บทนำ
Highlight
• การประเมินสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นโดยกรมสุขภาพจิต พบว่า ร้อยละ 28 ของเด็กและวัยรุ่นมีภาวะเครียดสูง ร้อยละ 32 มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ร้อยละ 22 มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งประเทศไทยพบอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากปี 2560 คือ 4.94 ต่อประชากรแสนคน เป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561
• ข้อมูลของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่า ประเทศไทยมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นให้บริการในหน่วยงานของรัฐเพียงประมาณ 200 คน เท่านั้นเมื่อเทียบกับประชากรวัยรุ่น 15 ล้านคน
• ผู้ป่วยที่หายจากโควิดแล้วประมาณ 30-50% ยังมีอาการหลงเหลืออยู่ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีไข้ ไอ ปวดหัว ภาวะนี้เรียกว่า ลองโควิด (Long Covid) ซึ่งหลายรายมีอาการทางจิตใจร่วมด้วย และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาว
-----
ความรู้สึกกลัว กังวล เครียด เป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน หรือสิ่งที่เราไม่อาจคาดการณ์ได้ ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้กับคนที่ผ่านประสบการณ์จากการระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นคนที่ติดเชื้อเอง หรืออยู่ในแวดล้อมของคนที่ติดเชื้อก็ตาม
สถานการณ์โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้มากมาย เช่น ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือหลายคนต้องกลายเป็นผู้ตกงาน เด็ก ๆ ไม่สามารถไปโรงเรียนได้และต้องเรียนออนไลน์ ทุกคนต้องเว้นระยะห่างในการใช้ชีวิต ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้แต่ละคนเกิดความเครียด โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการติดเชื้อโควิด-19 มาแล้ว ไม่เพียงต้องดูแลสุขภาพกายให้ดีเท่านั้น สุขภาพใจก็จำเป็นต้องคอยหมั่นตรวจสอบกันอย่างใกล้ชิดด้วย
การดูแลสุขภาพใจฝ่าวิกฤตโควิด
สุขภาพจิต (Mental Health) มีส่วนสำคัญในการมีชีวิตที่สมดุลและมีสุขภาพดี ในยุคโควิดนำไปสู่ความกังวลสารพัด แม้ว่าความเครียดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์วิกฤตจะเป็นกลไกธรรมชาติ แต่ใช่ว่าจะปล่อยผ่านโดยปราศจากแผนการรับมือ นั่นเพราะอาจนำไปสู่ความเสี่ยงมากมาย ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเครียดระดับสูงที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ที่พบได้บ่อยคือ เมื่อผู้ป่วยมาพบจิตแพทย์จะกลัวการติดเชื้อ รู้สึกหวาดระแวงไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคนในบ้าน คนใกล้ตัว บางคนระแวงแม้แต่ตัวเอง มักจะวิตกจริตเกินเหตุอยู่บ่อย ๆ และการที่ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อไร ทำให้คนส่วนใหญ่เครียดมากที่สุด
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่แล้วยิ่งเสี่ยงอาการกำเริบหากเครียดเกินไป “มีข้อมูลก่อนเกิดวิกฤตโควิด โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานเมื่อต้นปี 2563 ว่า ทั่วโลกมีคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประมาณ 264 ล้านคน โดยประเทศไทยพบอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจากปี 2560 คือ 4.94 ต่อประชากรแสนคน เป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561 (1)
กลุ่มสตรีและเด็กกระทบรุนแรงสุด
องค์การอนามัยโลกรายงานว่า บางคนอาจมีที่มาของความเครียดหลายทาง ตั้งแต่ความรู้สึกเหงาที่ต้องถูกตัดขาดจากสังคม ต้องโดนแยกห่างจากคนที่รัก ผสมกับการกลัวติดเชื้อ กลัวป่วยหนัก หรือเสียชีวิต นอกจากนี้ ปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเครียด ความกังวล จนส่งผลต่อสุขภาพจิตโดยรวม
