0

0

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-07-24 14:43:05

บทนำ

ส่วนนี้มุ่งขยายความเข้าใจเรื่องวิวัฒนาการงานสุขภาพจิตของประเทศไทย และความร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพจิต กับ สสส. ตั้งแต่ช่วงเวลา 10 ปีแรก  ก่อนจะมีแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 มาจนถึง ณ ปัจจุบัน ที่มีข้อตกลงความร่วมมือเป็นโครงการตามยุทธศาสตร์ภายใต้ “แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 - 2580)” ซึ่งมีตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต และกลไกประสานภาคีงานสุขภาพจิต ตลอดจน การสื่อสารและดูแลสังคมในหลากหลายช่องทาง รวมถึง กรอบการประเมินผลให้สอดรับกับเกณฑ์วัดความสุขของ World Happiness และสอดคล้องกับทิศทางกระแสโลก โดยบนพื้นฐานบริบทของพื้นที่

2.1 วิวัฒนาการ ช่วงเวลา 10 ปีแรก “ก่อน” มีการจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2561-2580

ส่วนที่ 1: ช่วงเวลาก่อนมี 10 ปีแรก “ก่อน” มีการจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2561-2580

มิติที่ 1 การสร้างเสริมสุขภาพจิต

มิติที่ 1 การสร้างเสริมสุขภาพจิต

การสร้างเสริมสุขภาพจิต คือ การพัฒนาศักยภาพด้านในของคน ประกอบด้วย การสร้างเสริมสุขภาพจิตเน้นการพัฒนาความสามารถในการจัดการชีวิตและสร้างสัมพันธภาพที่ดีในชุมชน รวมถึงการบ่มเพาะคุณธรรมภายในใจและความรู้สึกดีต่อตนเองและผู้อื่น และครอบคลุมการจัดการสิ่งแวดล้อมและปัจจัยรอบตัว ซึ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีความสุข เช่น ความมั่นคงในชีวิตและความไว้วางใจในชุมชน

การสร้างเสริมสุขภาพจิตในทุกกลุ่มประชากร: การดำเนินงานที่สร้างเสริมสุขภาพจิตสามารถทำได้ในทุกกลุ่มประชากร โดยการใช้แนวคิดเรื่องความเข้มแข็งทางจิตและการพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญตามลำดับ

จุดเน้นสำคัญ: การสร้างเสริมสุขภาพจิตเน้นการสร้างเสริมและสนับสนุนด้านสุขภาพจิต โดยให้บุคคลมีความสามารถในการจัดการและควบคุมสุขภาพจิตของตน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิตโดยใช้แนวคิดการสร้างสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและเป็นส่วนตัวในการดำเนินงาน

ดังนั้น การสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคคลในการจัดการชีวิตและสร้างสัมพันธภาพที่ดีในชุมชน โดยมีการจัดการสิ่งแวดล้อมและปัจจัยรอบตัวเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงในชีวิตและความไว้วางใจในชุมชน เพื่อให้บุคคลมีสุขภาพจิตที่ดีและสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขและเชื่อมั่น

1.1วิเคราะห์ระบบที่ดํารงอยู่

1.1 วิเคราะห์ระบบที่ดํารงอยู่

การดำเนินงานด้านสุขภาพจิต: มีการเน้นที่การเข้าถึงบริการของผู้มีความต้องการด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะผู้ป่วยทางจิตเวช โดยมีการควบคุมอัตราการฆ่าตัวตายและการเข้าถึงบริการผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

โครงสร้างการทำงานด้านส่งเสริมป้องกัน: มีศูนย์สุขภาพจิตเป็นหน่วยงานประจำแต่ละเขต/กลุ่มจังหวัดที่ประสานงานด้านการส่งเสริมป้องกันและเชื่อมโยงการทำงานกับหน่วยงานในพื้นที่

ความพร้อมในการทำงานด้านสุขภาพจิต: มีการพัฒนาศักยภาพทางวิชาการและการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต โดยมีการ

กำหนดขึ้นจากส่วนกลางและมีการดำเนินการเชื่อมโยงกับการดำเนินงานในพื้นที่

โครงการหลักที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิต: โครงการทูบีนัมเบอร์วันเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันปัญหายาเสพติดในเยาวชน

ในด้านของโอกาส ความตระหนักรู้ในความสำคัญของสุขภาพจิตมีการเพิ่มขึ้น และมีทุนทางสังคมที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างสุขภาพจิตในพื้นที่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในด้านศาสนาและสังคม สิ่งคุกคามที่สำคัญคือการปรับลดงบประมาณส่วนกลางที่ส่งผลให้กรมสุขภาพจิตมีความจำกัดในการดำเนินงานด้านสร้างเสริมสุขภาพจิตด้วยตนเองลงลึกลงไป อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะใช้สถานการณ์ทางสังคมและการเมืองในการสร้างความสามารถในการพัฒนาสุขภาพจิตในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

1.2 ส่วนขาดสําคัญ

1.2 ส่วนขาดสําคัญ

มุมมองของพื้นที่:

¬ชุมชนให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตปกติสุขภาพภายในชุมชน

¬กลุ่มอายุผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดในด้านสุขภาพจิต

¬กลุ่มด้อยโอกาสในสังคม เช่น มีอาชีพไม่มั่นคง การศึกษาต่ำ รายได้น้อย หรือเป็นครอบครัวที่เสี่ยงต่อปัญหาเศรษฐกิจ

¬การมีเวลาให้แก่กันในครอบครัวและการปฏิบัติตามหลักศาสนามีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพจิต

มุมมองเชิงระบบ:

¬ขาดข้อมูลสุขภาพจิตที่ไม่ใช่ความเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช

¬ขาดข้อมูลเชิงพื้นที่และกลไกการทำงานที่สามารถเชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน

การดำเนินงานในระดับชุมชน ตำบล หรืออำเภอมักมีการทำงานเชิงบูรณาการได้ดีขึ้นโดยรวม

การที่ส่วนขาดสำคัญนี้ถูกแสดงออกมาชัดเจน ช่วยให้กรมสุขภาพจิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตอย่างมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น

1.3 ตําแหน่งของแผนงานและจุดคานงัด

โดยการเลือกและโฟกัสในจุดคานงัดเหล่านี้จะช่วยให้แผนงานสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตไปในทิศทางที่เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นตามเป้าหมายของการพัฒนาสุข

เหตุผลในการเลือกแนวทางการทำงานดังกล่าวได้ดังนี้

1. การพัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำงาน:
- การทดสอบและพิสูจน์สมมติฐานที่สำคัญในการทำงานช่วงเริ่มต้นช่วย พบว่า การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่ายและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้ใช้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงทรัพยากรท้องถิ่น/หน่วยงานมาช่วยขยายผลได้
- การพัฒนานวัตกรรมที่มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ปัญหาที่มีผู้ที่พร้อมจะลงมือทำอยู่แล้วช่วยสร้างโอกาสในการ "แตกลูก" ต่อไปโดยการดึงทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น/หน่วยงานมาช่วยในการขยายผล
- การพัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำงานของภาคีในพื้นที่และภาคีอื่นๆ ที่มีประเด็นการทำงานร่วมกันช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบที่กว้างขวางออกไปได้
ดังนั้น เหตุผลสำคัญในการเลือกแนวทางการทำงานเหล่านี้คือการพิจารณาถึงการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาที่มีอยู่ในชุมชน และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลและสร้างผลกระทบที่ดีในระยะยาว

2. ส่วนขาดสําคัญของการสร้างเสริมสุขภาพจิต   มีดังนี้
ขาดข้อมูลที่จะช่วยในการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันของภาคส่วนต่างๆ:
- การขาดข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดกับการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เดียวกันในเรื่องของสุขภาพจิต
- ระบบข้อมูลที่ขาดเสริมสุขภาพจิตยังไม่สามารถช่วยในการประสานงานระหว่างหน่วยงานและการประสานงานระหว่างระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขาดผู้เล่นที่มีความพร้อม:
- การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิตยังต้องพบกับปัญหาของการขาดผู้เล่นที่มีความพร้อมในการร่วมมือและสนับสนุนในการพัฒนาระบบ
- กรมสุขภาพจิตยังไม่มีความพร้อมที่เพียงพอในการเน้นข้อมูลเฉพาะเรื่องความเจ็บป่วยทางจิตใจอย่างเพียงพอ
ดังนั้น แผนงานจึงมุ่งเน้นการเชื่อมโยงหน่วยงาน 4 หน่วยเพื่อร่วมพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพจิตรายจังหวัด และจะพัฒนาฐานข้อมูลสุขภาพจิตของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะในกลุ่มต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักและความมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ และจะพัฒนาเป็นแผนที่สำหรับดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพจิตต่อไป เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความเต็มใจในการทำงานร่วมกันในด้านสุขภาพจิตในชุมชนและพื้นที่ดังกล่าว

4. การร่วมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายสำคัญที่ทำงานเกี่ยวข้องกับกระบวนการช่วยเหลือและการพัฒนาศักยภาพเยาวชนของแผนงาน ได้ดังนี้
การสร้างเครื่องมือเพื่อการพัฒนาเครือข่ายเป็นหลัก:
    - แผนงานเน้นการพัฒนาเครื่องมือเพื่อการพัฒนาเครือข่ายที่สำคัญที่ทำงานเกี่ยวข้องกับกระบวนการช่วยเหลือและการพัฒนาศักยภาพเยาวชน
    - เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนในพื้นที่และชุมชนต่าง ๆ
การดำเนินการตามแผนการทำงาน:
    - แผนงานได้เลือกและกำหนดการดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ในแผนระยะที่สองเพื่อการพัฒนาเครือข่ายที่มีผลต่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต
    - การวิเคราะห์ของแผนงานเริ่มต้นบนข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันและผู้เล่นที่มีอยู่เพื่อการกำหนดการดำเนินการที่เหมาะสมและตรงใจ

มิติที่ 2 การประเมินการสร้างเสริมสุขภาพจิต

สร้างเสริมสุขภาพจิตจุดเน้นการดําเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต 3 ระยะ รูปแบบกาภาพจิตผ่านกลไกที่เป็นทางการ รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ

แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในระยะที่ 3 สรุปได้ดังนี้

¬การสนับสนุนต่อเนื่องจาก สสส.: แผนงานได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องจาก สสส. เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาความรู้และการนำความรู้ที่ได้มาจากการพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง การดำเนินงานในระยะที่ 1 และ 2 ได้รับการกำหนดขอบเขตการดำเนินการที่เน้นการนำความรู้ไปสู่การขยายผลกับภาคส่วนต่าง ๆ และการผลักดันนโยบายทางสังคมที่นำไปสู่การพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพจิตของประเทศ

¬การปรับขอบเขตการดำเนินงานในระยะที่ 3: ฐานการดำเนินงานของแผนงานในระยะที่ 3 ได้มีการปรับขอบเขตการดำเนินงานให้มีกรอบเน้นการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยการดำเนินงานที่ใช้ความรู้ที่แผนงานได้พัฒนาขึ้นมาไปสู่ภาคีเป้าหมายผู้ใช้โดยตรง และกลุ่มเป้าหมายทางสังคมที่ต้องการให้เกิดการสร้างเสริมสุขภาพจิต

ดำเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในระยะที่ 3 ได้แบ่งเป็นข้อสังเกตต่าง ๆ ดังนี้

1.การใช้คำนิยามและความหมาย "สุขภาพจิต": การใช้คำนิยามและความหมายของ "สุขภาพจิต" ได้ถูกสร้างใหม่เพื่อเน้นการสร้างสุขภาพจิต ลดความทุกข์ และสร้างความสุข แม้ในระยะที่ 3 ก็ยังคงใช้คำนิยามและความหมายใหม่เหมือนเดิม

2.การใช้ทรัพยากรจากระยะก่อนหน้า: การดำเนินงานในระยะที่ 3 ได้ใช้ทรัพยากรที่ได้มาจากการดำเนินงานในระยะที่ 1 และ 2

3.การเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ใช้ความรู้: การเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้ใช้ความรู้หรือกลุ่มผู้นำความรู้สู่การปฏิบัติการการสร้างเสริมสุขภาพจิตและกลุ่มผู้รับการสร้างเสริมสุขภาพจิตได้เป็นกลุ่มประชากรเฉพาะกลุ่มที่เคยดำเนินการมาตั้งแต่ระยะที่ 1 และ 2

4.การดำเนินงานผ่านตัวแทน: การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพจิตไม่ได้ดำเนินการโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ผ่านตัวแทน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะเพื่อนำไปขยายผล

5.การพัฒนาความรู้แบบองค์รวม: การพัฒนาความรู้ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตใช้แนวคิดแบบองค์รวม เป็นสหวิทยาการและขยายขอบเขตได้กว้างมากกว่าความเป็นโรคทางการแพทย์

6.การแบ่งแบบแผนกระบวนการ: แบบแผนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพจิตถูกแบ่งเป็น 2 แบบหลัก คือ แบบแผนการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองเชิงปัจเจกบุคคลและแบบแผนการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม

7.การพัฒนาคนทำงาน: การพัฒนาคนทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบให้กลายเป็นผู้นำการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยใช้องค์กรหลักทางวิชาชีพเป็นกลไกการทำงานและขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพจิต8.การพัฒนาสื่อ: การพัฒนาสื่อที่เหมาะสมกับกลุ่มประชากรแต่ละกลุ่มเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการทำงานร่วมกัน

9.การพัฒนาความรู้ผ่านกลุ่มตัวอย่าง: การพัฒนาความรู้ในแต่ละประเด็นดำเนินการผ่านกลุ่มตัวอย่างเชิงทดลองจากความเป็นอาสาสมัครที่เลือกเป็นกลุ่มเจาะจง

10.การดำเนินการของแผนงานฯ ในระยะที่ 3 จะเน้นการทำงานผ่านเครือข่ายปฏิบัติการ (boundary partner) เป็นหลัก ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกับผู้ที่มีผลต่องานหรือประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกลไกเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic partner) โดยตรง ที่เป็นการทำงานร่วมกับหน่วยงานหรือผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายหรือการเคลื่อนไหวในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งการใช้เครือข่ายปฏิบัติการเป็นการช่วยขับเคลื่อนให้นโยบายหรือการเคลื่อนงานนั้นสามารถดำเนินไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ได้ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องผ่านช่องทางที่ยุ่งยากหรือซับซ้อนขึ้นในการติดต่อหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการดำเนินงาน

 

การสร้างเสริมสุขภาพจิตสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

1.แบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกทางการ:

¬ใช้กลไกทางการหรือช่องทางที่เป็นทางการในการพัฒนาและนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ เช่น การใช้นโยบายหรือข้อบังคับเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจิต การดำเนินโครงการที่มีการจัดการและการบริหารจัดการเป็นระบบ เป็นต้น

¬เน้นการทำงานผ่านกลไกองค์กรหรือสถาบันทางการที่มีลำดับและโครงสร้างทางการ โดยมุ่งเน้นการให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและวัดได้

2.รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ:

¬ใช้กลไกหรือช่องทางที่ไม่เป็นทางการในการสร้างและเสริมสุขภาพจิต เช่น การทำงานกับกลุ่มประชากรหรือชุมชนโดยไม่ผ่านสถาบันหรือองค์กรทางการ การใช้สื่อสารมวลชนหรือสื่อสังคม การสร้างเครือข่ายชุมชน เป็นต้น

¬เน้นการทำงานผ่านกลุ่มหรือชุมชนที่มีความร่วมมือและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีความยั่งยืนและเชื่อถือได้ในระยะยาว

แต่ละรูปแบบจะมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายที่แตกต่างกันของการสร้างเสริมสุขภาพจิต เช่น การทำงานกับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงอาจต้องใช้รูปแบบการทำงานที่มีการควบคุมและการบริหารจัดการเป็นระบบมากขึ้น ในขณะที่การทำงานกับชุมชนในพื้นที่ที่มีสภาพคล่องยังได้ผลดีจากการใช้กลไกที่ไม่เป็นทางการที่มีการนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาและการพัฒนาชุมชนในทางที่ยั่งยืนและเชื่อถือได้ในระยะยาว

1. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกทางการ เป็นการพัฒนาที่ดำเนินการภายใต้การปฏิบัติขององค์กรหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการสร้างเสริมสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีคุณลักษณะสำคัญดังนี้

¬มีกรอบแนวทางและขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน: รูปแบบนี้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติการและขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจน เช่น คู่มือ (manual), แนวทาง (guideline), และมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure: SOP) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนได้อย่างเป็นระบบ

¬มีการจัดการความรู้ทางวิชาชีพ: รูปแบบนี้จะมีการจัดการความรู้ทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เช่น การสร้างแบบแผนการรักษา หลักสูตรการศึกษา หรือมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ถูกกำหนดไว้เป็นข้อกําหนด

¬มีกรอบการปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพ: รูปแบบนี้จะมีการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือ เช่น ขั้นตอนการรักษา, และการดำเนินการตามมาตรฐาน

รูปแบบนี้มักจะเหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการความเป็นระบบและเรียบง่าย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความเชื่อมั่นและมั่นใจในการดำเนินงาน เช่น ในการให้บริการด้านสุขภาพจิตในองค์กรหรือหน่วยงานทางการที่มีการดำเนินงานที่ซับซ้อนและมีการตรวจสอบความถูกต้องและประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ

การดำเนินงานกับกลไกที่เป็นทางการมีข้อจำกัดและเงื่อนไขของการสร้างเสริมสุขภาพจิต เป้าหมายเชิงผลลัพธ์ของการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่เป็นทางการมีความชัดเจนและคาดหวังได้ โดยมี 2 ระดับเป้าหมายดังนี้

1.เป้าหมายการพัฒนาหน่วยปฏิบัติการ: เน้นการเสริมความเข้มแข็งและเพิ่มทางเลือกในการปฏิบัติงาน เพื่อลดลงภาระการทำงานประจำและส่งผลให้มีการลดลงของผู้เข้ารับการรักษา เช่น การปฏิบัติงานบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น

2.การพัฒนากระบวนการในหน่วยปฏิบัติการ: เน้นการเสริมการทำงานในหน่วยปฏิบัติการให้สามารถดำเนินงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น การพัฒนากลยุทธ์และวิธีการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผลผลิตของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตสามารถนําไปสู่การขยายผลได้มากขึ้น และเป็นการเสริมศักยภาพของหน่วยปฏิบัติการที่มีหน้าที่ในการสร้างเสริมสุขภาพจิต

 

ความชัดเจนในการกำหนดเป้าหมายและการทำงานที่มุ่งหวังส่งผลให้ผู้รับบริการได้รับประโยชน์และมีความสุขภาพจิตที่ดีขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดในการติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิต โดยที่แต่ละหน่วยงานอาจมีข้อจํากัดในเรื่องขอบเขตของบุคลากรที่ปฏิบัติงานได้

การดำเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในระยะที่ 3 มุ่งเน้นการใช้กลไกทางการเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตให้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันในระดับพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงระดับประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพจิตแต่ละกลุ่มดังนี้

• ภาคศาลยุติธรรม: แผนงานมุ่งเน้นการสนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในระบบยุติธรรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายผู้ต้องหาในศาลทั่วไปสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่แย่งแย้ง และมีความสุขภาพจิตที่ดีขึ้น โดยอาจมีการให้ความช่วยเหลือทางจิตใจหรือการให้คำปรึกษาที่เหมาะสมตามบริบทของพวกเขาในกระบวนการยุติธรรม

 

การดำเนินงานผ่านกลไกทางการในระยะที่ 3 เป็นการแสดงถึงการนำแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตมาปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสมกับการทำงานในสถานการณ์และพื้นที่ต่าง ๆ โดยการสนับสนุนและสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้บริการในระดับต่าง ๆ ของพื้นที่ที่กำหนด

• ภาคการสาธารณสุข :เป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพจิตในระดับท้องถิ่น โดยรวมมุ่งเน้นการให้บริการและสนับสนุนสุขภาพจิตให้กับกลุ่มเป้าหมายหลากหลาย โดยมีความสำคัญในรูปแบบต่อไปนี้

