0

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-10-03 03:05:12

บทนำ

“งานหนักไม่เคยฆ่าใคร …”

อย่าเชื่อ ! ถ้ามีใครมาบอกคุณอย่างนั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่า งานหนักทำให้คนตายได้ จากผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่ในปี 2564 ระบุว่า ในหนึ่งปีมีมากกว่า 7 แสนคนเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไปจนส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

“งานหนัก” พาไปสู่ “ความตาย” อย่างไร

เพราะว่า การทำงานหนักมากเกินไปส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้อ่อนล้า มีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดความเครียด กระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ

การทำงานหนักเกินไปสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้ เพราะเมื่อเครียดหนัก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอลที่มีผลต่อกระบวนการทำงานของระบบหัวใจ เสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดในสมองแตก

เรียนรู้จาก “คาโรชิ” โรคทำงานหนักจนตาย

ทำงานหนักมากจนตายมีอยู่จริงและที่ญี่ปุ่นเรียกว่า โรคคาโรชิ (Karoshi Syndrome) ถูกพบครั้งแรกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว

คาโรชิ คือ อาการจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมทั้งพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เครียดสะสม เสียสุขภาพ ก่อเกิดอาการร้ายแรงซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า คนอายุ 45-74 ปี ที่ทำงานหนักจนเกินไปหรือมีชั่วโมงทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสียชีวิตด้วยสาเหตุโรคหัวใจ ร้อยละ 42 และเส้นเลือดในสมอง ร้อยละ19

ในประเทศญี่ปุ่นมีการจัดตั้ง Karoshi Hotlines โทรศัพท์สายตรงที่จัดไว้ให้คำปรึกษา ที่ผ่านมารัฐบาลยังพยายามปฏิรูปรูปแบบการทำงานโดยลดชั่วโมงทำงานลง มีการเสนอให้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

นอกเหนือจากญี่ปุ่น โรคคาโรชิยังพบได้บ่อยในไต้หวันและเกาหลีใต้ เพราะต่างเป็นประเทศที่มีสังคมกดดันเรื่องการทำงานอย่างหนัก

ไทยกับการทำงานหนักเกินไป

สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ในปี 2565 จากการจัดอันดับเมืองที่ผู้คนทำงานหนักเกินไป (Most Overworked Cities) ของ getkisi.com พบว่า กรุงเทพฯ ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก ทั้งยังพบว่า พนักงานประจำในกรุงเทพฯ ร้อยละ 15.10 มีการทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

การทำงานหนักเกินไปยังนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจจะมีผลต่อร่างกาย จิตใจและการทำงาน

 

สัญญาณสู่ … คาโรชิ

อาการที่แสดงให้เห็นว่าคุณทำงานหนักเกินไป เช่น ออนไลน์เรื่องงานตลอดเวลาแม้ในวันหยุดหรือนอกเวลางาน รับผิดชอบงานแทนคนอื่นมากเกินไป ทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ หมดแพสชั่น ไม่รู้สึกถูกเติมเต็มหรือตื่นเต้นเรื่องงาน ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ผลิตภาพ (Productivity) ลดลง สุขภาพแย่ลง มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ เป็นต้น  

และอาการซึ่งบ่งบอกว่า คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคทำงานจนตาย คือ  

  • คิดหมกมุ่นเรื่องงานแทบจะตลอดเวลา สมองไม่ได้พักผ่อนจนอาจเก็บไปฝัน
  • ทำงานล่วงเวลาติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน
  • ใช้เวลาในการทำงานมากติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ไม่สามารถลางานได้ ไม่มีโอกาสลางาน ไม่ได้ใช้วันลา
  • เคร่งเครียดจากการทำงาน ทำงานภายใต้ภาวะกดดัน
  • นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท อ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ไม่มีเวลาพักผ่อน
  • ไม่มีเวลาให้ตัวเองและคนรอบตัว ฯลฯ
ทำงานหนักจนตาย … ป้องกันได้

