ภาษีเครื่องดื่มรสหวานหรือภาษีความหวาน (Sugary Drink Tax) เป็นผลงานจากการขับเคลื่อนของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ภาคีเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กรมอนามัย และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดพิกัดภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560 และ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2564 กำหนดให้คิดอัตราภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลตามปริมาณน้ำตาล ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2560 และฉบับปรับปรุงแก้ไข วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2564
ความเป็นมา ก่อนที่จะได้มาซึ่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 บนเส้นทางการขับเคลื่อนนโยบายของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545 ได้ทำให้เกิดนโยบายและเหตุการณ์สำคัญหลายเรื่องที่ทางเครือข่ายได้เข้าไปมีส่วนร่วมในระหว่างรอคอย “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะสามารถคลอดกฎหมายฉบับนี้ออกมาได้ เช่น การแก้ไขประกาศกระทรวงสุข ฉบับที่ 156 เป็นประกาศ สธ. ฉบับที่ 286 ห้ามเติมน้ำตาลในนมผงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารก (ปี 2547) นโยบาย สพฐ. หนังสือเวียนเรื่องโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมและควบคุมขนมกรุบกรอบ ครั้งที่ 1 และ 2 (ปี 2551 และ 2556) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องฉลาก GDA (ปี 2554) การร่วมเป็นคณะทำงานในการจัดทำเกณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ Healthier Choice (ปี 2557) การทำเรื่องการแสดงฉลากน้ำตาลทรายชนิดซอง 4 กรัม และการจัด Healthy Meeting (ปี 2558) การขับเคลื่อนนโยบายโรงเรียนอ่อนหวาน/โรงอาหารอ่อนหวาน/ร้านกาแฟอ่อนหวาน/ชุมชนอ่อนหวาน ตำบลกินจืดยืดชีวิต สังฆทานอ่อนหวาน (ปี 2560) การขับเคลื่อนนโยบายมาตรการภาษีเครื่องดื่มรสหวานใช้เวลาสั่งสมบ่มเพาะและเตรียมการเพื่อให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ มายาวนานถึง 8 ปี ทั้งในด้านข้อมูล ทีมวิชาการ ภาคีเครือข่าย และการสื่อสารกับสังคมให้รับรู้ความสำคัญของการลดหวานและการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีแนวร่วมสำคัญคือ รศ.พญ.พรพรรณ บุณยรัตพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนผลักดันให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ จนกระทั่งมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการจัดเก็บเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ซึ่งกฎหมายได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กันยายน 2560
กระบวนการผลักดันภาษีเครื่องดื่มรสหวาน เริ่มต้นเมื่อปี 2551 เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานทำการทบทวนวรรณกรรมเรื่อง Tax & Price ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และการแสวงหาภาคี จากนั้นนำเสนอเข้าสู่เวทีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2552 มติ 2.8 การจัดการปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน โดยการทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ค่อยๆ ศึกษาเติมเต็มข้อมูลหลักฐานสำคัญทางวิชาการ เช่น พฤติกรรมการกินของคน กลไกตลาดและราคา ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกอ้อยและการผลิตน้ำตาล และหลักการจัดสรรโควต้าน้ำตาล ซึ่งผลการศึกษาพบว่าแทบไม่กระทบต่อเกษตรกรเลย แม้ว่าจะขายได้ลดลงในประเทศ แต่จะได้โควต้าส่งออกมากขึ้น และเป็นผลบวกต่อโรงงานน้ำตาลด้วย จึงไม่ค่อยมีแรงต้านมากจากฝั่งเกษตรกร เมื่อข้อมูลพร้อม หน้าต่างแห่งโอกาสเปิดออก ขั้นตอนทุกอย่างก็ทะลุผ่านไปได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 6 เดือน สิ่งสำคัญในระหว่างการผลักดันต้องเตรียมความพร้อมตอบคำถามเป็นระยะ ๆ เพราะภาคอุตสาหกรรมจะมีข้อมูลส่วนของเขา บางทีใช้เอกสารชุดเดียวกันแต่วิธีการใช้ข้อมูลไม่เหมือนกัน ช่วงเคลื่อนจังหวะสุดท้ายใช้สื่อกดดันกรมสรรพสามิต โดยมี Thai PBS ช่วยสื่อสารผลักดันให้กฎหมายคลอดออกมา