ผลวิจัยล่าสุดจาก Global Burden of Disease ระบุว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของกลุ่มคนอายุน้อย ทำให้พวกเขาคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ ยังพบว่า ส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพกาย และใจของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (2)
ในประเทศไทย ผลการประเมินสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นโดยกรมสุขภาพจิต พบว่า ร้อยละ 28 ของเด็กและวัยรุ่นมีภาวะเครียดสูง ร้อยละ 32 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่ร้อยละ 22 มีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย จากการสำรวจโดยยูนิเซฟยังพบว่า เด็กและเยาวชนไทยจำนวน 7 ใน 10 คนมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยส่วนใหญ่กังวลกับรายได้ของครอบครัว การเรียน การศึกษา และการจ้างงานในอนาคต
“เด็กและวัยรุ่นในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ประเด็นสุขภาพจิตมักถูกละเลย หรือถูกมองข้าม หรือแม้กระทั่งถูกปกปิดไว้ เนื่องจากยังเป็นเรื่องที่ถูกตีตราหรือเรื่องน่าอาย ทั้งที่ควรได้รับการดูแลใส่ใจอย่างจริงจัง และถูกหยิบยกมาพูดถึงให้เป็นเรื่องปกติ เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนที่เผชิญปัญหาด้านสุขภาพจิตเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้สะดวกขึ้น และรวดเร็วขึ้น” คยองซัน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว
รายงาน The State of the World’s Children 2021; On My Mind: promoting, protecting and caring for children’s mental health ของยูนิเซฟ ชี้ให้เห็นว่า เด็กอย่างน้อย 1 ใน 7 คนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ ในขณะที่เด็กอีกมากกว่า 1,600 ล้านคนต้องเผชิญกับการเรียนรู้ที่หยุดชะงักลง (3)
พบจิตแพทย์ประเมินความเครียด
การขาดความรู้และความตระหนักในสุขภาพจิต ประกอบกับการตีตราและการขาดแคลนทรัพยากรด้านสุขภาพจิต ส่งผลให้เด็กและเยาวชนจำนวนมากไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตที่ดี หรือได้รับการช่วยเหลือเมื่อเผชิญปัญหาสุขภาพจิต จากฐานข้อมูลของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พบว่า ประเทศไทยมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นให้บริการในหน่วยงานของรัฐเพียงประมาณ 200 คน เท่านั้นเมื่อเทียบกับประชากรวัยรุ่น 15 ล้านคน
เดวอรา เคสเทล ผู้อำนวยการฝ่ายสุขภาพจิตและฝ่ายงบประมาณของ WHO บอกว่า ทุก ๆ ที่ที่มีการระบาดของโควิด-19 จะต้องใส่ใจกับเรื่องสุขภาพจิต “แต่ละประเทศควรต้องแน่ใจว่า ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงการเยียวยาสุขภาพจิต หากพวกเขาต้องการ”
ขณะที่ คุณหมออภิสมัย แนะนำว่า หากตัวเองหรือคนใกล้ชิดเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยสุขภาพจิต หรือสงสัยว่าป่วยอยู่ก่อนแล้ว ช่วงนี้ควรไปพบจิตแพทย์เพื่อประเมินอาการและรักษาอย่างเหมาะสม หากมีนัดสม่ำเสมอก็ไม่ควรหยุดพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่อาการรุนแรงและเป็นอันตรายได้ ซึ่งแนวทางการรับมือความเครียดที่ทุกคนสามารถทำได้คือ เริ่มจากการไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยการตัดสินใจในเรื่องใหญ่หรือสำคัญ ควรรักษาตัวให้ดี และระวังอย่าให้ติดเชื้อโควิด
นอกจากนี้ คุณหมอไม่แนะนำให้เสพข่าวสารมากเกินไป “เลือกรับข่าวสารจากสถาบันที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบ Fake News รวมทั้งควรปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการรักษาความสะอาด เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส และหมั่นเช็กสภาพจิตใจและอารมณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ พยายามใช้ชีวิตปกติและมีคุณค่า พยายามทำสิ่งที่มีประโยชน์ สร้างสรรค์ ไม่ทำให้ตัวเองเครียด” (4)