หากรู้ตัวว่าเริ่มมีพฤติกรรมการทำงานที่หนักเกินไป จนทำให้เกิดความเครียดและมีผลกระทบอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นี่คือ หนทางป้องกันที่ทำได้

  • หยุดงาน ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและความเครียด
  • แบ่งเวลาทำกิจกรรมที่ชอบหรือไปพบปะเพื่อนฝูงหรือคนที่เรารัก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีปัญหากับการนอน ควรปรึกษาแพทย์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • รู้จักปล่อยวางความคิด
  • ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้านหรือคิดเรื่องงานที่บ้านมากจนเกินไป
  • ปรึกษาผู้บังคับบัญชา หากรู้สึกว่าทำงานมากเกิน เพื่อหาทางออก ฯลฯ

 

จริงอยู่ที่งานมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ความสำเร็จในอาชีพไม่ได้มาด้วยการทำงานมากเกินไป แต่เป็นการทำงานอย่างชาญฉลาดในขอบเขตที่เหมาะสมและสมดุล

ถึงตอนนี้ ถ้าคุณยังคิดว่างานหนักไม่เคยฆ่าใคร ให้คุณคิดใหม่ หรือย้อนกลับไปอ่านข้างบนอีกรอบ

อ้างอิง

https://www.prachachat.net/world-news/news-940358

https://www.getkisi.com/work-life-balance-2022

https://www.forbes.com/sites/carolinecastrillon/2022/06/12/10-critical-signs-you-are-being-overworked/?sh=7ab579632ee1

https://www.brandcase.co/31223

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2622695

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

มาตรการ “หวานน้อย”  ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

มาตรการ “หวานน้อย” ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

“ธนาคารเวลา”  เสริมสร้างคุณภาพชีวิตสูงวัย ด้วยนวัตกรรมทางสังคม
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ธนาคารเวลา” เสริมสร้างคุณภาพชีวิตสูงวัย ด้วยนวัตกรรมทางสังคม

‘ฝนราชการ’ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิธีรับมือเพื่อสุขภาพดีและไร้อุบัติเหตุ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘ฝนราชการ’ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วิธีรับมือเพื่อสุขภาพดีและไร้อุบัติเหตุ

‘หนองสนิทโมเดล’ต้นแบบชุมชนเข้มแข็ง ก้าวสู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘หนองสนิทโมเดล’ต้นแบบชุมชนเข้มแข็ง ก้าวสู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งย...

ฝุ่น PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็ง เสี่ยงเสียชีวิตสูง ตายปีละ 7 หมื่นคน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ฝุ่น PM2.5 เป็นสารก่อมะเร็ง เสี่ยงเสียชีวิตสูง ตายปีละ 7 หมื่นคน

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเข้าใจหัวอกพนักงาน ‘การลาออกครั้งใหญ่’ ก็จะหมดไป

Super Admin ID1

Highlight

• Big Quit คือปรากฏการณ์ที่พนักงานจำนวนมากลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งเริ่มมีตั้งแต่ต้นปี 2564 ในสหรัฐอเมริกา สาเหตุเพราะค่าจ้างที่ชะงักงันท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้น หรือไม่ก็เพราะความไม่พอใจต่อหน้าที่การงานที่ทำมาอย่างยาวนาน

ผลการสำรวจเรื่อง Are you Listening?(นายจ้าง คุณฟังฉันอยู่หรือเปล่า?) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 พบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดที่จะออกจากงาน เนื่องจากสุขภาพจิตที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ และอีกสาเหตุมาจากภาวะหมดไฟ

องค์กรต้องปรับตัวและเข้าใจสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น ตระหนักถึงการทำงานที่ยืดหยุ่น สนับสนุนให้พนักงานลาพักงานได้โดยจ่ายเงิน หรือให้ความสำคัญกับวันหยุดพักร้อนเพื่อลดภาวะหมดไฟ