1

1

ผู้เขียน :Admin nicky

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-06-14 02:31:13

บทนำ

วิเคราะห์กลไกเชิงโครงสร้าง นโยบาย และเครื่องมือทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการระบบอาหารเพื่อสุขภาวะของประเทศไทย ตั้งแต่มาตรการภาษีสุขภาพ ฉลากโภชนาการ มติคณะรัฐมนตรี ไปจนถึงมาตรการเฉพาะด้าน อย่างเช่นโภชนาการในโรงเรียน โดยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการ ความสำเร็จ และบทเรียนจากการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึง ข้อเสนอแนะเชิงระบบ เพื่อให้เกิดการประสานกลไกอย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ ทั้งในระดับประเทศ อำเภอ ตำบล และท้องถิ่น ในลักษณะการทำงานแบบบูรณาการที่เชื่อมโยง ภาครัฐ ภาคประชาสังคม เอกชน สถาบันวิชาการ และชุมชนท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ส่วนที่ 2 กลไก และกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะในประเด็นอาหารกับกรอบแนวคิดหลัก สสส. และสอดคล้องกับปัจจัยกำหนดสุขภาพ

เอกสารส่วนนี้มุ่งวิเคราะห์กลไกเชิงโครงสร้าง นโยบาย และเครื่องมือทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการระบบอาหารเพื่อสุขภาวะของประเทศไทย ตั้งแต่มาตรการภาษีสุขภาพ ฉลากโภชนาการ มติคณะรัฐมนตรี ไปจนถึงมาตรการเฉพาะด้าน อย่างเช่นโภชนาการในโรงเรียน โดยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการ ความสำเร็จ และบทเรียนจากการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึง ข้อเสนอแนะเชิงระบบ เพื่อให้เกิดการประสานกลไกอย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ ทั้งในระดับประเทศ อำเภอ ตำบล และท้องถิ่น

 

ประกอบด้วย  2 หัวข้อหลัก  8 หัวข้อรอง และ 14  หัวข้อย่อย

2.1 นโยบาย กฎหมาย และมาตรการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร ตามภารกิจ สสส.

 

2.1.1 มติคณะรัฐมนตรี (ครม.)

มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 2 มติ เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันนักเรียน  โดย ใน ปี 2556 ครม.มีมติเห็นชอบให้เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียนตามภาวะเศรษฐกิจ และ ปี 2564 ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติโครงการอาหารกลางวันนักเรียนให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งทั้ง 2 มติมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนได้กินอาหารกลางวันที่ปลอดภัย มีคุณค่าโภชนาการเหมาะสมตามวัย ภายใต้การบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

2.1.1.1 มติ ครม.เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ

ขับเคลื่อนโดยโครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัยร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน โดยการสนับสนุนของ แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. และสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ 

สาระสำคัญของมติ ครม.: เห็นชอบให้เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียน จำนวน 3 ครั้ง ระหว่างปี 2556–2565  ดังนี้

ครั้งที่ 1  พ.ศ. 2556 มีการตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ ขอเพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียนจากอัตรา 13 บาทต่อคนต่อวัน เพิ่มเป็นอัตรา 20 บาทต่อคนต่อวัน ตามหนังสือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด่วนที่สุด ที่ นร.0505/29284 ลงวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556  สรุปสาระสำคัญเรื่อง การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ  ดังนี้

1) เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา 13 บาทต่อคนต่อวัน เป็นอัตรา 20 บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา 13 บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา 20 บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน 659,906,800 บาท นั้น ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา  และ 2) ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ

ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2564 ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน จากอัตรา 20 บาทต่อคนต่อวัน เป็นอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบให้ปรับค่าอาหารกลางวันนักเรียนเพิ่มอีกร้อยละ 5 ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่าย และค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารที่มีราคาสูงขึ้น โดยให้ปรับอัตราค่าอาหารกลางวันนักเรียนทุกคนตั้งแต่เด็กเล็ก – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากอัตรา 20 บาทต่อคนต่อวัน เป็นอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 เป็นต้นไป  โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 25,436,304,000 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งอุดหนุนให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 23,561,921,200 ล้านบาท และจัดสรรให้สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับนักเรียนเอกชนอีก 1,874,382,800 บาท ครอบคลุมนักเรียนทุกคนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครอบคลุมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 5,894,420 คน จาก 49,861 โรงเรียน 

ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2565 ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียนจากอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน เป็นการเพิ่มแบบขั้นบันไดตามขนาดของโรงเรียน เนื่องจากสถานการณ์ค่าครองชีพได้ปรับสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ต้นทุนของการประกอบอาหารสูงขึ้นตามไปด้วย กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับ สสส.และภาคีเครือข่ายได้เล็งเห็นปัญหาและกลับมาทบทวนตัวเลขที่เหมาะสมของอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนให้มีคุณภาพมากที่สุด ให้โภชนาการครบ 5 หมู่ เพราะเป็นช่วงวัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ส่งผลต่อพัฒนาการด้านกายภาพและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่ง ครม. ได้มีมติปรับอัตราค่าอาหารกลางวันนักเรียนให้เหมาะสมตามขนาดของโรงเรียนต่อคนต่อวัน โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

•โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 1 - 40 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน 36 บาทต่อคนต่อวัน 

•โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 41 - 100 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน 27 บาทต่อคนต่อวัน

•โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน 101 - 120 คน ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน 24 บาทต่อคนต่อวัน

•โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 121 คนขึ้นไป ได้รับเงินค่าอาหารกลางวัน 22 บาทต่อคนต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดในอัตรา 21 บาทต่อคนต่อวัน เป็นเงิน 3,533,280,000 บาท ซึ่งจะเริ่มใช้ในการจัดทำแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 28,365,864,000 บาท 

เป้าหมายของอัตราค่าอาหารกลางวันตามขนาดของโรงเรียน จะเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5 สังกัด ได้แก่ 1) โรงเรียนสังกัด สพฐ. 2) โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) โรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน 4) สถานศึกษาสังกัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย              5) สถานศึกษาสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ครอบคลุมนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 5,792,119 คน ทั้งนี้ ครม.ยังมีมติเพิ่มเติมสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำงบประมาณที่มีมาเป็นค่าอาหารกลางวันตามอัตราใหม่ หากไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนตามระเบียบสำนักงบประมาณ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะหารือร่วมกับสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางให้นักเรียนได้รับค่าอาหารกลางวันตามอัตราใหม่ โดยเร็วที่สุด

(1.คณะรัฐมนตรี. (2556). มติ ครม. “เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียนตามภาวะเศรษฐกิจ” สืบค้นจาdhttp://www.thaigov.go.th 

2.ประชาชาติธุรกิจ. เพิ่ม 1 บาท! ค่าอาหารกลางวันนักเรียนจาก 20 เป็น 21 บาท. สืบค้น 10 กุมภาพันธ์ 2564, จากhttps://www.prachachat.net/politics/news-610830 

3.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. ครม.เพิ่มงบค่าอาหารกลางวันนักเรียนเด็กเล็ก - ป.6 ทั่วประเทศ. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2565, จาก https://ops.moe.go.th/)  

2.1.1.2 มติ ครม.รับทราบรายงานเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก

มติ ครม.รับทราบรายงานเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก (วันที่ 11 พฤษภาคม 2564)  กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก ตามมาตรา 22 (3) ประกอบมาตรา 35 มติ ครม.รับทราบและมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1)  กรณีเบิกจ่ายงบประมาณอาหารกลางวันล่าช้า เสนอให้มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แสดงผลแบบทันที (Real time) ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงศึกษาธิการในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการอาหารกลางวัน และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นออกระเบียบกำหนดระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับโครงการอาหารกลางวันภายใน 7 วันทำการ ภายหลังจากที่ได้รับเอกสารครบถ้วนถูกต้องแล้ว

2)  กรณีขาดนักโภชนาการชุมชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนกรอบอัตรากำลังของท้องถิ่น โดยในเบื้องต้นจัดให้มีนักโภชนาการอย่างน้อยอำเภอละ 2 คน ในช่วง 2 ปีแรกในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด19  และระยะต่อไปเพิ่มเป็นตำบลละ 1 คน ขั้นตอนต่อไปจึงเทียบนักโภชนาการตามจำนวนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนที่กำกับดูแลฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลทุก 6 เดือนจนกว่าจะมีนักโภชนาการครบทุกท้องถิ่น ฯ กรณีที่ไม่สามารถจัดจ้างไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดทำคู่มือและพัฒนาหลักสูตรเพิ่มคุณวุฒิและเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษแก่บุคลากรที่รับผิดชอบอาหารกลางวัน และจัดให้มีการพัฒนา อสม. รวมทั้งอบรม ฝึกทักษะ คู่มือการทำงานที่สามารถเข้าถึงครอบครัวของนักเรียน  และให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้นักโภชนาการศูนย์อนามัยและนักโภชนาการโรงพยาบาลพื้นที่ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง โดยมีการจัดทำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน มีข้อกำหนดที่คำนึงถึงอาหารท้องถิ่นตามวัฒนธรรม ตลอดจนให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนกำลังคนร่วมกัน โดยการสนับสนุนจาก สสส. ให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี (แผน 10 ปี ระหว่างพ.ศ. 2564 – 2573) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผู้จบหลักสูตรนักโภชนาการในระยะยาว

