บทนำ
ส่วนนี้มุ่งขยายความเข้าใจถึง โครงสร้างกลไกการจัดการความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ที่เชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันด้วยบทบาทของหน่วยงานต่างๆ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึง บทบาทของ สสส. ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ถึง 2563 ทำให้เกิดขบวนขับเคลื่อนงานทางสังคมและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการจัดการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางถนน ซึ่งประมวลเป็นองค์ความรู้ขับเคลื่อนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ด้วยแนวคิด 5 เสาหลัก (5 pillars)
2.1 โครงสร้างกลไกการจัดการความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย
โครงสร้างการขับเคลื่อนงาน 3 ระดับ
โครงสร้างการจัดการความปลอดภัยทางถนนที่เป็นทางการเกิดขึ้นจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. 2554 ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
1) การจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน: กำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนซึ่งจะถูกนำไปเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติและให้หน่วยงานรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ
2) การกำหนดมาตรการแบบบูรณาการ: เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนให้มีประสิทธิภาพ โดยรวมการกำหนดนโยบาย หน่วยงานรับผิดชอบ การวางแผนงบประมาณ การดำเนินงาน และการติดตามประเมินผล
3) การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนามาตรฐาน: เกี่ยวกับความปลอดภัยในการจราจรทางถนนและรถยนต์ ให้มีการสร้างระบบมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ในด้านโครงสร้าง สิ่งแวดล้อม และยานพาหนะ รวมถึงมาตรฐานด้านการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัย
4) การส่งเสริมวัฒนธรรมในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย: ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่สนับสนุนการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในหมู่ประชาชนโดยเฉพาะ
ที่มา : ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. 2554 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนพิเศษ 4 ง วันที่ 14 มกราคม 2554
+ ระดับนโยบาย
คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (คณะกรรมการ นปถ.) เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและแนะนำแผนการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย โดยมีผู้บังคับบัญชาและบุคลากรที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นส่วนสำคัญ นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการ มีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิด้านความปลอดภัยทางถนนมาร่วมเป็นกรรมการด้วย นอกจากนี้ มีปลัดกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีหน้าที่หลักคือ
1.กำหนดนโยบายและแผนการ: คณะกรรมการนปถ. มีหน้าที่กำหนดนโยบายในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติตามกฎหมาย และสนับสนุนในการพิจารณาและอนุมัติแผน
2.สนับสนุนและประสานงาน: คณะกรรมการนปถ. มีหน้าที่ในการสนับสนุนและประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน
3.ความรับผิดชอบในงานเลขานุการ: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในงานเลขานุการและธุรการของคณะกรรมการ นปถ.
คณะกรรมการนปถ. เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการส่งเสริมและดูแลความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนลงในระดับที่ยอมรับได้ โดยมุ่งเน้นในการเสริมสร้างความรับผิดชอบและการร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สามารถลดอุบัติเหตุทางถนนให้เกิดขึ้นน้อยลงในอนาคต
+ ระดับอำนวยการ
1) ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (คณะกรรมการ นปถ.) ได้กำหนดให้มีศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้อำนวยการศูนย์ และมีคณะกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนน (รมต.กระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นกรรมการและเลขานุการ) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญดังนี้:
1.จัดทำนโยบายและแผนงาน: คณะกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการจัดทำข้อเสนอ นโยบาย แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ยุทธศาสตร์ และแผนเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการ นปถ.
2.บูรณาการแผนงานและงบประมาณ: คณะกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการบูรณาการแผนงานและงบประมาณในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3.การกำกับติดตามและประสานงาน: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการกำกับติดตาม รวดเร็ว และประสานงานในการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การจัดทำฐานข้อมูลและวิเคราะห์: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการจัดทำฐานข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนและวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของอุบัติเหตุได้อย่างถูกต้อง
5.การพัฒนางานด้านความปลอดภัยทางถนน: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้า วิจัย และพัฒนางานด้านความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้สามารถดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างเหมาะสม
6.การประชาสัมพันธ์และให้ความรู้: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนมีหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานและให้ความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนต่อสาธารณะ
รายงานผลการดำเนินงานประจำปีจะถูกส่งต่อให้คณะกรรมการ นปถ. และคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สามารถตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนางานในอนาคต
2)ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด (ศปถ. จังหวัด ) เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในระดับจังหวัด โดยมีลักษณะความสำคัญดังนี้:
1.การจัดทำแผนและการดำเนินงาน: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดมีหน้าที่ในการจัดทำแผนปฏิบัติการ แผนงาน โครงการ และงบประมาณเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการพัฒนาจังหวัด เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ของจังหวัด
2.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดมีความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในเขตจังหวัด โดยให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
3.การจัดทำฐานข้อมูลและสถิติ: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดจัดให้มีศูนย์ข้อมูลและสถิติอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การพัฒนาบุคลากร: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดจัดให้มีโครงการพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยทางถนน เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะทางวิชาชีพให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในสาขานี้
5.การส่งเสริมการให้ข้อมูลและประชาสัมพันธ์: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดมีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์การดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักและความรับผิดชอบในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในประชาคม
ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนนจังหวัดมีหน้าที่สำคัญในการนำทางและดูแลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนในระดับจังหวัดให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการพัฒนาจังหวัดอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
3) ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร (ศปถ.กทม.) เป็นหน่วยงานที่สำคัญในการจัดการและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีความสำคัญดังนี้:
1.การกำหนดและดำเนินงาน: ศปถ.กทม. มีหน้าที่ในการกำหนดและดำเนินงานเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมุ่งเน้นในการปรับปรุงสภาพถนน การจราจร และการศึกษาค้นคว้าเพื่อวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุเพื่อปรับปรุงการจราจรให้ปลอดภัยมากขึ้น
2.การสร้างคณะกรรมการ: ศปถ.กทม. จัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อมีการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร
3.การพิจารณาและดำเนินการ: ศปถ.กทม. มีอำนาจในการพิจารณาและดำเนินการในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้ข้อมูลและข่าวสารที่เป็นประโยชน์เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร
+ ระดับปฏิบัติการ
1) ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ (ศปถ.อำเภอ) เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในระดับอำเภอ โดยมีความสำคัญดังนี้:
1.การกำหนดและดำเนินการ: ศปถ.อำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้อำนวยการศูนย์และคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคลากรระดับสูงและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากนายอำเภอ มีอำนาจในการจัดทำแผนปฏิบัติการและโครงการเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับอำเภอ
2.การปฏิบัติงาน: ศปถ.อำเภอ มีหน้าที่ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและโครงการที่กำหนดขึ้น รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ในอำเภอ
3.การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์: ศปถ.อำเภอ มีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงการจัดทำศูนย์ข้อมูลและสถิติอุบัติเหตุทางถนน เผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์การดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้และเชื่อมโยงกับกิจกรรมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับอำเภอ
2) ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ศปถ.อปท.) เป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญในการแก้ไขและป้องกันปัญหาทางถนนในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีการตรวจสอบพบปัญหาเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางถนนที่มีความรุนแรงหรือมีการเกิดอย่างไม่พอใจซึ่งจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่นั้น
คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประกอบด้วย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์ และมีคณะกรรมการศูนย์ที่ประกอบด้วยผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นประธาน มีหน้าที่ในการจัดการแก้ไขปัญหาและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพและความเป็นไปได้สูงสุด โดยการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางถนนของจังหวัด และร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการประสานงานและปฏิบัติตามมาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่
3) ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนเขต สำหรับกรุงเทพมหานคร เป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญในการจัดการแก้ไขและป้องกันปัญหาทางถนนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อมีความจำเป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสามารถพิจารณาให้มีศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในเขตที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกําหนดศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้ จะมุ่งเน้นในการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนในพื้นที่ของเขตกรุงเทพมหานคร การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้จะช่วยให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทางถนนที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครอย่างทันท่วงที
ที่มา : ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (http://roadsafety.disaster.go.th/gallerydetail.roadsafety-1.196/6186/menu_7374/965.1/คณะอนุกรรมการ+ศปถ.#s)
2.2 บทบาทของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง
+ ภาคนโยบาย
1) กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงสาธารณสุขมีความสำคัญในการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร เครื่องมือ และนวัตกรรมในการเฝ้าระวังและป้องกันการบาดเจ็บทางถนน เพื่อให้ได้มาตรฐานสูงสุด ซึ่งมีกลุ่มงานรับผิดชอบในการพัฒนานั้น มีดังนี้:
1.กลุ่มพัฒนานโยบายและสารสนเทศการบาดเจ็บจากการจราจร
2.กลุ่มพัฒนามาตรการป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร
3.ศูนย์ความร่วมมือด้านข้อมูลการบาดเจ็บ (IDCC)
กลุ่มงานเหล่านี้มุ่งเน้นในการจัดทำและปรับปรุงเครื่องมือและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังและป้องกันการบาดเจ็บทางถนน รวมถึงการรายงานผลการสอบสวนการบาดเจ็บจากการจราจร และการพัฒนาความรู้และเครื่องมือให้กับภาคีเครือข่าย เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพและแก้ไขอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมีการจัดทำ e-Book, e-Learning, สื่อมัลติมีเดีย และเกมส์การเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและป้องกันการบาดเจ็บทางถนนให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพ
2) กระทรวงคมนาคม
กระทรวงคมนาคมมีบทบาทสำคัญในการสร้าง พัฒนา และปรับปรุงถนนและสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดที่รับผิดชอบต่าง ๆ ดังนี้:
สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.): มีภารกิจในการเสนอแนะนโยบายและจัดทำแผนหลัก แผนแม่บท และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการขนส่งและจราจร เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย หน่วยงานนี้มี
หน้าที่จัดทำรายงานวิเคราะห์สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน และการจัดทำคู่มือและมาตรฐานเครื่องหมายจราจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ถนนที่มา:https://www.otp.go.th/
กรมการขนส่งทางบก: มีหน้าที่พัฒนาและส่งเสริมระบบขนส่งทางถนนให้มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการกำกับดูแลระบบการขนส่งทางถนนและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้มีการใช้รถและถนนอย่างปลอดภัย
ที่มา:รายงานประจำปี 2564 กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน https://online.pubhtml5.com/glat/cdal/#p=1
กรมทางหลวง: มีหน้าที่ดูแลและบริการทางหลวงสำหรับประชาชน โดยให้บริการแอปพลิเคชัน DOH to Travel สำหรับการค้นหาสถานที่และแนะนำเส้นทาง การตรวจสอบสถานการณ์บนทางหลวง และการแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนทางหลวง อีกทั้งยังมีการจัดทำคู่มือและแนะนำเส้นทางเลือกในช่วงเทศกาล และการแจ้งเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการเดินทางโดยสารและรถบรรทุก
ที่มา:https://www.doh.go.th
3) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกในการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและสังคม โดยมีศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ทำหน้าที่ให้บริการด้านการจราจรและลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดคลิปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มความตระหนักและปฏิบัติตามกฎจราจร การทดสอบและพัฒนาความรู้ความสามารถของตำรวจจราจรในด้านกฎหมายและแนวทางปฏิบัติ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวันในช่วงเทศกาล การสร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยตามกฎหมายจราจรให้กับสังคม และมีกองบังคับการตำรวจจราจรที่รับผิดชอบในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ครอบคลุมงานสายตรวจ การตรวจพิสูจน์/สถิติวิจัย ศูนย์ควบคุมจราจรทางด่วน ศูนย์ควบคุมจราจรพื้นที่ และฝ่ายปฏิบัติงานพิเศษจราจร และมีกองบังคับการตำรวจทางหลวงดูแลพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ โดยมีการใช้เทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์เข้ามาช่วยในการติดตามสถานการณ์ของการจราจรด้วยการแสดงแผนที่และระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด CCTV เพื่อควบคุมสถานการณ์ของจราจรบนเส้นทางถนนหลัก และการดูแลพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศด้วยกองบังคับการตำรวจทางหลวง
ที่มา:http://www.trafficpolice.go.th
4) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มีภารกิจในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินอย่างเท่าเทียม มีคุณภาพและได้มาตรฐาน โดยให้ผู้ประสบอุบัติเหตุหรือผู้ป่วยฉุกเฉินโทรแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่งานวิชาการ เช่น คู่มือการปฐมพยาบาลฉุกเฉินและการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน และจัดพิมพ์วารสารการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย (Journal of Emergency Medical Services of Thailand) เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นในด้านการแพทย์ฉุกเฉินอย่างกว้างขวาง
+ ภาควิชาการ
1) ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย (มนป.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสสส. ต่อเนื่องถึงระยะที่ 6 (พ.ศ. 2563 – 2565) เพื่อสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อการจัดการความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย ซึ่งมีการดำเนินงานผ่านหน่วยงาน
ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมทั้งในระดับส่วนกลางและระดับพื้นที่
มี 6 แผนงานหลัก ได้แก่
1.แผนงานรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย
2.แผนงานรถจักรยานยนต์กับความปลอดภัยทางถนน
3.แผนงานการบังคับใช้กฎหมาย
4.แผนงานระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
5.แผนงานการจัดการกลไกความปลอดภัยทางถนน
6.แผนงานสถานประกอบการกับความปลอดภัยทางถนน
ศวปถ. มุ่งเน้นในการผลักดันองค์ความรู้สู่หน่วยงานระดับส่วนกลาง เพื่อกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ นโยบายสาธารณะ และร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่องความปลอดภัยทางถนน เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และเป็นเวทีแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติการ
ปัจจุบัน ศวปถ. มุ่งพัฒนาชุดความรู้และข้อเสนอนโยบายเพื่อนำไปสู่การจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดความสุญเสียในประเทศไทย และผลักดันให้กลไกจัดการระดับพื้นที่มีการพัฒนาระบบงานเพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
2) แผนงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ที่มา:https://www.rswgsthai.com/index.php ภายใต้มูลนิธิความปลอดภัยทางถนนได้รับการสนับสนุนจากสสส. อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 9 โดยมีผลการดำเนินงานในระยะที่ 8 (พ.ศ. 2562 - 2564) พบว่า มีการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ 76 จังหวัด
ทั่วประเทศ (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) โดยแบ่งการบริหารจัดการเป็น 7 ภูมิภาค คือ
1.ภาคเหนือตอนบน
2.ภาคเหนือตอนล่าง
3.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
4.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
5.ภาคตะวันออก
6.ภาคกลาง
7.ภาคใต้
ทุกภาคมีคณะกรรมการบริหารภาคและทีมสนับสนุนวิชาการ (พี่เลี้ยงสอจร.) ให้ข้อแนะนำในการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนนในทุกจังหวัด และทำงานร่วมกับแกนนำจังหวัด อำเภอ และภาคีเครือข่ายต่างๆ โดยมี 5 ยุทธศาสตร์ คือ
1.การสร้างความรู้และพัฒนายกระดับศักยภาพภาคีเครือข่ายโดยใช้ระบบสารสนเทศ
2.การรวมพลังทุกภาคีเครือข่ายเคลื่อนการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนสร้างจังหวัดปลอดภัย
3.มาตรการองค์กรและมาตรการพื้นที่
4.สื่อสารสาธารณะและสร้างกระแส/Market Share
5.ผลักดันนโยบายด้าน Road Safety ให้เกิดเป็นวาะอำเภอและวาระจังหวัด
ผลการดำเนินงานที่สำคัญคือ
1.เกิดการพัฒนาศักยภาพพี่เลี้ยง สอจร. เพื่อเติมเต็มความรู้และทักษะในการทำงานให้กลุ่มพี่เลี้ยงระดับจังหวัดและอำเภอ
2.เกิดการทบทวนบทเรียนการทำงานและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามภาคข้ามจังหวัดในการจัดการปัญหาอุบัติเหตุจราจรตามบริบทพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
3.เกิดการนิเทศติดตามประเมินการทำงานแบบเสริมพลัง ตลอดกระบวนการเพื่อให้พี่
เลี้ยง สอจร. และคณะทำงานได้สะท้อนข้อมูล ปัญหาอุปสรรค และปัจจัยเงื่อนไขความสำเร็จ
4.เกิดการตั้งวงประชุมร่วมสรุปบทเรียนและจัดทำรายงานสถานการณ์อุบัติเหตุจราจรทั้ง 75 จังหวัด โดยคณะทำงานจังหวัด/ ศปถ. จังหวัดร่วมกันวิเคราะห์และให้คะแนนจังหวัดตนเอง
5.มีการเชื่อมประสานกับโครงการอื่นๆ ภายใต้คณะทำงานขับเคลื่อนงาน สอจร.
