บทนำ
บทสังเคราะห์เพื่อการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกายที่ชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการการขับเคลื่อนงานกิจกรรมทางกายในประเทศไทย หยิบยกจุดเด่น บทเรียน และข้อสะท้อนการดำเนินงานสำคัญเพื่อเน้นย้ำความพยายามในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกายปี 2561-2573 ของประเทศไทย ที่มีทุกภาคส่วนเป็นภาคีดำเนินงานร่วมกับ สสส. อย่างต่อเนื่องสู่เป้าหมายประชาคมโลกคือ ลดประชากรที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอลง 15% ภายในปี 2030
ส่วนที่ 4 บทสังเคราะห์เพื่อการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย
กิจกรรมทางกาย ( Physical Activity) เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกช่วงวัย ประเทศไทยได้ตระหนักถึงบทบาทของกิจกรรมทางกายในการลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ( NCDs) และพัฒนาศักยภาพมนุษย์ในระยะยาว จึงได้จัดทำแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561–2573 ขึ้นเป็นกรอบทิศทางระดับชาติ บทความฉบับนี้สังเคราะห์ภาพรวมของสถานการณ์ กลไก เครื่องมือ และโอกาสในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยอ้างอิงจาก รายงานการทบทวนองค์ความรู้สุขภาวะการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บทนี้จึงเป็นเหมือนการสังเคราะห์สาระสำคัญจากสามส่วนหลักที่สกัดจากรายงานดังกล่าว หยิบยกนำมาชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญในการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายภายใต้บริบททางสังคมของประเทศไทย ที่มีประสบการณ์การขับเคลื่อนงานแปลงนโยบายระดับสากลมาบูรณาการกับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนงานของหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ผ่าน “แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปี 2561-2573 ” และมุ่งเน้นการใช้กลไกทุกระดับในการดำเนินงานให้บรรลุตัวชี้วัดอย่างมีส่วนร่วม และนำไปสู่เป้าหมายลดประชากรที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอลง 15 % ภายในปี 2030 หรือ ปี 2573 ในอีก 5 ปี ข้างหน้า
ด้วยสถานการณ์กิจกรรมทางกายที่เป็นผลกระทบสืบเนื่องจากการมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ส่งผลต่อสุขภาวะทางกาย ใจ และสังคม โดยเฉพาะภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ( NCDs) ที่ปรากฏในสาระส่วนที่ 1 เป็น “ ข้อมูลพื้นฐานสร้างความเข้าใจและแรงจูงใจเชิงระบบ” ที่นำมาสู่การค้นหา "คำตอบเชิงนโยบายและกลไกตอบสนอง" ในสาระหลักของส่วนที่ 2 โดยชี้ให้เห็นถึงกรอบกลไกเชิงนโยบายระดับประเทศ และสากล ในการตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าวที่กำลังสร้างภาระทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขในระดับมหภาค ทั้งนี้ สาระส่วนที่ 2 ได้นำเสนอกรอบแนวคิดและกลไกนโยบายที่พัฒนาเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว เช่น แผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมกิจกรรมทางกายแห่งชาติ พ.ศ. 2561–2573 , แนวทางจาก WHO GAPPA และกฎบัตรออตตาวา ซึ่งได้ถูกแปลงเป็นกลยุทธ์การทำงานจริงผ่านการบูรณาการภาคีเครือข่ายในหลายระดับ โดยเฉพาะแนวทาง “ 5x 5 x 5 Model” ที่สอดรับกับสภาพปัญหาในทุกมิติ ทั้งระดับบุคคล ชุมชน และระบบโครงสร้างทางสังคม
อาจกล่าวได้ว่า ส่วนที่ 3 เป็นภาพขยายรูปธรรมการจัดวางกรอบแนวคิดเชิงกลไก ยุทธศาสตร์ ที่แปลงจากแนวนโยบายไปสู่ปฏิบัติการ และความร่วมมือขับเคลื่อนนโยบายสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ผ่านเครื่องมือ และสื่อ อย่างหลากหลายให้สอดคล้องกับบริบทประชากรกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตามแนวทาง “ 3A” (Active People, Active Environment, Active Society) โดยใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับแต่ละช่วงวัย ตั้งแต่เด็กปฐมวัยถึงผู้สูงอายุ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการและหญิงตั้งครรภ์ อีกทั้งยังหมายรวมถึง การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสร้างสังคมที่เอื้อต่อการขยับเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