3) กรณีค่าเฉลี่ยอาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ลดลงต่ำกว่า 20 บาท เนื่องจากงบประมาณไม่ครอบคลุมถึงนักเรียนระดับมัธยมศึกษา เสนอให้กระทรวงศึกษาธิการประสานขอความร่วมมือจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ อปท. นำรายได้มาสมทบค่าอาหารกลางวันนักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในโอกาสแรกก่อน และให้โรงเรียนเสนอขอรับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาเฉพาะในส่วนที่เป็นดอกผลมาดำเนินการ ตามมาตรา 4 ประกอบมาตรา 11 (2) แห่งกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 โดยส่งเสริมให้นักเรียนทำการเกษตรในโรงเรียนและนำผลผลิตมาสมทบกับค่าอาหารกลางวัน

4) กรณีจัดซื้อจัดจ้างอาหารกลางวันนักเรียนเกินกว่า 500,000 บาท ให้ใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ เสนอให้กระทรวงการคลังให้การยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับที่จะต้องถือปฏิบัติให้ต้องใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ตามข้อ 31 แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และดำเนินการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาต่อไป 

5) หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวัน กรณีเงินเหลือจ่ายของ อปท. และโรงเรียนไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เสนอให้ ครม.รับทราบและพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขโดยคำนึงถึงประโยชน์ของเด็กนักเรียนเป็นสำคัญ โดยอาจนำระเบียบคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษามาเป็นแนวทางที่กำหนดให้ผู้รับผิดชอบอาหารกลางวันสามารถยืมเงินสดใช้จ่ายก่อนล่วงหน้าได้ 1 สัปดาห์ 

(1.สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน. การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน. สืบค้น 5 กันยายน 2565,  จาก   https://www.ombudsman.go.th/new

2.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก. สืบค้น 11 พฤษภาคม 2564 จาก https://resolution.soc.go.th/?prep_ id=403665

3.กระทรวงศึกษาธิการ. มติคณะรัฐมนตรี รับทราบรายงานเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก. สืบค้น 3 ตุลาคม 2566จากhttps://moe360.blog/2021/ 05/11/management-children-lunch-program/)   

2.1.1.3 รูปธรรมการขับเคลื่อน มติ ครม.ด้านการจัดการโครงการอาหารกลางวันนักเรียนสู่การปฏิบัติ

การจัดการโครงการอาหารกลางวันนักเรียนสู่การปฏิบัติ ที่เป็นรูปธรรมการขับเคลื่อนงาน จาก มติ ครม.ด้วยกลไกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ

1) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พัฒนาโปรแกรมออนไลน์ 

(1) Thai School Lunch เพื่อสนับสนุนโรงเรียนในการจัดเมนูอาหารกลางวันนักเรียนตามมาตรฐานโภชนาการ 

(2) Kid Diary School/Kid Diary Platform เพื่อให้โรงเรียนใช้เป็นเครื่องมือในการแปลผล/เฝ้าระวังภาวะโภชนาการนักเรียน

(3) พัฒนาเครื่องชั่ง Kid size ที่ได้มาตรฐาน สามารถแปลผลอัตโนมัติถูกต้องแม่นยำและเชื่อมโยงข้อมูลได้ในทุกระดับผ่าน Kid Diary Platform เพื่อให้โรงเรียน /ครอบครัว/สถานบริการสาธารณสุข (รพ.สต./รพ.) ใช้ในการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงนักเรียนที่อ่านค่าได้ง่ายถูกต้อง แม่นยำเชื่อมโยงข้อมูลเข้าระบบ Kid Diary Platform อัตโนมัติ

(4) จัดทำ Big Data/Dashboard ภาวะโภชนาการนักเรียนในภาพรวมประเทศ ภาพรวมจังหวัด อำเภอ ตำบล สพฐ. อปท.และรายโรงเรียน เพื่อให้หน่วยงาน/ประชาชนเข้าถึง/ใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพนักเรียน

2)คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาการบริหารจัดการด้านอาหารและโภชนาการในโรงเรียน ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ดำเนินการ ดังนี้

2.1) คณะทำงานชุดที่ 1: พัฒนามาตรฐานและเกณฑ์การประเมินระบบการจัดการอาหารและโภชนาการในสถานศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้และผลักดันสู่ระบบงานปกติของ สพฐ. และ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้ทุกโรงเรียนในทุกสังกัดนำไปปฏิบัติและประเมินตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพอาหารโรงเรียนให้ได้มาตรฐาน

2.2) คณะทำงานชุดที่ 2 จัดทำแผนพัฒนากำลังคนและหลักสูตรอบรมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กลุ่มครู กลุ่มผู้ดูแลเด็ก/พี่เลี้ยง กลุ่มแม่ครัว และกลุ่มผู้ประกอบการอาหาร  ขณะนี้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว 2 กลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มครูที่รับผิดชอบโครงการอาหารกลางวัน/ครูอนามัยโรงเรียน และกลุมผู้ประกอบการอาหาร

3) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดกรอบอัตรากำลังตำแหน่งนักโภชนาการชุมชน ในระดับ อปท. ณ พฤศจิกายน 2565 มี 24 อปท.ที่จัดทำกรอบอัตรากำลังฯ รวม 29 อัตรา และเริ่มมีการบรรจุนักโภชนาการชุมชน แล้ว 5 อปท.จำนวน 5 อัตรา แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายข้อสั่งการของผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะให้ในระยะ 2 ปีแรก (ปี 2566 -2567) ควรมีการบรรจุนักโภชนาการชุมชน อย่างน้อยอำเภอละ 2 คน 

4) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติในการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร การจ้างบุคคลเพื่อประกอบอาหารหรือการจ้างเหมาประกอบอาหาร (ปรุงสำเร็จ) ตามหนังสือด่วนที่สุดที่ กค (กวจ.) 0405.2/ว.116 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2562 เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของโรงเรียนเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เนื่องจากมีรายละเอียดแตกต่างจากการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างพัสดุทั่วไป 

2.1.2 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับฉลากอาหาร

ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับฉลากอาหาร  จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ (1)ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 305) พ.ศ. 2550 เรื่อง การแสดงฉลากโภชนาการของอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันทีบางชนิด (2) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 373 พ.ศ.2559 เรื่อง การแสดงสัญลักษณ์โภชนาการบนฉลากอาหารสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice Logo)

2.1.2.1 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 305) พ.ศ. 2550 เรื่อง การแสดงฉลากโภชนาการของอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันทีบางชนิด

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 305) พ.ศ. 2550  เรื่อง การแสดงฉลากโภชนาการของอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันทีบางชนิด ได้แก่ มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ ข้าวโพดคั่วทอดหรืออบกรอบ ข้าวเกรียบหรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง ขนมปังกรอบ หรือ แครกเกอร์ หรือ บิสกิต และเวเฟอร์สอดไส้ พร้อมข้อความคำเตือน “บริโภคแต่น้อย และออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ” ประกาศ ณ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ เมื่อ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551  เพื่อเป็นมาตรการสนับสนุนการลดปัญหาโรคอ้วน จากการประเมินการใช้นโยบาย ในปีพ.ศ. 2552 พบว่า มีผลบังคับใช้มากกว่าร้อยละ 80 ซึ่งปัจจุบันคือ ประกาศ 394 เรื่อง อาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ และค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมแบบจีดีเอ พ.ศ. 2561 

2.1.2.2 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 373 พ.ศ.2559 เรื่อง การแสดงสัญลักษณ์โภชนาการบนฉลากอาหารสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice Logo)

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 373 พ.ศ.2559 เรื่อง การแสดงสัญลักษณ์โภชนาการบนฉลากอาหารสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice Logo) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 อาศัยอำนาตามความในมาตรา 5 และมาตรา 6 (10) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ 

ข้อ 1  ในประกาศฉบับนี้ “สัญลักษณ์โภชนาการ” หมายความว่า เครื่องหมายแสดงทางเลือกสุขภาพที่ช่วยให้ผู้บริโภค สามารถตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการมีภาวะโภชนาการที่เหมาะสม

ข้อ 2 ผู้ผลิตเพื่อจําหน่าย นําเข้าเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายซึ่งอาหาร ผู้ใดประสงค์ จะแสดงสัญลักษณ์โภชนาการบนฉลากอาหาร ต้องนําอาหารนั้นไปขอรับการตรวจสอบและรับรองจาก มูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย จากคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ก่อน เมื่อได้รับการตรวจสอบและรับรองแล้วจึงจะสามารถแสดงสัญลักษณ์โภชนาการบนฉลากได้ 