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) โดย นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ประธานแผนงาน สอจร. สนับสนุนโดย สสส. และมูลนิธิเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
3) มูลนิธิไทยโรดส์ (Thai Roads Foundation) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 จากแนวคิดและการสนับสนุนของ สสส. ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบ
ข้อมูลและตัวชี้วัดสะท้อนสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย โดยมีกิจกรรมหลักดังนี้:
1.การสำรวจอัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน
2.การสำรวจอัตราการคาดเข็มขัดนิรภัยของผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทย
3.การสำรวจพฤติกรรมการใช้ความเร็วบนทางหลวงสายหลัก
4.การสำรวจพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนและทัศนคติต่อการบังคับใช้กฎหมาย
5.การพัฒนาระบบรายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนโดยหน่วยกู้ชีพ/กู้ภัย
6.การจัดทำคู่มือการกำหนดความเร็วจำกัดในเขตเมืองและเทศบาล
7.ผลงานวิจัยต่างๆ เช่น ศึกษาการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุจากการชนท้ายกรณีศึกษาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 ฯลฯ
นอกจากนี้ มูลนิธิไทยโรดส์ยังมีการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนน (Road Safety Watch: TRSO) ซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิไทยโรดส์ และสถาบันอุดมศึกษา 8 แห่งทั่วทุกภูมิภาค เพื่อพัฒนาและจัดการข้อมูลสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนให้ครบถ้วนและทันเหตุการณ์ และนำเสนอข้อมูลเพื่อเกาะติดสถานการณ์และสะท้อนปัญหาไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ
ที่มา:http://www.thairoads.org/about/history
4) สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีเป้าหมายที่สำคัญในการรณรงค์สื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างนโยบายสาธารณะในเรื่องการจัดการความเร็วของพาหนะที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มรถจักรยานยนต์และกลุ่มอื่น ๆ โดยเน้นการทำงานกับเครือข่ายสื่อมวลชน เครือข่าย สสส. และเครือข่ายเชิงยุทธศาสตร์
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ มีดังนี้:
1.การสื่อสารเพื่อผลักดันนโยบายหรือสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบาย โดยทำงานร่วมกับภาคีเดิมที่ทำ MOU ร่วมกันและภาคี สสส.
2.เพิ่มภาคีเครือข่ายหมออนามัยในการดำเนินงานให้เกิดพื้นที่ต้นแบบในภูมิภาค รพ.สต. ต้นแบบการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และคณะนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เดิม
3.การสื่อสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่อง “ความเร็ว” เป็นประเด็นหลักประเด็นเร่งด่วนในสถานการณ์ปัจจุบัน และยึดประเด็นรถจักรยานยนต์ปลอดภัย การสวมหมวกนิรภัย และการดำเนินการร่วมกับเยาวชนกลุ่มเสี่ยง
4.มีการจัด Campaign รณรงค์ การผลิตและกระจายสื่อที่มีคุณภาพ
5.การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ทันสมัยและมีความน่าสนใจเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดอุบัติเหตุทางถนน
ที่มา:http://www.accident.or.th/
5) ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มีบทบาทสำคัญในการศึกษาอุบัติเหตุเชิงลึกด้วยการสืบค้นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุและการฟื้นฟูสภาพการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อทำการวิเคราะห์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด:
1.จัดตั้งทีมสืบค้นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุขึ้น เพื่อเก็บข้อมูลอุบัติเหตุอย่างละเอียด เช่น ข้อมูลเบื้องต้น สถานที่เกิดเหตุ รถและผู้ประสบอุบัติเหตุ
2.ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเข้าใจลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สาเหตุการบาดเจ็บของผู้ประสบอุบัติเหตุ และองค์ประกอบที่เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
3.จัดทำรายงานอุบัติเหตุเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาต่อไป
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยยังพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อจัดเก็บปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุและข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการศึกษาเชิงลึกอย่างเป็นระบบ โดยซอฟท์แวร์นี้จะถูกพัฒนาเป็นระบบ Client Server เพื่อเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลบนเครื่อง Server ร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังมีการจัดบริการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนและฝึกอบรม/สัมมนาเพื่อพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยและเผยแพร่ความรู้ทางด้านความปลอดภัยทางถนนให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา:http://www.tarc.or.th
+ ภาคประชาสังคม/ภาคเอกชนและอื่นๆ
1) มูลนิธิเมาไม่ขับ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่มีผลในการปฏิบัติ เพื่อลดพฤติกรรมเมาแล้วขับ และรณรงค์ให้เกิดกระแสว่าพฤติกรรมเมาแล้วขับไม่เป็นที่
ยอมรับของสังคมไทย โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการรณรงค์เมาไม่ขับครอบคลุมทั่วประเทศ และสนับสนุนการจัดกิจกรรมรณรงค์เมาไม่ขับในเทศกาลสำคัญ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่มีประโยชน์เช่น กฎหมายจราจร สถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ เพื่อสร้างการเข้าใจและการรับรู้ในสังคม
นอกจากนี้ มูลนิธิเมาไม่ขับยังสนับสนุนการสร้างเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับให้เป็นองค์กรถาวร และมีการจัดตั้งสำนักงานเหยื่อเมาแล้วขับในส่วนกลางและศูนย์ประสานงานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับในส่วนภูมิภาคขึ้น เพื่อรวบรวมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมุ่งเน้นในการสร้างจิตสำนึก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กับบุคคลในสังคม และพัฒนาศักยภาพและพิทักษ์สิทธิเหยื่อเมาแล้วขับให้สามารถ
ดำรงชีวิตได้ ที่สำคัญอีกด้านคือการรวบรวมข้อมูลสถิติสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากเหยื่อเมาแล้วขับ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวางแผนแก้ไขปรับปรุงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับระดับจังหวัดยังจัดกิจกรรมรณรงค์เมาไม่ขับในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทง เป็นต้น
ที่มา:https://www.ddd.or.th/pages/view/aboutus
2) สมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ (http://www.mohanamai.net)
สมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการร่วมมือกับสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายหมออนามัยหรือผู้นำหมออนามัยแนวใหม่ (Mohan Amai Academy) ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการนำเสนอมาแล้ว 2 รุ่น โดยมุ่งหวังในการพัฒนาและสร้างศักยภาพของหมออนามัยรุ่นใหม่ในทุกสาขาวิชาทั้งสาธารณสุข พยาบาล แพทย์แผนไทย ทันตาภิบาล ซึ่งมีความหลากหลายในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาศักยภาพในการจัดการปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของหมออนามัยในการเสนอและดำเนินงาน รวมถึงการนำหลักสูตรผู้นำหมออนามัยแนวใหม่เข้ามาใช้ในการบูรณาการการขับเคลื่อนงานและการปฏิบัติ เชิงรุกร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและภาคประชาสังคม โดยยึดมุมมองในการพัฒนางานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผ่านการวิจัยจากงานประจำ (Routine to Research: R2R) และการสร้างนวัตกรรมทางสุขภาพ นอกจากนี้ หมออนามัยรุ่นใหม่ยังมีบทบาทในการอำนวยกระบวนการเรียนรู้ เป็นผู้ประสานและร่วมในการจัดการพัฒนาเชิงพื้นที่ สามารถเชื่อมต่อและส่งเสริมระบบและกลไกให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพได้เช่นกัน โดยมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมและเครือข่ายในระดับ
ภูมิภาคและสากล เพื่อการบูรณาการและเติบโตอย่างยั่งยืนของสาขาวิชาด้านสุขภาพและการแพทย์ในประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งหวังที่จะเป็นหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนานวัตกรรมและเครือข่ายทางสุขภาพในระดับภูมิภาคและสากล
ที่มา:https://www.hfocus.org/content/2021/09/22927
3) บริษัทกลางผู้คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 10 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 เพื่อเสริมสร้างความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับค่าสินไหมทดแทน โดยการให้บริการรับคำร้องขอและจ่ายค่าสินไหมทดแทนในพื้นที่ที่ไม่มีสาขาของบริษัทประกันภัยอยู่ นับตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2541 เป็นต้นมา และได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2542 ในการรับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อให้เป็นทางเลือกอีก
หนึ่งสำหรับประชาชนในการจัดทำประกันภัยประเภทนี้ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ความคุ้มครองและสะดวกสบายในการทำประกันภัยให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ ซึ่งมีผลเสริมสร้างความเชื่อมั่นและการมีความสะดวกสบายในการใช้งานระบบประกันภัยในประเทศไทยอย่างแท้จริง
ที่มา:https://www.rvp.co.th
2.3 สสส. ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายต่างๆ
+ ปี 2557
-การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานในการสร้างความปลอดภัยทางถนน(Road Safety)และการรณรงค์เพื่อลดอุบัติเหตุ(Accident Reduction) ระหว่างปี 2554-2557 ของศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ และมูลนิธิเมาไม่ขับ ผ่านการติดตามผลและการประเมินผลเพื่อทราบถึงความก้าวหน้าและปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการดำเนินงานและวางแผนในอนาคต เนื่องจากทราบข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมและมาตรการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน และเสริมสร้างความตระหนักและมีส่วนร่วมจากประชาชนในการดำเนินงานด้วย
ที่มา:รายงานผลการดำเนินงานระหว่าง กย.54-มค.57 การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการสร้างความปลอดภัยทางถนน (Road Safety) และการรณรงค์เพื่อลดอุบัติเหตุ (Accident Reduction) โดย นายสมบัติ เหสกุล และคณะทำงาน เสนอต่อ สสส. (1 กุมภาพันธ์ 2557)
-การประเมินแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร (สอจร.5)
"รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร (สอจร.5)" เป็นเอกสารที่มีความสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินโครงการหรือแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุจราจร โดยมักจะใช้ในการประเมินผลสำเร็จของโครงการนั้น ๆ หรือใน
การวางแผนแก้ไขปรับปรุงโครงการต่อไป โดยมักจะมีเนื้อหาสำคัญดังนี้:
ข้อมูลพื้นฐาน: เริ่มต้นด้วยข้อมูลพื้นฐานของโครงการ เช่น ชื่อโครงการ รายละเอียดเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบ และวัตถุประสงค์ของโครงการ
การวิเคราะห์สถานการณ์: การทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจร เช่น ประเภทของอุบัติเหตุ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และผลกระทบที่เกิดขึ้น
วัตถุประสงค์และเป้าหมาย: ระบุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุจราจร เช่น การลดอุบัติเหตุ การเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง เป็นต้น
แผนการดำเนินงาน: รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานของโครงการ เช่น
กิจกรรมที่จะทำ เวลาที่จะดำเนินการ และผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม
การประเมินผล: การวิเคราะห์ผลลัพธ์หรือผลการดำเนินงานของโครงการ เพื่อปรับปรุงหรือปรับแก้การดำเนินการต่อไป
การติดตามและประเมินผล: วิธีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ว่าโครงการได้ผลตามเป้าหมายหรือไม่
ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ: สรุปผลการประเมินโครงการ และให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงหรือการดำเนินการในอนาคต
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร (สอจร.5) โดย รศ.นพ.สมพนธ์ ทัศนิยม และคณะ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สนับสนุนโดย สสส. (มิถุนายน 2557) )
+ ปี 2558
-การประเมินผลและถอดบทเรียนการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนเพื่อการแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนแบบ
บูรณาการในพื้นที่นำร่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ สอจร. เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนให้มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สรุปใจความสำคัญของกระบวนการดังนี้:
การประเมินผล: การวิเคราะห์ผลลัพธ์หลังจากดำเนินการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน โดยระบุปัญหาที่พบ เปรียบเทียบกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการ และระบุความสำเร็จและข้อบกพร่องของโครงการ
การถอดบทเรียน: การวิเคราะห์และระบุบทเรียนที่ได้รับจากกระบวนการ ซึ่งอาจเป็นการปรับปรุงระบบ การเพิ่มความเข้มแข็ง หรือการเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลวของโครงการก่อนหน้านี้
การพัฒนาระบบ: การสร้างแผนการแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนที่ใช้การสืบสวนแบบบูรณาการ เพื่อให้มีการตรวจสอบและปรับปรุงโครงสร้างระบบที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถรองรับการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน: การใช้ข้อมูลและบทเรียนที่ได้จากการประเมินผลและการถอดบทเรียน เพื่อพัฒนาระบบและนโยบายที่สามารถป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในอนาคต
การสร้างความร่วมมือ: การเผยแพร่ข้อมูลและบทเรียนที่ได้เรียนรู้ไปยังหน่วยงานอื่น ๆ และส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนระดับชาติ
ผ่านกระบวนการดังกล่าว สามารถสร้างระบบสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนที่มีประสิทธิภาพและมีการทำงานแบบบูรณาการ เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่นำร่อง
ให้มีการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและชุมชนในท้องถนนอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผลในระยะยาว
ที่มา:(ร่าง) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลและถอดบทเรียนการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน เพื่อการแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนแบบบูรณาการในพื้นที่นำร่อง โดยคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมูลนิธิไทยโรดส์ และเครือข่ายเฝ้าระวังสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนน (มิถุนายน 2558)
-การประเมินผลแผนงานมูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว และสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ
เป็นขั้นตอนสำคัญในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของแผนงานที่ดำเนินการโดยองค์กรหรือมูลนิธิที่เน้นการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มสุราขับขี่ โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การวิเคราะห์ผลลัพธ์: การประเมินผลการดำเนินงานโดยการวิเคราะห์ผลที่ได้จากแผนงาน เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม การ
เพิ่มขึ้นของความตั้งใจในการไม่ขับขี่ขณะดื่มสุรา เป็นต้น
การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง: การระบุและวิเคราะห์ข้อบกพร่องหรือปัญหาที่พบระหว่างดำเนินงาน เพื่อการปรับปรุงและแก้ไขในอนาคต
การปรับปรุงแผนงาน: การใช้ข้อมูลจากการประเมินผลเพื่อปรับปรุงแผนงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือวัตถุประสงค์ตามความเหมาะสม
การสร้างการเรียนรู้: การใช้ข้อมูลจากการประเมินผลเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินการในอนาคต และการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับผู้สนใจอื่น
การประเมินระยะยาว: การตรวจสอบผลการดำเนินงานในระยะยาว เพื่อวัดความสำเร็จ
ของแผนงานและสามารถปรับปรุงในระยะยาวได้ตามสถานการณ์
ผ่านกระบวนการดังกล่าว องค์กรหรือมูลนิธิจะสามารถพัฒนาและปรับปรุงแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มสุราขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคมและชุมชนที่เป็นเป้าหมายในระยะยาว
ที่มา:รายงานโครงการประเมินผลแผนงานมูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว และสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ โดย รศ.ดร.อุษา บิ๊กกิ้นส์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เสนอต่อ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
+ ปี 2559
-การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการสร้างความปลอดภัยทางถนน (Road Safety) ทางวิชาการและการสื่อสารของศวปถ. ไทยโรดส์ และ สพฉ
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญเพื่อวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานในการสร้างความปลอดภัยทางถนน โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การติดตามการดำเนินงาน: การติดตามและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน โดยระบุกิจกรรมที่ดำเนินการ และเก็บข้อมูลที่เป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินผล เช่น จำนวนอุบัติเหตุ ระยะเวลาการดำเนินงาน เป็นต้น
การประเมินผล: การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการดำเนินงาน โดยใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ เพื่อปรับปรุงและปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานในอนาคต
การวิจัยและพัฒนา: การนำความรู้และข้อมูลที่ได้จากการติดตามและการประเมินผลมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนานโยบาย กลยุทธ์ และเครื่องมือในการสร้างความปลอดภัยทางถนน
การสื่อสาร: การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการสื่อสารระหว่างองค์กรหรือหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการสร้างความปลอดภัยทางถนน
การสร้างนโยบาย: การใช้ข้อมูลและการวิจัยในการพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน เพื่อส่งเสริมและป้องกันอุบัติเหตุในอนาคต
ผ่านกระบวนการดังกล่าว ศวปถ. และสพฉ. จะสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิผลและมีความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยในระยะยาว
ที่มา:รายงานผลการดำเนินงานติดตามและประเมินผลการดำเนินงานการสร้างความปลอดภัยทางถนน (Road Safety) ทางวิชาการและการสื่อสารของศวปถ. ไทยโรดส์ และ สพฉ โดย นายสมบัติ เหสกุล และคณะทำงาน เสนอต่อ สสส. (พฤษภาคม 2559)
-การติดตามประเมินผลและเสนอรูปแบบการรณรงค์เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะของ
แผนงานมูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว และสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การติดตามผล: การติดตามและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานเพื่อประเมินว่ากิจกรรมที่ทำได้เป็นไปตามเป้าหมายและสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ได้หรือไม่
การประเมินผล: การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของกิจกรรมที่มีการดำเนินงาน เพื่อปรับปรุงแผนงานและกิจกรรมในอนาคต
การเสนอรูปแบบการรณรงค์: การสร้างและเสนอแนวทางการสื่อสารและการรณรงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน และการเลือกใช้รูปแบบการสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
การขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะ: การใช้การรณรงค์และสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักและเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
การสร้างสังคมอนุรักษ์: การสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในชุมชนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจและร่วมมือกันในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน
ที่มา:ฉบับสมบูรณ์โครงการติดตามประเมินผลและเสนอรูปแบบการรณรงค์เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะของแผนงานมูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว และสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ โดย รศ.ดร.อุษา บิ๊กกิ้นส์ และคณะ เสนอต่อ สสส. (ธันวาคม 2559)
-การประเมินผลการดำเนินงานของแผนงานป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) พ.ศ. 2557-2559
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุจราจรใน
ระดับจังหวัดในช่วงเวลาตามที่ระบุ โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
วิเคราะห์ความสำเร็จ: การใช้ข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์ความสำเร็จและความล้มเหลวของแผนงานในการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ซึ่งอาจรวมถึงการลดอุบัติเหตุ การปรับปรุงสภาพถนน หรือการเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง เป็นต้น
การประเมินภาพรวม: การทำสรุปผลการดำเนินงานโดยรวมของแผนงาน ระบุจุดเด่นและจุดอ่อน และแนวทางการปรับปรุงในอนาคต
การตรวจสอบสถานการณ์: การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจรในจังหวัด เพื่อเข้าใจแนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ
การวางแผนปรับปรุง: การกำหนดและวางแผนกิจกรรมหรือมาตรการในการ
ปรับปรุงสภาพถนน การฝึกอบรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอุบัติเหตุ
การสื่อสารผล: การนำผลการประเมินและข้อมูลสำคัญไปสู่ส่วนราชการและประชาชนเพื่อเสริมสร้างการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์การประเมินผลการดำเนินงานของแผนงานป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) พ.ศ. 2557-2559 โดย นพ. วิวัฒน์ โรจนพิทยากร และคณะ เสนอต่อ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
+ ปี 2560
-การประเมินผลแผนงานศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของกิจกรรมที่ดำเนินการของศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การวิเคราะห์ผลลัพธ์: การตรวจสอบและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของกิจกรรมที่ดำเนินการ
ของศูนย์วิชาการ เพื่อหาความสำเร็จและความล้มเหลวของแผนงาน
การประเมินความสำเร็จ: การใช้ตัวชี้วัดและเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในการประเมินความสำเร็จของกิจกรรม เช่น การลดอุบัติเหตุทางถนน การเพิ่มความตระหนักในปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น
การปรับปรุงแผนงาน: การใช้ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงแผนงานที่มีอยู่ และกำหนดแนวทางในการดำเนินการในอนาคต
การสื่อสารผล: การแบ่งปันผลลัพธ์ของการประเมินกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรหรือส่วนราชการอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินผลแผนงานศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน โดย ผศ.ดร.อรพรรณ คงมาลัย สนับสนุนโดย สสส. (มิถุนายน 2560)
-การทบทวนและประเมินผลโครงการขับเคลื่อนหมออนามัยพัฒนาเครือข่ายทาง
ปัญญาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน (บุหรี่ อุบัติเหตุ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และโรคเรื้อรัง) ระยะที่ 1
เป็นกระบวนการสำคัญที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์และประเมินผลของโครงการที่เน้นการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในชุมชน โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การวิเคราะห์โครงการ: การทบทวนและวิเคราะห์โครงการเพื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ และกิจกรรมที่ดำเนินการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน เช่น การเลือกใช้วิธีการและกิจกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
การเก็บข้อมูล: การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น สถิติการบุหรี่ อุบัติเหตุทางถนน การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และโรคเรื้อรังในชุมชน
การประเมินผล: การวิเคราะห์ผลของโครงการที่ดำเนินการ เพื่อตรวจสอบว่ามีผลต่อการลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชนอย่างไร
การปรับปรุงแผนการดำเนินงาน: การใช้ข้อมูลและผลการประเมินเพื่อปรับปรุงแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป เพื่อให้มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
การสร้างนโยบาย: การนำผลการประเมินไปใช้ในการกำหนดนโยบายหรือแนวทางที่เหมาะสมในการลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน
ผ่านกระบวนการดังกล่าว โครงการจะสามารถปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมที่เกี่ยวข้องให้มีผลลัพธ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในชุมชนได้อย่างเหมาะสม
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์ผลการทบทวนและประเมินผลโครงการขับเคลื่อนหมออนามัยพัฒนาเครือข่ายทางปัญญาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน (บุหรี่ อุบัติเหตุ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และโรคเรื้อรัง) ระยะที่ 1 โดย ดร.เพชรมณี วิริยะสืบพงศ์ เสนอต่อ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
+ ปี 2561
-การประเมินผลแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) พ.ศ.2559-2561
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการตรวจสอบและประเมินผลของแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัดในช่วงเวลาที่ระบุ โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การวิเคราะห์แผนงาน: การตรวจสอบและวิเคราะห์แผนงานที่กำหนดไว้ในการสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด เพื่อทราบว่ามีการดำเนินการตามแผนอย่างไร
การประเมินผล: การใช้ตัวชี้วัดและเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในการประเมินผลของแผนงาน เพื่อวัดผลลัพธ์และความสำเร็จของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการ
การวางแผนปรับปรุง: การใช้ข้อมูลและผลการประเมินเพื่อปรับปรุงแผนงานที่มีอยู่ และกำหนดแนวทางการดำเนินการในอนาคต
การสื่อสารผล: การแบ่งปันผลลัพธ์ของการประเมินกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการป้องกันอุบัติเหตุ
ผ่านกระบวนการดังกล่าว สอจร. สามารถทราบถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการสนับสนุนและป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด และนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวางแผนและปรับปรุงการดำเนินงานในอนาคตอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว
ที่มา:รายงานการประเมินผลแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรในระดับจังหวัด (สอจร.) พ.ศ.2559-2561 โดย ผศ.ดร.สังวรณ์ งัดกระโทก เสนอต่อ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
+ ปี 2563
-การประเมินกลุ่มโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนของมูลนิธิเมาไม่ขับ
รายงานโครงการวิจัยเพื่อประเมินกลุ่มโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนที่นำเสนอโดย ผศ.ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม จากมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ที่เสนอต่อ สสส. ในเดือนมีนาคม 2563 เป็นการวิจัยที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นการประเมินและวิเคราะห์กลุ่มโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนซึ่งมีผลต่อการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การสร้างฐานข้อมูล: การวิจัยช่วยในการสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญในการวิเคราะห์และประเมินผลของกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ
การประเมินความสำเร็จ: โครงการช่วยในการประเมินความสำเร็จของโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์แนวโน้ม: การศึกษาช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของกิจกรรมรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งสามารถช่วยในการกำหนดแนวทางการดำเนินงานในอนาคต
การแนะนำนโยบาย: การวิจัยสามารถให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายหรือแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนในระดับต่าง ๆ
การพัฒนาวิทยานิพนธ์: โครงการวิจัยสามารถเป็นพื้นฐานในการพัฒนาวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนนในวงการวิชาการ
ที่มา:รายงานโครงการวิจัยเพื่อประเมินกลุ่มโครงการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยทางถนน โดย ผศ.ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร เสนอต่อ สสส. (มีนาคม 2563)
-การประเมินผลแผนงานศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ระยะที่ 5
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการตรวจสอบและประเมินผลของแผนงานศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนนในระยะเวลาที่กำหนด โดยสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้:
การวิเคราะห์ความสำเร็จ: การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์ความสำเร็จและความล้มเหลวของแผนงาน โดยระบุผลลัพธ์ที่ได้รับและความสอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้
การประเมินภาพรวม: การทำสรุปผลของการดำเนินงานโดยรวมของศูนย์วิชาการ เพื่อจะได้เห็นจุดเด่นและจุดอ่อนของแผนงาน
การปรับปรุงแผนงาน: การใช้ข้อมูลจากการประเมินผลเพื่อปรับปรุงแผนงานที่มีอยู่ และกำหนดแผนการดำเนินงานในอนาคต
การสื่อสารผล: การนำผลการประเมินและข้อมูลสำคัญไปสู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์การประเมินผลแผนงานศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ระยะที่ 5 โดย ดร.เพชรมณี วิริยะสืบพงศ์ และคณะเสนอต่อ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
2.4 ข้อมูลองค์ความรู้ในการขับเคลื่อนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนตามหลักคิด 5 เสาหลัก
เสาหลักที่ 1: การบริหารจัดการด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ
เสาหลักที่ 1 การบริหารจัดการด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นที่การจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. 2554 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้หน่วยงานรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตาม มีการบูรณาการระหว่าง
หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนโยบาย การวางแผนงบประมาณ และการติดตามประเมินผล เพื่อประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยมีโครงสร้างการขับเคลื่อนงานที่แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับนโยบายที่เป็นคณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ (คณะกรรมการ นปถ.) ระดับอำนวยการที่เป็นศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนส่วนกลาง (ศปถ.ส่วนกลาง) และศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด (ศปถ.จังหวัด) และระดับปฏิบัติการที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ (ศปถ.อำเภอ) และศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ศปถ.อปท.)