กลุ่มเป้าหมายผู้ป่วยโรคเบาหวาน: การเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มนี้เน้นการให้คำปรึกษาและการสนับสนุนทางจิตใจในการจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากการจัดการโรค

กลุ่มเป้าหมายผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า: การสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการสมดุลชีวิตและการดูแลสุขภาพจิต

กลุ่มเป้าหมายพ่อแม่ผู้ปกครองคุยกับลูกวัยรุ่น: การสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มนี้มุ่งเน้นการสนับสนุนและการให้คำปรึกษาในการควบคุมสถานการณ์และการสร้างความเข้าใจระหว่างพ่อแม่และลูก โดยเน้นการสร้างทักษะในการสื่อสารและการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยรุ่น

• ภาคการศึกษา: เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญสำหรับการสร้างเสริมสุขภาพจิต เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงเวลาการเจริญเติบโตที่สำคัญและมีความเสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพจิต ดังนั้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นมีความสำคัญต่อไปในลักษณะต่อไปนี้

กลุ่มเป้าหมายเด็กและวัยรุ่นในระดับการศึกษา: การสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะทางจิตใจและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการเรียนรู้การจัดการกับความเครียดและปัญหาทางสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวัยเรียน

การสนับสนุนโรงเรียนและท้องถิ่น: การสร้างเสริมสุขภาพจิตในระดับภาคการศึกษาเน้นการสนับสนุนโรงเรียนในการให้บริการที่สนับสนุนสุขภาพจิตของนักเรียน เช่น การให้คำปรึกษาทางจิตใจและโปรแกรมการพัฒนาทักษะชีวิต

การปรับปรุงการเรียนรู้: การสร้างเสริมสุขภาพจิตในกลุ่มนี้สามารถทำได้ผ่านการปรับปรุงและพัฒนาระบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมทางสุขภาพจิตของนักเรียน โดยการให้โอกาสในการพัฒนาทักษะทางจิตใจและการสนับสนุนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับสุขภาพจิต

2. รูปแบบการสร้างเสริมสขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ เน้นการพัฒนาภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมและการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มคนแต่ละกลุ่มในพื้นที่ โดยไม่มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจนและมีโครงสร้างแนวทางที่เป็นขอบเขตเฉพาะ ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางสังคมในแต่ละสังคมทำให้กระบวนการต่างๆ ในการสร้างเสริมสุขภาพจิตต้องปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคมและปัจจัยภายในและภายนอกที่มีผลต่อกลุ่มนั้นๆ ซึ่งมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

การทำงานกับกลไกที่ไม่เป็นทางการไม่มีโครงสร้างและขอบเขตการปฏิบัติการที่ชัดเจนเหมือนการทำงานร่วมกับกลไกที่เป็นทางการ โดยการพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการจึงใช้วิธีการปฏิสัมพันธ์กลุ่มและการมุ่งเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ร่วมกัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มนั้นๆ ซึ่งการวางกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพจิตด้วยวิธีการดังกล่าวจะเน้นการสะท้อนรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ข้อดีของการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ คือ การสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฏิบัติการทางสังคม โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างหรือข้อบังคับเฉพาะ เป็นการทำให้กลุ่มที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกัน นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนากระบวนการเชิงความสัมพันธ์บนพื้นฐานทางสังคมซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับพฤติกรรมทางสังคมโดยรวมในระดับกว้างขึ้น

 

ข้อเสียของการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ คือ การใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เนื่องจากการพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพจิตในแง่นี้ต้องการการมีส่วนร่วมและการปฏิบัติการที่ต่อเนื่องในระยะเวลานาน นอกจากนี้ยังมีการปรับพฤติกรรมของกลุ่มที่ผูกติดกับความเชื่อทางสังคมที่อาจมีความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ได้ ดังนั้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการอาจเกิดความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มที่เกี่ยวข้อง

การดำเนินงานของแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ระยะที่ 3 ที่ดำเนินงานผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการมีความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพจิตของกลุ่มประชากรในระดับพื้นที่ท้องถิ่น

• ภาคชุมชนในพื้นที่เมือง โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเครือข่ายแรงงานนอกระบบ

การให้ความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพจิตของเครือข่ายแรงงานนอกระบบในภาคชุมชนในพื้นที่เมือง เป็นการเน้นถึงความสำคัญของสุขภาพจิตในชีวิตประจำวันของประชากรในพื้นที่เมืองที่มีสภาวะแรงงานนอกระบบ เช่น ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาความเดือดร้อนในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว การเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเภทต่าง ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของพวกเขา

• ภาคชุมชนในพื้นที่ท้องถิ่น การดำเนินงานในภาคชุมชนในพื้นที่ท้องถิ่นเน้นการสร้างเสริมสุขภาพจิตของสมาชิกในชุมชนเป็นหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นสมาชิกของชุมชนเอง ซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาสังคมที่มีความสุขและยั่งยืน เนื่องจากสุขภาพจิตของสมาชิกในชุมชนมีผลต่อความเข้มแข็งและการพัฒนาของชุมชนโดยรวม การสนับสนุนและการให้บริการทางสุขภาพจิตในระดับชุมชนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและช่วยเพิ่มความมั่นคงของสมาชิกในด้านสุขภาพจิตได้ดีขึ้น โดยการเน้นไปที่การให้ความรู้ เทคนิค และทักษะในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตในชีวิตประจำวันให้แก่สมาชิกทั้งหมดในชุมชน

 

 

2.2 วิวัฒนาการ ช่วงเวลามีการจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2561-2580

วิวัฒนาการ การจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ

ส่วนที่ 2: ช่วงเวลามีการจัดทําแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561 - 2580)

 

 

ในช่วงเวลาก่อนการจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561 - 2580) (ที่มา:ข้อมูลจากเอกสารโครงการประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561-2580) ระยะที่ 1(พ.ศ.2561-2565) และการประเมินแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) ของกรมสุขภาพจิต ในวาระแรก ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565) สนับสนุนโดย สสส.)พบว่า มีการจัดทำรายงานการทบทวนยุทธศาสตร์สุขภาพจิตระดับชาติซึ่งได้ถูกจัดทำขึ้นโดยคณะทำงานในโครงการพัฒนาชุดแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทย ต่อมาเมื่อปี 2560 เป็นต้นมา ประเทศไทยเริ่มขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวคิดของโมเดลประเทศไทย 4.0 ตามกรอบแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 12 โดยมีวิสัยทัศน์ "ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคนในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดีเก่งและมีคุณภาพ การเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม โดยมีการวางเป้าหมายในการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติทั้งการพัฒนาสังคม การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ การจัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติมีความสำคัญเนื่องจากสามารถนำเสนอแนวทางการพัฒนาในด้านสุขภาพจิตที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาของประเทศไทยในระยะยาวได้โดยตรง และช่วยสร้างกรอบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตให้กับประชาชนไทยในทุกๆ ช่วงวัยและทุกชุมชนในประเทศไทย ที่มา:ยุทธศาสตร์ชาติพ.ศ. 2561 – 2580, 2561

กรมสุขภาพจิตได้รับมอบหมายให้ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์และนโยบายด้านสุขภาพที่ระดับประเทศ โดยการขับเคลื่อนผ่านแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561 - 2580) ซึ่งมีการเริ่มต้นกระบวนการจัดทำตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ คณะทำงาน และคณะอนุกรรมการ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในและนอกระบบบริการสาธารณสุข รวมถึงเครือข่ายภาคประชาสังคม เพื่อดำเนินงานร่วมกันใน 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้

1.ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต

2.ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช

3.ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมายสังคมและสวัสดิการ

4.ยุทธศาสตร์พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต

เป้าหมายหลักของแผนนี้คือ "คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดีและมีความสุข อยู่ในสังคมอย่างทรงคุณค่า" ด้วยการนำแผนที่มีระยะเวลายาวนานนี้มาปรับปรุงและดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ กรมสุขภาพจิตสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมได้อย่างยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพให้กับประชาชนในด้านสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

กรมสุขภาพจิต มีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561 - 2565) โดยมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งหวังคือ “เป็นองค์กรหลักด้านสุขภาพจิต ด้วยระบบสุขภาพจิตดิจิทัลเพื่อประชาชนสุขภาพจิตดีและเจ้าหน้าที่มีความสุข” ผ่านยุทธศาสตร์ในการดำเนินงาน 4 ประเด็นดังนี้

1.ส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกันและควบคุมปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต

2.พัฒนาคุณภาพระบบบริการและวิชาการสุขภาพจิตและจิตเวช

3.สร้างความตระหนักและความเข้าใจต่อปัญหาสุขภาพจิต

4.พัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล

เมื่อสิ้นสุดแผนการดำเนินการในระยะเวลาที่กำหนด กรมสุขภาพจิตมีเป้าหมาย ดังนี้

¬งานสุขภาพจิตของประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็น Mental Health 4.0

¬ประชาชนมีสุขภาพจิตดี มีสติปัญญาดี และมีความรู้ความเข้าใจในด้านสุขภาพจิต

 

 

¬บุคลากรกรมสุขภาพจิตมีความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดี

แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561 - 2580)

แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561 - 2580) เป็นแผนที่มีกระบวนการจัดทำตั้งแต่ธันวาคม 2559 โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์และสร้างนโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพจิตแห่งชาติ 20 ปี โดยมีคณะทำงานจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพจิตแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพจิตแห่งชาติ รวมถึงคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ เพื่อให้มีการวิเคราะห์และสร้างนโยบายและยุทธศาสตร์ในรูปแบบที่เป็นระบบและมีการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-based) ในกระบวนการนี้มีการประสานสอดคล้องกันของการดำเนินงานใน 4 ยุทธศาสตร์ดังนี้

1.ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต

2.ยุทธศาสตร์พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช

3.ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย สังคมและสวัสดิการ

4.ยุทธศาสตร์พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต

แผนนี้มีเป้าหมายหลักคือ "คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดี และมีความสุขอยู่ในสังคมอย่างทรงคุณค่า" โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช เสริมสร้างการมีสติปัญญาและความรู้ในด้านสุขภาพจิต และพัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต เพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นอยู่ที่ดีและมีคุณค่าสำหรับคนไทยทุกคน