‘4 สร้าง 2 ใช้’ ช่วยดูแลจิตใจช่วงรักษาโควิด
สำหรับบุคลากรด้านสุขภาพจิตควรมีส่วนร่วมในกระบวนการต่าง ๆ ในการดูแลจิตใจผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาล เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือทางจิตใจ และจิตสังคมได้อย่างเหมาะสม การจัดโครงสร้างควรประกอบด้วยกิจกรรมที่สอดคล้องกับกรอบความต้องการด้านสุขภาพจิตและจิตสังคม (ภาวะทางด้านจิตใจอารมณ์ของบุคคลที่แสดงออก) ให้บุคคลอื่นเห็นตั้งแต่บริการขั้นพื้นฐานไปจนถึงบริการจากผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงความปลอดภัย สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม และคุณค่าของสังคมและวัฒนธรรม มีการทำงานแบบบูรณาการสอดคล้อง เน้นประสานงานภาคีเครือข่ายช่วยเหลือส่งต่อ
การดูแลจิตใจระหว่างกักตัวรักษาโควิด-19 ประกอบด้วย การดูแลสุขภาพกาย เพื่อให้หายหรืออาการดีขึ้น และนําหลักการ “4 สร้าง 2 ใช้” มาเป็นแนวทางการดูแลจิตใจในการเผชิญภาวะวิกฤต ประกอบด้วย
สร้าง 1 สร้างความปลอดภัย การให้สมาชิกทำตามกฎแห่งความปลอดภัย ตั้งแต่เว้นระยะห่างทางสังคม หมั่นล้างมือด้วยสบู่/แอลกอฮอล์ สวมหน้ากากตลอดเวลา และทำความสะอาดพื้นผิวที่มือสัมผัส
สร้าง 2 สร้างความสงบ ด้วยการเลือกรับฟังข่าวสารที่เชื่อถือได้และใช้เวลากับสื่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งฝึกเทคนิคการคลายเครียดที่เหมาะสมกับตัวเอง
สร้าง 3 สร้างความคาดหวัง โดยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่า สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคได้
สร้าง 4 สร้างความเห็นใจ ดูแลซึ่งกันและกันโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรืออาชีพ มีอาสาสมัครที่พร้อมช่วยเหลือและให้กําลังใจ อาจสลับบทบาทกันเป็นแกนนําจัดกิจกรรมส่งเสริมกำลังใจกันและกัน
ใช้ 1 ใช้ศักยภาพให้เต็มที่ เตรียมพร้อมการทำงาน/หารายได้ หลังการรักษา
ใช้ 2 ใช้สายสัมพันธ์สร้างความเข้มแข็ง มีกลุ่มสื่อสารแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น เขียนข้อความให้กําลังใจกัน ส่งเสริมให้มีการติดต่อกันในครอบครัว แลกเปลี่ยนความรู้สึก และความกังวลที่เกิดขึ้น (5)
ภาวะ Long Covid ต้องใช้เวลาพักฟื้น
จากข้อมูลผู้ป่วยที่หายจากโควิดแล้วประมาณ 30-50% พบว่า จะยังมีอาการหลงเหลืออยู่ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีไข้ ไอ ปวดหัว ภาวะนี้เรียกว่า ลองโควิด (Long Covid) ซึ่งสามารถพบได้ในผู้ป่วยหลังได้รับเชื้อ 4-12 สัปดาห์ขึ้นไป นอกจากอาการทางร่างกายแล้ว ผู้ป่วยหลายรายยังมีอาการทางจิตใจร่วมด้วย และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตได้ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการของโควิดรุนแรงถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในแผนกผู้ป่วยวิกฤต (ICU) หรือต้องใส่ท่อช่วยหายใจ อาจจะมีอาการผิดปกติทางจิตใจ มีอาการฟื้นตัวช้า ไม่คล่องตัว ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เหมือนต้อง “Lock Down” ชีวิตตัวเอง
ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากลองโควิดมักต้องใช้เวลาในการพักฟื้น อาจเสียความคล่องตัวขั้นพื้นฐาน ทำให้สูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน หลายคนมักรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น เมื่อสูญเสียความมั่นใจในสิ่งที่เคยได้ทำ ส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลงและย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ จนเกิดภาวะวิตกกังวล หรือ ซึมเศร้า บางรายเกิดความรู้สึกผิดที่ต้องลาป่วยเป็นเวลานาน และเพื่อนร่วมงานต้องมารับผิดชอบแทน ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