โดยมีการจัดกลุ่มเป็น 2 หมวดย่อย ได้แก่
1) การพัฒนากลไกขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนนระดับต่างๆ
2) เครื่องมือ/ความรู้สำหรับใช้ในการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน
ที่มา:ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. 2554 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนพิเศษ 4 ง วันที่ 14 มกราคม 2554)
1) การพัฒนากลไกขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนนระดับต่างๆ
ปี พ.ศ. 2546 สสส.ให้การสนับสนุนโครงการแก่หน่วยจัดการความรู้เพื่อถนนปลอดภัย (จรป.) เพื่อสร้างความประสานงานที่ดีให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับถนน การสนับสนุนนี้เน้นการประสานงานเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนในประเทศไทย การสนับสนุนนี้มุ่งเน้นที่การร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาและส่งเสริมนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการความปลอดภัยทางถนนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปี พ.ศ. 2548 สสส.ได้สนับสนุนโครงการในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนใน 26 จังหวัดนำร่อง (สอจร.) ในระยะที่ 1 (เมษายน 2548 – มีนาคม 2549) โดยมีการจัดทีมพี่เลี้ยงหรือทีมสนับสนุนวิชาการ (ทีมสอจร.) มาจากสหวิชาชีพเพื่อให้เกิดการร่วมมือและการทำงานร่วมกันในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในระยะที่ 2 (ตุลาคม 2548 – พฤศจิกายน 2549) โครงการได้ถูกขยายไปเป็น 51 จังหวัด
จากการประเมินผลทั้ง 2 ระยะ พบว่า จังหวัดนำร่องได้มีการดำเนินงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในมุมมอง 6 E คือ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) ด้านวิศวกรรม (Engineering) ด้านการให้ความรู้และการประชาสัมพันธ์ (Education) การมีส่วนร่วมและการสร้างอำนาจในชุมชน (Empowerment) ด้านการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (Emergency Medical Service) และด้านการประเมินผล (Evaluation) และมีการบูรณาการทุกภาคส่วนขยายไปยังภาครัฐและเอกชน ทีมสอจร. ที่มีการพัฒนาศักยภาพและขยายจำนวนและหน่วยงานได้กว้างขวางจาก 60 คนในระยะแรกเป็น 200 คน มาจากกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น ครู สาธารณสุข คมนาคม ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ตำรวจ ประกันสังคม คุมประพฤติ ท้องถิ่น ปกครอง สื่อ เอกชน นักวิชาการอิสระ และภาคประชาชน ผลสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลและมีความสามารถในการให้การสนับสนุนและคำแนะนำในการดำเนินงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนให้มีประสิทธิภาพ
การจัดทำคู่มือพี่เลี้ยง สอจร. รวม 2 เล่ม
คู่มือพี่เลี้ยง สอจร. เล่มที่ 1 มุ่งเน้นในการให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่สำคัญของพี่เลี้ยง สอจร. โดยมุ่งเน้นที่จะให้คำแนะนำและแนวทางการดำเนินงานที่เป็นประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย:
1.การกระตุ้นทีม/ภาคีเครือข่ายให้เข้ามาร่วมวางแผน ปฏิบัติการและติดตามผล โดยการสนับสนุนความรู้และการสร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในทีมสหวิชาชีพ การสื่อสารและประสานงานให้เกิดการดำเนินงานในจังหวัด
2.การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง จูงใจและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความกระตือรือร้นและยึดเป้าหมายในงาน
3.การติดตามประเมินผล เสริมพลัง สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ ชวนทบทวนผลผลิตและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
4.การสรุปถอดบทเรียน สร้างกระบวนการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ เพื่อสะท้อนกลับนำไปสู่การพัฒนา
เนื้อหาของคู่มือมีความสำคัญ เน้นการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับพี่เลี้ยง สอจร. เช่น ด้านวิชาการ เช่น องค์ความรู้พื้นฐาน เครื่องมือในการบริหารจัดการโครงการ ภารกิจในการจัดการข้อมูล และด้านการสร้างเครือข่าย ทั้งการสร้างเครือข่ายและการบริหารจัดการเครือข่าย เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผลและสามารถส่งผลประโยชน์ให้กับการลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างเหมาะสม
ที่มา:คู่มือพี่เลี้ยง สอจร.เล่มที่ 1 copy.pdf พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2559 (31 หน้า)
คู่มือพี่เลี้ยง สอจร. เล่ม 2 เน้นให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงความรุนแรงของอุบัติเหตุและองค์ประกอบของอุบัติเหตุ เช่น สถิติข้อมูลผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต จำแนกตามเพศและช่วงอายุ สถานะของผู้ใช้รถใช้ถนน ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ความรุนแรงของอุบัติเหตุ และยานพาหนะที่เกิดเหตุ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในรูปแบบของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนได้เต็มที่
นอกจากนี้ยังมีการเสนอแนวทางการดำเนินงานความปลอดภัยทางถนนทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศ โดยระบุแนวทางการขับเคลื่อนในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและแผนการจัดการความปลอดภัยทางถนนของ
สสส. และนโยบายเร่งด่วนด้านความปลอดภัยทางถนนของกระทรวงสาธารณสุข
เนื่องจากมีการรับทุนสนับสนุนจาก สสส. จึงมีการเสนอแนวทางในการบริหารจัดการโครงการอย่างเป็นระบบ โดยการจัดการด้านการเงินและการจัดทำบัญชีต้องเป็นไปตามหลักการของการบริหารจัดการโครงการ และมีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และมีเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วน และมีการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานที่ส่งให้ สสส. และสอจร. ตามรูปแบบที่กำหนด
ทั้งนี้ยังมีการนำเสนอทำเนียบของพี่เลี้ยง สอจร. ซึ่งแบ่งเป็นรายภาค เช่น สอจร. ส่วนกลาง ทีมสื่อ สอจร. ทีมประเมินผล คณะกรรมการกำกับทิศฯ ภาคีเครือข่าย สอจร. เพื่อให้ความเข้าใจและการทำงานเป็นระบบได้อย่างเหมาะสม
สุดท้ายคู่มือยังระบุปฏิทินวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน เช่น
วันอันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ การงดเหล้าเข้าพรรษา สัปดาห์ความปลอดภัยทางถนนแห่งสหประชาชาติ และวันเหยื่อโลก เพื่อเสริมสร้างความตระหนักและการปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยในการใช้ถนน
ที่มา:คู่มือพี่เลี้ยง สอจร. เล่ม 2 copy.pdf พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤศจิกายน 2559 (96 หน้า) โดย แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) สนับสนุนโดย สสส.
ในช่วงปี 2558-2559 สสส. สนับสนุนแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) เพื่อเป็นกลไกในการจัดการประสานและการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาจราจรในระดับพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 7 ประเด็นหลัก ดังนี้:
1.การบังคับใช้กฎหมาย: เน้นการบังคับใช้กฎหมายทางด้านจราจร โดยมีทั้งหมด 6 โครงการที่ดำเนินการ
2.ชุมชน/ท้องถิ่น: เน้นการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการจัดกิจกรรมในชุมชนและท้องถิ่นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มีโครงการทั้งหมด 13 โครงการ
3.เด็ก เยาวชน สถานศึกษา: เน้นการสร้างและส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้ถนนสำหรับเด็กเยาวชนและสถานศึกษา มีโครงการทั้งหมด 18 โครงการ
4.มาตรการองค์กรและสถานประกอบการ: เน้นการสร้างและส่งเสริมมาตรการในองค์กรและสถานประกอบการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนน มีโครงการทั้งหมด 5 โครงการ
5.การพัฒนาภาคีเครือข่าย: เน้นการสร้างและเพิ่มความเชื่อมโยงในภาคีเครือข่ายที่มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ มีโครงการทั้งหมด 8 โครงการ
6.การพัฒนากลไก สร้างเครือข่าย ศปถ.: การสร้างและพัฒนากลไกและเครือข่ายเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน มีโครงการทั้งหมด 14 โครงการ
7.การประเมินผล: เน้นการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนาและปรับปรุงด้านการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ มีโครงการทั้งหมด 1 โครงการ
โดยการสรุปผลงานนี้ได้แก่การทำงานที่เกิดขึ้นในแต่ละโครงการว่ามีใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยยังเน้นการค้นพบและการขยายผลอย่างต่อเนื่องในด้านนี้ด้วย
ที่มา:(1) หนังสือสรุปผลงาน 65 โครงการ ปี 2558-2559 (พัฒนาจังหวัด/นวัตกรรม/เชิงประเด็น) (ISBN: 978-616-393-120-7) จัดทำโดย พรทิพภา สุริยะ (สอจร.) สนับสนุนโดย สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรกฎาคม 2560) (286 หน้า) และ 2) หนังสือ Best Practice 21 บทเรียนดีๆ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด (ISBN: 978-616-393-128-3) พิมพ์ครั้งที่ 1 (พฤศจิกายน 2560) โดย คณะทำงานแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) สนับสนุนโดย สสส.)
คณะทำงานสอจร.ได้ถอดบทเรียนเรื่องราวดีๆ ของ 21 โครงการ (จาก 65 โครงการ) ออกมาเป็น 7 กลุ่ม โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจและเรียนรู้จากประสบการณ์ดีๆ ที่เกิดขึ้น โดยรายละเอียดของแต่ละกลุ่มคือดังนี้:
1.กลุ่มโครงการ ศปถ.จังหวัด/ศปถ.อำเภอ/ศปถ.อปท.: เน้นการสร้างบทเรียนจากโครงการศูนย์ปฏิบัติการจราจรในระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรประชาชน
2.กลุ่มโครงการการผลิตและการใช้สื่อ: เน้นการสร้างบทเรียนจากการผลิตและการใช้สื่อเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนพฤติกรรม
3.กลุ่มโครงการมาตรการองค์กร หมวกนิรภัย 100%: เน้นการสร้างบทเรียนจากการดำเนินการมาตรการองค์กรและการใส่หมวกนิรภัยในทุกกิจกรรม
4.กลุ่มโครงการสถานศึกษา/เยาวชน/กู้ชีพกู้ภัย: เน้นการสร้างบทเรียนจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา เยาวชน และกู้ชีพกู้ภัย
5.กลุ่มโครงการอาสาสมัครจราจร: เน้นการสร้างบทเรียนจากการอาสาสมัครจราจรในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ
6.กลุ่มโครงการ Technology/CCTV: เน้นการสร้างบทเรียนจากการใช้เทคโนโลยีและระบบกล้องวงจรปิดในการป้องกันอุบัติเหตุ
7.กลุ่มโครงการชุมชน: เน้นการสร้างบทเรียนจากการเคลื่อนไหวและการทำงานร่วมกับชุมชนในการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ
แต่ละโครงการจะนำเสนอบทเรียนเกี่ยวกับวิธีการ รูปแบบ กลไกการดำเนินงาน องค์ประกอบและบทบาทของภาคีเครือข่าย ปัจจัยเงื่อนไข และผลลัพธ์ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความเข้าใจอย่างเต็มที่จากประสบการณ์ดีๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสสส.