และจากการปฏิบัติการผ่านเครื่องมือ และสื่อ อย่างหลากหลายให้สอดคล้องกับบริบทประชากรกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ในสาระส่วนที่ 3 นี้เอง จึงเป็นเหมือนการสะท้อนเชื่อมโยงระหว่าง “ผลของการดำเนินงานเชิงพื้นที่” กับ “สถานการณ์ภาพรวมระดับประเทศ” รวมถึง บทเรียนสำคัญการดำเนินการที่ผ่านมา และเป็นกลไกย้อนกลับ ( feedback loop) ไปพัฒนายุทธศาสตร์ที่ตอบสนองต่อบริบทจริงมากขึ้น ทั้งในเชิงเครื่องมือ และบริบทการใช้งานในกลุ่มเป้าหมายหลากหลาย โดยใช้กลไกชุมชนและภาคีเครือข่ายเป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมทางกายที่สอดรับกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลจากส่วนที่ 1 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพในกลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง จะพบว่า ความสำเร็จของการส่งเสริมกิจกรรมทางกายขึ้นอยู่กับการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และความต้องการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ ดังข้อค้นพบสำคัญคือ
จุดร่วม ( Intersection)
สาระสำคัญ
ผลที่ได้รับ
1. ระบบการจัดการความรู้ Know-what / Know-how
ใช้สื่อสื่อสารรอบด้าน โดยมีคู่มือ กิจกรรม วิดีโอ คลิป และ Infographic
ช่วยให้ทุกกลุ่มวัยเข้าถึงกิจกรรมทางกายได้อย่างเข้าใจ และลงมือทำได้จริง
2. ระบบการเรียนรู้เชิงพื้นที่ Area-based / Setting-based
พัฒนาแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับบ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน ชุมชน
ปรับให้เหมาะกับบริบท ทำให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่จริง
3. ระบบปฏิบัติการด้วยโมเดล 5x5x5 + Active Society / Active Environment
เชื่อมโยงกลุ่มวัย พื้นที่ และระบบสนับสนุน (นโยบาย องค์ความรู้ พันธมิตร)
เกิดกลไกการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลวงกว้าง ทั่วถึง และเท่าเทียม
โดยได้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทย ไว้ดังนี้
4.1 สถานการณ์กิจกรรมทางกายของประชาชนไทย
ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกายมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับเปลี่ยนนโยบายและแนวทางตามบริบทและแนวโน้มของโลก โดย ประเทศไทยได้ปรับนโยบายและแนวทางการส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้สอดคล้องกับแนวทางของ WHO เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
พัฒนาการของนโยบายกิจกรรมทางกายในประเทศไทย
ระยะเริ่มต้น (ก่อนปี พ.ศ. 2553) การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทยมุ่งเน้นไปที่การออกกำลังกายหนัก หรือ การเล่นกีฬา เป็นหลัก
หลังปี พ.ศ. 2553 มีการปรับทิศทางนโยบายโดยเพิ่มการสนับสนุนกิจกรรมทางกายที่ครอบคลุมถึงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน และกิจกรรมที่ไม่ใช่การออกกำลังกายหนัก
ปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทย และประเทศสมาชิก 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมติเห็นชอบร่วมกันเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายในภูมิภาคเอเชีย
ปี พ.ศ. 2561 เกิดแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปี 2561-2573 ของประเทศไทย โดยมีเจ้าภาพหลัก คือ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายทีเกี่ยวข้อง
พ.ศ. 2564 มีแผนปฏิบัติการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปี 2564-2565 ซึ่งถือได้ว่าเป็นแผนปฏิบัติการคู่กับแผนยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นเหมือนเป้าหมาย และทิศทางของกิจกรรมทางกายตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
การผลักดันนโยบายระหว่างแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561 -2573 ระหว่างการดำเนินงานในแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันทาง นโยบายออกมาเพื่อสนับสนุนแผนฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายครอบคลุมทุกกลุ่มวัย คือ
นโยบาย Active children ขับเคลื่อนโดยภาคีเครือข่ายหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถดำเนินงานได้พร้อมกันทั่วประเทศ คือ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ท้องถิ่นไทยผ่านการเล่น” เป็นโครงการที่ดำเนินงานกับกลุ่มเด็กปฐมวัย สถานที่เป้าหมาย คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นโยบาย National steps challenge ขับเคลื่อนผ่าน “โครงการก้าวท้าใจ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นโครงการที่นำเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสุขภาพของประชาชน เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อยู่ที่ไหนก็สามารถออกกำลังกายได้ และหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถบันทึก Health Point ลงในแพลตฟอร์ม “ก้าวท้าใจ” และสามารถนำไปแลกของรางวัลได้
นโยบายมาตรการทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีกิจกรรมทางกาย จากการลดภาษีส่วนบุคคล เช่น การซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย การสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนส การสมัครร่วมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เพื่อสุขภาพ
และการพัฒนานโยบายและการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในประเทศไทยตามแผนของ GAPPA ได้มีการปรับเปลี่ยนตามแนวโน้มและความต้องการของสังคม โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายที่หลากหลายและสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว โดยมีการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับแผน GAPPA ในหลายด้าน และมีการดำเนินการแล้ว 11 จาก 20 นโยบายที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางด้านที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม โดยเฉพาะในเป้าหมายด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย เช่น
การบูรณาการนโยบายผังเมืองและการคมนาคม ( Policy Integration): เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการมีกิจกรรมทางกาย
การพัฒนาเส้นทางเดินเท้าและพื้นที่ปั่นจักรยาน ( Infrastructure Development): เพื่อเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการมีกิจกรรมทางกาย
การเสริมสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน ( Road Safety): เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในการมีกิจกรรมทางกายบนท้องถนน
การปรับปรุงความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะ ( Public Space Accessibility): เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้พื้นที่สาธารณะในการมีกิจกรรมทางกายได้อย่างทั่วถึง
การศึกษาวิจัยสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกาย กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสุขภาพระหว่างประเทศไทย (IHPP) ศึกษาวิจัยสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายเพียงพอและพฤติกรรมเนือยนิ่งของคนไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพคนไทยในปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้ที่มีอายุ 18 - 80 ปี จำนวน 78,717 คน ครอบคลุม 77 จังหวัด พบว่า
การสำรวจสถานการณ์กิจกรรมทางกายระดับชาติในช่วงปี 2555–2565
ข้อมูลจากการสำรวจชี้ให้เห็นว่าประชาชนไทยในหลายกลุ่มวัยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งและมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ แนวโน้มดังกล่าวรุนแรงขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด- 19 ที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ส่งผลต่อภาวะสุขภาพโดยรวมและเพิ่มความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ( NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเหลือสมอง และโรคอ้วน ในระยะยาว ซึ่งปัญหานี้ยังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการการสนับสนุนเฉพาะด้านอีกด้วย ดังมีผลสำรวจสะท้อนกิจกรรมทางกายสำคัญคือ
ในปี 2563 อัตราการมีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอของเด็กวัยเรียนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 17.1 จากผลกระทบของมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และการเรียนออนไลน์
พฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มขึ้น การเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายยังมีความเหลื่อมล้ำ และขาดการสนับสนุนจากชุมชน หรือ องค์กร
ผลการวิจัยเกี่ยวกับโรคระบาดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าร้อยละ 15-20 ของความเสี่ยงทั้งหมดต่อโรคหัวใจ เบาหวานชนิดที่สอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และโรคกระดูกสะโพกร้าวในผู้ใหญ่มาจากสาเหตุการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ
กิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2564 ที่ประชากรไทยมีกิจกรรมทางกายเพียงพอร้อยละ 63.0 ซึ่งในปี 2565 ลดลงเป็นร้อยละ 62.0 ชี้ให้เห็นได้ว่า ปัจจัยลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจและสังคม อันได้แก่ ด้านเพศ ช่วงวัย ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ยังคงมีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อระดับการมีกิจกรรมทางกายของประชากรไทยในภาพรวม
การเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมด้านกิจกรรมทางกายของประชากรไทย ปี 2565 สะท้อนถึงผลกระทบที่ยังคงมีจากสถานการณ์โควิด-19 แม้จะมีการฟื้นตัวบางส่วน แต่เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีระดับสูงสุดถึง 74.6 % ถือว่ายังไม่ฟื้นคืนสู่ระดับก่อนการระบาด
การประเมินผลแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย มีการดำเนินงานขึ้นในปี 2565 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับมอบหมายจากโครงการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของประเทศ ระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ( Country Cooperation Strategy: CCS NCD) ให้ดำเนินการประเมินแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ. 2561-2573 ผลการประเมินพบว่า แผนฯ มีจุดเด่น คือ
แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเป็นแผนระดับชาติที่ตอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ผู้บริหารระดับสูงสุดของประเทศให้ความสำคัญ ผ่านมติ ครม. โดยเป็นแผนฯ ที่ขับเคลื่อนผ่านความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่
แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเป็นแผนฯ ที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกับ WHO Global Action Plan on Physical Activity 2018-2030 (GAPPA) ทำให้ประเทศไทยขับเคลื่อนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายไปพร้อมกับประเทศอื่นภายใต้ประชาคมโลก
มีการวางยุทธศาสตร์การทำงานที่ชัดเจน 3 ยุทธศาสตร์ คือ
1) ส่งเสริมกิจกรรมทางกายประชาชนทุกกลุ่มวัย
2) ส่งเสริมสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย
3) พัฒนาระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย รวมถึงมีกลไกในการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
มีนโยบายที่เด่นชัดในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในระดับประเทศ และมีการผลักดันนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 3 นโยบาย ดังกล่าวข้างต้น
มีระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น มีระบบเฝ้าระวังการมีกิจกรรมทางกายและพฤติกรรมเนือยนิ่งที่ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย เช่น ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย ( Thailand Physical Activity Knowledge Development Centre : TPAK)
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางกาย สำหรับคนทั่วไปแล้วยังเข้าใจว่า คือ การออกกำลังกาย อยู่ แต่การทำกิจกรรมทางกาย เช่น การเดิน หรือ การนับก้าวที่เพียงพอต่อวัน เช่น ผู้หญิงควรเดินวันละกี่ก้าว ผู้ชายวันละกี่ก้าว ที่เพียงพอจะทำให้สุขภาพแข็งแรงเช่นเดียวกับการออกกำลังกายนั้น ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องควรต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบให้มากขึ้น ในระยะเวลาที่เหลือของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย
1) Active People: ส่งเสริมให้คนกระฉับเฉง
2) Active Environment: สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย
3) Active Society: สังคมกระฉับกระเฉงขึ้น
สืบค้นรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสารส่วนที่ 1
4.2 กลไกและนโยบายระดับชาติ ที่สอดรับกับประชาคมโลก
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กิจกรรมทางกายของประเทศไทยในระดับชาติ อิงอยู่บน 2 กรอบแนวคิดสำคัญที่ สสส. ใช้เป็นเข็มทิศตลอดการดำเนินงาน ได้แก่
กฎบัตรออตตาวา ( Ottawa Charter for Health Promotion, 1986) กฎบัตรนี้ให้หลักการสำคัญของ “การสร้างเสริมสุขภาพ” 5 ด้าน ได้แก่
การสร้างนโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อสุขภาพ ( Healthy Public Policy)
การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพ ( Supportive Environments)
การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล ( Personal Skills)
การเสริมพลังให้ชุมชน ( Strengthening Community Action)
การปรับระบบบริการสุขภาพให้ส่งเสริมสุขภาพ ( Reorienting Health Services)
โดยกรอบแนวคิดนี้ถูกพัฒนาแผนยุทธศาสตร์กิจกรรมทางกายภายใต้กรอบแนวคิด “ 3A” ได้แก่ Active People ( คนกระฉับกระเฉง) , Active Environment ( สิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการขยับ) และ Active Society ( สังคมกระฉับกระเฉง) ซึ่งครอบคลุมการเปลี่ยนพฤติกรรม การพัฒนาสภาพแวดล้อม และการสร้างแรงสนับสนุนเชิงสังคม โดยบูรณาการผ่านโมเดล “ 5x5x5” ที่ครอบคลุม 5 กลุ่มวัย 5 สภาพแวดล้อม และ 5 ระบบสนับสนุน แผนดังกล่าวเชื่อมโยงกับกรอบแนวคิดระดับสากล เช่น WHO GAPPA, SDGs และกฎบัตรออตตาวา และเน้นการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกระดับ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 10 ปี ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายกว่า 285 องค์กร
2. ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ ( Social Determinants of Health - SDH) แนวคิด SDH ชี้ให้เห็น ว่า “สุขภาพของคน” ไม่ได้ขึ้นกับการเลือกส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดย รายได้และสถานภาพทางเศรษฐกิจ การศึกษา สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ความเสมอภาคทางเพศและสังคม การเข้าถึงพื้นที่และบริการสุขภาพ ดังนั้น การส่งเสริมกิจกรรมทางกายจึงต้อง ลดอุปสรรคทางโครงสร้าง เช่น การไม่มีทางเท้าปลอดภัย การไม่มีพื้นที่สาธารณะ การไม่มีเวลาเพราะต้องทำงานหลายอย่าง การขาดแรงจูงใจในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง ผู้สูงอายุ คนพิการ
และจากการดำเนินงานของ สสส. และภาคี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการขับเคลื่อนกิจกรรมทางกายเป็นไปตามแผนการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายได้อย่างสอดคล้องกับ เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก
กลไกในระดับพื้นที่ ที่ยึดพื้นที่เป็นฐาน (Area-based)
เครื่องมือและสื่อเฉพาะกลุ่ม ที่เข้าถึงได้ง่าย และสอดคล้องกับบริบทวิถีชีวิต
การมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน ในการกำหนดทางเลือก
ทั้งนี้มีข้อสังเกตสำคัญที่เป็นจุดเด่นของแนวทางการดำเนินงานตามแผนสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ปี 2561-2573
ใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ ( evidence-based): ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมประชาชนถูกนำมาใช้ในการออกแบบแผนยุทธศาสตร์และกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้
ขับเคลื่อนกลไกการบูรณาการหลายภาคส่วน: ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน
ออกแบบเครื่องมือที่สอดคล้องและยืดหยุ่นตามบริบท: เช่น คู่มือ “ขยับในออฟฟิศ”, โปรแกรม “ Active School”, คู่มือการเล่นสำหรับเด็กพิการ ฯลฯ
มุ่งสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( Health Literacy): เพื่อให้ประชาชนมีทักษะในการเลือกและปรับพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง
เน้นความเป็นธรรมและครอบคลุม ( equity): มีกลุ่มเฉพาะที่ได้รับการออกแบบเครื่องมือเฉพาะ เช่น เด็กพิการ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในชนบท
จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานแผนกิจกรรมทางกาย มีการกำหนดกลยุทธ์ที่มีหลายองค์ประกอบ ( multi - component) และทำงานพร้อมกันหลายภาคส่วน ( multi - sectoral) ไม่ใช่เฉพาะแต่ภาคส่วนด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมประสานกับหน่วยงาน/องค์กรภาคส่วนอื่นๆ ให้ทำงานก้าวข้ามผ่านเฉพาะเป้าหมายเดิมของตนเอง เพื่อใช้กิจกรรมทางกายเป็นตัวขับเคลื่อนสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( Sustainable Development Goals : SDGs) สรุปได้ดังนี้
กรอบ SDG
ประเด็นหลัก
ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางกาย
เป้าหมายย่อยที่เชื่อมโยง
SDG 3 สุขภาพดีและความเป็นอยู่ที่ดี
ป้องกันโรค NCDs / สุขภาพจิต / ความปลอดภัยทางถนน
- 3.4 ลดการตายก่อนวัยอันควรจาก NCDs - 3.6 ลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน
SDG 11 เมืองและชุมชนยั่งยืน
คมนาคมที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย
- 11.2 ระบบขนส่งที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเปราะบาง
SDG 13 รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ลดการพึ่งพายานยนต์ส่วนบุคคล เพิ่มการเดิน-ปั่นจักรยาน
- บูรณาการมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกในนโยบายระดับชาติ
SDG 9 โครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม
ออกแบบพื้นที่สุขภาวะ/เมืองขยับได้/โครงสร้างเอื้อต่อกิจกรรม
- 9.2 พัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน - 9.4 ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
SDG 10 ลดความเหลื่อมล้ำ
กิจกรรมทางกายที่เข้าถึงได้เท่าเทียม ทุกช่วงวัย-เพศ-ฐานะ
- 10.1 เพิ่มรายได้กลุ่มยากจน 40% - 10.2 เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง อย่างเท่าเทียม
SDG 16 สันติภาพและสถาบันที่เข้มแข็ง