 

การพัฒนาและขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและจิตเวชมีพันธกิจสำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มปัจจัยคุ้มครองด้านสุขภาพจิต โดยส่งเสริมความตระหนักและความเข้าใจในปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายเพื่อลดอคติต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาก่อนสิ้นแผนในระยะแรก (พ.ศ. 2561 – 2565) โดยใช้ข้อมูลสำหรับการวิจัยถึงปีพ.ศ. 2564 เพื่อประกอบการพิจารณาแนวโน้มในปี 2565 และในระยะถัดไป เน้นการลดอคติต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและคุ้มค่า

แนวคิดในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1

1. แนวคิดการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1

 

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เน้นการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิตของคนไทยทุกกลุ่มวัย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมพัฒนาการทางความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่เป็นเชิงบวกในเด็กและเยาวชน และการพัฒนาสถาบันครอบครัวให้มีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็ก โดยการสร้างความรู้ในสุขภาพจิต (Mental Health Literacy) และทัศนคติที่ดีต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช เพื่อผลักดันให้สังคมยอมรับและให้โอกาสให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชได้มีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันและกิจกรรมต่าง ๆ ตามศักยภาพของตนเองในวิถีชีวิตและการทำงานต่าง ๆ ในสังคมไทย

สรุป เน้นการพัฒนาสุขภาพจิตของคนไทยตลอดช่วงชีวิตโดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการทางความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่เป็นเชิงบวกในเด็กและเยาวชน และการสร้างสถาบันครอบครัวที่สามารถส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กได้ โดยผ่านการสร้างความรู้และทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพจิต และการเปิดโอกาสให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันและกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมไทย โดยการให้โอกาสในการทำงานต่าง ๆ ตามศักยภาพของตนเองในวิถีชีวิตและการทำงานต่าง ๆ ในสังคมไทย

 

ยุทธศาสตร์นี้มุ่งเน้นให้คนไทยเข้าใจและใส่ใจสุขภาพจิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชน รวมถึงเสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดี และมีความสุข โดยมีเป้าประสงค์ 2 ประการคือ:

เป้าประสงค์ที่ 1.1: ให้คนไทยเข้าใจและใส่ใจสุขภาพจิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชน

ตัวชี้วัด:

1.1.1: ร้อยละ 40 ของคนไทยมีความตระหนักและเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต

1.1.2: ร้อยละ 80 ของคนไทยยอมรับและให้โอกาสต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช

 

 

 

 

1.1.3: ร้อยละ 75 ของคนไทยได้รับการพัฒนาทักษะชีวิตตามช่วงวัย

เป้าประสงค์ 1.2 ในยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายให้คนไทยมีปัญญา อารมณ์ดี และมีความสุข             

ตัวชี้วัด

1.2.1 ให้ร้อยละ 85 ของเด็กที่มี IQ ต่ำกว่า 100 ได้รับการพัฒนา

1.2.2 ให้ร้อยละ 70 ของผู้สูงอายุที่มารับบริการในคลินิก ผู้สูงอายุ/คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้รับการคัดกรองภาวะซึมเศร้า

1.2.3 ให้ร้อยละ 85 ของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่มีความสุขเท่ากับหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย

ยุทธศาสตร์นี้เน้นการเพิ่มความเข้าใจและการใส่ใจในสุขภาพจิตของคนไทยทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมและการพัฒนาทักษะชีวิตของคนไทยในทุกช่วงวัย เพื่อให้ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยทุกคนในชุมชนและสังคมไทย

 

แนวคิดในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1

1.การให้ความสำคัญกับการยอมรับและให้โอกาสต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต โดยมีแนวคิดดังนี้

¬การเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับผู้อื่น: เน้นการเติบโตในสังคมที่เคารพความแตกต่างและมอบโอกาสเท่าเทียมกันแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่

¬การได้รับโอกาสทางสังคมและเข้าสู่กระบวนการรักษา: สำคัญที่ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตได้รับการสนับสนุนจากสังคมและมีโอกาสในการเข้าร่วมกระบวนการรักษาอย่างเท่าเทียมกับผู้ป่วยทางทั่วไป

¬การได้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องและความเข้าใจที่ถูกต้อง: ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการจัดการกับสถานการณ์

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการยอมรับและให้โอกาสต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ความขาดความรู้และความเข้าใจในโรคจิต การมี stigma ที่มีต่อผู้ป่วยโรคจิตซึ่งส่งผลให้ไม่มีการยอมรับผู้ป่วยและขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมในชุมชน รวมถึงความขาดความรู้ของผู้ป่วยและครอบครัวในเรื่องการดูแลผู้ป่วยโรคจิตอย่างต่อเนื่อง

2) การสร้างความตระหนักและความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตของประชาชน เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ที่ 1 โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สําคัญดังนี้

1.สร้างความตระหนักและความรู้ในเรื่องสุขภาพจิต: ให้ทุกคนในสังคมเข้าใจและรับผิดชอบในการระวังและเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต ทั้งในกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มผู้ป่วย

2.ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาความรู้แบบองค์รวม: ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องสุขภาพจิตในทุกๆ ระดับการศึกษา และสร้างระบบการเรียนการสอนที่เน้นการแพร่ระบาดของความรู้

3.ลดอคติและการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต: สร้างการเข้าใจและยอมรับสู่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตโดยไม่มีการตีตราหรือการแยกแยะ

4.เสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ: ส่งเสริมความต้านทานและความสามารถในการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

5.ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต: ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง

6.สร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตในหลักสูตรการศึกษา: บรรจุสาระการเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตไว้ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ

7.เสริมสร้างสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งภายในครอบครัว: ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีและเข้มแข็งในครอบครัวซึ่งมีผลทางจิตใจที่ดีต่อสุขภาพจิต

8.ส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต: ส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตให้กับคนไทยทุกกลุ่มวัยเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุขในชีวิต

3) การจัดบริการส่งเสริมสุขภาพจิตกับภาคีเครือข่ายสุขภาพจิต ตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1

เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้คนไทยมีปัญญาอารมณ์ดีและมีความสุข โดยมีแนวทางที่สําคัญดังนี้

1.ส่งเสริม IQ และการเข้าถึงบริการ: โดยการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็กอายุ 0-5 ปี เพื่อเสริมความเข้าใจและพัฒนาทักษะทางความคิด

2.ส่งเสริม EQ: โดยการพัฒนาโปรแกรมหรือเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ทุกกลุ่มวัย เพื่อให้คนไทยมีความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง

3.สร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย: เช่นการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในชุมชน

4.ส่งเสริมความสุขในคนไทย: โดยการสนับสนุนและส่งเสริมความสุขในคนไทยในทุกกลุ่มวัย

5.พัฒนานวัตกรรมการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต: ในยุคดิจิทัลเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกกลุ่มวัย

6.สนับสนุนและผลักดันภาคีเครือข่ายสุขภาพในตำบล: เพื่อดูแลสุขภาพจิตคนไทยภายใต้มาตรฐานการดําเนินงานสุขภาพจิตในระดับชุมชน

แนวคิดในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่2

แนวคิดการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2

ยุทธศาสตร์ที่ 2 เน้นการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเพื่อให้มีคุณภาพมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์และบูรณาการงานสุขภาพจิตเข้ากับระบบสุขภาพโดยรวม เพื่อให้ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชสามารถเข้าถึงบริการตั้งแต่เริ่มป่วยจนหายทุกขณะ และสามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุขภาพ

ยุทธศาสตร์นี้มีเป้าหมายที่สำคัญเป็นทั้งหมด 2 ประการ ดังนี้

1.ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชเข้าถึงบริการ มาตรฐานตั้งแต่เริ่มป่วย: เป้าหมายนี้เน้นการให้บริการทางสุขภาพจิตและจิตเวชที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงสุด ให้แก่ผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยการทำให้บริการสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพในขณะที่ผู้ป่วยยังไม่เกิดความเสียหายทางจิตใหญ่

2.ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชได้รับบริการตามมาตรฐานจนหายทุเลา สามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข: เป้าหมายนี้เน้นการให้การดูแลและบริการตามมาตรฐานที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยจิตเวช โดยการช่วยเหลือให้พวกเขาฟื้นคืนสู่สุขภาพจิตที่ดีและสามารถทำงาน ใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติโดยไม่มีข้อจำกัดหรือสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งจะสร้างสังคมที่เหมาะสมและรองรับสำหรับผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนได้ด้วยการมีการรักษาแบบบูรณาการและการสนับสนุนจากชุมชนที่แข็งแกร่ง

เป้าประสงค์ 2.1 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชเข้าถึงบริการมาตรฐานตั้งแต่เริ่มป่วย

ตัวชี้วัดเป้าประสงค์

2.1.1 อัตราการเข้าถึงบริการของโรคที่สําคัญทางจิตเวช

- โรคออทิสติก (ร้อยละ15)

- โรคสมาธิสั้น (ร้อยละ15)

- โรคซึมเศร้า (ร้อยละ 70)

- โรคจิตเภท (ร้อยละ 74)

2.1.2 ช่วงเวลาของอาการโรคจิตเภทที่ไม่ได้รับการรักษา ลดลงหลังจากปีเริ่มต้นแผน ร้อยละ 2

2.1.3 ร้อยละ 50 ของศูนย์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว(Primary Care Cluster :PCC)

ในชุมชนมีระบบในการดูแลสุขภาพจิตและจิตเวช

2.1.4 ร้อยละ 96 ของผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยง

สูงต่อการก่อความรุนแรงไม่ก่อความรุนแรงซา

ภายใน 1 ปี

เป้าประสงค์ 2.2 ผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชได้รับบริการตามมาตรฐานจนหายทุเลา สามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข

ตัวชี้วัดเป้าประสงค์

2.2.1 ร้อยละ 94 ของผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่

หยุดเสพต่อเนื่อง 3 เดือนหลังจําหน่ายจากการ

บําบัดรักษา

2.2.2 ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยจิตเวชที่รับการรักษา

แบบผู้ป่วยในมีอาการทางจิตหายทุเลา

2.2.3 ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยโรคที่สําคัญทางจิต

เวชที่ได้รับการบําบัดรักษาแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

แนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 มีดังต่อไปนี้

1) ทัศนคติต่อระบบบริการสุขภาพจิต

Schiffman & Kanuk (1994) ระบุว่า ทัศนคติ คือ การแสดงออกที่ไปในทิศทางเดียวกันกับความพึง พอใจหรือไม่พึงพอใจต่อสิ่งหนึ่ง

2) ความเชื่อมั่นต่อระบบบริหารจัดการขององค์การ มีความสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการในองค์การต่างๆ โดยการศึกษาความเชื่อมั่นนี้มีการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในหน่วยงานที่ให้บริการ โดยมุ่งเน้นที่คุณภาพของบริการ ภาพลักษณ์ขององค์การ ความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน และความเชื่อมั่นในธรรมาภิบาลขององค์การ

การศึกษานี้ได้แบ่งความเชื่อมั่นออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ความเชื่อมั่นต่อการบริหารของผู้บริหารระดับสูง และความเชื่อมั่นต่อการบริหารของผู้บริหารระดับหน่วยงาน โดยได้แบ่งออกเป็น 10 หลักธรรมาภิบาล ได้แก่ หลักประสิทธิผล, หลักประสิทธิภาพ, หลักการตอบสนอง, หลักภาระความรับผิดชอบ, หลักความโปร่งใส, หลักการมีส่วนร่วม, หลักการกระจายอำนาจ, หลักนิติธรรม, หลักความเสมอภาค, และหลักมุ่งเน้นฉันทามติ

การศึกษาความเชื่อมั่นนี้มีความสำคัญในการพัฒนาแผนกลยุทธ์และนโยบายในองค์การ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงการบริหารจัดการในทุกๆ ด้าน เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นธรรมต่อประชาชนได้อย่างเหมาะสมและมีความเชื่อถือ

3) ปัจจัยสนับสนุนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิต เป็นการวิเคราะห์และศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยในการศึกษานี้นำเสนอตัวแบบในการศึกษาเชิงนโยบายมาศึกษาได้ในหลายมิติดังต่อไปนี้:

¬ศึกษาจากหลักการและเหตุผลของนโยบาย: การศึกษานี้นำเสนอการวิเคราะห์หลักการและเหตุผลของนโยบายที่จะนำไปสู่การปฏิบัติในองค์การต่างๆ เช่น โครงสร้างขององค์การ บุคลากร งบประมาณ สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

¬การจัดการภายในหน่วยงาน: การศึกษานี้นำเสนอการวิเคราะห์และศึกษาเกี่ยวกับการจัดการภายในองค์การ เช่น ภาวะผู้นำและความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการเข้าใจถึงวิธีการจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพภายในหน่วยงาน

การศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้องค์การสามารถปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความต้องการและสิ่งที่จำเป็นของประชาชนที่มีความต้องการใช้บริการในด้านสุขภาพจิต

 

แนวคิดในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่3

ยุทธศาสตร์ที่ 3 มุ่งเน้นในการขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย สังคม และสวัสดิการ เพื่อให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช รวมทั้งผู้ป่วยจิตเวชได้รับการคุ้มครองสิทธิและการดูแลอย่างถูกต้องตามกฎหมายสุขภาพจิต โดยมีหลักการดังนี้

การคุ้มครองสิทธิ: การสนับสนุนให้ผู้ป่วยจิตเวชได้รับการคุ้มครองสิทธิในการส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกันปัญหาสุขภาพจิต และรับการบำบัดรักษาที่เหมาะสมตามกฎหมายสุขภาพจิต

การส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหา: การให้การสนับสนุนและการส่งเสริมสุขภาพจิตแก่ผู้ป่วยจิตเวชเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ: การตรวจคัดกรอง นำส่ง ดูแลบำบัดรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยจิตเวชอย่างถูกต้องและเหมาะสม

โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ผู้ป่วยจิตเวชได้รับการคุ้มครองสิทธิและการดูแลอย่างถูกต้องตามกฎหมายสุขภาพจิต เพื่อลดความผิดปกติความรุนแรงที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองและบุคคลอื่นๆในสังคม

เป้าประสงค์ 3.1 ผู้ป่วยจิตเวชได้รับการคุ้มครองสิทธิส่งเสริมสุขภาพจิต ป้องกันปัญหาสุขภาพจิตได้รับการบําบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างถูกตองเหมาะสม

ตัวชี้วัดเป้าประสงค์

3.1.1 ร้อยละ 85 ของผู้ป่วยจิตเวชที่ได้รับการ

ดูแลตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต ได้รับการติดตาม

อย่างต่อเนื่อง

3.1.2 ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยจิตเวชในชุมชนที่

ได้รับการดูแลจากผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวช(Caregiver)อย่างถูกต้องและมีมาตรฐาน

3.1.3 ร้อยละ 50 ของสถานบริการที่ได้ขึ้น

ทะเบียนเป็นสถานบําบัดรักษาตาม พ.ร.บ.

สุขภาพจิต

แนวคิดการประเมินที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ที่ 3 เน้นการทบทวนความรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 เพื่อประเมินการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

หมวด 1: การแต่งตั้งและอำนาจของคณะกรรมการ: เน้นเรื่องการแต่งตั้ง การดำเนินการ และหน้าที่ของคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ และคณะกรรมการบำบัดรักษา

หมวด 2: สิทธิของผู้ป่วย: การสร้างความเข้าใจในสิทธิของผู้ป่วยทางจิตในการรับการบำบัดรักษา

หมวด 3: การบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต: เน้นเรื่องการให้บริการทางสุขภาพจิตแก่ผู้ป่วย การรักษา และการเยียวยา

หมวด 4: การอุทธรณ์: เน้นเรื่องการดำเนินการเมื่อมีการกระทำที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือตนเองทางจิต

หมวด 5: บุคลากรทางการแพทย์: เน้นเรื่องการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยทางจิต

หมวด 6: บทกำหนดโทษ: เน้นเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายเมื่อมีการกระทำผิดกฎหมายทางสุขภาพจิต

การประเมินนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงวิธีการดำเนินงานต่าง ๆ ในระบบบริการสุขภาพจิต และเสริมสร้างความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการทางสุขภาพจิตอย่างเหมาะสมและมีความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยในระบบบริการสุขภาพจิตอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสุขภาพจิต ดังต่อไปนี้

สิทธิผู้ป่วยตามมาตรา 15 ได้แก่

¬การรับการบำบัดรักษาตามมาตรฐานการแพทย์โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: ผู้ป่วยมีสิทธิรับการรักษาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานทางการแพทย์โดยคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของเขาเอง

¬การรับการปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการบำบัดรักษา: ผู้ป่วยมีสิทธิที่ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับสุขภาพของตนจะถูกเก็บเป็นความลับและไม่ให้เผยแพร่ ยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้เปิดเผยหรือต้องการเปิดเผยเพื่อประโยชน์สาธารณะ

¬การคุ้มครองจากการวิจัย: ผู้ป่วยมีสิทธิรับความคุ้มครองในการเข้าร่วมในการวิจัยทางการแพทย์ตามมาตรา 20

¬การคุ้มครองในระบบประกันสุขภาพและประกันสังคม: ผู้ป่วยมีสิทธิรับการคุ้มครองในระบบประกันสุขภาพและประกันสังคมที่มีอยู่ในรัฐ อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

การทำวิจัยกับผู้ป่วยตามมาตรา 20 ได้ดังนี้:

¬การได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย: การวิจัยใดๆ ที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยจะต้องได้รับความยินยอมทางเป็นหนังสือจากผู้ป่วยก่อนที่จะดำเนินการวิจัย นอกจากนี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการที่ดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในคน

¬การยกเลิกความยินยอม: ผู้ป่วยมีสิทธิยกเลิกความยินยอมได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์หรือไม่มีความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือผู้บกพร่องทางพัฒนาการหรือสติปัญญา

¬ผู้ให้ความยินยอมแทน: ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ความยินยอมได้ เช่น เนื่องจากสภาวะทางสุขภาพหรือสติปัญญา คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ผู้อนุบาลจะได้รับสิทธิในการให้ความยินยอมแทนแก่ผู้ป่วย

การเปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย (มาตรา 16)ได้ดังนี้

¬ห้ามเปิดเผยข้อมูล: มาตรา 16 กำหนดว่าไม่อนุญาตให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยในทางที่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย

¬ข้อยกเว้น: การเปิดเผยข้อมูลอาจได้รับอนุญาตในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ป่วยอื่น หรือเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน และอาจมีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูลได้

มาตรา 16 ยังเน้นความสำคัญของการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยที่เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลและให้บริการด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด

การบำบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วย (มาตรา 17) ได้ดังนี้

ห้ามกระทำโดยปกติ: การบำบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วยจะไม่สามารถกระทำได้ตามปกติ ยกเว้นในกรณีที่เป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น

การดูแลอย่างใกล้ชิด: หากมีความจำเป็นในการใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยหรือบุคคลอื่น ผู้ป่วยจะต้องอยู่ใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้บำบัดรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ

มาตรา 17 ยังเน้นความสำคัญของการใช้วิธีการเหล่านี้อย่างระมัดระวังและเพียงครั้งใดที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า (ECT)(มาตรา 18)

ให้ ECT ได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรและต้องรับทราบถึงเหตุผลความจําเป็น ความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อน และประโยชน์ของการบำบัด

ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีความจําเป็น การให้ ECT ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการสถานบำบัดรักษา

การให้ความยินยอมเพื่อรับการรักษา(มาตรา 19)

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์หรือขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบำบัดรักษา เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือผู้บกพร่องทางพัฒนาการหรือสติปัญญา ความยินยอมจะต้องมาจากคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลที่มีสิทธิแทน

มาตรา 21:

¬การบำบัดรักษาจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับการอธิบายเหตุผลความจำเป็นในการบำบัดรักษา

¬จะต้องอธิบายรายละเอียดและประโยชน์ของการบำบัดรักษาแก่ผู้ป่วย

¬จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย

มาตรา 22:

¬การบำบัดรักษาสามารถกระทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางจิต

¬ในกรณีที่มีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา

มาตราที่เกี่ยวข้องกับบริการจิตเวชฉุกเฉิน (Acute care)

การบริการจิตเวชฉุกเฉิน หมายถึง การจัดบริการสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะที่แสดงออกทางอารมณ์ความคิด และพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อความรุนแรงต่อตนเองและผู้อื่น เช่น พฤติกรรมทำลายสิ่งของหรือทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ในกรณีที่มีความจำเป็น การจัดการจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความรุนแรงของพฤติกรรมดังกล่าว

การจัดการภาวะจิตเวชฉุกเฉินเบื้องต้น (มาตรา 27): การให้บริการเพื่อลดอาการรุนแรงของพฤติกรรมตามความจำเป็น และสามารถจัดการอาการให้สงบลงได้ในระยะเวลา 48 ชั่วโมง

การบริการจิตเวชฉุกเฉินเป็นส่วนสำคัญในการรักษาและดูแลผู้ที่อยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อความเสี่ยงและอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นในช่วงเวลาที่สำคัญในการจัดการภาวะจิตเวชฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนผู้ป่วยให้กลับสู่สภาวะที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในเวลาที่เหมาะสม

สถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิต

การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการ: สถานบำบัดรักษาจิตเวชมีหน้าที่ตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการของบุคคลที่ถูกส่งมาจากแพทย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายในระยะเวลา 30 วันเพื่อพิจารณาว่าควรเข้ารับการรักษาหรือไม่

การกำหนดระยะเวลาการรักษา: คณะกรรมการบำบัดรักษากำหนดระยะเวลาและวิธีการในการรักษาตามความรุนแรงของสภาวะทางจิต โดยระยะเวลาการรักษาไม่เกิน 90 วัน และสามารถขยายเวลาได้อีกครั้งไม่เกิน 90 วัน

การพิจารณาผลการรักษา: คณะกรรมการสถานบำบัดรักษาต้องพิจารณาผลการรักษาก่อนสิ้นสุดระยะเวลาการรักษาที่กำหนดไว้ โดยไม่น้อยกว่าสิบห้าวันแต่ละครั้ง และดำเนินการต่อไปตามความเหมาะสม

การจำหน่ายผู้ป่วยหลังการบำบัดรักษา: เมื่อแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาจนความผิดปกติทางจิตหายหรือทุเลา และไม่มีภาวะอันตรายแล้ว แพทย์จะจำหน่ายผู้ป่วยออกจากสถานพยาบาล และรายงานผลการรักษาแก่คณะกรรมการสถานบำบัดรักษา

การติดตามผลการรักษาเป็นระยะ: แพทย์ต้องติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยในระยะเวลาหลังจากจำหน่าย

การแจ้งญาติหรือหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการ: ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีผู้ดูแล แพทย์จะต้องแจ้งญาติมารับผู้ป่วยกลับ หรือแจ้งหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการ เพื่อให้มีการดูแลต่อไปให้เหมาะสม

ห้ามจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านเอง: แพทย์ไม่มีสิทธิ์จำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านเองในกรณีที่ไม่มีผู้รับดูแล

สิทธิในการยื่นอุทธรณ์: ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับคำสั่งให้เข้ารับการบำบัดรักษาแต่ไม่เห็นด้วย ผู้มีสิทธิมีสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายใน 30 วัน

ผู้มีสิทธิในการยื่นอุทธรณ์: ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ได้แก่ผู้ป่วยเอง คู่สมรส บุพการีผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ผู้อนุบาล หรือผู้ซึ่งดูแลผู้ป่วย

ระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์: การยื่นอุทธรณ์ต้องทำภายใน 30 วันหลังจากได้รับคำสั่งให้เข้ารับการบำบัดรักษา

พนักงานเจ้าหน้าที่

อำนาจในการประสานงาน: พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการประสานงานกับตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครองเพื่อนำบุคคลที่มีภาวะอันตรายหรือมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษามาให้ได้รับการบำบัดรักษาในโรงพยาบาล

การดำเนินการ: พนักงานเจ้าหน้าที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินการนำบุคคลที่มีความเสี่ยงหรือความจำเป็นให้ไปรับการบำบัดรักษาในโรงพยาบาล โดยอ้างอิงจากการพบเห็นหรือการรับแจ้งของผู้อื่น

การเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการที่มีเจตนาเพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและความลับของข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยในสถานการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรือความเป็นอันตรายแก่พวกเขา

การแจ้งความเท็จโดยมีเจตนากลั่นเพื่อแกล้งให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลที่มีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่ามีความผิดปกติทางจิตถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรานี้มุ่งเพื่อป้องกันการละเมิดและการใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงเพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลที่เป็นเหยื่อของการแจ้งความเท็จดังกล่าว

2) แนวทางในการขับเคลื่อน ผลักดัน และบังคับใช้กฎหมายสุขภาพจิต

1.การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและผู้ดูแล: การขับเคลื่อนและบังคับใช้กฎหมายสุขภาพจิตต้องมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยจิตเวชและผู้ดูแลผู้ป่วย ในกระบวนการบริการด้านสุขภาพจิต

2.พัฒนาระบบบริการนิติสุขภาพจิต: พัฒนาระบบการดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช และผู้ป่วยจิตเวชในกระบวนการยุติธรรม

3.ความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย: สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในการดำเนินงานด้านนิติสุขภาพจิต

4.การสนับสนุนผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวช: จัดตั้งหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวช

5.การแก้ไขและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต: แก้ไขเพิ่มเติมหรือออกกฎหมายเกี่ยวกับการเพิ่มปัจจัยปกป้อง ลดปัจจัยเสี่ยง และแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

6.การกำหนดมาตรฐานและการควบคุม: กำหนดมาตรฐาน ขึ้นทะเบียน และตรวจสอบการดำเนินงานสถานรับดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่เป็นเอกชน

7.การสนับสนุนการศึกษา: พัฒนาและสนับสนุนการให้สุขภาพจิตศึกษาแก่ผู้มีปัญหาสุขภาพจิต และผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวชรวมถึงการจัดหาสวัสดิการสำหรับผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวช

8.การพัฒนาระบบการดูแล: พัฒนาระบบการดูแลและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้ป่วยจิตเวช โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้รับดูแลผู้ป่วยจิตเวชและการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน

 

แนวคิดในการประเมินผลตามประเด็นยุทธศาสตร์ที่4

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ในการพัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต เน้นการบริหารจัดการระบบสุขภาพจิตตามหลักธรรมาภิบาล โดยเน้นการดำเนินงานอย่างมีคุณธรรมและโปร่งใส โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาระบบให้เป็นระบบและการใช้ข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล การเงิน และระบบประกันสุขภาพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช

รายละเอียดตัวชี้วัด (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2561-2565):

การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ: วัดระบบการเก็บรักษาข้อมูลสุขภาพจิต และความสามารถในการใช้ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล: วัดการพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เช่น การพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากรด้านสุขภาพจิต

การพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และระบบประกันสุขภาพ: วัดการพัฒนาและปรับปรุงระบบการเงิน การคลัง และระบบประกันสุขภาพเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการด้านสุขภาพจิตอย่างมีประสิทธิภาพ

การเพิ่มความร่วมมือในระดับนโยบาย: วัดการเพิ่มส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาและดำเนินงานด้านสุขภาพจิต ทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติการด้านสุขภาพจิต โดยการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

เป้าประสงค์ 4.1 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิตมีการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล

ตัวชี้วัดเป้าประสงค์

4.1.1 ร้อยละค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจิต ต่อ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Proportion of Mental Health Expenditure per Health Expenditure) มากกว่าหรือเท่ากับ 3.5

4.1.2 ร้อยละ 45 ของหน่วยบริการด้านที่มี

ผลการประเมินระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานผ่านเกณฑ์

4.1.3 สัดส่วนบุคลากรสายงานหลักด้านสุขภาพจิตต่อประชากรแสนคน

- จิตแพทย์ทั่วไป 1.0

- พยาบาลจิตเวช 7.5

- นักจิตวิทยาคลินิก 0.8

- นักสังคมสงเคราะห์ 1.0

- นักกิจกรรมบําบัด 1.0

เป้าประสงค์ 4.2 หน่วยบริการด้านสุขภาพจิตมีการพัฒนาองค์ความรู้และวิชาการ

ตัวชี้วัดเป้าประสงค์

4.2.1 จํานวนนวัตกรรม/องค์ความรู้ที่สามารถ ป้องกันแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและ จิตเวชของประเทศ(เป้าหมาย สะสม) 20 เรื่อง

4.2.2 จํานวนประเด็นความรู้ที่ใช้เป็นแหล่ง อ้างอิงในระบบสารสนเทศสุขภาพจิต (เป้าหมายสะสม) 25 เรื่อง

แนวคิดการประเมินที่เกี่ยวข้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 มีดังต่อไปนี้

1) ความต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

โดยการใช้แนวคิด Citizen Centered เพื่อเน้นการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนอย่างเหมาะสม

ความต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการ: การศึกษาความต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงการบริการสุขภาพจิต เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการและคาดหวังของผู้ใช้บริการ

ความคาดหวังและความพึงพอใจ: ความคาดหวังของผู้ใช้บริการมีส่วนสำคัญในการกำหนดความพึงพอใจต่อการให้บริการ โดยการเปรียบเทียบความคาดหวังกับประสิทธิภาพของการบริการ

การประเมินนี้ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับปรุงการบริการสุขภาพจิตให้เหมาะสมและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม

2) การยอมรับและความเชื่อมั่น

การยอมรับและความเชื่อมั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างองค์การและผู้ใช้บริการหรือลูกค้า โดยมีผู้ให้ความหมายความเชื่อมั่นเป็นผู้ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการผ่านการแสดงความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และคุณภาพในการให้บริการ

การยอมรับและความเชื่อมั่นขององค์การ: เน้นความสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างองค์การและผู้ใช้บริการ ซึ่งมีการสนับสนุนจากความเชื่อว่าองค์การเป็นที่ยอมรับและมีคุณภาพ

ความเชื่อมั่นในบริการ: มุ่งสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการผ่านการแสดงความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และคุณภาพในการให้บริการ

ด้านการจัดการความรู้ด้านทักษะการปฏิบัติงาน: การมีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานที่มีมากพอเพียง

ด้านการมีจิตสำนึกในการปฏิบัติหน้าที่: การมีความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ

ด้านทัศนคติหรือเจตคติต่อวิชาชีพ: การมีทัศนคติและเจตคติที่เชื่อมั่นในวิชาชีพของตนเองและองค์การที่ทำงานด้วยความภาคภูมิใจ

การมีความเชื่อมั่นและความมั่นใจในบริการมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้รับบริการหรือลูกค้าในองค์การ

3) ประเด็นความเชี่ยวชาญและศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและจิตเวช

 

2.3 ตัวชี้วัดยุทธศาสตร์ และข้อสังเกตด้านกลไกประสานหน่วยงาน

ตัวชี้วัดในยุทธศาสตร์ 1 ประเทศไทยมีคะแนนความสุข (World Happiness Index) เพิ่มขึ้นจากปี 2560ไม่น้อยกว่า 0.1 จากเอกสารโครงการประเมินแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2561-2580) ระยะที่ 1(พ.ศ.2561-2565) และการประเมินแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) ของกรมสุขภาพจิต ในวาระแรก ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563-2565) สนับสนุนโดย สสส.

