บทนำ
Highlight
• หญ้าทะเล ลุ่มน้ำเค็ม และป่าชายเลน เป็นระบบนิเวศสำคัญในการดูดซับคาร์บอน มีอัตราการกักเก็บที่รวดเร็วในระยะยาว และถึงแม้จะมีพื้นที่เพียง 0.5% ของพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก แต่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 5% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดของโลก
• ไมโครพลาสติกเป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อป่าชายเลน โดยมีการประมาณการว่าขยะพลาสติกถูกปล่อยลงสู่มหาสมุทรมากถึง 12.7 ล้านตันในปี 2010 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2025
• ขนาดไมโครพลาสติกที่พบมากที่สุดจากการเก็บตัวอย่างคือ 100-330 ไมครอน ซึ่งพลาสติกเหล่านี้เกิดจากกิจกรรมภายในครัวเรือน เช่น การซักผ้า และถุงพลาสติกที่ปนเปื้อนมากับขยะอาหาร
คาร์บอนสีน้ำเงิน
มหาสมุทรและระบบนิเวศชายฝั่ง นับเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญ เรียกว่า “คาร์บอนสีน้ำเงิน” หรือ “บลูคาร์บอน (Blue Carbon)” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชะลอวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน เนื่องจากจะช่วย 'ล็อก' คาร์บอนไว้ และลดแรงกดดันจากก๊าซเรือนกระจก
หญ้าทะเล ลุ่มน้ำเค็ม และป่าชายเลน เป็นระบบนิเวศสำคัญในการดูดซับคาร์บอน มีอัตราการกักเก็บที่รวดเร็วในระยะยาว และถึงแม้จะมีพื้นที่เพียง 0.5% ของพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก แต่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 5% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดของโลก แต่กิจกรรมของมนุษย์กำลังคุกคามความอยู่รอดของระบบนิเวศเหล่านี้ และเสี่ยงที่จะทำให้คาร์บอนที่ถูกกักเก็บไว้ปล่อยกลับสู่บรรยากาศ และยิ่งจะทำให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น
มลพิษจาก “ไมโครพลาสติก” ที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร เป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ป่าชายเลน” เศษพลาสติกขนาดจิ๋วเหล่านี้มาจากทั้งแหล่งต้นทางโดยตรง เช่น ไมโครบีดส์ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และเกิดจากการย่อยสลายของพลาสติกชิ้นใหญ่ เช่น ขวดและถุงพลาสติก เคยมีการประมาณการไว้ว่าขยะพลาสติกถูกปล่อยลงสู่มหาสมุทรมากถึง 12.7 ล้านตันในปี 2010 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2025 และจะแพร่กระจายไปทั่วโลกผ่านลมและกระแสน้ำ หากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม
รองศาสตราจารย์ เผิงจาง จากมหาวิทยาลัยกว่างตง โอเชียน ประเทศจีน ได้นำทีมสำรวจการสะสมไมโครพลาสติกในบริเวณป่าชายเลนของอ่าวกึ่งปิดจ้านเจียงที่มีแหล่งต้นน้ำมาจากแม่น้ำหนานหลิว ลู่ถังและซุยซี ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองจ้านเจียงและโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวลำน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องมลพิษน้ำเสียจากเมืองและน้ำทิ้งจากภาคเกษตร เพื่อประเมินผลกระทบต่อการกักเก็บคาร์บอน
ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Marine Science พบว่า มีปริมาณไมโครพลาสติกสะสมในตัวอย่างจากป่าชายเลนสูงถึง 618 ชิ้นต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.6 เท่า เมื่อเทียบกับบริเวณนอกป่า 264 ชิ้นต่อกิโลกรัม โดยพบปริมาณสูงสุดในจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สันนิษฐานว่า เกิดจากการจัดการขยะที่ไม่ดีพอ โดยเฉพาะจากขยะอาหาร และเครื่องดื่ม
ขนาดไมโครพลาสติกที่พบมากที่สุดในทุกตัวอย่างคือ 100-330 ไมครอน โดยมากกว่าครึ่งมีขนาดน้อยกว่า 500 ไมครอน และแบ่งตามเฉดสีได้ถึง 12 สี แต่ที่พบมากในพื้นที่ป่าชายเลนคือ สีหลายสี ใส และน้ำเงิน ซึ่งพลาสติกเหล่านี้เกิดจากกิจกรรมภายในครัวเรือน เช่น การซักผ้า และถุงพลาสติกที่ปนเปื้อนมากับขยะอาหารและรูปแบบพลาสติกที่เป็นชิ้นส่วนถูกพบมากที่สุดทั้งในเขตป่าชายเลน คิดเป็น 70% และบริเวณนอกป่าชายเลน 49% รองลงมาคือ เส้นใย ประมาณ 37% และ 12% ตามลำดับ สันนิษฐานว่า มาจากอุปกรณ์ประมงที่เป็นพลาสติก เช่น อวน
จากการวิจัยนี้แม้ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงปริมาณคาร์บอนจากการสะสมไมโครพลาสติก คาดว่าเป็นเพราะข้อมูลยังไม่เพียงพอ โดยมีแผนจะทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป อย่างไรก็ตาม ทางคณะวิจัยยังพบแนวโน้มปริมาณคาร์บอนอินทรีย์ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฏจักรคาร์บอนในระบบนิเวศที่สูงขึ้นในตัวอย่างตะกอนจากป่าชายเลนเมื่อเทียบกับตะกอนนอกป่าชายเลน
มลพิษจากไมโครพลาสติกรบกวนกระบวนการดูดซับออกซิเจนและแร่ธาตุของป่าชายเลน คุกคามการเจริญเติบโตและการขยายตัวของพื้นที่ป่า และความสามารถในการแปรสภาพคาร์บอนในบรรยากาศ ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาจเข้าใจผิดว่าพลาสติกจิ๋วเหล่านี้คืออาหาร
ดังนั้น การควบคุมมลพิษไมโครพลาสติกทั้งแหล่งกำเนิดใหม่และที่มีอยู่แล้ว จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้กับผลกระทบจากฝีมือมนุษย์ และการรักษาแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติที่สำคัญอย่างป่าชายเลนให้คงอยู่ต่อไป
อ้างอิง
Mangrove blue carbon at higher risk of microplastic pollution, https://shorturl.asia/CDr2L
0 ถูกใจ 674 การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0