ลองโควิดยังมีผลทำให้มีภาวะสมองล้า หรือ Brain Fog โดยภาวะที่เกิดขึ้นนี้มาจากอาการทางสมอง ที่อาจแสดงออกมาในลักษณะของการตัดสินใจช้า เช่น ความรู้สึกช้า เบลอ ๆ หรือมีความคิดล่องลอย โดยมักจะมีปัญหาทางด้านความจำ ตัดสินใจไม่เด็ดขาด สมาธิสั้น จิตใจล่องลอย ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ปวดหัว ความคิดสับสน
จากการเก็บข้อมูลของผู้ที่หายป่วยจากโควิดในต่างประเทศพบว่า ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ที่หายจากโควิดจะพบความผิดปกติด้านจิตใจ โดยร้อยละ 18 มีภาวะวิตกกังวล ร้อยละ 13.6 มีปัญหาด้านอารมณ์ และร้อยละ 5.4 มีภาวะนอนไม่หลับ ขณะที่บางรายพบอาการหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งอาการเหล่านี้มีผลต่อกิจวัตรประจำวัน และการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง (6)
คนใกล้ชิด-ครอบครัวช่วยเยียวยาจิตใจ
เนื่องจากลองโควิดมีผลต่อสุขภาพจิต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งกรณีที่อยู่ระหว่างการรักษา หรืออยู่ในช่วงพักฟื้นตัวหลังจากหายป่วย ซึ่งอาศัยแนวทางเดียวกับวิธีรับมือกับความเครียดทั่วไป เช่น เมื่อรู้สึกว่าเครียด กังวล หรือมีอารมณ์ที่ผิดปกติ อาจจะหาโอกาสชวนใครออกไปเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน พูดคุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่อยู่ห่างไกลผ่านการโทรศัพท์หรือใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด
นอกจากนี้ควรงดการดูหรือติดตามข่าวที่ทำให้เครียด หรือส่งผลกระทบทางลบต่อจิตใจ หางานอดิเรกที่ชอบ ทำกิจกรรมที่ช่วยให้มีสมาธิ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา ที่สำคัญ ควรงด ลด หรือเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้ลองกำหนดเป้าหมายที่จะทำในแต่ละวัน อาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เมื่อสามารถทำได้ตามเป้าหมายจะทำให้รู้สึกภูมิใจกับตัวเองมากขึ้น อย่าเก็บความเครียดไว้ในใจ ควรพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเมื่อรู้สึกว่าสภาพจิตใจไม่เป็นปกติ จะช่วยลดภาวะอารมณ์ที่หดหู่ เครียด หรือซึมเศร้าลงได้
หากปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นแล้วยังไม่หายจิตตก ไม่ควรปล่อยไว้ แต่ให้ปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะพูดคุยซักถามเพื่อวินิจฉัย ให้คำปรึกษา และแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ซึ่งแพทย์อาจให้การรักษาร่วมกับการกินยาเพื่อลดภาวะดังกล่าวด้วย
สำหรับผู้ที่มีญาติหรือคนใกล้ชิดที่เคยป่วยเป็นโควิดหรือมีอาการลองโควิดอยู่ ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าเริ่มมีอาการผิดปกติทางด้านจิตใจหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาทางด้านสุขภาพจิตของผู้ป่วย ซึ่งบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย เมื่อพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการควรพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากแพทย์ (7)
ป่วยกายรักษาหายได้ไม่ยากเท่าป่วยใจ ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องน่าอาย ควรรีบออกจากความเครียด และถ้าจัดการเองไม่ไหวต้องรีบปรึกษาแพทย์ ก่อนจะสายเกินไป
อ้างอิง
1, 4 https://thestandard.co/why-mental-health-important-in-covid-era/
2 https://www.who.int/news/item/02-03-2022-covid-19-pandemic-triggers-25-increase-in-prevalence-of-anxiety-and-depression-worldwide
3 https://www.unicef.org/thailand/th/press-releases/ยูนิเซฟและกรมสุขภาพจิตชี้โควิด-19
5 https://www.mhc10.go.th/view_media.php?id=41
6, 7 https://www.praram9.com/long-covid-depression/
0 ถูกใจ 911 การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0