้อยางต้องไม่แห้งกรอบ สามารถกวาดน้ำได้สะอาด ไม่มีรอยขุ่นมัว และไม่มีเสียงดังขณะใช้งาน

- ยางรถยนต์ มีดอกยางละเอียด ร่องยางลึก ไม่มีรอยปริ แตก บวม ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติ 2 – 3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำและยึดเกาะถนน

- สัญญาณไฟ สว่างไม่ขุ่นมัวทุกดวง ปรับตั้งให้ส่องสว่างเห็นเส้นทางชัดเจน และอยู่ในระดับเดียวกันทั้ง 2 ข้าง

- อุปกรณ์ฉุกเฉินที่ควรมี เช่น ยางอะไหล่ ไฟฉาย อุปกรณ์ลากพ่วงจูง ฯลฯ

 

 

 

ดังนั้นคำว่า “ฝนราชการ” จึงถือเป็นปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่มาพร้อมคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ว่าจะเจอฝนชนิดใด อย่าลืมให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและดูแลสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มป่วยจากโรคที่มากับฝน

 

อ้างอิง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, ระวัง!โรคติดต่อที่มากับฤดูฝน, 23 มีนาคม 2565,

https://resourcecenter.thaihealth.or.th/media/YKrM

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 7 วิธี ขับขี่ปลอดภัยช่วงฝนตก น้ำท่วมขัง,  22 กันยายน

2565, https://www.thaihealth.or.th/7-วิธี-ขับขี่ปลอดภัยช่วง/

ไทยรัฐออนไลน์, ไขข้อสงสัย "ฝนราชการ" มักตกช่วงเวลาหลังเลิกงาน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ, 31 สิงหาคม 2566,

https://www.thairath.co.th/news/society/2721585

ไทยรัฐออนไลน์, โดนฝนแต่ไม่ป่วย 6 วิธีฟื้นตัวให้เร็ว! ไม่ต้องจมอยู่กับเชื้อโรคนาน, 15 ตุลาคม 2560,

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1095070

PPTV online, ปภ.แนะนำ ขับรถช่วงฤดูฝนอย่างไร ให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ, 21 พฤษภาคม 2566,

https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/196884

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

เมื่อเข้าใจหัวอกพนักงาน   ‘การลาออกครั้งใหญ่’ ก็จะหมดไป
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เมื่อเข้าใจหัวอกพนักงาน ‘การลาออกครั้งใหญ่’ ก็จะหมดไป

“บ้านปงใต้” ต้นแบบชุมชนป้องกันไฟป่า ลดแหล่งกำเนิด PM 2.5 เชียงใหม่
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“บ้านปงใต้” ต้นแบบชุมชนป้องกันไฟป่า ลดแหล่งกำเนิด PM 2.5 เชียงใหม่

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เรื่องควรรู้ … รับมือวัยเกษียณ

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ  ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล

‘ฝนราชการ’ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิธีรับมือเพื่อสุขภาพดีและไร้อุบัติเหตุ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘ฝนราชการ’ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิธีรับมือเพื่อสุขภาพดีและไร้อุบัติเหตุ

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

Highlight

• ปัจจุบันมีประชากรราว 4,000 ล้านคน อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อโรคไข้เลือดออก ในแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมากถึง 400 ล้านคน ในจำนวนนี้ประมาณ 100 ล้านคนป่วยจากการติดเชื้อ และ 40,000 คนเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกขั้นรุนแรง

• สถานการณ์ไข้เลือดออกในไทย ปี 2566 น่าเป็นห่วง เนื่องจากคนไทยมีภูมิต้านทานต่อไข้เลือดออกน้อย มีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิตได้ โดยคาดว่า ในปี 2566 อาจมีจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกมากเกือบ 1 แสนราย มีลูกน้ำยุงลายมีมากกว่าปีที่ผ่านมา 2-3 เท่า

• วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่มีอยู่ยังไม่ได้ผลครอบคลุมไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์ วัคซีนซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้มีประสิทธิภาพดีเฉพาะผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้วหนึ่งครั้ง และลดความรุนแรงของโรคได้เฉพาะในผู้ใหญ่ หรือเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

 

 

เมื่อพูดถึง “ไข้เลือดออก” บางคนอาจจะคิดว่า “ก็แค่ไข้จะเป็นอะไรนักหนา !”! แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไข้เลือดออกไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคนี้จำนวนมาก จึงนับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณะสุขสำคัญของไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก

 

สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออกของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มน่าเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ต้นปีมีการติดเชื้อแพร่กระจายอย่างกว้างขวางและมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝน ทุกคนจำเป็นต้องระมัดระวังยุงลายตัวร้ายซึ่งอยู่เบื้องหลังโรคไข้เลือดออก รวมทั้งเรียนรู้วิธีป้องกันและรับมือภัยคุกคามนี้