เกณฑ์การวัดความสุข ของ World Happiness Index

เกณฑ์ในการวัดความสุขของ World Happiness Index มีขอบเขตที่แน่นอนและไม่จำกัดเพียงแค่การพัฒนาสุขภาพจิตเท่านั้น ความสุขของประชาชนได้รับการพิจารณาในมุมมองจากแผนพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารจัดการ

ข้อเสนอแนะ:

¬การวัดความสุขควรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

¬ตัวชี้วัดความสุขควรจะสอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติและสามารถนำไปใช้เป็นเป้าหมายสำหรับการพัฒนาทั้งในระดับราชการและภาคเอกชน

การคํานวณคะแนนความสุขของไทย จาก 6 ปัจจัย

ความสุขของประชาชนถือเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 การวัดความสุขใช้เกณฑ์ของ World Happiness Index ขององค์การสหประชาชาติ โดยมีการให้คะแนนจาก 0 ถึง 10 โดยให้น้ำหนักในการคำนวณคะแนนความสุขจาก 6 ปัจจัยด้วยกัน

1.ครอบครัว หรือการสนับสนุนทางสังคม (social support)

2.มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP)

3.อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (Life Expectancy at Birth)

4.เสรีภาพในการใช้ชีวิต (freedom)

5.ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (generosity)

6.การรับรู้ต่อการคอร์รัปชั่น (Trust)

ข้อเสนอแนะ:

-ควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในการวัดความสุขโดยใช้ตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ

-สร้างแบบประเมินความสุขที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติเป็นการเฉพาะขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สามารถประเมินผลได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์และเป้าหมายในการพัฒนาสุขภาพจิตของประชาชนในประเทศไทย

ทิศทาง Global Trend ในงานสุขภาพจิต

การทบทวนและกำหนดทิศทาง Global Trend ในงานสุขภาพจิตเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้สามารถกำหนดมิติงานสร้างเสริมสุขภาพจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทบทวนนี้ช่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมและปรับตัวตามแนวโน้มโลกในงานสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอแนะ:

¬ควรสร้างมิติงานสร้างเสริมสุขภาพจิตที่เป็นไปตามแนวโน้มโลกอย่างสม่ำเสมอ

¬การบูรณาการงานสร้างเสริมสุขภาพจิตกับงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรังภายในสสส. เป็นทางเลือกที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่จําเป็นต้องขอทุนจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย หากมีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานที่สร้างไว้แล้วในสสส.

2.4 ความร่วมมือระหว่าง กรมสุขภาพจิต และ สสส.

สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กําหนดวิสัยทัศน์ว่า “ทุกคนบน แผ่นดินไทยมีขีดความสามารถ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ” และหนึ่งในเป้าหมายเฉพาะในระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2555-2564) คือ “เพิ่มสัดส่วนคนไทยที่มีความสุข” ที่ผ่านมา สสส. ได้ให้การสนับสนุน “แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต” ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 และได้ดําเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ร่วมกับภาคีต่างๆ ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง

ข้อตกลงความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต ร่วมกับ สสส.

ในปี พ.ศ. 2557 กรมสุขภาพจิตได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับสสส. เพื่อขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตในประเทศไทย จากนั้นได้จัดทำ "โครงการพัฒนาชุดแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในประเทศไทย" ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงมีนาคม 2558

ผลลัพธ์เบื้องต้นเป็น "รายงานการทบทวน ยุทธศาสตร์สุขภาพจิตระดับชาติ" ที่ครอบคลุมมาตรการส่งเสริมสุขภาพจิตที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์และมีประสิทธิผล เช่น มาตรการเยี่ยมบ้านหลังคลอดเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์ และมาตรการสร้างมิตรให้ผู้สูงอายุ

การทบทวนนี้เป็นการเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์สุขภาพจิตนานาชาติ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของมาตรการในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตให้เหมาะสมและมีประสิทธิผล

2.5 กลไกสร้างเสริมสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมจัดการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต

 สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ผ่าน

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

—แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตเพื่อสุขภาวะสังคมไทย (ปลายปีพ.ศ.2550-2553)

—แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต (พ.ศ.2553-2556)

—แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตในประชากรกลุ่มเฉพาะ (พ.ศ.2556-2559)

— แผนงานนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต (ระยะที่ 1 พ.ศ.2559-2561)

—แผนงานนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจติ (ระยะที่ 2 พ.ศ.2562-2564)

— แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพจิต (พ.ศ.2564-2565)

 

โครงการตามยุทธศาสตร์ ภายใต้“แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 - 2580)

 

หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการตามยุทธศาสตร์  ภายใต้“แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1

(พ.ศ. 2561 - 2580)” ตามเป้าประสงค์ตัวชี้วัด (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2561-2565) มีดังนี้

-สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) *สนับสนุนในการดำเนินงาน

-กระทรวงสาธารณสุข

-กระทรวงศึกษาธิการ

-กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

-กระทรวงมหาดไทย

-สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย

 

หน่วยงานที่รับผิดชอบ

โครงการ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) *สนับสนุนในการดำเนินงาน

-สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ

-การสื่อสารสังคมประเด็นสุขภาพจิต

-มหาวิทยาลัยมหิดล*

-โครงการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตสำหรับคนจนเมือง

-จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย*

-โครงการสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยสุขภาพดีในกลุ่มเด็กและเยาวชน

-คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์*

-โครงการขับเคลื่อนเชิงนโยบายระบบการดูแลให้บริการสุขภาพจิตแก่ผู้ป่วยจิตเวชไร้บ้าน

-คณะพยาบาล มหาวิทยาลัยขอนแก่น*

-โครงการพัฒนารูปแบบงานส่งเสริมสุขภาพจิตที่มีมิติทางเพศภาวะและความเป็นธรรมทางเพศในชุมช

-กรมสุขภาพจิต ผ่านแผนงานพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต*

-โครงการศึกษาปัญหาเด็กติดเกม (ระยะที่ 1)

-สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ ผ่านแผนงานพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต*

-โครงการศึกษาความคุ้มค่าของโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการสร้างวินัยเชิงบวกโดยครอบครัวมีส่วนร่วม

-สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์*

-โครงการพัฒนาสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ผ่าน digital platform บ้าน-พลังใจ

-สภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี*

-โครงการสานเสริมพลังผู้สูงอายุอละภาคีขับเคลื่อนดำเนินงานก้าวสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ

-สภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี*

-โครงการสานเสริมพลังผู้สูงอายุอละภาคีขับเคลื่อนดำเนินงานก้าวสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ

-สมาคมนักวิจัยประชากรและสังคม*

-โครงการเรือนจำสุขภาวะ

-สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี*

-โครงการเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนออกสู่สังคมอย่างเป็นสุข

-สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย*

-การพัฒนาเยาวชน ด้วยทักษะการรับฟังด้วยใจ เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย

-มูลนิธิแพธทูเฮลท์*

-โครงการพัฒนารูปแบบกลไกภายในสถานประกอบการเพื่อส่งเสริมการสื่อสารเชิงบวกในครอบครัวพยักงานที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองและเด็กวัยรุ่น

-โรงพยาบาลเทพธารินทร์*

-โครงการสร้างตัวแบบศูนย์สร้างเสริมสุขภาพบูรณาการสำหรับผู้สูงวัน ให้มีสังคม มีความสุข และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ

-บริษัท ไอเพย์ อิท ฟอร์เวิร์ด จำกัด*

-โครงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนเมือง

-สสส.ร่วมกับกรมอนามัยและภาคีเครือข่าย

-การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย 2561-2573

กระทรวงสาธารณสุข

-สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สยส. กรมสุขภาพจิต

-โครงการ HAPPY MOPH กระทรวงสาธารณสุข

-กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต

-โครงการเสริมสร้างความรอบรู้และพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพจิตที่พึงประสงค์แก่ประชาชน

 

-โครงการขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพจิตทุกกลุ่มวัย ในระบบสุขภาพปฐมภูมิ

 

-โครงการเสริมสร้างสุขภาวะและสุขภาพจิตที่ดีแก่ประชาชนวัยทำงาน

 

-โครงการสร้างสุขภาวะทางใจ เพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณค่าและความสุข

 

-การสำรวจสถานการณ์คนไทยมีสุขภาพจิตดี

-สำนักวิชาการสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต

-โครงการสื่อสารประชาสัมพันธ์ด้านสุขภาพจิต

-สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต

-โครงการพัฒนาระบบสนับสนุนอาชีพสำหรับผู้พิการทางสติปัญญาและออทิสติก

 

-โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการดูและเด็กตามกลุ่มวัย ปฐมวัย วัยเรียน วัยรุ่น

 

-โครงการเสริมสร้างทักษะชีวิตและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น

