0

0

บทนำ

“งานหนักไม่เคยฆ่าใคร …”

อย่าเชื่อ ! ถ้ามีใครมาบอกคุณอย่างนั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่า งานหนักทำให้คนตายได้ จากผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่ในปี 2564 ระบุว่า ในหนึ่งปีมีมากกว่า 7 แสนคนเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไปจนส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

“งานหนัก” พาไปสู่ “ความตาย” อย่างไร

เพราะว่า การทำงานหนักมากเกินไปส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้อ่อนล้า มีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดความเครียด กระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ

การทำงานหนักเกินไปสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้ เพราะเมื่อเครียดหนัก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอลที่มีผลต่อกระบวนการทำงานของระบบหัวใจ เสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดในสมองแตก

เรียนรู้จาก “คาโรชิ” โรคทำงานหนักจนตาย

ทำงานหนักมากจนตายมีอยู่จริงและที่ญี่ปุ่นเรียกว่า โรคคาโรชิ (Karoshi Syndrome) ถูกพบครั้งแรกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว

คาโรชิ คือ อาการจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมทั้งพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เครียดสะสม เสียสุขภาพ ก่อเกิดอาการร้ายแรงซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า คนอายุ 45-74 ปี ที่ทำงานหนักจนเกินไปหรือมีชั่วโมงทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสียชีวิตด้วยสาเหตุโรคหัวใจ ร้อยละ 42 และเส้นเลือดในสมอง ร้อยละ19

ในประเทศญี่ปุ่นมีการจัดตั้ง Karoshi Hotlines โทรศัพท์สายตรงที่จัดไว้ให้คำปรึกษา ที่ผ่านมารัฐบาลยังพยายามปฏิรูปรูปแบบการทำงานโดยลดชั่วโมงทำงานลง มีการเสนอให้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

นอกเหนือจากญี่ปุ่น โรคคาโรชิยังพบได้บ่อยในไต้หวันและเกาหลีใต้ เพราะต่างเป็นประเทศที่มีสังคมกดดันเรื่องการทำงานอย่างหนัก

ไทยกับการทำงานหนักเกินไป

สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ในปี 2565 จากการจัดอันดับเมืองที่ผู้คนทำงานหนักเกินไป (Most Overworked Cities) ของ getkisi.com พบว่า กรุงเทพฯ ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก ทั้งยังพบว่า พนักงานประจำในกรุงเทพฯ ร้อยละ 15.10 มีการทำงานล่วงเวลามากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

การทำงานหนักเกินไปยังนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจจะมีผลต่อร่างกาย จิตใจและการทำงาน

 

สัญญาณสู่ … คาโรชิ

อาการที่แสดงให้เห็นว่าคุณทำงานหนักเกินไป เช่น ออนไลน์เรื่องงานตลอดเวลาแม้ในวันหยุดหรือนอกเวลางาน รับผิดชอบงานแทนคนอื่นมากเกินไป ทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ หมดแพสชั่น ไม่รู้สึกถูกเติมเต็มหรือตื่นเต้นเรื่องงาน ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ผลิตภาพ (Productivity) ลดลง สุขภาพแย่ลง มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ เป็นต้น  

และอาการซึ่งบ่งบอกว่า คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคทำงานจนตาย คือ  

  • คิดหมกมุ่นเรื่องงานแทบจะตลอดเวลา สมองไม่ได้พักผ่อนจนอาจเก็บไปฝัน
  • ทำงานล่วงเวลาติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน
  • ใช้เวลาในการทำงานมากติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ไม่สามารถลางานได้ ไม่มีโอกาสลางาน ไม่ได้ใช้วันลา
  • เคร่งเครียดจากการทำงาน ทำงานภายใต้ภาวะกดดัน
  • นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท อ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ไม่มีเวลาพักผ่อน
  • ไม่มีเวลาให้ตัวเองและคนรอบตัว ฯลฯ
ทำงานหนักจนตาย … ป้องกันได้

หากรู้ตัวว่าเริ่มมีพฤติกรรมการทำงานที่หนักเกินไป จนทำให้เกิดความเครียดและมีผลกระทบอาจนำไปสู่การเสียชีวิต นี่คือ หนทางป้องกันที่ทำได้

  • หยุดงาน ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและความเครียด
  • แบ่งเวลาทำกิจกรรมที่ชอบหรือไปพบปะเพื่อนฝูงหรือคนที่เรารัก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีปัญหากับการนอน ควรปรึกษาแพทย์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • รู้จักปล่อยวางความคิด
  • ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้านหรือคิดเรื่องงานที่บ้านมากจนเกินไป
  • ปรึกษาผู้บังคับบัญชา หากรู้สึกว่าทำงานมากเกิน เพื่อหาทางออก ฯลฯ