สภาพแวดล้อมปลอดภัย ส่งเสริมสังคมมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมทางกาย
- 16.1 ลดความรุนแรงทุกรูปแบบ - 16.7 เพิ่มการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของประชาชนทุกกลุ่ม - 16.b ยุติการเลือกปฏิบัติ
ดังนั้น กิจกรรมทางกาย จึงไม่ใช่เพียงการ “ขยับ” เพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่คือ “จุดคานงัดของการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ที่บูรณาการมิติสุขภาพเข้ากับผังเมือง การขนส่ง การศึกษา ความเสมอภาค สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของสังคม
สืบค้นรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสารส่วนที่ 2
4.3 การดำเนินงานเชิงพื้นที่ และเครื่องมือปฏิบัติการ
จากกลไกระดับชาติ แผนยุทธศาสตร์ได้ถูกแปลงเป็นการดำเนินงานจริงในระดับพื้นที่ ผ่านเครื่องมือและกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น คู่มือ Active School, สนามเด็กเล่น BBL, โปรแกรมลดพุงลดโรคในสถานประกอบการ และแนวทางพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อการเคลื่อนไหวในชุมชน โดยเฉพาะบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคประชาสังคม ที่เป็นแกนหลักในการสร้างพื้นที่ขยับให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงทุนเดิมในพื้นที่ ทั้งในแง่ของนโยบาย ภาคีเครือข่าย แนวปฏิบัติ และบริบทของประชากรทั่วไป ประชากรกลุ่มเฉพาะ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มด้อยโอกาส ในการเข้าถึงพื้นที่ และ/หรือ บริการสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย อาทิ
กำหนดและเชื่อมโยงกลไกขับเคลื่อนงานสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย โดยแปลงกรอบคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ( HBM), ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม , และ Trans-Theoretical Model (TTM) รวมถึง แนวคิดด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( Health Literacy) ที่เน้นการเข้าถึง เข้าใจ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบกิจกรรมต้องคำนึงถึงปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ ( SDH) เช่น เพศ รายได้ พื้นที่เมือง-ชนบท
สื่อแบบ Know-what / Know-how ถูกพัฒนาสำหรับกลุ่มวัยต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เช่น เล่นกลางโรค , คู่มือขยับในออฟฟิศ , โปรแกรม E75
การสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ Health Literacy และ Social Skill ที่จะช่วยให้กิจกรรมทางกายได้สอดแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หรือ เป็น วิถีชีวิตได้จริง
ดังนั้น แนวปฏิบัติที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือที่ยืดหยุ่น เข้าถึงง่าย และสอดคล้องบริบท เช่น คู่มือกิจกรรมแบบพกพา หรือ สร้างแพลตฟอร์มกลางออนไลน์เพื่อรวบรวมสื่อ นวัตกรรม และกรณีศึกษาจากพื้นที่ต่างๆ ไว้สำหรับการเข้าถึงได้สะดวก ง่ายต่อการปฏิบัติ เนื่องจากผลการศึกษาพบปัญหาใหญ่คือ “ความเหลื่อมล้ำในการมีกิจกรรมทางกาย” ที่ยังคงมีอยู่ในหลายมิติ ดังตัวอย่างนี้
กลุ่ม
ปัญหาหลัก
ระดับกิจกรรมเพียงพอ ( 2564)
ผู้หญิง
ขาดเวลา ขาดความมั่นใจ
60.0%
เด็กและเยาวชน
ขาดโอกาส และการสนับสนุน
24.2%
ผู้มีการศึกษาต่ำ
ทำงานหนัก ขาดโอกาสเรียนรู้สุขภาพ
54.2% – 61.7%
ผู้ไม่มีอาชีพ/ไม่ทำงาน
ไม่มีพื้นที่/โอกาสเข้าร่วมกิจกรรม
46.5%
ผู้มีรายได้น้อย
เข้าไม่ถึงทรัพยากร เช่น เวลา สถานที่
51.5% – 59.3%
นอกจากนี้ จากข้อมูลปี 2555 – 2564 พบว่า ผู้หญิงมีระดับกิจกรรมทางกายต่ำกว่าผู้ชายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปีโควิด- 19 ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศยิ่งกว้างขึ้น และในปี 2563 –2564 พบ Gini Coefficient เพิ่มจาก 0.440 → 0.448 สะท้อนความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงกิจกรรมทางกาย อาจเรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคของการมีกิจกรรมทางกายที่ดี ซึ่งในผลการศึกษายังพบอีกว่าประชากรแต่ละช่วงวัยต้องเผชิญสภาพปัญหาที่ทำให้มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สรุปได้ดังนี้
ช่วงวัย
อุปสรรคที่พบบ่อย
ร้อยละ
วัยเรียน 5–17 ปี
เหนื่อยจากเรียน , ขาดแรงจูงใจ
30.3%
วัยทำงาน 18–59 ปี
ไม่มีเวลา , ภาระครอบครัว
46.1%
ผู้สูงอายุ 60+
ปัญหาสุขภาพ , ขาดแรงจูงใจ
40.5%