สาระสำคัญของภาษีเครื่องดื่มรสหวาน เป็นภาษีที่จัดเก็บโดยกรมสรรพสามิต เพื่อกระตุ้นให้คนไทยบริโภคน้ำตาลน้อยลง เพราะน้ำตาลคือสิ่งที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้หลายล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาษีเครื่องดื่มรสหวาน หรือภาษีความหวาน (Sugary Drink Tax) ในประเทศไทยบังคับใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 หลังจากที่กรมสรรพสามิตได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไป 2 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาปรับตัวเหมือนกับการออกมาตรการอื่นๆ
อัตราภาษีเครื่องดื่มรสหวาน
เป็นภาษีที่คำนวณจากปริมาณน้ำตาล 100 มิลลิลิตร แบ่งอัตราภาษีเป็น 4 ระยะ ในลักษณะค่อยๆเพิ่มอัตราภาษีแบบขั้นบันได โดยเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัม/100 มิลลิตรจะได้รับการยกเว้นภาษี กรณีน้ำตาลเกิน 6 กรัมขึ้นไปอัตราภาษีจะอยู่ระหว่าง 0.1–5.0 บาท โดยแต่ละระยะมีโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ดังนี้
ระยะที่ 1 : วันที่ 16 กันยายน 2560 ถึง 30 กันยายน 2562
ระยะที่ 2 : วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2564
ระยะที่ 3 : วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2566 (แต่มีมติ ครม. 20 ก.ย. 2565 ให้คงอัตราภาษีระยะที่ 2 ออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 2566 เพื่อบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน)
ระยะที่ 4 : เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2568 ทั้งนี้ ตามเพดานภาษีความหวาน หลังจากนี้จะต้องติดตามว่า การจัดเก็บเต็มเพดาน ระยะที่ 4 จะเกิดขึ้นตามกำหนดหรือไม่ โดยเพดานภาษีความหวาน ในระยะที่ 4 มีอัตรา ดังนี้
•ปริมาณน้ำตาล 0-6 กรัม คิดอัตราภาษี 0 บาทต่อลิตร
• ปริมาณน้ำตาล 6-8 กรัม คิดอัตราภาษี 1 บาทต่อลิตร
•ปริมาณน้ำตาล 8-10 กรัม คิดอัตราภาษี 3 บาทต่อลิตร
•ปริมาณน้ำตาล 10-14 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
•ปริมาณน้ำตาล 14-18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร
•ปริมาณน้ำตาล ตั้งแต่ 18 กรัม คิดอัตราภาษี 5 บาทต่อลิตร

(1.วรพงษ์ เวชมาลีนนท์. (บรรณาธิการต้นฉบับ). (2565). รวมพลังสร้างระบบอาหารสุขภาวะอย่างยั่งยืน วาระครบรอบ 20 ปี สสส. กรุงเทพ: แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
2.KRIS PIROJ. ภาษีความหวานคืออะไร ทำความเข้าใจภาษีเครื่องดื่มรสหวาน. สืบค้น 30 กันยายน 2565, จากhttps://GREEDISGOODS.COM/SUGARY-DRINK-TAX/
3.ณัฐกร อุเทนสุต. หลักการภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สืบค้นจากhttps://thainhf.org/en/work/
4.กรมสรรพสามิต สำนักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี ส่วนมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี. การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่ม. สืบค้น 21 พฤษภาคม 2566, จาก https://www.excise.go.th/ CS/GROUPS/PUBLIC/DOCUMENTS/DOCUMENT/DWNT/MZM1~EDISP/UATUCM335860. PDF
5.กรมสรรพสามิต ฝ่ายบริหารการจัดเก็บภาษี.การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่ม. สืบค้นจาก https://www.excise. go.th/cs/groups/
6.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 และ พ.ศ.2564. สืบค้นจาก https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/095/111.PDF
7. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. Policy Brief: ก้าวแรกสู่การขับเคลื่อนนโยบายและระบบอาหารเพื่อสุขภาวพของประชากรทุกคน.: ทำไมต้องจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงให้ถึงรอบที่ 4 (เริ่ม 1 ตุลาคม 2567 ปีงบประมาณ 2568). (หน้า 17 – 21) โครงการวิจัยด้านอาหารและโภชนาการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านอาหารและโภชนาการในประเทศไทย.
8. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ คณะกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์เรื่องโรคไม่ติดต่อ. (2563). ภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและมาตรการภาษีเกลือและโซเดียม : การประเมินผลลัพธ์มาตรการภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและภาษีเกลือและโซเดียมในประเทศไทย. สืบค้นจาก https://thainhf.org/en/work/
9. ประชาชาติธุรกิจ. ภาษีความหวานคืออะไร จะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่หลัง. สืบค้น 1 เมษายน 2566, จาก https://www.prachachat.net/finance/news-1244277)
ผล/รูปธรรมการขับเคลื่อนมาตรการทางภาษีสู่การปฏิบัติ ในระยะที่ผ่านมา พบว่า
1) ในภาพรวมราคาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่ผลิตในประเทศและนำเข้ามีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 และ 18.1 ตามลำดับ
2) เครื่องดื่มที่ผลิตในประเทศมีสัดส่วนจำนวนชนิดของเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ในขณะที่เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร มีสัดส่วนลดลงมากที่สุด
3) สัดส่วนรายได้จากภาษีเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตทั้งหมด
4) จากการศึกษาปริมาณเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่คนไทยดื่มเฉลี่ยต่อวัน ในกลุ่มประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2563 พบกลุ่มตัวอย่างมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลงจาก 283.6 มิลลิลิตร ในปี 2561 เป็น 275.8 มิลลิลิตร ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.8 ส่วนกลุ่มตัวอย่างอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีการบริโภคลดลงสูงสุดร้อยละ 7.2 โดยเครื่องดื่มที่มีการบริโภคลดลงมากที่สุด พบว่าเครื่องดื่มผสมโซดาแบบกระป๋องมีสัดส่วนการบริโภคลดลงมากที่สุดร้อยละ 17.7 ตามด้วยเครื่องดื่มสมุนไพรร้อยละ 10.0 และน้ำผลไม้แบบกล่องร้อยละ 9.2
5) จากการศึกษาปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปี 2555–2562 โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ปี 2551-2560 คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น แต่หลังการบังคับใช้พระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ในการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เครื่องดื่มผง (3 in 1) และเครื่องดื่มเข้มข้นตามปริมาณน้ำตาล ส่งผลให้คนไทยมีการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 15.3 และ 14.0 ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตหากรัฐบาลจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มรสหวานถึงระยะที่ 4
1) ประชาชนจะบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวานลดลงในทุกกลุ่มประเภทเครื่องดื่มทั้งเพศชายและเพศหญิง
2) ประชากรที่มีภาวะอ้วน ระดับที่ 1 (BMI 25 ≤30 จะลดลงร้อยละ 3.8 และประชากรที่มีภาวะอ้วน ระดับที่ 2 (BMI ≥30) จะลดลงร้อยละ7.8 ณ ปี 2568
3) ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ณ ปี 2579 ได้ 21,000, 2,000, 1,100 คน ตามลำดับ
4) จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน หัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดสมอง ณ ปี 2579 ได้ 620, 500, 130 คน ตามลำดับ 5) รัฐประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีในการรักษาโรคได้ถึง 121.4 ล้านบาท ณ ปี 2579 และ 6) จำนวนปีสุขภาวะตลอดชีพของประชากรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 สัปดาห์/คน
Best Practice การเตรียมความพร้อมในการผลักดันมาตรการทางภาษี
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการผลักดันภาษีเครื่องดื่มรสหวาน และภาษีเกลือและโซเดียม คือการจัดเก็บภาษีนอกจากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแสวงหารายได้ของรัฐ ภาษียังมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมรวมถึงการส่งเสริมมาตรการต่างๆ ภาษีจึงควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดแรงต้านจากภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ด้านต่างๆ

แผนภาพ: Best Practice :การเตรียมความพร้อมในการผลักดันมาตรการทางภาษี
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 1
ศุภสุตา เน... @Supasuta 1 สัปดาห์ที่แล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