ข้อ 3 สัญลักษณ์โภชนาการที่แสดงบนฉลากอาหารให้เป็นไปตามรูปแบบที่คณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการอย่างง่ายกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ 

ข้อ 4 เกณฑ์สารอาหารหรือคุณค่าทางโภชนาการที่ใช้ประกอบการพิจารณารับรองการแสดงสัญลักษณ์โภชนาการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่คณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมการใช้สัญลักษณ์โภชนาการอย่างง่ายกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านอาหารและโภชนาการสู่คุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ

ข้อ 5 การแสดงสัญลักษณ์โภชนาการตามประกาศฉบับนี้ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ และประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ได้กําหนดการแสดงฉลากของอาหารชนิดนั้น ๆ ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ฉลากโภชนาการด้วย 

ข้อ 6 ประกาศนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice Logo) เป็นข้อมูลแสดงให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ (ลดหวาน มัน เค็ม) ได้ง่าย เพื่อช่วยป้องกันปัญหาภาวะโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ใน ปี พ.ศ. 2563 มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเกณฑ์สัญลักษณ์แล้ว 1,540 ผลิตภัณฑ์ประโยชน์ของสัญลักษณ์โภชนาการอย่างง่าย (Healthier Choice) 

•เป็นเครื่องมืออย่างง่ายให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารที่ลดหวาน มัน เค็ม

•เป็นสื่อการศึกษาให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่ประชาชน

•ตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่มีเป้าหมายในการดูแลสุขภาพตนเอง

•สามารถลดต้นทุนการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการได้

2.1.3 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับอาหารในโรงเรียน

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวข้องกับอาหารในโรงเรียน  จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่(1) ประกาศเรื่องกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาทุกระดับเป็นพื้นที่อาหารปลอดสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (2)ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องมาตรการและแนวทางการสร้างเสริมความรอบรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากและการเลือกรับบริการทางทันตกรรม พ.ศ. 2563 (3) ประกาศคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพของสถานศึกษา พ.ศ. 2564

2.1.3.1 ประกาศเรื่องกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาทุกระดับเป็นพื้นที่อาหารปลอดสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องกำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาทุกระดับเป็นพื้นที่อาหารปลอดสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  ลงวันที่ 3 มกราคม 2562 

สาระสำคัญของประกาศฯ ระบุว่าสารเคมีจำกัดศัตรูพืชเป็นวัตถุอันตรายในการเกษตรมักทำให้เกษตรกรผู้ใช้และผู้บริโภคพืชผักผลไม้ได้รับสารเคมีปนเปื้อน หากได้รับการสะสมเป็นเวลานานๆอาจเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น เด็กที่ได้รับสารเคมีจะเป็นพิษต่อระบบสมอง ระบบประสาท พัฒนาการค่อนช้างช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป เกิดโรคออทิสติก หอบหืด สมาธิสั้น ผิดปกติทางอารมณ์ อาการโรคซึมเศร้า ซึ่งผลการตรวจพืชผักใน 55 โรงเรียน 4 จังหวัดจากตัวแทนภาคต่างๆที่ร่วมโครงการกับมูลนิธิการศึกษาไทย พบว่า จำนวน 49 โรงเรียน ร้อยละ 52 อยู่ในระดับไม่ปลอดภัย ผลการตรวจเลือดนักเรียนและครู จำนวน 7.807 คน พบว่าร้อยละ 6 อยู่ในระดับไม่ปลอดภัย และร้อยละ 25 อยู่ในระดับเสี่ยง เพื่อป้องกันการได้รับสารเคมีจำกัดศัตรูพืชเข้าสู่ร่างกายของนักเรียน นิสิต นักศึกษาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งจะนำมาซึ่งโรคภัยต่างๆอันจะเป็นภาระด้านงบประมาณค่ารักษาพยาบาลต่อไปในอนาคต กระทรวงศึกษาจึงประกาศกำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับเป็นพื้นที่อาหารปลอดสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  

(สำนักงาน กศน. กระบี่. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องกำหนดให้สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาทุกระดับเป็นพื้นที่อาหารปลอดสารเคมีกำจัดศัตรูพืช. สืบค้น 4 พฤศจิกายน 2566, จากhttp://krabi.nfe.go.th/e_office/photo/8521.pdf) 

2.1.3.2 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องมาตรการและแนวทางการสร้างเสริมความรอบรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากและการเลือกรับบริการทางทันตกรรม พ.ศ. 2563

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องมาตรการและแนวทางการสร้างเสริมความรอบรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพช่องปากและการเลือกรับบริการทางทันตกรรม พ.ศ. 2563  ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2563 

สาระสำคัญของประกาศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหารคือห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มรสหวานที่มีน้ำตาลสูง (น้ำตาลเกินร้อยละ 5) และขนมกรุบกรอบทั้งในและบริเวณรอบรั้วสถานศึกษาและจัดให้มีการเรียนรู้เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food literacy) ตลอดจนห้ามทำการส่งเสริมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มทุกประเภทในสถานศึกษา

2.1.3.3 ประกาศคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพของสถานศึกษา พ.ศ. 2564

ประกาศคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพของสถานศึกษา พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2564 

สาระสำคัญของประกาศ คือสถานศึกษา 

1) ควรจัดหาหรือจัดให้มีอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งเสริมสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการ น้ำดื่มสะอาดผ่านการรับรองตามมาตรฐาน อย. เครื่องดื่มประเภทนมสดรสจืด น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกินค่ากำหนด อาหารที่ระบุฉลากโภชนาการหรืออาหารที่ผลิตในชุมชนที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการด้านโภชนาการของโรงเรียน และผลไม้สดชนิดต่างๆ 

2) ไม่จัดบริการหรือจำหน่ายจ่ายแจกอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด รสเค็มจัด และไขมันสูง อาหารประเภทหมักดอง ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่มีการปรุงแต่ง และโซเดียมสูงเกินกว่ามาตรฐานกำหนด รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ คาเฟอีนและของมึนเมาทุกชนิด 

3) ไม่จัดหาหรือจัดให้มีการจำหน่ายอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่มที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยฉลากอาหารและเครื่องดื่ม 

4) กำหนดระยะเวลาในการจำหน่ายที่เหมาะสม

5) ไม่อนุญาตให้มีการส่งเสริมการตลาด 

2.1.4 กฎกระทรวงว่าด้วยนโยบาย/กฎหมายด้านการคลัง (ภาษีน้ำตาลและโซเดียม)

เป็นนโยบายด้านอาหารที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ชัดถึงประสิทธิภาพต่อพฤติกรรมการซื้อและบริโภคของประชาชนและต่อผู้ผลิตในการปรับผลิตภัณฑ์ให้ดีต่อสุขภาพ สสส.และประเทศต่างๆจึงเลือกใช้นโยบายการคลังเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น ซึ่งนโยบายด้านการคลังประเด็นอาหารมี 2 เรื่อง ได้แก่ (1) ภาษีเครื่องดื่มรสหวาน (2) (ร่าง) มาตรการจัดเก็บภาษีเกลือและโซเดียม

2.1.4.1 ภาษีเครื่องดื่มรสหวาน

ภาษีเครื่องดื่มรสหวานหรือภาษีความหวาน (Sugary Drink Tax) เป็นผลงานจากการขับเคลื่อนของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ภาคีเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กรมอนามัย และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดพิกัดภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560 และ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2564 กำหนดให้คิดอัตราภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลตามปริมาณน้ำตาล ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2560 และฉบับปรับปรุงแก้ไข วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2564   

ความเป็นมา ก่อนที่จะได้มาซึ่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 บนเส้นทางการขับเคลื่อนนโยบายของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545 ได้ทำให้เกิดนโยบายและเหตุการณ์สำคัญหลายเรื่องที่ทางเครือข่ายได้เข้าไปมีส่วนร่วมในระหว่างรอคอย “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะสามารถคลอดกฎหมายฉบับนี้ออกมาได้ เช่น การแก้ไขประกาศกระทรวงสุข ฉบับที่ 156 เป็นประกาศ สธ. ฉบับที่ 286 ห้ามเติมน้ำตาลในนมผงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารก (ปี 2547)  นโยบาย สพฐ. หนังสือเวียนเรื่องโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมและควบคุมขนมกรุบกรอบ ครั้งที่ 1 และ 2 (ปี 2551 และ 2556) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องฉลาก GDA (ปี 2554)  การร่วมเป็นคณะทำงานในการจัดทำเกณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ Healthier Choice (ปี 2557)  การทำเรื่องการแสดงฉลากน้ำตาลทรายชนิดซอง 4 กรัม และการจัด Healthy Meeting (ปี 2558) การขับเคลื่อนนโยบายโรงเรียนอ่อนหวาน/โรงอาหารอ่อนหวาน/ร้านกาแฟอ่อนหวาน/ชุมชนอ่อนหวาน ตำบลกินจืดยืดชีวิต สังฆทานอ่อนหวาน (ปี 2560)  การขับเคลื่อนนโยบายมาตรการภาษีเครื่องดื่มรสหวานใช้เวลาสั่งสมบ่มเพาะและเตรียมการเพื่อให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ มายาวนานถึง 8 ปี ทั้งในด้านข้อมูล ทีมวิชาการ ภาคีเครือข่าย และการสื่อสารกับสังคมให้รับรู้ความสำคัญของการลดหวานและการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีแนวร่วมสำคัญคือ รศ.พญ.พรพรรณ บุณยรัตพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนผลักดันให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ จนกระทั่งมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการจัดเก็บเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ซึ่งกฎหมายได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กันยายน 2560

กระบวนการผลักดันภาษีเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มต้นเมื่อปี 2551 เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานทำการทบทวนวรรณกรรมเรื่อง Tax & Price ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และการแสวงหาภาคี จากนั้นนำเสนอเข้าสู่เวทีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2552 มติ 2.8 การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน โดยการทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ค่อยๆ ศึกษาเติมเต็มข้อมูลหลักฐานสำคัญทางวิชาการ เช่น พฤติกรรมการกินของคน กลไกตลาดและราคา ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกอ้อยและการผลิตน้ำตาล และหลักการจัดสรรโควต้าน้ำตาล ซึ่งผลการศึกษาพบว่าแทบไม่กระทบต่อเกษตรกรเลย แม้ว่าจะขายได้ลดลงในประเทศ แต่จะได้โควต้าส่งออกมากขึ้น และเป็นผลบวกต่อโรงงานน้ำตาลด้วย จึงไม่ค่อยมีแรงต้านมากจากฝั่งเกษตรกร  เมื่อข้อมูลพร้อม หน้าต่างแห่งโอกาสเปิดออก ขั้นตอนทุกอย่างก็ทะลุผ่านไปได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 6 เดือน สิ่งสำคัญในระหว่างการผลักดันต้องเตรียมความพร้อมตอบคำถามเป็นระยะ ๆ เพราะภาคอุตสาหกรรมจะมีข้อมูลส่วนของเขา บางทีใช้เอกสารชุดเดียวกันแต่วิธีการใช้ข้อมูลไม่เหมือนกัน ช่วงเคลื่อนจังหวะสุดท้ายใช้สื่อกดดันกรมสรรพสามิต โดยมี Thai PBS ช่วยสื่อสารผลักดันให้กฎหมายคลอดออกมา

สาระสำคัญของภาษีเครื่องดื่มรสหวาน เป็นภาษีที่จัดเก็บโดยกรมสรรพสามิต เพื่อกระตุ้นให้คนไทยบริโภคน้ำตาลน้อยลง เพราะน้ำตาลคือสิ่งที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้หลายล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ภาษีเครื่องดื่มรสหวาน หรือภาษีความหวาน (Sugary Drink Tax) ในประเทศไทยบังคับใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 หลังจากที่กรมสรรพสามิตได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไป 2 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาปรับตัวเหมือนกับการออกมาตรการอื่นๆ  

อัตราภาษีเครื่องดื่มรสหวาน 

เป็นภาษีที่คำนวณจากปริมาณน้ำตาล 100 มิลลิลิตร แบ่งอัตราภาษีเป็น 4 ระยะ ในลักษณะค่อยๆเพิ่มอัตราภาษีแบบขั้นบันได โดยเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัม/100 มิลลิตรจะได้รับการยกเว้นภาษี กรณีน้ำตาลเกิน 6 กรัมขึ้นไปอัตราภาษีจะอยู่ระหว่าง  0.1–5.0 บาท โดยแต่ละระยะมีโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ดังนี้

ระยะที่ 1 : วันที่ 16 กันยายน 2560 ถึง 30 กันยายน 2562

ระยะที่ 2 : วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2564

ระยะที่ 3 : วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2566 (แต่มีมติ ครม. 20 ก.ย. 2565 ให้คงอัตราภาษีระยะที่ 2 ออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2566 เพื่อบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน)

 ระยะที่ 4 : เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2568 ทั้งนี้ ตามเพดานภาษีความหวาน หลังจากนี้จะต้องติดตามว่า การจัดเก็บเต็มเพดาน ระยะที่ 4 จะเกิดขึ้นตามกำหนดหรือไม่ โดยเพดานภาษีความหวาน ในระยะที่ 4 มีอัตรา ดังนี้ 

ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษี 0 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

(1.วรพงษ์ เวชมาลีนนท์. (บรรณาธิการต้นฉบับ). (2565). รวมพลังสร้างระบบอาหารสุขภาวะอย่างยั่งยืน วาระครบรอบ 20 ปี สสส. กรุงเทพ: แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

2.KRIS PIROJ. ภาษีความหวานคืออะไร ทำความเข้าใจภาษีเครื่องดื่มรสหวาน. สืบค้น 30 กันยายน 2565, จากhttps://GREEDISGOODS.COM/SUGARY-DRINK-TAX/

3.ณัฐกร อุเทนสุต. หลักการภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สืบค้นจากhttps://thainhf.org/en/work/

4.กรมสรรพสามิต สำนักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี ส่วนมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี. การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่ม.  สืบค้น 21 พฤษภาคม 2566, จาก https://www.excise.go.th/ CS/GROUPS/PUBLIC/DOCUMENTS/DOCUMENT/DWNT/MZM1~EDISP/UATUCM335860. PDF

5.กรมสรรพสามิต ฝ่ายบริหารการจัดเก็บภาษี.การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่ม. สืบค้นจาก https://www.excise. go.th/cs/groups/

6.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 และ พ.ศ.2564. สืบค้นจาก https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/095/111.PDF

7. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม  มหาวิทยาลัยมหิดล.  Policy Brief: ก้าวแรกสู่การขับเคลื่อนนโยบายและระบบอาหารเพื่อสุขภาวพของประชากรทุกคน.: ทำไมต้องจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงให้ถึงรอบที่ 4 (เริ่ม 1 ตุลาคม 2567 ปีงบประมาณ 2568). (หน้า 17 – 21) โครงการวิจัยด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านอาหารและโภชนาการในประเทศไทย.

8. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ คณะกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์เรื่องโรคไม่ติดต่อ. (2563). ภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและมาตรการภาษีเกลือและโซเดียม : การประเมินผลลัพธ์มาตรการภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและภาษีเกลือและโซเดียมในประเทศไทย. สืบค้นจาก https://thainhf.org/en/work/ 

9. ประชาชาติธุรกิจ.  ภาษีความหวานคืออะไร จะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่หลัง.  สืบค้น 1 เมษายน 2566, จาก https://www.prachachat.net/finance/news-1244277)  

ผล/รูปธรรมการขับเคลื่อนมาตรการทางภาษีสู่การปฏิบัติ  ในระยะที่ผ่านมา พบว่า 

1) ในภาพรวมราคาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่ผลิตในประเทศและนำเข้ามีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 และ 18.1 ตามลำดับ   

2) เครื่องดื่มที่ผลิตในประเทศมีสัดส่วนจำนวนชนิดของเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ในขณะที่เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร มีสัดส่วนลดลงมากที่สุด 

3) สัดส่วนรายได้จากภาษีเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตทั้งหมด 

4) จากการศึกษาปริมาณเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่คนไทยดื่มเฉลี่ยต่อวัน ในกลุ่มประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2563 พบกลุ่มตัวอย่างมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 ส่วนกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภคลดลงสูงสุดร้อยละ 7.2 โดยเครื่องดื่มที่มีการบริโภคลดลงมากที่สุด พบว่าเครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋องมีสัดส่วนการบริโภคลดลงมากที่สุดร้อยละ 17.7 ตามด้วยเครื่องดื่มสมุนไพรร้อยละ 10.0 และน้ำผลไม้แบบกล่องร้อยละ 9.2 

 5) จากการศึกษาปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี 2555–2562 โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ปี 2551-2560 คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น แต่หลังการบังคับใช้พระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ในการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เครื่องดื่มผง (3 in 1) และเครื่องดื่มเข้มข้นตามปริมาณน้ำตาล ส่งผลให้คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 15.3 และ 14.0 ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ  

ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตหากรัฐบาลจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มรสหวานถึงระยะที่ 4 

1) ประชาชนจะบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวานลดลงในทุกกลุ่มประเภทเครื่องดื่มทั้งเพศชายและเพศหญิง

2) ประชากรที่มีภาวะอ้วน ระดับที่ 1 (BMI 25 30  จะลดลงร้อยละ 3.8 และประชากรที่มีภาวะอ้วน ระดับที่ 2 (BMI 30) จะลดลงร้อยละ7.8 ณ ปี 2568   

3) ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ณ ปี 2579 ได้ 21,000, 2,000, 1,100 คน ตามลำดับ 

4) จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ณ ปี 2579 ได้ 620, 500, 130 คน ตามลำดับ 5) รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีในการรักษาโรคได้ถึง 121.4 ล้านบาท ณ ปี 2579 และ 6) จำนวนปีสุขภาวะตลอดชีพของประชากรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 สัปดาห์/คน

Best Practice การเตรียมความพร้อมในการผลักดันมาตรการทางภาษี  

    สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการผลักดันภาษีเครื่องดื่มรสหวาน และภาษีเกลือและโซเดียม คือการจัดเก็บภาษีนอกจากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแสวงหารายได้ของรัฐ ภาษียังมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมรวมถึงการส่งเสริมมาตรการต่างๆ ภาษีจึงควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดแรงต้านจากภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ด้านต่างๆ 

แผนภาพ:  Best Practice :การเตรียมความพร้อมในการผลักดันมาตรการทางภาษี

2.1.4.2 (ร่าง) มาตรการจัดเก็บภาษีเกลือและโซเดียม

(ร่าง) มาตรการจัดเก็บภาษีเกลือและโซเดียม เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2552 มติ 2.8 การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน (เอกสารหลักข้อ 3.3 ใช้มาตรการทางภาษีและราคาของอาหารเพื่อจัดการกับปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน) และมติ ปี 2558 มติ 8.4 นโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรค NCDs (เอกสารหลักข้อ 6.2 พัฒนากฎหมายเพื่อส่งเสริมการลดปริมาณเกลือและโซเดียมในอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งกำหนดแนวทางการโฆษณาอาหารที่มีเกลือและโซเดียมสูง) โดยมีเหตุผลและความจำเป็นในการเก็บภาษีเนื่องจากคนไทยนิยมบริโภคอาหารนอกบ้านและอาหารสำเร็จรูปซึ่งมีโซเดียมสูง เป็นสาเหตุของการเกิดโรค NCDs หนึ่งในมาตรการที่จะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้ปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์อาหารให้มีความเค็มน้อยลงคือการใช้มาตรการทางภาษีและราคา โดยมีประเทศที่ประสบความสำเร็จคือฮังการี และผลการวิเคราะห์ในหลายประเทศชี้ให้เห็นผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านสุขภาพและความคุ้มทุนในการใช้มาตรการภาษี  บทเรียนการขับเคลื่อนมาตรการภาษีเครื่องดื่มรสหวานสะท้อนให้เห็นความเป็นไปได้ในการนํามาตรการทางภาษีมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านสุขภาพ ผลการบังคับใช้ภาษีเครื่องดื่มรสหวานในช่วงปีแรกแสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และมีปริมาณน้ำตาลลดลง ประกอบกับประเทศไทยมีโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่เอื้อให้มีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมสินค้าที่ควรมีการจัดเก็บภาษี โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชนมากกว่าการเก็บภาษีเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ  ดังนั้นเครือข่ายลดเค็มร่วมกับ สสส.และภาคีเชิงยุทธศาสตร์จึงได้ผลักดันมาตรการจัดเก็บภาษีเกลือและโซเดียม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาข้อเสนอและจัดเตรียมข้อมูลหลักฐานทางวิชาการ การกำหนดกระบวนการทางนโยบายภาษีที่เหมาะสมเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดแรงต้านจากภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดขอบเขตผลิตภัณฑ์อาหารที่ควรมีการเก็บภาษีในกลุ่มอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงในประเด็นต่างๆ เช่น เกณฑ์ปริมาณโซเดียมต่อวัน สัดส่วนของการเก็บภาษี  มาตรการภาษีปรับลดโซเดียมแตกต่างจากภาษีน้ำตาลตรงที่ไม่มีสารทดแทน รวมทั้งไม่ส่งเสริมให้ใช้โพแทสเซียมคลอไรด์ แต่เน้นวิธีการปรับลิ้นคนไทยให้กินเค็มน้อยลงยากกว่าความหวาน ประกอบกับการให้ระยะเวลาอุตสาหกรรมปรับตัว จากการผลักดันการปรับสูตรกับอุตสาหกรรม พบว่าความร่วมมือแบบสมัครใจไม่ค่อยได้ผล เพราะผลิตภัณฑ์ที่ขายดีจะเพิ่มโซเดียม ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ลดโซเดียมจะขายไม่ได้ รสแซ่บต้องมีโซเดียมมากขึ้น ในกระบวนการผลิตต้องใช้โซเดียมในสารถนอมอาหารด้วย และขนมต้องมีสารขึ้นรูปที่มีองค์ประกอบโซเดียม การทำงานลดเค็มจึงมีความซับซ้อนมากกว่าน้ำตาล จำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาข้อเสนอ/มาตรการซึ่งจะมีการดำเนินงานต่อเนื่องในแผน ระยะ 10 ปี สสส.ต่อไป

 

2.1.5 พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก (Milk code พ.ศ.2560)

กระบวนการขับเคลื่อน พรบ.มีความยาวนานต่อเนื่อง 36 ปี จุดเริ่มที่เป็นรูปธรรมสู่ พรบ.คือการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 เพื่อป้องปรามการละเมิดหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต่อมาได้ผลักดันเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 มติ 2.8 การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 เรื่อง การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก และสอดคล้องกับคำแนะนำ WHO ให้เด็กทุกคนกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และให้นมแม่ต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น นำไปสู่การร่วมมือขับเคลื่อนกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาเป็นกฎหมายซึ่งผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 ซึ่งรู้จักกันในนาม “Milk Code” มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560  Milk Code เป็นกฎหมายห้ามโฆษณาอาหารทารกอายุ 0 - 12 เดือน ส่วนอาหารเด็กเล็กอายุ 1 – 3 ปี โฆษณาได้ แต่ต้องไม่เป็นการโฆษณาข้ามผลิตภัณฑ์หรือสื่อถึงอาหารทารก และห้ามไม่ให้มีการส่งเสริมการขายอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารทารกและเด็กเล็กให้เป็นไปอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก 2) ป้องกันสิทธิและสุขภาพของทารกและเด็กเล็กทุกคนที่ควรได้รับโอกาสให้ได้กินนมแม่ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจว่าหากมีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทารกและเด็กเล็ก แม่และครอบครัวจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง

สาระสำคัญ 8 ข้อ ของกฎหมาย “Milk Code” ได้แก่

1. ห้ามโฆษณาอาหารสำหรับทารกและอาหารเสริมทารกผ่านสื่อต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์ โซเซียลมีเดีย 

2. ห้ามใช้ข้อความเกี่ยวกับทารกหรือเด็กเล็กหรือสื่อเชื่อมโยงไปถึงทารกในการโฆษณาอาหารเด็กเล็ก

3. การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ต้องเป็นจริงตามข้อมูลในฉลาก ฉลากนมผงสำหรับทารก นมผงสำหรับเด็กเล็ก และอาหารเสริมสำหรับทารกต้องแตกต่างกัน และต้องแตกต่างจากฉลากนมอื่นๆ

4. ห้ามแจกของขวัญ นมผงตัวอย่าง คูปองหรือขายพ่วงแก่หญิงตั้งครรภ์ แม่ และครอบครัวที่มีทารกและเด็กเล็ก

5. ห้ามติดต่อหญิงตั้งครรภ์ แม่ และครอบครัวที่มีทารกและเด็กเล็กผ่านช่องทางต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม

6. ห้ามให้ของขวัญแก่บุคลากรสาธารณสุข ห้ามให้ของใช้ อุปกรณ์ต่างๆที่มีตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์แก่หน่วยบริการ

7. ห้ามบริษัทจัดกิจกรรม อีเว้นท์ การประชุม

8. ห้ามบริษัทสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ในสถานที่ต่างๆ

โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ( คสตท.) และพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนและบังคับใช้กฎหมาย

2.1.6 นโยบายด้านอาหารและโภชนาการ

นโยบายด้านอาหารและโภชนาการ  จำนวน 4 นโยบาย ได้แก่ (1)นโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่”  (2)นโยบายการประชุมส่งเสริมสุขภาพ   หรือ Healthy Meeting (3)นโยบายหวานน้อยสั่งได้  (4)นโยบาย Green Hospital การพัฒนาโรงพยาบาลอาหารสุขภาวะ

2.1.6.1 นโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่”

นโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” มีการดำเนินงานต่อเนื่องยาวนานและเชื่อมโยงกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 มติ 2.8 การจัดการภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน กลุ่มยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ย่อยข้อ 1 ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การผลิตและจำหน่ายอาหารชูสุขภาพ ขนมชูสุขภาพ เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ และผักผลไม้ เพื่อเป็นทางเลือกทดแทนอาหารพลังงานสูง  หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการให้น้ำหนักกับการพัฒนานโยบาย มาตรการ กลไกและกระบวนการเพื่อสนับสนุนการได้รับนมแม่แต่เพียงอย่างเดียวหลังเกิดเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน อย่างเป็นรูปธรรม และมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง  แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. เข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องนมแม่ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดสนับสนุนโครงการ “สานพลังนมแม่ยั่งยืน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพเด็กไทยสู่ศตวรรษที่ 21” ที่มีมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบ และมีเป้าหมายสูงสุด คือ เด็กแรกเกิดร้อยละ 50 มีต้นทุนสุขภาวะดีด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เด็กแรกเกิดร้อยละ 70 ได้รับอาหารเหมาะสมตามวัยจนถึง 2 ปี และการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยจะใช้ตัวชี้วัดที่ได้มาตรฐาน MICS: Multiple Indicator Cluster Surveys ในรอบปี 2565 กลยุทธ์สำคัญในการดำเนินงานที่ผ่านมา คือ “162: เริ่มให้เร็ว กินให้ต่อเนื่อง และนานพอ” การส่งเสริมให้เด็กได้กินนมแม่ 1 ชั่วโมงหลังคลอด กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน กินนมแม่ต่อเนื่อง 2 ปีหรือนานกว่า และการเฝ้าระวังไม่ให้มีการแจกนมผงฟรีในโรงพยาบาล คลินิกและสถานที่ราชการ รวมถึงสถานที่ทำงานของหญิงตั้งครรภ์และแม่หลังคลอด 

ขับเคลื่อนด้วย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

 1) พัฒนาวิชาการและการสื่อสาร 

2) พัฒนา Daycare เด็กเล็ก และระบบประสานงานมุมนมแม่ 

3)  พัฒนาหลักสูตรนมแม่แพทย์/พยาบาล โดยมุ่งเน้นผลักดันให้เกิด 5 เรื่องสำคัญ คือ

1) การแก้ไขกฎหมายลาคลอดจาก 3 เดือนเป็น 6 เดือน 

2) การให้ความสำคัญกับโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่-ลูก (BFHI) และการให้นมแม่แก่เด็กป่วย (Breast-feeding Sick Babies) 

3) การบูรณาการการเลี้ยงดูคู่เรียนรู้ที่จะทำให้เด็กห่างไกลอาหารหวาน มัน เค็ม ด้วยการสร้างเบ้าหลอมเริ่มต้นให้เด็กสุขภาพดีตั้งแต่แรกเกิด 

4) การบังคับใช้ พ.ร.บ. นมผง (Milk code) อย่างจริงจัง 

5) การให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย การขับเคลื่อนเรื่องนมแม่จะช่วยปิดช่องว่างต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะถึงแม้จะมี พ.ร.บ.นมผงออกมาแล้ว แต่ทุกภาคส่วนยังจำเป็นต้องร่วมมือกันผลักดันนโยบายสาธารณะอื่นๆ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้ที่มีความต้องการจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รวมถึงการสร้างทัศนคติและค่านิยมที่ถูกต้องต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะยาวด้วย

 

2.1.6.2 นโยบายการประชุมส่งเสริมสุขภาพ หรือ Healthy Meeting

นโยบายการประชุมส่งเสริมสุขภาพ  หรือ Healthy Meeting “ประชุมได้ผล คนได้สุขภาพ” 

ความเป็นมา : เป็นนโยบายที่มีการผลักดันต่อเนื่องมาจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 มติ  2.8 การจัดการภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน กลุ่มยุทธศาสตร์ที่ 1 ยุทธศาสตร์ย่อยข้อ 1.6 จัดให้มีอาหารชูสุขภาพให้บริการหรือจำหน่ายในหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ชุมชน ศาสนสถาน และโรงแรม รวมถึงมีการจัดเมนูอาหารหลักและอาหารว่างชูสุขภาพทุกครั้งที่มีการจัดประชุม อบรม สัมมนา งานบุญ งานประเพณี และกิจกรรมชุมชน 

Healthy Meeting จัดเป็นนโยบายที่สร้างวัฒนธรรมใหม่ในการประชุม/ฝึกอบรมด้วยกิจกรรม Healthy Break และกิจกรรมยืดเหยียดร่างกาย ผ่อนคลายความเครียด เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรคที่เกิดจากความเครียดและลดการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งวิถีชีวิตของคนกลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่จะมีภารกิจที่ต้องเข้าร่วมประชุมหรืออบรมเป็นประจำทำให้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารว่างบ่อย  นั่งนานขาดการมีกิจกรรมทางกายและมีภาวะเครียดจากการประชุมจึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าว กรมอนามัย สำนักโภชนาการและภาคีเครือข่ายที่สำคัญ เช่น สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค สสส. เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน และองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยจึงได้ร่วมกันส่งเสริมและรณรงค์ให้มีการจัดอาหารว่างที่สมดุลมีประโยชน์ต่อสุขภาพและส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมยืดเหยียดทางกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด 

สาระสำคัญของ Healthy Meeting  มีหลักในการเลือกอาหารว่างเพื่อสุขภาพ 11 ข้อ ดังนี้ 

1) คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ 

2) พลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี/มื้อ 

3) อาหารว่างที่ดีควรจำกัดน้ำมัน น้ำตาลและเกลือไม่ให้สูงเกินไป 

4) ผลไม้สดที่ไม่หวานจัด เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่าง เช่น มะละกอ ส้ม ชมพู่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลไม้รสหวานจัดหรือผลไม้แปรรูปประเภทฉาบ ดอง แช่อิ่ม เพราะมีน้ำตาลและเกลือมาก 

5) เครื่องดื่มไม่ควรมีน้ำตาลเกิน 5% หรือน้ำผลไม้คั้นสดไม่ควรเติมน้ำตาล 

6) ของว่างประเภทเบเกอรี่ควรเลือกชนิดที่ทำมาจากแป้งโฮลวีต หลีกเลี่ยงขนมที่มีไขมันสูง และรสหวานจัด 

7) เลือกพืชหัวและธัญพืช 

8) ขนมไทยที่ทำมาจากธัญพืช ถั่ว ผัก ผลไม้เป็นส่วนประกอบ 

9) อาหารคาวที่มีเนื้อสัตว์ ถั่วเป็นส่วนประกอบ เช่น ซาลาเปา ขนมจีบ 

10) ควรจัดอาหารหลายหมวดหมู่อยู่ด้วยกันใน 1 ชุด 

11) การจัดอาหารว่างเพื่อสุขภาพควรจัดให้หลากหลายชนิดในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับบริโภคใน 1 มื้อ อาหารว่างบางชนิดให้พลังงานสูงควรจัดคู่กับเครื่องดื่มที่ให้พลังงานต่ำหรือน้ำเปล่า หรือลดปริมาณอาหารว่างให้น้อยลง 

Healthy Meeting ฉบับ สสส.  เป็นการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มระหว่างการประชุมเน้นผลไม้ตามฤดูกาลหวานน้อย  นมไขมันต่ำหรือน้ำผลไม้ 100%  และน้ำดื่มสะอาด ให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง เครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ ไม่ควรเติมน้ำตาลเกิน 4 กรัม หรือ 1 ช้อนชา และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

กระบวนการเคลื่อนนโยบาย : มีการประกาศนโยบายระดับประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงสาธารณสุขได้มีหนังสือขอความร่วมมือ/เชิญชวนหน่วยงานต่างๆร่วมจัดประชุมตามนโยบาย Healthy Meeting โดยมอบหมายให้กรมอนามัย (สำนักโภชนาการ) เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ร่วมกับ สสส.และภาคีเครือข่าย 

บทบาท สสส. กับการเคลื่อนนโยบาย Healthy Meeting  ได้มีการประกาศเป็นนโยบายการจัดประชุมของ สสส. และดำเนินการสื่อสารสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักให้กับสังคมเพื่อให้เกิดการปฏิบัติต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนทุนให้กับโครงการต่างๆภายใต้แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ เช่น โครงการพัฒนาต้นแบบการจัดการอาหารว่าง-เครื่องดื่มเพื่อลดการบริโภคน้ำตาลด้วยนโยบายระดับองค์กร และโครงการสร้างเสริมสุขภาพกลุ่มวัยทำงานด้วยการบริโภคผักผลไม้ 400 กรัม

(1.สำนักโภชนาการ กรมอนามัย. Healthy Meeting ประชุมได้ผล คนได้สุขภาพ. สืบค้น 4 พฤศจิกายน2566, จากhttps://nutrition2.anamai.moph.go.th/th/book/download

2.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). Healthy Meeting ฉบับ สสส. : การเตรียมอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประชุม. สืบค้น 4 พฤศจิกายน 2566, จาก https://www. thaihealth.or.th/?p=184323และhttps://www.facebook.com/watch/?v=2269122513400180