สอจร. ได้รวบรวมผลงาน Good Practice Model for Traffic Injury Prevention จากจังหวัดต่างๆ ที่ภาคีเครือข่ายร่วมกันขับเคลื่อนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่เป้าหมายทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น โดยแบ่งเป็น Good Practice ตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญดังนี้:
ภาคกลาง: การเครือข่ายกู้ชีพกู้ภัยของทีมงานเครือข่ายมูลนิธิสว่างเบญจธรรมจังหวัดสมุทรสงครามที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานเชิงรุกและการบูรณาการงาน
ภาคตะวันออก: การจัดการข้อมูลของตำรวจในจังหวัดชลบุรีเพื่อกำกับติดตามแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจาจร
ภาคใต้: การทำวงเวียนในพื้นที่เทศบาลนครภูเก็ตที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ
ภาคเหนือ: การจัดกิจกรรมต่างๆ ของจังหวัดเชียงรายและอุตรดิตถ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง: การพัฒนาระบบข้อมูลการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน 5 มิติเพื่อจัดทำมาตรการชุมชนของจังหวัดสุรินทร์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน: การจัดการปัญหาอุบัติเหตุในชุมชนแบบมีส่วนร่วมของจังหวัดอุบลราชธานี
ผลงานดังกล่าวเป็นต้นแบบที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยนำเสนอแนวทางการทำงาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และปัจจัยความสำเร็จ เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างในพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสอดคล้องกับ
สภาวะและสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ในประเทศไทย
ที่มา:Good Practice Model for Traffic Injury Prevention (เล่มที่ 2) จัดทำโดย คณะทำงาน สอจร. สนับสนุนโดย มนป. , สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (พฤศจิกายน 2559) 258 หน้า
ในปี 2560 สสส. ให้การสนับสนุนโครงการนวัตกรรมและพัฒนาจังหวัดเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 64 โครงการภายใต้การกำกับดูแลของ สอจร. โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนในระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างสำนึกและวินัยเรื่องความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษาทุกระดับ และการส่งผลให้เกิดการสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงในหลายกลุ่ม เช่น เยาวชน ชุมชน ทีมกู้ชีพกู้ภัย และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนโครงการที่ดำเนินการในปีนี้มีผลทำให้เกิดการลดลงของสถิติผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางถนนของแต่ละจังหวัด และมีการสร้างบทเรียนและองค์ความรู้ในการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน โดยเฉพาะโครงการที่เป็นต้นแบบ 26 โครงการ เป็นต้น เช่น การใช้เทคโนโลยีในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน การจัดกิจกรรมและการแนะนำนโยบายใหม่ๆ ซึ่งเป็นการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์และออกแบบการจัดการปัญหาของแต่ละพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาวะและสถานการณ์ท้องถิ่นในประเทศไทย
คณะทำงาน สอจร. ได้ประมวลสรุปบทเรียนและองค์ความรู้ของ 26 โครงการต้นแบบ ใน 2 ส่วนหลักคือ:
1.เชิงเนื้อหาและความรู้ในการขับเคลื่อนงานของแต่ละโครงการ:
ส่วนที่ 1: การขับเคลื่อนการทำงานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด ระดับอำเภอและระดับท้องถิ่น เป็นจุดเริ่มต้นและกลไกแห่งความสำเร็จในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน
ส่วนที่ 2: การขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนนเชิงประเด็นประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบังคับใช้กฎหมาย การสร้างจิตสำนึกความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในสถานศึกษาตั้งแต่ก่อนปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา
2.เชิงกระบวนการที่เน้นการเสริมพลังคนทำงาน:
ส่วนที่ 3: บทสรุปและข้อเสนอแนะต่อทิศทางการขับเคลื่อนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
ส่วนที่ 4: บทความรูปธรรมการทำงานในพื้นที่ "กระบวนการ ปัจจัยเงื่อนไข และผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลง"
ในส่วนของเนื้อหาหลัก 4 ส่วนนี้ เน้นการสร้างความเข้าใจและความรู้ในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน และการสร้างวินัยในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุทางถนนในท้องถิ่นทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น อีกทั้งยังมุ่งเสริมความรู้และการทำงานร่วมกันในหลากหลายระดับเพื่อเพิ่มพลังในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย
ที่มา:แนวทางการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน ภายใต้โครงการนวัตกรรมและพัฒนาจังหวัดเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ (Best Practice สอจร.) .pdf จัดทำโดยคณะทำงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด (สอจร.) สนับสนุนโดย สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (เมษายน 2562) 218 หน้า
ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สสส. ได้ให้การสนับสนุนแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) และศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ในการขับเคลื่อนงานในระดับจังหวัดและอำเภอร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อประสานหน่วยงานภาคีเครือข่ายในระดับพื้นที่ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นการจัดการปัญหาอุบัติเหตุจราจรในระดับอำเภอและตำบลได้เป็นอย่างดี ในปี 2562 มีการขับเคลื่อนกลไกจัดการความปลอดภัยทางถนนในทุกอำเภอทุกตำบล รวม 10 จังหวัด ซึ่งสอจร. รับผิดชอบ 6 จังหวัด และ ศวปถ. รับผิดชอบ 4 จังหวัด หลังจากนั้น มีการจัดเวทีสกัดบทเรียนความรู้และประสบการณ์คนทำงานทั้ง 10 จังหวัด โดยจำแนกเป็น 4 กลุ่ม คือ พี่เลี้ยงจังหวัดและทีมภาค ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล โดยสกัดกระบวนการ วิธีการทำงานและการใช้เครื่องมือ ปัจจัยนำเข้า (Input) และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (Output & Outcome) ใน 3 ช่วง (ช่วงต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ) ซึ่งผลจากการสกัดบทเรียน จาก 10 จังหวัดได้ข้อค้นพบถึงหัวใจสำคัญของการทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนงานตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับอำเภอจนถึงระดับตำบล/อปท. การทำงานแบบบูรณาการอย่างมีส่วนร่วม การกำหนดบทบาทหน้าที่และแนวทางปฏิบัติของทีมงานทั้ง 4 กลุ่ม การระบุปัจจัยนำเข้าและผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในแต่ละระยะการทำงาน และข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้การทำงานในอนาคตดีขึ้น ทั้งนี้ มีการประมวลสรุปผลการลงพื้นที่ ตามกรอบ Safe System ของคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา ของคณะอนุกรรมการศึกษา เสนอแนะแนวทางป้องกันและลดอุบัติทางถนนรวม 12 ประเด็น รวมถึงเรื่องที่ควรเน้นในการสร้างความมั่นคงยั่งยืนด้าน Road Safety 11 เรื่อง พร้อมทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายสู่รัฐสภา 3 ข้อ
ที่มา:หนังสือ “สารตั้งต้น Guildline แนวทางการพัฒนากลไกการจัดการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัดสู่อำเภอ ตำบล” (ISBN 978-616-393-325-6) โดย คณะทำงานสกัดบทเรียน : ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) (บรรณาธิการ : นางพรทิพภา สุริยะ นักวิชาการ สอจร.) สนับสนุนโดย สสส. , พิมพ์ครั้งที่ 1 (พฤศจิกายน 2563))
สอจร. ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ในการดำเนินโครงการรวมพลังขับเคลื่อนกลไกจังหวัดสู่อำเภอเพื่อความปลอดภัยทางถนน 6 จังหวัด (แพร่ ตาก ราชบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช)เพื่อพัฒนาศักยภาพทีมงานระดับจังหวัดลงสู่ระดับอำเภอทุกแห่ง โดยเน้นการจัดการปัญหาในประเด็นความเสี่ยงหลักอย่างร่วมกันที่เป็นรูปธรรมของแต่ละจังหวัด และขยายผลการดำเนินงานให้เกิดทีมกลไกขับเคลื่อนทุกอำเภอทุกตำบล โครงการนี้ไม่เพียงเพียงเพียงช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนใน 6 จังหวัด แต่ยังทำให้การดำเนินงานเชื่อมโยงและต่อเนื่องได้ถึงระดับอำเภอ ตำบล ชุมชนหมู่บ้านอีกด้วย
การทำงานในโครงการนี้ได้เน้นการรวบรวมศักยภาพทีมงานที่มีความสำคัญที่สุดโดยมีขั้นตอนวิธีการตั้งแต่ช่วงเตรียมการ ช่วงดำเนินการและช่วงสรุปผล การวัดและ
ประเมินความสำเร็จของโครงการจะถูกตั้งแบบชั้นขั้นระยะสั้น ระยะยาว และระยะกลาง โดยเน้นที่การจัดทำชุดความรู้ถอดบทเรียนผลการดำเนินงาน ที่ครอบคลุมตั้งแต่เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดกรอบแนวคิดของการดำเนินงาน การระบุปัจจัยนำเข้าและผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในแต่ละระยะการทำงาน
การสรุปผลลัพธ์ของโครงการที่ดำเนินอย่างละเอียด ได้แก่ การจัดทำชุดความรู้ถอดบทเรียนผลการดำเนินงานรายจังหวัด และการระบุข้อจำกัดและปัจจัยเงื่อนไขสำคัญที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้เป็นการศึกษาเชิงลึกที่ชัดเจนและทันสมัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในอนาคต
ที่มา:(1) หนังสือ “ถอดบทเรียน 6 จังหวัด โครงการรวมพลังขับเคลื่อนกลไกจังหวัดสู่อำเภอ เพื่อความปลอดภัยทางถนน : บทเรียนการรวมพลังการขับเคลื่อนกลไกจังหวัดสู่อำเภอ ตำบล” โดย คณะทำงานแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) (ผู้เขียน/เรียบเรียง: นางพรทิพภา สุริยะ) สนับสนุนโดย สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (ตุลาคม 2563) และ 2) ไฟล์ PPT สรุปบทเรียนกลไกจังหวัดสู่อำเภอปี 62 copy.pdf)
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ในการดำเนินโครงการในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง (น่าน นครสวรรค์ อุดรธานี และสระแก้ว) เพื่อพัฒนาศักยภาพคนทำงานและคณะอนุกรรมการในการดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
โครงการนี้มุ่งเน้นการถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นในหลายมิติ โดยรวมถึงการก่อรูปคณะทำงาน การทำงานเชิงกลไก กระบวนการขับเคลื่อนงาน และการใช้เครื่องมือในการขับเคลื่อนงานในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่และการสร้างความยั่งยืนในการดำเนินโครงการ รวมถึงการใช้เครื่องมือ เช่น สามเหลี่ยมปัจจัยกำหนดสุขภาพ แผนภูมิ
ต้นไม้ปัญหา บันไดผลลัพธ์ การวิเคราะห์แรงเสริม-แรงต้าน และการรวบรวมข้อมูลสะท้อนผลลัพธ์
จากการสรุปผลลัพธ์ของโครงการ พบว่า มีบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานของจังหวัดในแต่ละพื้นที่ การทำให้กลไกหลักหรือศูนย์วิชาการที่รับผิดชอบได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการยกระดับและพัฒนาโครงการให้เป็นความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักให้ชุมชนเป็นเจ้าภาพดำเนินการด้วยตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้การป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนมีผลสัมฤทธิ์และยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา:เอกสารบทเรียนการพัฒนากลไกศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด เพื่อป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน copy.pdf 110 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์และผู้จัดทำ)
ในปี 2562-2563 สสส.ได้สนับสนุนภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรในโครงการพัฒนาจังหวัดเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ โดยรวมมีโครงการทั้งหมด 41 โครงการ ครอบคลุม 7 ภูมิภาคและ 31 จังหวัด
โครงการนี้เน้นการลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนในพื้นที่ พร้อมเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัยและสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดการตื่นตัวและการเข้าร่วมป้องกันแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
จากการสรุปบทเรียนที่สำคัญของโครงการทั้ง 41 โครงการ พบว่ามีประเด็นการขับเคลื่อนสำคัญ ๆ ดังนี้
1.การขับเคลื่อนกลไกจากศูนย์วิชาการจังหวัดลงสู่ศูนย์วิชาการอำเภอและท้องถิ่น
2.การจัดการประเด็นความเสี่ยงหลักที่เกิดจากรถจักรยานยนต์ กลุ่มเยาวชน พฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัย และการไม่สวมหมวกนิรภัย
3.การกำหนดมาตรการรถโดยสารสาธารณะและรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย
4.การชวนกลุ่มเสี่ยงมาเป็นเจ้าภาพและผู้นำการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งฝึกอบรมและดำเนินกิจกรรมเฝ้าระวังและอื่น ๆ
5.การกำหนดมาตรการสถานประกอบการ/สถานศึกษาปลอดภัยทางถนน
6.การสื่อสารประชาสัมพันธ์ สานพลัง ก่อกระแสผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงของประชาชนในพื้นที่
โครงการนี้มีขั้นตอนการสร้างพลังภาคีบนเส้นทางถนนปลอดภัย 3 ขั้น เช่น การสร้างพลัง การสร้างเจ้าภาพ และการปฏิบัติการและติดตามวัดผล รวมถึงมีการสรุปถึงปัจจัยเงื่อนไขความสำเร็จ 14 ข้อ และนำเสนอบทเรียนที่โดดเด่นรายภาคและรายจังหวัด
ที่มา:หนังสือ “สรุปบทเรียนพลังภาคีบนเส้นทางถนนปลอดภัย 41 พื้นที่” จัดทำโดย แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) และมูลนิธิเพื่อความปลอดภัยทางถนน (บรรณาธิการ : นางสาวศิริกุล กุลเลียบ เลขานุการ สอจร.) สนับสนุนโดย สสส. (ISBN 978-616-393-325-2) พิมพ์ครั้งที่ 1 (กันยายน 2564)
การพัฒนากลไกศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัดสู่ระดับอำเภอ จากการสืบค้นข้อมูลและการศึกษากรณีศึกษาของ 3 จังหวัด (นครศรีธรรมราช, ระยอง, และปทุมธานี) พบว่า มีการถอดบทเรียนแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัดและอำเภอ โดยนำเสนอกรอบแนวคิดการถอดบทเรียนในการดำเนินงานขับเคลื่อนกลไกศูนย์ถนนใน 3 ระดับ (ศูนย์ปฏิบัติการถนนจังหวัด, ศูนย์ปฏิบัติการถนนอำเภอ, และ ศูนย์ปฏิบัติการถนนองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สอจร. ศวปถ. และ สสส.
ผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้นคือ:
1.การพัฒนาศักยภาพของผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระดับอำเภอ/ท้องถิ่น โดยมีทีมศูนย์ปฏิบัติการถนนอำเภอ/ท้องถิ่นที่พัฒนาการทำงานของทีมเครือข่ายในพื้นที่ทั้งด้านการบริหารจัดการ การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหา
2.การพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการ ศูนย์ปฏิบัติการถนนระดับอำเภอและท้องถิ่น โดยมีระบบข้อมูลระดับอำเภอ/ท้องถิ่นที่นำมาใช้ในการตัดสินใจดำเนินการร่วมกัน และมีกลไกการทำงานร่วมกันในพื้นที่
3.การเกิดกระบวนการเรียนรู้ องค์ความรู้ และนวัตกรรมในการดำเนินงานในกลไก ศูนย์ปฏิบัติการถนนระดับอำเภอและระดับท้องถิ่น โดยมีการนำโครงการที่ประสบ
ความสำเร็จจากจังหวัดและอำเภอต่าง ๆ เช่น จังหวัดปทุมธานี ระยอง และนครศรีธรรมราช
ที่มา:หนังสือถอดบทเรียนแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัดและอำเภอ กรณีศึกษา 3 จังหวัด (นครศรีธรรมราช ระยอง และปทุมธานี) โดย นางสาวสุพัตรา สำราญจิตร์ 24 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
ทีมพี่เลี้ยง สอจร. ได้ถอดบทเรียน “โครงการขยายอำเภอนำร่องการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี 2560-2561” ได้รับการสนับสนุนจาก สอจร. และ สสส.เพื่อสร้างการขับเคลื่อนกลไกศูนย์ความปลอดภัยทางถนนระดับอำเภอ (ศูนย์ปฏิบัติการถนนอำเภอ) ในพื้นที่เป้าหมาย 18 อำเภอของจังหวัด โดยใช้เครื่องมือ 5 ส 5 ช และรูปแบบที่พัฒนาขึ้นจากผลการดำเนินโครงการก่อนหน้า
การจัดตั้งคณะอนุกรรมการ: มีการจัดคณะอนุกรรมการ 2 คณะเพื่อสนับสนุน ศูนย์ปฏิบัติการถนนอำเภอ โดยเน้นการบูรณาการข้อมูลและการสอบสวนอุบัติเหตุ ที่เน้นการจัดการความเสี่ยงหลักและการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นที่
การแบ่งระดับอำเภอที่เข้าร่วมโครงการ: แบ่งเป็น 3 ระดับตามความพร้อมและการดำเนินงาน เรียกว่าระดับที่ 1 ระดับที่ 2 และระดับที่ 3 โดยมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ และตัวชี้วัดสำหรับแต่ละระดับ
การถอดบทเรียนหลังการดำเนินงาน: มีการทำ After Action Review (AAR) แยกรายอำเภอ เพื่อสรุปผลการดำเนินงาน ประเด็นการจัดการข้อมูล คณะทำงาน การจัดการความเสี่ยงหลัก ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรค จุดเด่นและผลงานเด่น
ผลการดำเนินงาน พบว่า มีความก้าวหน้าในการจัดการข้อมูล เช่น การชี้เป้าปัญหาและการจัดการความเสี่ยงหลักของพื้นที่ และการสร้างทีมที่มีความพร้อมในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในระดับอำเภอ
ที่มา:หนังสือถอดบทเรียนรู้หลังการดำเนินโครงการขยายอำเภอนำร่องความปลอดภัยทางถนนระดับอำเภอ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยทีมพี่เลี้ยง สอจร. ทีมพี่เลี้ยง สอจร. , ศวปถ. มูลนิธิเพื่อความปลอดภัยทางถนน. สนับสนุนโดย สสส.(ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 88 หน้า
2) เครื่องมือ/ความรู้สำหรับใช้ในการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยทางถนน
(1) เครื่องมือ 5ส 5ช
(1) เครื่องมือ 5ส 5ช
-หนังสือ "พลังเครือข่าย พลังความรู้ สู่ความปลอดภัยด้วย 5ส 5ช" : เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร โดยพี่เลี้ยง สอจร.และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเน้นให้เห็นถึงปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจรในประเทศไทย แนวคิดเรื่องอุบัติเหตุทางถนนในมุมมองใหม่ว่าความปลอดภัยทางถนนเป็นหน้าที่ของทุกคน แนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา (การสร้างความรู้ การเคลื่อนไหวทางสังคม อำนาจทางการเมือง) และการใช้ 5ส 5ช (สารสนเทศ สหสาขา ส่วนร่วม สุดเสี่ยง สุดคุ้ม – ชวน/เชื่อม เชียร์/ชม ช้อน เช็ค ชง) ในการสร้าง
ทุนทางสังคม รวมทั้งพลังแห่ง 4 H (Heart- Help-Hand-Hope) โดยมีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในการนำเสนอแต่ละเรื่องในลักษณะเรื่องเล่าที่เข้าใจได้ง่าย
ที่มา:หนังสือ 5ส 5ช (วิธีการทำงานอุบัติเหตุ copy.pdf) โดย นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ และสุรางค์ศรี ศีตมโนชญ์ สนับสนุนโดย สสส. และสอจร. พิมพ์ครั้งแรก (ธันวาคม 2559) 79 หน้า)
กระบวนการใช้ 5ส. 5ช. ในการพัฒนากลไกการดำเนินงานการจัดการความปลอดภัยทางถนน โดยมุ่งเน้นที่สร้างและยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถยนต์ได้อย่างเชี่ยวชาญและยั่งยืน ดังนี้:
1.องค์ความรู้การพัฒนากลไกการดำเนินงานการจัดการความปลอดภัยทางถนนด้วย 5ส. 5ช.: ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.ได้สังเคราะห์บทเรียนที่เน้นการป้องกันและแก้ไขสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่/ชุมชน และได้รับการคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างในการประยุกต์ใช้ 5ส. 5ช. โดยมุ่งเน้นการใช้กลไกการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จเพื่อยกระดับความปลอดภัย
กระบวนการใช้ 5ส. 5ช. เพื่อยกระดับผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย
1.สารสนเทศ (Information): การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อใช้ในการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ โดยรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้รถ สภาพรถ สภาพถนน เวลาเกิดเหตุ เป็นต้น
2.สุดเสี่ยง (Priority): เลือกดำเนินการกับความเสี่ยงสูงก่อนเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ
3.สหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary): เชื่อมโยงภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันในการจัดการและแก้ไขปัญหา
4.สุดคุ้ม (Cost Efficiency): เลือกมาตรการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง คุ้มค่าและเกิดความยั่งยืน.
5.ส่วนร่วม (Participation): จัดการความปลอดภัยทางถนนที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
โดยแบ่งกระบวนการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 ระดับ (ร่วมคิด/ร่วมวางแผน ร่วมลงทุน/ลงมือปฏิบัติ ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมรับประโยชน์) กระบวนการใช้ 5ช.เพื่อการยกระดับผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย (1) ชงข้อมูล เป็นการเลือกข้อมูล/ความรู้สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่ (2) เชื่อม เป็นการเชื่อมโยงภาคีเครือข่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาช่วยกันดำเนินงาน (3) แชร์ เป็นการแบ่งปันประสบการณ์การดำเนินงาน (4) เชียร์ เป็นการชื่นชม ส่งเสริม ยกย่องชุมชนและภาคีคนทำงานที่ร่วมดำเนินการจัดการจนเกิด
ความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่ และ (5) ช้อน เป็นการตักตวง
การประยุกต์ใช้ 5ส. 5ช. ในพื้นที่เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน: มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ดำเนินการ และสร้างและยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถยนต์ โดยมีกรณีศึกษาหลายพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการใช้กลไกการพัฒนานี้ เช่น
•กรณีศึกษาอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี : บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) - สวมหมวกนิรภัย 100%
•กรณีศึกษาอำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น : สถานีตำรวจภูธรเขาสวนกวาง– ปรับพฤติกรรมจากเด็กแว้นปิดถนนสู่การเป็นอาสาจราจร
•กรณีศึกษาอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น : โรงพยาบาลน้ำพองปรับจากการให้บริการแบบตั้งรับมาเป็นการทำงานป้องกันด้วยการใช้ 5ส. 5ช.เพื่อการแก้ไขจุดเสี่ยงของชุมชน พัฒนาแผนแม่บทชุมชนแบบมีส่วนร่วม สร้างมาตรการชุมชนและกำกับติดตามผล (การสวมหมวกนิรภัย การแก้ไขจุดเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง)
•กรณีศึกษาอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ : การดำเนินงานผ่านกิจกรรมที่มีส่วนร่วมของสหสาขาวิชาชีพไปจนถึงประชาชนในระดับครอบครัว โดยให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพในการจัดการปัญหาในพื้นที่ตนเอง สร้างปัจจัยเอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนแบบก้าวกระโดด
•กรณีศึกษาอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช: โครงการนครปลอดภัย ทุกวัน ทุกวัย สวมหมวกนิรภัย 100%ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์
ที่มา:องค์ความรู้ เครื่องมือ ปัจจัยที่เอื้อต่อการดำเนินงานองค์ความรู้การพัฒนากลไกความปลอดภัยทางถนน copy/pdf โดย ทีมงานสังเคราะห์บทเรียน ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. (4 ตุลาคม 2560) 141 หน้า
(2) เครื่องมือ 5 ชิ้นที่ทำให้การขับเคลื่อนกลไก ศปถ. ไปสู่ผลลัพธ์
(2) เครื่องมือ 5 ชิ้นที่ทำให้การขับเคลื่อนกลไก ศปถ. ไปสู่ผลลัพธ์
ความสำคัญของเครื่องมือ 5 ชิ้นที่ทำให้การขับเคลื่อนกลไกศึกษาพัฒนาโครงการและประเมินผลลัพธ์เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาของอาจารย์สุรพล เหลี่ยมสูงเนินและคณะ มาจากการนำเสนอพื้นฐานแนวคิดที่เกี่ยวข้องคือ แนวคิดปัจจัยกำหนดสุขภาพและแนวคิดการสร้างภาคีสู่พันธกิจสังคม และใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อปรับปรุงโครงการและกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน ดังนี้
1.สามเหลี่ยมปัจจัยกำหนดสุขภาพ: เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประมวลข้อมูลสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนน เช่น ข้อมูลปัจจัยกำหนดสุขภาพต่างๆ เพื่อทบทวนสถานการณ์และสาเหตุของปัญหาอุบัติเหตุทางถนน
2.แผนภูมิต้นไม้ปัญหา: เครื่องมือนี้ช่วยให้ทีมงานมองเห็นปัญหาอุบัติเหตุทางถนนแบบเชื่อมโยงอย่างเป็นเหตุเป็นผล และวิเคราะห์ลึกไปถึงสาเหตุของปัญหาทั้งด้านพฤติกรรม สภาพแวดล้อมทางสังคมและกายภาพ และระบบที่เกี่ยวข้อง
3.บันไดผลลัพธ์: เครื่องมือนี้ช่วยในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานชัดเจนยิ่งขึ้น โดยผลลัพธ์แต่ละขั้นบันไดจะสอดรับกับรากต้นไม้ปัญหาที่ครอบคลุมปัจจัยกำหนดสุขภาพ
4.การวิเคราะห์แรงเสริม-แรงต้าน: เครื่องมือนี้ช่วยให้ทีมงานทราบถึงต้นทุนและข้อจำกัดในพื้นที่ และใช้ในการกำหนดกิจกรรมที่จะเพิ่มแรงเสริมให้มีพลังมากยิ่งขึ้นและลดแรงต้านให้เหลือน้อยที่สุด
5.การรวบรวมข้อมูลสะท้อนผลลัพธ์: เครื่องมือนี้ช่วยให้ทีมงานเห็นความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงตามบันไดผลลัพธ์ที่วางไว้ และช่วยให้เห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทางที่จะทำให้ไปไม่ถึงผลลัพธ์
การใช้เครื่องมือแต่ละชิ้นต้องมีการอธิบายรายละเอียดของขั้นตอนและ Tips &Tricks เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ของโครงการและพื้นที่ในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เครื่องมือเหล่านี้ยังต้องพิจารณาจากบริบทและความต้องการของทีมงานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการและหน้าที่ของทีมงานที่กำลังดำเนินงาน
ที่มา:เอกสารเครื่องมือ 5 ชิ้น copy.pdf (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 27 หน้า พร้อมคลิปวิดีโอ 6 เรื่อง จัดทำโดย ศวปถ. มนป.สนับสนุนโดย สสส.
(3) ทักษะการบังคับเชิงบวก (Behavior-based Safety : BBS)
(3) ทักษะการบังคับเชิงบวก (Behavior-based Safety: BBS) เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการกำจัดพฤติกรรมความเสี่ยงเชิงบวก โดยใช้การแก้ไขพฤติกรรมของบุคคลเป็นฐาน โดยมองว่าพฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องรอ นับว่าเป็นการบังคับเชิงบวกที่จะสร้างนิสัยปลอดภัย จนกลายเป็นวัฒนธรรมปลอดภัยในองค์กร ในการทำ BBS จะเริ่มต้นด้วยการปรับมุมมองในเชิงบวก ไม่มองผู้กระทำผิดในเชิงลบ และปรับวิธีคิดจากการมุ่งลงโทษเป็นการให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการสื่อสารเชิงบวกที่แสดงความห่วงใยและหลีกเลี่ยงการตำหนิ
วิธีการสื่อสารตามแนวทาง BBS มีดังนี้
1.สร้างความคุ้นเคยกับผู้กระทำผิดให้รู้สึกว่าเราเป็นมิตร ถ้าไม่รู้จักจะต้อง "ถามชื่อ" เพื่อชี้แจงให้เข้าใจ
2.แสดงความหวังดีและห่วงใย โดยใช้วิธีการบอกเล่าเหตุผลว่าทำไมควรต้องสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ พร้อมถามว่าเพราะอะไรจึงไม่ใส่
3.อย่าสื่อสารนานและมากเกินไป การโน้มน้าวให้สวมหมวกนิรภัยต้องเน้นความกระชับ ได้ใจความและง่ายต่อความเข้าใจ
4.ในช่วงแรกอย่าเพิ่งคาดหวัง เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต้องใช้เวลา ค่อยเป็นค่อยไป ทำซ้ำๆ ให้ต่อเนื่อง
หัวใจสำคัญของ BBS คือ ทำทีละประเด็น ทำเหมือนกัน สร้างแนวร่วม และสื่อสารชัดเจน
ที่มา:(1) แผ่นพับ Behavior-based Safety : BBS ทักษะการบังคับเชิงบวก โดย ศวปถ. , มนป. , RSPF และ สสส. และ 2) คลิปวิดิโอการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยด้วยทักษะการบังคับเชิงบวก (Behavior based safety หรือ BBS) โดย ศวปถ.)