 

-โครงการเพิ่มการเข้าถึงบริการโรคออทิสติก โดยการใช้เครื่องมือวินิจฉัย ภาวะออทิซึม ในระยะเริ่มแรกสำหรับเด็กไทย

-สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต

-โครงการพัฒนาดูแลเด็กสมาธิสั้น

-สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต

-โครงการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กล่าช้า

-สถาบันราชานุกูลร่วมกับสำนักงานกิจการนักเรียน สำนักบริหารการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ

-โครงการสร้างเสริมสุขภาพเด็กไทยวัยเรียน

-สำนักงานโครงการ To Be Number One กรมสุขภาพจิต

-โครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด

-โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ กรมสุขภาพจิต

-โครงการพัฒนาสุขภาพจิตสำหรับผู้สูงอายุ

-โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ กรมสุขภาพจิต

-โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

¬พัฒนาเครือข่ายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

-โรงพยาบาลประสารทไวทโยปถัมภ์ กรมสุขภาพจิต

-โครงการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชเด็กและวัยรุ่น

-โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น กรมสุขภาพจิต

-โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายในคนไทย

¬พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิเคราะห์ สอบสวนฯ และเยียวยา

¬เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านการดูแลช่วยเหลือ

-โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น กรมสุขภาพจิต

-โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายในคนไทย

¬พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิเคราะห์ สอบสวนฯ และเยียวยา

¬เสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านการดูแลช่วยเหลือ

-สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย

-โครงการส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาเด็กปฐมวัย อย่างมีคุณภาพฯ

-สำนักอนามัยเจริญพันธ์ กรมอนามัย

-การส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพที่เป็นมิตรและพัฒนาภาคีเครือข่ายอนามัยเจรญพันธ์ในวัยรุ่นและเยาวชน

-สำนักอนามัย กรมอนามัย

-โครงการชะลอชรา ชีวายืนยาว

 

-โครงการพัฒนาระบบการดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนแบบบูรณาการ

 

-โครงการพัฒนาระบบดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ระยะยาวเชิงป้องกัน

-สำนักโภชนาการ กรมอนามัย

-โครงการมหัศจรรย์ 1000 วันแรกของชีวิต

กระทรวงศึกษาธิการ

-สำนักงานพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวะ สำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

-โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการเสริมสร้างทักษะครูอาชีวะศึกษา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตผู้เรียน

-กลุ่มพัฒนาระบบการแนะแนวสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษา

-การขับเคลื่อนการเสริมสร้างสุขภาวะให้นักเรียนผ่านการแนะแนวขอบข่ายส่วนตัวและสังคมและกิจกรรมนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา (YC: Youth Counselor)

-สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

-โครงการการจัดและส่งเสริมการจัดการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อคงพัฒนาการทางกาย จิต และสมองของผู้สูงอายุ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

-กรมกิจการเด็กและเยาวชน

-โครงการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กปฐมวัย

 

-โครงการเสริมสร้างทักษะชีวิตและป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น (โครงการป้องกันแก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่น)

 

-โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

-กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว

-เงินอุดหนุนทุนกิจกรรมศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนภายใต้โครงการบริหารพัฒนากำลังคนของประเทศด้านครอบครัว

-กรมกิจการผู้สูงอายุ

-โครงการพัฒนาทักษะความรู้และความสามารถการทำงานและการเป็นผู้สูงอายุที่มีพลัง

กระทรวงมหาดไทย

-กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

-โครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ

 

-โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก

 

-โครงการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐผ่านกลไกหมู่บ้าน

 

-โครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

 

-โครงการสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่ผู้พิการหรือทุพพลภาพ

 

-โครงการสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

-สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย

-โครงการรณรงค์สร้างเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อผู้บกพร่องทางจิต

 

-โครงการอบรมให้ความรู้ผู้บกพร่องทางจิตเข้าถึงสิทธิตามกฎหมายโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

 

-โครงการพัฒนาศักยภาพผู้บกพร่องทางจิตเข้าถึงกีฬาด้านคนพิการ

 

-โครงการเชื่อมโยงการทำงานด้านจิตเวชกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

2.6 การสื่อสารและดูแลสังคมรวมทั้งสร้างปัจจัยปกป้องในเรื่องสุขภาพจิตที่ สสส. ร่วมสนับสนุนการดําเนินงานในหลายแพลตฟอร์ม

นักส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชนท้องถิ่น (นสช.)

 

นักส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชนท้องถิ่น (นสช.)

สสส. ร่วมกับกรมสุขภาพจิตและมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จัดโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น ในสถานการณ์วิกฤตและตลอดช่วงชีวิต

โครงการนี้สร้างต้นแบบท้องถิ่นด้วยกลไกชุมชนใน 5 ภูมิภาค และนำมาสู่การจัดเวทีสานพลังส่งเสริมสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น ครั้งที่ 1

เป้าหมายของโครงการ คือการควบคุมหรือลดปัจจัยเสี่ยงทางด้านสุขภาพ โดยการสร้างสังคมใหม่ที่ปลอดภัยจากปัญหาสุขภาพจิต ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการทำงานร่วมกับชุมชน

ผลสำเร็จจากโครงการรวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพจิตเชิงรุกในชุมชน และการจัดตั้งนสช. และกลุ่มเป้าหมายที่มีความพร้อมที่จะทำงานต่อเนื่องในชุมชน

 

 

โครงการนี้ช่วยสร้างแกนนำในการส่งเสริมสุขภาพจิตในชุมชน และสร้างเครือข่ายและรูปแบบการทำงานแบบบูรณาการของชุมชนท้องถิ่น

ผลสำเร็จที่ได้จากโครงการเป็นที่ชัดเจนใน 5 มิติ ซึ่งส่งผลให้การทำงานระหว่างชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม

 

โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 โดยการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิตและสร้างสังคมที่มีความเข้มแข็งในการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต

YouTube channel ช่อง “บ่อจอย”

YouTube channel ช่อง “บ่อจอย”

YouTube channel ช่อง "บ่อจอย" เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้เพื่อการส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงบวกในวัยทำงานผ่านการนำเสนอเนื้อหาทางวิทยุทางออนไลน์ที่คนไทยในกลุ่มวัยทำงานใช้กันอย่างแพร่หลาย

รายการที่จัดทำบนช่อง "บ่อจอย" มีหลากหลายแบบและสไตล์ เช่น iUV Day ที่ใช้วิธี Experimental psychology, Imposter ที่มีการแฝงตัวแบบ imposter, และ Kinjai ที่มีการพูดคุยกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา

 

การใช้ YouTube channel เป็นช่องทางการส่งเสริมสุขภาพจิตช่วยให้สามารถนำเสนอเนื้อหาที่ยาวและละเอียดได้มากขึ้น และสร้างการสนับสนุนจากส่วนราชการ เช่น สสส. และมีการนำเสนอผ่านช่องทาง AIS PLAY ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

 

การมีช่องทางการสื่อสารออนไลน์ เช่น YouTube channel ช่อง "บ่อจอย" ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในสังคมที่เกิดขึ้นได้อย่างฉับไว

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย (International Federation of Medical Students’ Associations – Thailand) หรือ TYPI (103)

สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติแห่งประเทศไทย (TYPI) ร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น สสส., สช., สปสช., และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อจัดทำนโยบายและนวัตกรรมทางสังคมเพื่อแก้ปัญหาสุขภาวะทางจิตในชุมชน

ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศคือ "Mental Wealth" ซึ่งเป็นนวัตกรรมและนโยบายสาธารณะในการแก้ไขปัญหาสุขภาวะทางจิตอย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอหลากหลายแนวทาง เช่น นโยบาย Community Heroes, นโยบายวัคซีนใจ, Protect your Heart, Family First Safe, และ Mental Wealth for Education

ผลงานนี้มีการศึกษาชุมชนต้นแบบเพื่อหาปัญหาสำคัญทางสุขภาวะทางจิต เช่น ขาดแคลนความรู้และการเข้าถึง, ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความปลอดภัย, การซ่อนเร้นความรู้สึกและผู้ป่วยแอบแฝง

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีการทำบทสัมภาษณ์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสุขภาวะทางจิตในชุมชนผ่านนวัตกรรมและนโยบายสาธารณะ

อ้างอิง

เอกอนงค์ สีตลาภินันท์ .(2566).รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต.

สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพลินพาดี ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล   ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

เพลินพาดีและคณะ.(2566). รายงานทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นสุขภาพจิต    

เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ฉบับสมบูรณ์ .ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล    ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น: ภัยเงียบที่เพิ่มขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น: ภัยเงียบที่เพิ่มขึ้น

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

‘ลองโควิด’ สึนามิลูกต่อมา ฉุดเศรษฐกิจและกระทบการใช้ชีวิต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘ลองโควิด’ สึนามิลูกต่อมา ฉุดเศรษฐกิจและกระทบการใช้ชีวิต

หยุดกินตามอารมณ์ ตัดวงจรพฤติกรรมทำลายสุขภาพ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

หยุดกินตามอารมณ์ ตัดวงจรพฤติกรรมทำลายสุขภาพ

อย่าปล่อยให้งานฆ่าคุณ วิธีบอกลาการทำงานหนักจนตาย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

อย่าปล่อยให้งานฆ่าคุณ วิธีบอกลาการทำงานหนักจนตาย

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อการสืบค้น

Admin nicky

สาระในส่วนนี้จะหยิบยกรายการเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องมาอธิบายขยายความเข้าใจ แสดงกรอบสังเคราะห์การทำงานตามกลุ่มเป้าหมายและช่วงวัย ชี้ให้เห็นถึงจุดคานงัดงานสร้างเสริมสุขภาพจิต ระบุทำเนียบหน่วยงาน/องค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตสำหรับเชื่อมร้อยภาคีเครือข่าย และ/หรือ ติดต่อขอข้อมูลเชิงลึกได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีคิวอาร์โค้ด (QR code) และลิงค์ (Link) ดาวน์โหลดเครื่องมือ/ข้อมูล/สื่อการเรียนรู้ ตามความสนใจ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น หรือ ค้นคว้าเพิ่มเติม