อย่างไรก็ตาม “ แนวทางส่งเสริมกิจกรรมทางกาย” สำหรับแต่ละกลุ่มวัยและกลุ่มเฉพาะ ตามแผนกิจกรรมทางกาย พ.ศ.2561–2573 ( ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) และแนวทางจากองค์การอนามัยโลก ( WHO) ซึ่งเน้นว่า “ การส่งเสริมกิจกรรมทางกายจะต้องเน้นการเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัย เพศ รายได้ สถานะทางสุขภาพ หรือความสามารถทางร่างกาย” โดยมีหลักการร่วมสำหรับทุกกลุ่ม (Core Principles for All Populations) ได้แก่
Every Move Counts – “ ทุกขยับนับหมด”
กิจกรรมทางกาย ( Physical Activity) ไม่จำเป็นต้องเป็น “การออกกำลังกายหนัก”
ทุกการเคลื่อนไหวที่ใช้พลังงาน เช่น เดิน ล้างจาน ปีนบันได จัดบ้าน ปลูกต้นไม้ ล้วนเป็นกิจกรรมทางกาย สำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” และ “ใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง”
ปรับให้เหมาะกับชีวิตประจำวัน ( Personalized & Practical) ปรับกิจกรรมทางกายให้สอดคล้องกับ บริบทส่วนตัว ของแต่ละคน เช่น
อาชีพ (งานนั่งโต๊ะ/งานใช้แรง)
พื้นที่ (ชุมชนเมือง/ชนบท)
ภาวะสุขภาพ (ปกติ/มีโรคประจำตัว)
ความเท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ( Inclusive & Equitable) ทุกคนควรได้รับโอกาส ในการมีกิจกรรมทางกายอย่างเหมาะสม แม้จะมีข้อจำกัดทางกายภาพ เศรษฐกิจ หรือ สังคม ดังตัวอย่างกลุ่มเปราะบาง
เด็กพิเศษ: ควรออกแบบกิจกรรมที่เข้าใจง่าย สนุก และปลอดภัย
คนพิการ: ควรมีพื้นที่ปลอดภัย อุปกรณ์รองรับ เช่น เก้าอี้ล้อ สนามกีฬาเฉพาะ
หญิงตั้งครรภ์: มีกิจกรรมแบบเบา ๆ เช่น เดินในน้ำ โยคะสำหรับคนท้อง
กิจกรรมต้อง “สนุก” และ “ผ่อนคลาย” ( Enjoyable & Sustainable) เนื่องจากคนจะทำกิจกรรมทางกายได้อย่างยั่งยืนจนกลายเป็นพฤติกรรมถาวร ต้องรู้สึก “มีความสุข” และ “เข้าถึงง่าย” ไม่ควรเน้นแค่เป้าหมายสุขภาพ หรือ รูปร่าง แต่เน้นความรู้สึกดี ตัวอย่างเช่น
4.3.1 ข้อสังเคราะห์บทสะท้อนความสำเร็จ “พื้นที่ต้นแบบกิจกรรมทางกาย”
การส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ของนักเรียน ทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย ( TPAK) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พัฒนาแนวคิด "การส่งเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบแบบ 4PC" เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน
องค์ประกอบของแนวคิด 4PC
นโยบายส่งเสริมการเคลื่อนไหวร่างกายในทุกโอกาส ( Active Policy): การกำหนดนโยบายที่สนับสนุนให้นักเรียนมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ
บุคลากรที่มีความกระฉับกระเฉงตื่นรู้ ( Active People): การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และความสามารถในการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย
แผนกิจกรรมฉลาดเล่น ( Active Program): การออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหวและการเรียนรู้ควบคู่กัน
พื้นที่ส่งเสริมการเล่น ( Active Place): การจัดสรรพื้นที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย
ห้องเรียนฉลาดรู้ ( Active Classroom): การบูรณาการกิจกรรมทางกายเข้ากับการเรียนการสอน
ผลลัพธ์จากการนำแนวคิด 4PC ไปใช้
จากการติดตามผลการดำเนินงาน พบว่านักเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในหลายด้าน เช่น มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น มีความสุขและสมาธิในการเรียนมากขึ้น พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ ลดเวลาในการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิง ทั้งนี้ แนวคิดการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเชิงระบบแบบ 4PC ได้รับการยอมรับและเผยแพร่ในเอกสาร " School Physical Activity Promotion Guide and Assessment Tool" ขององค์การอนามัยโลก ( WHO) ในปี 2561
พื้นที่ต้นแบบกิจกรรมทางกาย ผลการประเมินแผนหลักปี 2560-2563 ของแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ได้กล่าวถึงความสำเร็จในระดับ area, setting และ model development ใน 3 ลักษณะ ที่มีความโดดเด่นในการออกแบบอย่างเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมาย สามารถต่อยอดเป็นนโยบายสาธารณะระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า “ พื้นที่” และ “กลไกในพื้นที่” คือ รากฐานการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน ดังข้อสรุปบทเรียนความสำเร็จจากพื้นที่ต้นแบบ ดังนี้
1. ต้นแบบกิจกรรม Active Play ในโรงเรียนประถม (โครงการโรงเรียนฉลาดเล่น ( Active School ) )
มิติ Area : ดำเนินงานในโรงเรียนประถมนำร่องหลายแห่งทั่วประเทศ