 

จริงอยู่ที่งานมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ความสำเร็จในอาชีพไม่ได้มาด้วยการทำงานมากเกินไป แต่เป็นการทำงานอย่างชาญฉลาดในขอบเขตที่เหมาะสมและสมดุล

ถึงตอนนี้ ถ้าคุณยังคิดว่างานหนักไม่เคยฆ่าใคร ให้คุณคิดใหม่ หรือย้อนกลับไปอ่านข้างบนอีกรอบ

อ้างอิง

https://www.prachachat.net/world-news/news-940358

https://www.getkisi.com/work-life-balance-2022

https://www.forbes.com/sites/carolinecastrillon/2022/06/12/10-critical-signs-you-are-being-overworked/?sh=7ab579632ee1

https://www.brandcase.co/31223

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2622695

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

การให้คุณค่าและรับฟังเสียงพนักงาน  ปัจจัยสร้างองค์กรแห่งความสุขในอนาคต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การให้คุณค่าและรับฟังเสียงพนักงาน ปัจจัยสร้างองค์กรแห่งความสุขในอนาคต

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ

แชทบอท “น้องตั้งใจ”  เพื่อนคู่ใจในการเลิกเหล้า
1708931705.jpg

Super Admin ID1

แชทบอท “น้องตั้งใจ” เพื่อนคู่ใจในการเลิกเหล้า

ห้องปลอดฝุ่น ลดเสี่ยง PM2.5
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ห้องปลอดฝุ่น ลดเสี่ยง PM2.5

สอนลูกให้รอดจากการคุกคามทางเพศ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

สอนลูกให้รอดจากการคุกคามทางเพศ

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

surachet@thaihealth.or.th

 

 

 

Highlight

  • ผู้ใหญ่วัยทำงานจำนวนมากติดเค็มและบริโภคโซเดียมมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง
  • จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชาหรือ 5 กรัม เฉลี่ยแล้วไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร
  • โซเดียมไม่ใช่แค่เกลือหรือน้ำปลา อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดมีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่และน้ำผลไม้ ซึ่งมีโซเดียมแฝงมาในวัตถุเจือปนอาหาร โดยเฉพาะสารกันบูด
  • อาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ดมากกว่าครึ่งใช้โซเดียมเป็นส่วนประกอบในระดับความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ โดยกับข้าวและอาหารจานเดียวส่วนใหญ่มีโซเดียมเกินกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อถุงหรือกล่อง
  • วิธีหลีกเลี่ยงการบริโภคโซเดียมที่ได้ผลคือปรุงอาหารรับประทานเอง ควรเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่ สามารถช่วยคุมปริมาณเกลือในมื้ออาหารได้ ปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เท่าที่จำเป็น ไม่เติมผงชูรส ผงปรุงรส หรือซอสต่าง ๆ ควรเลือกซื้ออาหารจากร้านค้าที่มั่นใจว่าที่ไม่ใช้ผงชูรส ผงปรุงแต่งรส หรือซื้อจากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

 

 

ในหนึ่งวันของชีวิตคนวัยทำงาน อาจจะเริ่มต้นด้วย เติมพลังยามเช้าด้วยขนมปังทาเนย ไส้กรอก ไข่ดาวเหยาะซอสปรุงรสแล้วรีบเร่งไปทำงาน มื้อกลางวันรับประทานอาหารจานเดียวง่าย ๆ อย่างเช่นก๋วยเตี๋ยวร้านข้างออฟฟิศที่ต้องปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้ม ฯลฯ ตามความเคยชิน พอถึงช่วงบ่าย เปิดถุงขนมขบเคี้ยวรสเค็มเป็นของว่าง ตกค่ำกลับบ้านทำกับข้าวสูตรเด็ดที่ประกอบด้วยสารพัดซอส และดึกดื่นตื่นมากินบะหมี่สำเร็จรูปอีกสักห่อ …’

หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องปรกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน แต่ถ้าฉุกใจลองคิดคำนวณดูอาจพบว่าอาหารที่เราบริโภคในแต่ละวันนั้นมีปริมาณเกลือหรือโซเดียมมากเกินไปแบบไม่ธรรมดา

ที่ผ่านมามีผลการศึกษาระบุว่า ผู้ใหญ่วัยทำงานจำนวนมากติดเค็มและบริโภคโซเดียมมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง

เพื่อลดความเสี่ยงโรคเหล่านั้น จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยการ “ลดเค็ม” แม้เพียงเล็กน้อยอาจสามารถส่งผลให้สุขภาพดีขึ้นอย่างมาก