3.สำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8). Healthy Meeting ประชุมได้ผล คนได้สุขภาพ. สืบค้นจาก https://happy8workplace.thaihealth.or.th/books-videos/books/158)

2.1.6.3 นโยบายหวานน้อยสั่งได้

นโยบายหวานน้อยสั่งได้  เป้าหมายลดการบริโภคน้ำตาลของคนไทย โดยกำหนดเส้นทางสู่ความสำเร็จ ภายในปี 2568 ประชาชนไทยสั่งเครื่องดื่มหวานน้อยเพิ่มขึ้น (ร้อยละ 80) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการบริโภคเครื่องดื่มหวานน้อย

ความเป็นมา : เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานร่วมกับกรมอนามัยภายใต้การสนับสนุนของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ดำเนินการลดการบริโภคน้ำตาลของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้ง Healthy Meeting นโยบายสถานศึกษาปลอดน้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบ โรงอาหาร/ชุมชน/ครอบครัวอ่อนหวาน และขยายผลนโยบายสู่ร้านกาแฟอ่อนหวาน ภายใต้สโลแกน “หวานน้อยสั่งได้” โดยมีโลโก้ “น้อยหน่อย” ใช้ในการสื่อสารส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ 

สาระสำคัญของนโยบายหวานน้อยสั่งได้ : ร้านค้าที่สนใจต้องมีเมนูที่สามารถสั่งเครื่องดื่มลดความหวาน 50% ขึ้นไป อย่างน้อย 3 เมนู โดยศูนย์อนามัยประชาสัมพันธ์เกณฑ์การคัดเลือกร้านค้า จากนั้นร้านค้าที่สนใจดำเนินการประเมินตนเองหากผ่านเกณฑ์ให้เข้าลงทะเบียนผู้ประกอบการผ่านแพลตฟอร์มหวานน้อยสั่งได้

กระบวนการเคลื่อนนโยบายหวานน้อยสั่งได้ ใช้หลักคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา และใช้ “น้อยหน่อย” ทำงานสื่อสาร  ใน ปี 2565 กระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนนโยบายหวานน้อยสั่งได้ ผ่านแพลตฟอร์ม  หวานน้อยสั่งได้ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลร้านหวานน้อยสั่งได้ ทั่วประเทศ โดยร้านค้าที่มีสูตรเครื่องดื่มหวานน้อย สามารถบันทึกที่ตั้งของร้านในแพลตฟอร์ม และปักหมุดพิกัดแนะนำเส้นทางบนแผนที่ออนไลน์ ทำให้ประชาชนมีช่องทางในการเข้าถึงร้านหวานน้อยสั่งได้ใกล้ตัว เข้าถึงเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ และเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมาย ให้มีร้านหวานน้อยสั่งได้ในแพลตฟอร์มฯ จำนวน 2,400 ร้าน ครอบคลุมทุกจังหวัด คาดว่าหลังจากเปิดตัวแพลตฟอร์ม ประชาชนจะมีการสั่งเครื่องดื่มหวานน้อยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 60 และในปี 2565 มีการยกระดับจาก “หวานน้อยสั่งได้” ตามสูตรของแต่ละแบรนด์ เป็น “หวานน้อยร้อยละ 5” คือมีความหวานเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ไม่เกินร้อยละ 5 โดยมีอัตราส่วนน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม 5 กรัม ต่อน้ำ 100 มิลลิลิตร ทั้งนี้ กรมอนามัยโดยสำนักโภชนาการได้มีการพัฒนาสูตรเครื่องดื่มหวานน้อยร้อยละ 5 ได้แก่ ลาเต้เย็น และชาเขียวเย็น ซึ่งการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยสามารถเข้าถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพได้จะช่วยลดการเกิดโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้อีกทางหนึ่ง และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างยั่งยืน  จากการเคลื่อนนโยบายหวานน้อยสั่งได้ระหว่างปี 2563 – 2565 สรุปได้  ขั้นตอน ดังแผนภาพ :  5 ขั้นตอนการเคลื่อนนโยบาย “หวานน้อยสั่งได้” 

2.1.6.4 นโยบาย Green Hospital การพัฒนาโรงพยาบาลอาหารสุขภาวะ

หนึ่งในหัวใจสำคัญของนโยบาย Green Hospital คือ การเชื่อมโยงผลผลิตเกษตรอินทรีย์/เกษตรธรรมชาติสู่ครัวโรงพยาบาล เพื่อหนุนเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการบริโภคเพื่อสุขภาวะ ส่งเสริมให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ได้บริโภคผักผลไม้ปลอดภัยเพียงพอ 400 กรัม/วัน ซึ่งงบประมาณค่าอาหารผู้ป่วยรายหัวแต่ละปีหมุนเวียนมากกว่า 900 ล้านบาท  

แผนงานอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. โดยโครงการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แผนอาหารสุขภาวะโดยบูรณาการความร่วมมือภาคีเครือข่ายเพื่อการขยายผลและสื่อสารงานอาหารสู่สาธารณะ ได้พัฒนาต้นแบบโรงพยาบาลสีเขียวโดยบูรณาการไปกับการดำเนินงานโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย และ Clean & Green Hospital ของกระทรวงสาธารณสุข ที่มุ่งเน้นการนำวัตถุดิบอาหารปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์เข้าสู่ครัวโรงพยาบาลและจำหน่ายในตลาดนัดสีเขียวหรือมุม Green corner ของโรงพยาบาล โดยวัตถุดิบอาหารที่นำมาปรุง/จำหน่ายจะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัยและการสุ่มตรวจคุณภาพอาหาร

ผลการถอดบทเรียนการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า เกิด Best Practice ต้นแบบโรงพยาบาลสีเขียวและข้อค้นพบดีๆ ที่ควรนำมายกระดับ/พัฒนาต่อยอดมากมาย ดังนั้นในปี 2564 จึงเห็นสมควรพัฒนาต่อยอดและขยายผลสู่โรงพยาบาลระดับอำเภอทั่วประเทศและหนุนเสริมการพัฒนานโยบายเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนโรงพยาบาลอาหารสุขภาวะให้เกิดผลอย่างต่อเนื่องยั่งยืนต่อไป ซึ่งขณะนี้ (ปี 2566) ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเกณฑ์/องค์ประกอบนโยบายเพื่อการขยายผลสู่ “โรงพยาบาลอาหารสุขภาวะ”

องค์ประกอบของต้นแบบโรงพยาบาลสีเขียว (รพ.อาหารสุขภาวะ) เพื่อการขยายผลสู่โรงพยาบาลระดับอำเภอ คณะทำงานพื้นที่ต้นแบบ ตัวแทนเกษตรกร และภาคีที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้มีการนำข้อค้นพบจากการถอดบทเรียนมาพัฒนาเป็น (ร่าง) องค์ประกอบของต้นแบบ รพ.อาหารสุขภาวะ ไว้ 5 ด้าน ได้แก่ 

1) ชุมชนสีเขียว (Green Community) 

2) โรงพยาบาลสีเขียวและการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Hospital & Green Procurement) 

3) ความตระหนักรู้เรื่องอาหาร (Food Literacy) เพื่อส่งเสริมเรื่องกินอาหารเป็นยา 

4) เศรษฐกิจอาหารชุมชน (Community Food Economy) 

5) การเฝ้าระวังและกำกับติดตาม (Surveillance & Monitoring)   นอกจากนี้ได้สังเคราะห์/จัดทำ (ร่าง) เส้นทางการเชื่อมโยงผลผลิตชุมชนกับเมนูโรงพยาบาล และ Green Procurement รพ.สีเขียว ตั้งแต่ต้นน้ำที่เป็นแหล่ง Supply ถึงปลายน้ำที่เป็น Demander

(1. วรพงษ์ เวชมาลีนนท์. (บรรณาธิการต้นฉบับ). (2565). รวมพลังสร้างระบบอาหารสุขภาวะอย่างยั่งยืน วาระครบรอบ 20 ปี สสส. กรุงเทพ: แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).

2.วรลักษณ์ คงหนู. (2564). รายงานความก้าวหน้า งวดที่ 1 :  กระบวนการพัฒนาข้อเสนอนโยบายต้นแบบโรงพยาบาลสีเขียว (รพ.อาหารสุขภาวะ). ภายใต้โครงการโครงการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แผนอาหารสุขภาวะ โดยบูรณาการความร่วมมือภาคีเครือข่ายเพื่อการขยายผล และสื่อสารงานอาหารสู่สาธารณะ. ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564. 