มิติ Setting : ปรับเปลี่ยนบริบทการเรียนรู้ในโรงเรียนให้เอื้อต่อกิจกรรมทางกาย ทั้งในห้องเรียน พักเที่ยง และช่วงนอกเวลาเรียน
มิติ Model Development : พัฒนารูปแบบการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน และมีการถอดบทเรียนทั้งจุดแข็ง–จุดอ่อน เพื่อขยายผลสู่โรงเรียนอื่นผ่านคู่มือ แนวทาง และการอบรมพัฒนาศักยภาพครู
2. ศูนย์ส่งเสริมการใช้ชีวิตกระฉับกระเฉงและดูแลสุขภาพ ( Active & Healthy Lifestyles Promotion Center) ( โครงการคนไทยไร้พุง)
มิติ Area : จัดตั้งศูนย์นำร่องในพื้นที่ที่มีความพร้อม เช่น โรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณะ
มิติ Setting : ทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ เช่น สถานประกอบการ หน่วยงานราชการ โรงเรียน เพื่อถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบ Healthy Organization
3. พื้นที่สุขภาวะและเมืองต้นแบบการเดิน/จักรยานเพื่อชีวิตประจำวัน ( โครงการ Active Walkable District, โพธาราม , ราชบุรี , พื้นที่สุขภาวะจังหวัดเพชรบุรี)
มิติ Area : เกิดพื้นที่นำร่องที่เป็นเมือง/เขตสุขภาวะ เช่น โพธาราม , ราชบุรี , เพชรบุรี
มิติ Setting : สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหว เช่น ทางเท้า ทางจักรยาน ลานกิจกรรมชุมชน ลานกีฬา
สรุปได้ดังตารางนี้
ชื่อโครงการ
/ พื้นที่ต้นแบบ
มิติ Area
( พื้นที่ดำเนินการ)
มิติ Setting
( บริบทพื้นที่)
มิติ Model Development ( รูปแบบต้นแบบ)
กลุ่มเป้าหมาย
โรงเรียนฉลาดเล่น
( Active School)
โรงเรียนประถม นำร่องหลายแห่ง
สถานศึกษา – ห้องเรียน , ลานกิจกรรม , เวลาว่าง
- กิจกรรม Active Play - บูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหว - ถอดบทเรียนเพื่อขยายผล
ครอบคลุมกลุ่ม เด็กวัยเรียน
ศูนย์ส่งเสริมการใช้ชีวิตกระฉับกระเฉงฯ
(โครงการคนไทยไร้พุง)
หน่วยบริการสุขภาพ , องค์กรต้นแบบ
สถานพยาบาล , ที่ทำงาน , องค์กร
- ระบบถ่ายทอดความรู้ เฉพาะกลุ่ม - จัดตั้งศูนย์ต้นแบบให้คำปรึกษา - พัฒนาองค์กรสุขภาพ
เหมาะกับวัยทำงาน และองค์กร
Active Walkable District / โพธาราม / ราชบุรี / เพชรบุรี
ชุมชนเมือง/เขตเทศบาล/จังหวัด
พื้นที่สาธารณะ – ทางเท้า ,
ทางจักรยาน ,
ลานกีฬา
- เมืองเดินได้ ปั่นได้ - พื้นที่สุขภาวะที่ปลอดภัย - พัฒนาแผนร่วมกับ อปท.
มุ่งเป้าทุกกลุ่มวัยและท้องถิ่น
สืบค้นรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสารส่วนที่ 2
4.4 โอกาสและข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อบรรลุเป้าหมายแผนสร้างเสริมในปี 2573
การประเมินผลแผนโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และบทวิเคราะห์เชิงระบบจากภาคีเครือข่าย ชี้ให้เห็นแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายแผนสร้างเสริมกิจกรรมทางกาย ในปี 2573 ดังนี้
4.4.2 ข้อเสนอเพื่ออุดช่องว่างเชิงกลุ่มเป้าหมาย (Target Gaps)
พัฒนาเครื่องมือที่ยืดหยุ่นกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ที่เน้นการเข้าถึงได้สะดวก ง่ายต่อการปรับใช้ขยายผล
ขยายความครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการสร้างเสริมกิจกรรมทางกายอย่างเป็นรูปธรรมที่พัฒนาไปสู่นวัตกรรมทางสังคม เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และสถานประกอบการ ที่สามารถเป็นฐานปฏิบัติ ( Settings) สำคัญขยายผลครอบคลุมกลุ่มประชากรต่างๆ เช่น
ออกแบบกิจกรรมเฉพาะกลุ่มที่ตอบโจทย์บริบท เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ แรงงาน/แรงงานนอกระบบ
พัฒนาชุดกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม เช่น เด็กออทิสติก ผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว แรงงานนอกระบบ เป็นต้น
พัฒนาบุคลากร “ Active Coach ชุมชน” ที่สามารถแนะนำกิจกรรมให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม
พัฒนาเครื่องมือสื่อสารสาธารณะ และใช้เทคโนโลยี เพื่อสร้างแรงจูงใจ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างเสริมกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันได้อย่างสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีติดตามพฤติกรรมทางกาย เช่น สายรัดข้อมือแอพลิเคชัน สำหรับวัดการขยับเคลื่อนไหว ในกลุ่มวัยทำงาน
อ้างอิง
รายงานการสังเคราะห์องค์ความรู้ประเด็นกิจกรรมทางกายเพื่อการนำเสนอในระบบบริหารจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วม.ภายใต้โครงการจ้างสังเคราะห์เนื้อหาประเด็นอาหารและกิจกรรมทางกายเพื่อการนำเสนอในระบบบริหารจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วม.ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0