3.วรลักษณ์ คงหนู. บาทหลวงวุฒิชัย อ่องนาวา, ผาสุข แก้วเจริญตา, สุชาญ ศีลอำนวย  และสุธิดา แสงสว่าง. รายงานการประชุม “เวทีพัฒนานโยบายโรงพยาบาลสีเขียว. (21 กรกฎาคม 2564, 16 สิงหาคม 2564 และ 28 กันยายน  2564). แอปพลิเคชัน ZOOM)

2.2 กลไกทางสังคมที่เป็นหัวใจของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ

 

2.2.1 แนวคิดการกระจายอำนาจ (decentralization) สู่การร่วมกำหนดอนาคตของระบบอาหาร

การขับเคลื่อนแผนอาหารเพื่อสุขภาวะของไทย ไม่ได้มอง "อาหาร" เพียงในมิติเศรษฐกิจหรือโภชนาการเท่านั้น แต่ขยายความเข้าใจไปสู่มิติของ "ความสัมพันธ์ทางสังคม" และ "อำนาจในการเข้าถึง" อาหารที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเพียงพออย่างเท่าเทียม ดังนั้น “กลไกทางสังคม” จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคี และภาครัฐในระดับต่าง ๆกลไกทางสังคมของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะมีรากฐานจากแนวคิดการกระจายอำนาจ (decentralization) และการคืนพลังให้ประชาชนสามารถ “ร่วมกำหนดอนาคตของระบบอาหาร” ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม การสร้างองค์ความรู้ และการประสานงานข้ามภาคส่วน เช่น การให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทกำกับดูแลโครงการอาหารกลางวัน,การเปิดพื้นที่ให้ชุมชนสร้างเครือข่ายอาหารยั่งยืน, การสนับสนุนทุนวิจัยปฏิบัติการร่วมกับมหาวิทยาลัยท้องถิ่น ฯลฯ

2.2.2 กลไกทางสังคมหลัก 5 ด้าน ในแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ

“กลไกทางสังคม” ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคี และภาครัฐในระดับต่าง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และเสริมพลังกลไกทางสังคมเพื่อสุขภาวะอาหารอย่างยั่งยืนไปควบคู่กัน สรุปกลไกที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมได้ 5 ด้าน ดังต่อไปนี้

  1. พลังพลเมืองอาหาร (Food Citizenship) สร้างการตื่นรู้ สิทธิ หน้าที่ ของประชาชนต่อระบบอาหาร โดยมีรูปธรรมการดำเนินงาน เช่น ชุมชนเมืองปลูกผัก, กลุ่มแม่บ้านจัดการครัวกลาง, วิถีอาหารในโรงเรียน

  2. ชุมชนอาหาร (Food Community)   ใช้ทุนทางสังคมและวัฒนธรรมในการสร้างความมั่นคงทางอาหารดังเช่น รูปธรรมในชุมชน ได้แก่ ตลาดชุมชน/ตลาดเขียว, ครัวเรือนเกษตรอินทรีย์, ศูนย์อาหารผู้สูงอายุ

  3. กลไกเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (Area-based Integration) ซึ่งมีบทบาทบูรณาการนโยบายและการทำงานร่วมในพื้นที่ เห็นได้ชัดเจนจากกลไกคณะกรรมการ เช่น พชอ. (คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ) และ บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ เทศบาลดูแลโภชนาการเด็กเล็ก

  4. การสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลง(StrategicCommunication)         ด้วยการใช้สื่อ/ชุดความรู้ ในการสร้างพฤติกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น สื่อออนไลน์ “ลดหวาน มัน เค็ม” และ ชุดสื่อโภชนาการในศูนย์เด็กเล็ก

  5. เครือข่ายภาคีหลายภาคส่วน (Multi-stakeholder Networks) สร้างพันธมิตรที่หลากหลาย สนับสนุนการขับเคลื่อนทั้งในระดับนโยบายและชุมชน ยกตัวอย่างนวัตกรรมทางสังคม เช่น เครือข่ายโรงเรียนอาหารปลอดภัย และความร่วมมือ อปท.-รพ.สต.-ผู้ผลิต

ทั้งนี้ การดำเนินงานด้วยกลไกและกระบวนการมีส่วนรวมข้างต้น นับได้ว่าตอบโจทย์สถานการณ์และช่องว่างในมิติต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนงานสุขภาวะทางอาหารของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายตามแผนฯ โดยมีการวิเคราะห์ช่องว่างไว้ดังนี้

1.สถานการณ์สุขภาวะอาหารในประเทศไทย: วิกฤตที่ซ้อนทับและเรื้อรัง แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพเป็น “ครัวของโลก” แต่ประชาชนจำนวนมากกลับยังเผชิญกับปัญหา ภาวะทุพโภชนาการ ทั้งด้านขาดและเกิน สะท้อนจากข้อมูลจากสำรวจสุขภาพประชาชน พบว่า

  • เด็กไทยยังมีอัตราการเตี้ย ผอม อ้วนในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่พัฒนาแล้ว

  • กลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จากพฤติกรรมการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • พฤติกรรมการบริโภคผักผลไม้ของประชาชนยัง “ต่ำกว่ามาตรฐานที่แนะนำ” อย่างมีนัยสำคัญ (ต่ำกว่า 400 กรัมต่อวัน)

2. ช่องว่างของกลไกนโยบายระดับชาติ: แม้ประเทศไทยจะมีกรอบยุทธศาสตร์ด้านอาหารแห่งชาติ (ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561–2580) แต่ยังขาด “กลไกเฉพาะ” ที่สามารถทำงานเชิงพื้นที่ เชิงพฤติกรรม และเชิงปฏิบัติได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ การทำงานของหน่วยงานด้านอาหาร เช่น กระทรวงเกษตรฯ สาธารณสุข ศึกษาธิการ และ อปท. ยังมีความ “แยกส่วน” และขาดจุดร่วมในการส่งเสริมสุขภาวะอาหารอย่างเป็นระบบ

3. ขาดกลไกการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ยังไม่มีพื้นที่กลางที่รวบรวม พัฒนา และถ่ายทอด สื่อความรู้ เครื่องมือ, และ พื้นที่เรียนรู้ต้นแบบ ด้านอาหารที่เชื่อมโยงทุกช่วงวัย รวมทั้ง การสื่อสารเรื่องอาหารปลอดภัย โภชนาการ และความมั่นคงทางอาหาร ยังจำกัดเฉพาะโครงการบางกลุ่ม ไม่สามารถขยายผลในวงกว้างอย่างยั่งยืน

4. ภาวะเปลี่ยนผ่านสังคม เทคโนโลยี และโรคระบาดความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร  ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย, ระบบเศรษฐกิจ (ราคาพืชผล) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคอุบัติใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร นอกจากนี้ การเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการยังมีความเหลื่อมล้ำ/ไม่เท่าเทียมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือ กลุ่มเปราะบาง

อ้างอิง

1. เพลินพาดี. รายงานการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะอาหารเพื่อสุขภาวะเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล.ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น เพื่อการสื่อสารและขยายผล สนับสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

2. วรลักษณ์ คงหนู. รายงานฉบับสมบูรณ์การสังเคราะห์ประมวลผลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น

ภาพรวมประเด็นอาหาร.สนับสนุนโดยโครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น

เพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ดนตรีบำบัด: เครื่องมือทรงพลังเชิงบวก ช่วยรักษาอาการป่วยทางกายและจิตใจ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ดนตรีบำบัด: เครื่องมือทรงพลังเชิงบวก ช่วยรักษาอาการป่วยทางกายและจิตใจ

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค
defaultuser.png

Don Admin

กินอาหารอย่างฉลาด…ห่างไกลโรค

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ถึงเวลาล้างพิษโซเชียลมีเดีย ช่วยปรับสุขภาพจิตให้ปลอดโปร่งขึ้น

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า
defaultuser.png

ชลธิดา เณรบำรุง

เยาวชน เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า

‘หนองสนิทโมเดล’ต้นแบบชุมชนเข้มแข็ง ก้าวสู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘หนองสนิทโมเดล’ต้นแบบชุมชนเข้มแข็ง ก้าวสู่ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งย...

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ มาตรการขับเคลื่อนงานของ สสส. และภาคี

Admin nicky

เสนอความเป็นมาและความสำคัญ และสถานการณ์ระบบอาหารเพื่อสุขภาวะของประเทศไทย ทั้งในมิติของความมั่นคงทางอาหาร อาหารปลอดภัย และโภชนาการในทุกช่วงวัย โดยอิงจากข้อมูลระดับโลก และระดับประเทศ เช่น แนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การปนเปื้อนในอาหาร พฤติกรรมบริโภคที่เสี่ยงต่อสุขภาพ และความไม่มั่นคงในระบบผลิตอาหารในประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และแนวทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระบบอาหารที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาวะของประชาชน ให้บรรลุตัวชี้วัด 3 เรื่องสำคัญคือ การบริโภคผักและผลไม้ตามเกณฑ์ที่แนะนำ ลดอัตราการเกิดโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ สัดส่วนสถานศึกษาที่จัดอาหารปลอดภัยและสอดคล้องกับหลักโภชนาการ อปท./ชุมชน/พื้นที่มีแผนจัดการระบบอาหารสุขภาวะในท้องถิ่น และระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ของประชากรทุกกลุ่มวัยเพิ่มขึ้น