(4) คู่มือการเขียนเรื่องเล่าความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุทางถนน (Story Telling)
(4) คู่มือการเขียนเรื่องเล่าความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุทางถนน (Story Telling) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องให้กับคนทำงานด้านอุบัติเหตุ โดยเน้นการถ่ายทอดรายละเอียดเชิงลึกของอารมณ์และความรู้สึก เพื่อเป็นตัวอย่างการทำงานที่ดี (Best Practices) และเพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาอุบัติเหตุและผลเสียหายรุนแรงที่ตามมา นอกจากนี้ การเล่าเรื่อง ยังเป็นศิลปะที่สำคัญในการสื่อสารเรื่องที่ยากและซับซ้อน
หลักการพื้นฐานสำหรับการเขียนเรื่องเล่าคือ
1.หาหัวใจของเรื่องหรือประเด็นที่จะสื่อสาร โดยเน้นเป็นประเด็นใหม่ที่ผู้คนไม่เคยรับรู้มาก่อน และก่อผลกระทบวงกว้าง
2.ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และไม่ละเมิดตีตราคนอื่น
2.วางโครงเรื่อง (Plot) และการเดินเรื่องอย่างเหมาะสม
การสื่อสารตามแนวทาง Story Telling ประกอบด้วย
1.การรับรู้เรื่องเล่า (Recognizing stories)
2.การชวนเชิญให้เล่า (Eliciting stories)
3.การซึมซับเรื่องเล่า (Absorbing stories)
4.การเข้าถึงความหมาย (Interpreting stories)
ดังนั้น การเขียนเรื่องเล่าควรมีการวางแผนและดำเนินการตามหลักการเหล่านี้ เพื่อให้เรื่องที่ถ่ายทอดมีความหมายและสื่อความคิดเห็นให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง และนำไปสู่การสร้างการเรียนรู้และการเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่นในการปฏิบัติงานด้านอุบัติเหตุทางถนน
ที่มา:คู่มือการเขียนเรื่องเล่าความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุทางถนน (Story Telling) เรียบเรียงโดย นายประชาธิป กะทา สนับสนุนโดย ศวปถ. และ สสส. ไฟล์ doc_20221208115727.pdf (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 33 หน้า
(5) หนังสือ “โค้งใหม่ 5 ปีข้างหน้า....ถนนปลอดภัยไทย”
(5) หนังสือ “โค้งใหม่ 5 ปีข้างหน้า....ถนนปลอดภัยไทย” เป็นแหล่งข้อมูลที่รวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย โดยเน้นการจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆ แบ่งเป็น 12 บท ดังนี้
1.อดีต ปัจจุบันและอนาคต: การสร้างภูมิปัญญาจากประสบการณ์ผ่านอดีตและปัจจุบันเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตที่มีถนนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
2.พลังสื่อมวลชนและ social media: การใช้พลังของสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียในการสร้างการเข้าใจและการกระทำเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน
3.ระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อความปลอดภัยทางถนน: การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการประเมินและจัดการความปลอดภัยทางถนน
4.โทรแล้วขับกับสังคมไทย: การส่งเสริมความตระหนักและความรับผิดชอบของผู้ขับขี่ในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
5.ชีวิตบนอานจักรยานยนต์: การป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในกลุ่มผู้ขับขี่อานจักรยานยนต์
6.เข็มขัดนิรภัย: การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน
7.ทิศทางและมาตรการต่างๆ สำหรับยานยนต์กับการลดอุบัติเหตุ: การวางแผนและการดำเนินการที่เน้นการป้องกันอุบัติเหตุในยานยนต์
8.มาตรการทางการเงินกับการลดอุบัติเหตุ: การใช้มาตรการทางการเงินเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน
9.การควบคุมกำกับผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ: การกำกับและการควบคุมในการให้บริการขนส่งสาธารณะ
10.การจัดการถนนปลอดภัย: การวางแผนและการดำเนินการในการสร้างและบำรุงรักษาถนนที่ปลอดภัย
11.มาตรการควบคุมปัญหาอุบัติเหตุจราจรของรถโดยสารขนาดใหญ่: การวางแผนและการดำเนินการในการลดอุบัติเหตุของรถโดยสารขนาดใหญ่
12.ดื่มแล้วขับ: การป้องกันการขับขี่ในสภาวะเมาและการลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการดื่มสุรา
หนังสือนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจหรือหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการป้องกันและการจัดการอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไทย
ที่มา:หนังสือ “โค้งใหม่ 5 ปีข้างหน้า....ถนนปลอดภัยไทย” โดย ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล และคณะ โครงการจัดทำตำราระบาดวิทยา ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี สนับสนุนโดย ศวปถ. มนป. และ สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (เมษายน 2560) 270 หน้า
(6) คู่มือการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ประเด็นการจัดการความปลอดภัยทางถนน
(6) คู่มือการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ประเด็นการจัดการความปลอดภัยทางถนน
คู่มือการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัยทางถนน ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้หน่วยงานด้านสุขภาพใช้เป็นแนวทางในการ
ประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชากรทุกช่วงวัยในชุมชน อาสาสมัคร และผู้รับผิดชอบงานความปลอดภัยทางถนน มีเนื้อหาที่แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1.ข้อมูลพื้นที่ดำเนินการ: เน้นการระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่การดำเนินงาน เช่น ที่อยู่ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือพื้นที่สำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่นั้นๆ
2.ข้อมูลส่วนบุคคล: เน้นการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่จะถูกสำรวจ เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประเภทหรือบทบาทของผู้ตอบ
3.ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการจัดการความปลอดภัยทางถนน: เน้นการสำรวจความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความปลอดภัยทางถนน การเข้าใจและความรู้ในการจัดการความปลอดภัยทางถนน การปฏิบัติและการสื่อสารในการจัดการความปลอดภัยทางถนน
คู่มือนี้มีขั้นตอนและแนวทางการสำรวจที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ผู้ที่ทำการสำรวจสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชากรในเชิงที่เป็นประโยชน์แก่การจัดการความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่นั้นๆ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการเข้าใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในชุมชนเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินทางบนถนนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในอนาคต
ที่มา:หนังสือคู่มือการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ประเด็นการจัดการความปลอดภัยทางถนน โดย ขนิษฐา นันทบุตร และคณะ สนับสนุนโดย สสส. (สำนัก 3 และสำนัก 10) ศูนย์สนับสนุนวิชาการเพื่อการจัดการเครือข่ายภาค 7 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น (เมษายน 2565) 31 หน้า
เสาหลักที่ 2: การสร้างความปลอดภัยด้านโครงสร้างถนนและสภาพแวดล้อมริมทาง
เสาหลักที่ 2 : การสร้างความปลอดภัยด้านโครงสร้างถนนและสภาพแวดล้อมริมทาง แบ่งเป็น 3 หมวดหลักดังนี้:
1.การสร้างถนนที่มีความปลอดภัย: การใช้เทคโนโลยีและวิธีการทางวิศวกรรมในการออกแบบและก่อสร้างถนนโดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น การจัดทำและปรับปรุงโครงการถนน การติดตั้งสัญญาณและเครื่องหมายทาง viaและมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนน
2.การตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน: การดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพถนน เพื่อค้นหาจุดเสี่ยงและปัจจัยที่อาจสร้างความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ การตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยงในการใช้ถนน และการรายงานผลการตรวจสอบเพื่อการปรับปรุงและการแก้ไขปัญหาที่พบ3.การแก้ไขจุดเสี่ยงจุดอันตราย: การดำเนินการปรับปรุงและการแก้ไขปัญหาที่พบในการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างถนน เปลี่ยนแปลงการจราจร เพิ่มเครื่องหมายทาง via หรือการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอุบัติเหตุในอนาคต
1) การสร้างถนนที่มีความปลอดภัย
1) การสร้างถนนที่มีความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ใช้ถนนทุกวัน ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และ สสส. มุ่งเน้นในการสนับสนุนและพัฒนาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างถนนที่มีความปลอดภัย โดยมุ่งเน้นการศึกษาและวิจัยเพื่อให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการทางวิศวกรรมที่ทันสมัยเพื่อสร้างถนนที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนในการสร้างนโยบายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาถนนเพื่อให้มีความปลอดภัยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
(1) คู่มือการออกแบบทางข้ามถนนที่ปลอดภัย
(1) คู่มือการออกแบบทางข้ามถนนที่ปลอดภัย เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการกำหนดหลักเกณฑ์และการแนะนำในการออกแบบทางข้ามถนน เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด โดยหลักเกณฑ์เหล่านี้รวมถึงการกำหนดระยะการมองเห็นในการข้ามถนนและระยะการมองเห็นทางข้ามของผู้ขับขี่ แบ่งเป็นประเภททางข้ามถนนที่ปลอดภัยอยู่ 3 ประเภทคือ ทางม้าลาย ทางข้ามที่มีการลดขนาดความกว้างของถนน และทางข้ามที่มีเกาะพักกลางถนน โดยในคู่มือนี้จะมีการอธิบายหลักการออกแบบและก่อสร้างทางข้ามแต่ละประเภทอย่างละเอียด รวมถึงการคำนวณระยะการมองเห็นที่เหมาะสมในการข้ามถนน (Crossing Sight Distance) และระยะการมองเห็นทางข้ามของผู้ขับขี่ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้ถนนสามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ป้ายเตือนและเครื่องหมายจราจรบริเวณทางข้าม การออกแบบทางลาดก่อนเข้าทางข้าม และการจัดภูมิทัศน์บริเวณทางข้ามด้วย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานของทางข้ามถนน
ที่มา:หนังสือ “คู่มือการออกแบบทางข้ามที่ปลอดภัย” โดย รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย เรียบเรียงจากงานวิจัยโครงการการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมด้านวิศวกรรมความปลอดภัยทางถนนในชุมชน 40 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) จัดพิมพ์และเผยแพร่โดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สนับสนุนโดย สสส.
(2) ทางแยกชุมชนปลอดภัย
(2) ทางแยกชุมชนปลอดภัย
หนังสือ "ทางแยกชุมชนปลอดภัย" เป็นแหล่งข้อมูลที่นำเสนอความรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมจราจร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับทางแยกในเขตเมืองและชุมชนท้องถิ่น โดยผู้รับผิดชอบถนนและบุคคลทั่วไปสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงทางแยกเพื่อลดอุบัติเหตุ หนังสือนี้รวบรวมงานวิจัยจากต่างประเทศ และข้อมูลการ
สำรวจทางแยกอันตรายทั่วภูมิภาคเพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุและการแก้ไข นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอหลักการออกแบบและการใช้ป้าย/เครื่องหมายจราจรในทางแยกเพื่อเพิ่มความปลอดภัย วิธีการควบคุมทางแยก และการบำรุงรักษาทางแยกให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ โดยมุ่งเน้นในการเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางแยกที่มีความเสี่ยงและการลดความชุกในการชนในทางแยกผ่านการปรับปรุงโครงสร้างและประสิทธิผลของแนวทาง/วิธีการต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอด้วยรูปภาพทางแยก ทัศนวิสัยและป้าย/เครื่องหมายจราจร เพื่อให้มีการแสดงผลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ที่มา:หนังสือ “ทางแยกชุมชนปลอดภัย” โดย ผศ.ดร.วิชชุดา เสถียรนาม และคณะ (เรียบเรียงจากงานวิจัยโครงการการศึกษาและพัฒนาชุดความรู้ด้านวิศวกรรมจราจรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในชุมชนชนบท ระยะที่ 2 สนับสนุนโดย ศวปถ. , มนป., สสส.) พิมพ์ครั้งที่ 1 (2558) 70 หน้า จัดพิมพ์และเผยแพร่โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก
(3) มาตรการทางด้านวิศวกรรมสำหรับถนนในชุมชน
(3) มาตรการทางด้านวิศวกรรมสำหรับถนนในชุมชน
หนังสือ "มาตรการทางด้านวิศวกรรมสำหรับถนนในชุมชน" เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางสำคัญในการจัดระบบความปลอดภัยทางถนน โดยเน้นที่การออกแบบระบบรถและถนนให้มีความซับซ้อนน้อยที่สุดเพื่อลดความสูญเสียที่เกิดจากข้อผิดพลาดของคน มาตรการเหล่านี้รวมถึงการลดความเร็วในเขตชุมชนและการปรับปรุงความปลอดภัยสำหรับทางแยกในชุมชน โดยมีการปรับเปลี่ยนลักษณะทางกายภาพของถนน เช่น การก่อสร้างเกาะทางถนนเพื่อเบี่ยงกระแสจราจรและลดความเร็ว การทำเนินสะดุด เนินชะลอความเร็ว วงเวียน และการปรับปรุงเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่รับรู้และลดความเร็วลง นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการแก้ไขปัญหาทางแยกอันตรายที่เป็นรูปธรรมในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยที่สูงขึ้นในการใช้ถนนในชุมชน
ที่มา:เอกสาร PPT จัดทำโดยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย (TARC) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย , มูลนิธิไทยโรดส์ 21 หน้า (ไม่ระบุปีที่ผลิต)
2) การตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน
งานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนากลไกการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์ในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคณะวิจัยของหน่วยวิจัยความปลอดภัยทางถนน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในช่วง พ.ศ. 2563-2565 ได้เริ่มต้นโดยการศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมของผู้ขับขี่ การใช้ความเร็วเกินกำหนด ความเหนื่อยล้า ความมึนเมา รวมถึงการออกแบบและบำรุงรักษาผิวถนนและสภาพแวดล้อม ในขณะเดียวกัน พบว่าการสร้างกลไกในการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีการใช้เครื่องมือตรวจสอบอย่างเช่นระบบ Road Safety Audit: RSA ซึ่งยังไม่มีความสำคัญต่อการตรวจสอบความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์อย่างเพียงพอ แต่เครื่องมือ iRAP ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ด้วยการให้คะแนนระดับดาว (Star Rating) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และประเมินความปลอดภัยของถนนและสิ่งก่อสร้างบนถนน การพัฒนากลไกการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ โดยมีการพัฒนาเครื่องมือที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขของประเทศไทยอย่างเฉพาะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในอนาคต
การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้ถนนสำหรับรถจักรยานยนต์มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นบ่อยๆ มีมาตรการหลายรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น
1.มาตรการปรับปรุงความปลอดภัยตามรูปแบบการชน: เช่น การติดตั้งเกาะกลางถนนเพื่อลดความเร็วของรถ จัดทำช่องรอเลี้ยวเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างรถ การเพิ่มความเสียดทานให้กับพื้นผิวถนนเพื่อลดการลื่นไถล การเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทาง และการติดตั้งสัญญาณไฟคนเดินทางเพื่อป้องกันการชนกันระหว่างรถ
2.มาตรการปรับปรุงความปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์: เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอันตราย เช่น หมวกกันกระแทก การสร้างช่องทางเฉพาะสำหรับรถจักรยานยนต์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการชนกับรถอื่น ๆ พื้นที่หยุดรถบริเวณทางแยกเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเปลี่ยนเส้นทาง ฯลฯ
3.แนวทางการจัดการความเร็ว: โดยการจำแนกตามประเภทถนนและประเภทรถ เพื่อให้มีการใช้ถนนอย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับเงื่อนไขของถนนและสภาพแวดล้อม
การพัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อยกระดับความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนให้กับนายช่างโยธา/วิศวกรโยธา เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและความตระหนักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางถนน ซึ่งสามารถเป็นการอบรมเกี่ยวกับการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน (Road Safety Audit) ในขั้นตอนออกแบบ ระหว่างก่อสร้างและถนนที่เปิดให้บริการแล้ว และการวิเคราะห์และระบุจุดเสี่ยงอันตราย (Black Spot Identification) เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความรู้และเข้าใจในการจัดการความปลอดภัยทางถนนอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา:(1) บทความ “การพัฒนาแนวทางการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์” โดย ภูทริยา มีอุส่าห์ บุญพล มีไชโย และ ทวีศักดิ์ แตะกระโทก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ในการประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแห่งชาติ ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 15-17 กรกฎาคม 2563 ณ จังหวัดชลบุรี 2) คู่มือการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์ฯ โดย ผศ.บุญพล มีไชโย และคณะ หน่วยวิจัยความปลอดภัยทางถนน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (2565) 43 หน้า เรียบเรียงจากงานวิจัยการพัฒนากลไกกลไกการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์ในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี และร้อยเอ็ด 3) Factsheet การพัฒนากลไกการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนนสำหรับรถจักรยานยนต์ในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : เชียงใหม่ อุดรธานี ร้อยเอ็ด (2565) 8 หน้า
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ศวปถ.และ สสส.มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการสำรวจความปลอดภัยของถนน เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยการสำรวจพื้นที่กรณีศึกษาการตั้งจุดตรวจ/จุดบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีการปรับปรุงและดำเนินการที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและบริบทการเดินทางที่แตกต่างกันของพื้นที่
ในปี 2555 มีการศึกษาพฤติกรรมการตั้งจุดตรวจ/จุดบริการของ อปท. ในพื้นที่ 8 ตำบลของ 3 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น และชัยภูมิ โดยมีการเน้นไปที่ตำบลที่ติดถนนสายหลัก ตำบลที่ห่างจากถนนสายหลัก และตำบลที่ติดกับถนนสายรอง
ผลการสำรวจพบว่า จุดบริการบนถนนสายหลักมีบทบาทในการให้บริการผู้สัญจรไปมาน้อยเนื่องจากอยู่ในสถานที่ที่จอดรถได้ยาก และผู้บริการมักใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันมากกว่าเนื่องจากมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่หลากหลาย ในขณะที่จุดบริการของอปท. ที่อยู่ระหว่างถนนใหญ่กับชุมชนหรือเป็นทางผ่านของชาวบ้านในชุมชน พบว่า ผู้ปฏิบัติงานในจุดตรวจ/จุดบริการมีประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลตักเตือนผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่าจุดบริการบนถนนสายหลัก
จากการสำรวจพบข้อเสนอ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการจัดตั้งจุดตรวจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและให้สถานีตำรวจทั่วประเทศเน้นกวดขันประเด็น “เมาแล้วขับ” ในถนนสายรองและทำงานร่วมกับชุมชน อีกทั้งยังมีการเลือกโมเดลถนนสาย 24 ในพื้นที่ 73 ตำบล 17 อำเภอ 5 จังหวัด โดยมีสำนักงานเครือข่ายองค์กรลดเหล้าเป็นแกนหลักในการจัดกระบวนการกับประชาคม และ ศวปถ.เป็นหลักในการเก็บข้อมูลระดับตำบลเพื่อ
ถอดบทเรียนและประเมินการทำงาน ซึ่งมีการศึกษาการดำเนินงานของ อปท.ในเชิงกระบวนการและผลลัพธ์หลังจากที่มีการปรับกิจกรรมจากเต็นท์สู่เชิงรุกใน 12 ตำบลของ 5 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
การศึกษาและการสำรวจความปลอดภัยของถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในมุมมองทางการบริหารจัดการอุบัติเหตุทางถนน สามารถสรุปได้ดังนี้
1.การถอดบทเรียนและการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของแต่ละตำบล: การศึกษาการดำเนินงานในแต่ละพื้นที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจและการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาการทำงานในอนาคต เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์ผลเพื่อหาวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหา
2.การมีส่วนร่วมของหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง: การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการทำงานร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางถนน
3.การจัดกิจกรรมเชิงรุกในช่วงเทศกาลสงกรานต์: การจัดกิจกรรมที่เน้นการสร้างความตระหนักและการศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เช่น การแจ้งเตือนเกี่ยวกับอันตรายจากการดื่มสุราขณะขับขี่
4.หลักเกณฑ์การเลือกจุดตั้งจุดตรวจ/จุดบริการ: การกำหนดหลักเกณฑ์ในการเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการตั้งจุดตรวจหรือจุดบริการ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการและสภาพแวดล้อมของพื้นที่นั้นๆ
5.ความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้องต่อบทบาทของคนในชุมชน: การสร้างความเข้าใจและการรับรู้จากผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับบทบาทและความสำคัญของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน
6.ข้อเสนอแนะเชิงกระบวนการในการทำงานของพื้นที่และอปท.: การนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินงานของพื้นที่และอปท. เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพการณ์
7.ข้อเสนอแนะในการสั่งการของส่วนกลาง: การนำเสนอแนวทางการดำเนินงานและการปฏิบัติที่เหมาะสมในระดับส่วนกลาง เพื่อให้มีการสนับสนุนและปรับปรุงการดำเนินงานของพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
ที่มา:(1) รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการสำรวจพื้นที่กรณีศึกษาการตั้งจุดตรวจ/จุดบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีศึกษา อบต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น โดย นายคชษิณ สุวิชา ศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภาคอีสาน (พค.54) 43 หน้า 2) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการสำรวจพื้นที่กรณีศึกษาการตั้งจุดตรวจ/จุดบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีศึกษา อบต.กะฮาด อำเภอเนินสง่า จังหวัดชัยภูมิ โดย นายคชษิณ สุวิชา ศูนย์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนภาคอีสาน (พค.54) 40 หน้า 3) รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการสำรวจพื้นที่กรณีศึกษาการตั้งจุดตรวจ/จุดบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีถนนสาย 24 (จากเต็นท์สู่เชิงรุก) โดย ทรงพล ตุละทา และคณะ (มิย.55)
3) การแก้ไขจุดเสี่ยงจุดอันตราย
-การจัดทำคู่มือแก้ไขจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน (Starter Pack for Road Safety)เป็นกล่องเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน โดยมีความร่วมมือของหลายหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายความปลอดภัยทางถนน (มนป.) ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. และเพลินพาดี โดยมีจุดเด่นดังนี้:
1.หนังสือคู่มือการแก้ไขจุดเสี่ยง: ภายในคู่มือนี้มีข้อมูลที่สรุปและอธิบายวิธีการแก้ไขจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชนอย่างชัดเจน ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง
2.แฟ้มทำงานแก้ไขจุดเสี่ยง: ประกอบด้วย Infographic ภาพรวมขั้นตอนการจัดการและขั้นตอนการทำงานในพื้นที่ตัวอย่าง เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและปรับใช้ได้ง่ายขึ้น
3.ใบงานสำหรับนำเสนอโครงการ: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำเสนอแผนโครงการและได้รับความเห็นและคำแนะนำจากผู้เกี่ยวข้องได้อย่างสม่ำเสมอ
4.ใบส่งเรื่องปัญหาที่เกินกำลัง: เป็นช่องทางสำหรับรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นบนถนนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
5.สื่อความรู้ประกอบการจัดการ: มีการให้สื่อความรู้ที่หลากหลาย เช่น DVD-e-learning, หนังสือคู่มือการจัดการจุดเสี่ยงถนนชุมชน, หนังสือคู่มือการจัดการความเร็วในชุมชน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเรียนรู้และปฏิบัติตาม
6.การใช้ในการจัดหลักสูตร: เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการศึกษาและประสานงานในการจัดหลักสูตรการจัดการความปลอดภัยทางถนนในชุมชน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในชุมชน
ที่มา:(1) กล่องเครื่องมือ คู่มือการแก้ไขจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน copy.pdf 12 หน้า ภาพขั้นตอนการจัดทำแผนการแก้ไขจุดเสี่ยง ตัวอย่างการดำเนินงานพื้นที่การจัดการจุดเสี่ยง และใบงานที่ 1-8 2) การจัดการจุดเสี่ยงในชุมชน: หลักสูตรการจัดการความปลอดภัยทางถนนในชุมชน โดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.
-คู่มือการจัดการจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน ที่มีการสนับสนุนจาก ศวปถ. และ สสส. เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนในชุมชน ซึ่งมีความสำคัญดังนี้
1.การเล่าถึงปัญหาอุบัติเหตุและความจำเป็นในการจัดการจุดเสี่ยง: คู่มือนี้ช่วยให้ชุมชนเข้าใจถึงความรุนแรงของปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในชุมชนของตนเอง
2.ภาพรวมของกระบวนการจัดการจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน: ชุมชนจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการที่เหมาะสมในการจัดการจุดเสี่ยงทางถนน โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน
3.การสำรวจวิเคราะห์และแนวทางการแก้ไขปัญหา: ชุมชนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสำรวจ วิเคราะห์ และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชนของตน
4.ปัจจัยเงื่อนไขความสำเร็จและปัญหาอุปสรรค: ชุมชนจะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการจัดการจุดเสี่ยงทางถนน และปัญหาที่อาจพบระหว่างดำเนินการ
5.เครื่องมือในการจัดการปัญหาอื่นๆ: นอกจากนี้ยังมีการเสนอเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการปัญหาทางถนนอื่นๆ เช่น การปรับปรุงจุดเสี่ยงเป็นวงเวียนสมัยใหม่ การสร้างทางแยกชุมชนปลอดภัย เป็นต้น
6.การดำเนินงานในพื้นที่ต่างๆ: มีการยกตัวอย่างการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งช่วยให้ชุมชนได้รับข้อมูลและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่มีอยู่และเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานได้อย่างละเอียด
ที่มา:หนังสือ “คู่มือการจัดการจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน (ฉบับปรับปรุงใหม่)”โดย ผศ.วิชชุดา เสถียรนาม และคณะ เรียบเรียงข้อมูลจากเอกสารประกอบการฝึกอบรมเรื่อง “ถนนที่ไม่ปลอดภัย” ของ ศ.ดร.ยอดพล ธนาบริบูรณ์ และผลการดำเนินงานในโครงการการศึกษาและพัฒนาคู่มือการสำรวจและวิเคราะห์จุดเสี่ยงเพื่อความปลอดภัยทางถนนอย่างมีส่วนร่วม จังหวัดมหาสารคาม (ปี 2553) และโครงการขยายผลโมเดลการปรับปรุงจุดเสี่ยงอันตรายโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน (ปี 2558) , พิมพ์ครั้งที่ 1 (มิย.59) 168 หน้า จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย ศวปถ. และ มนป.
เสาหลักที่ 3: การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่ปลอดภัย
เสาหลักที่ 3: การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่ปลอดภัย
เน้นความสำคัญของการใช้ยานพาหนะที่มีมาตรฐานและปลอดภัย เนื่องจากปัญหาอุบัติเหตุทางถนนบางส่วนเกิดขึ้นจากการใช้ยานพาหนะที่ไม่ได้มาตรฐาน การดัดแปลงสภาพรถอาจทำให้สมรรถนะและความปลอดภัยของยานพาหนะลดลง ดังนั้น เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน จึงเริ่มทำการสร้างการตรวจสอบและสนับสนุนการใช้ยานพาหนะที่มีมาตรฐานและปลอดภัยมากขึ้นในชุมชน โดยการส่งเสริมให้คนเลือกใช้ยานพาหนะที่มีคุณภาพและปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาวได้โดยมีการพัฒนานโยบายและมาตรการต่างๆ เช่น การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่มีมาตรฐาน การให้ข้อมูลและความติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เป็นต้น
1) ระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย
1) ระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย
ความสำคัญของ "ระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย" ไม่ได้มองเพียงเฉพาะด้านยานพาหนะในเชิงวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงระบบการจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากมีผลต่อความปลอดภัยและการเตรียมความพร้อมของการรับส่งนักเรียนไปยังและจากโรงเรียนในลักษณะที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ ดังนั้น ระบบนี้อาจรวมถึงด้านการวางเส้นทางการจัดส่ง การวางกำหนดการเดินทาง เช่น เวลาที่รถรับส่งนักเรียนมาถึงและออกจากโรงเรียน การจัดที่จอดรถ และการให้บริการของพนักงานขับรถ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีผลต่อความปลอดภัยและสะดวกสบายของนักเรียนในการเดินทางไปยังและกลับจากโรงเรียน การมีระบบการจัดการที่มีมาตรฐานและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของนักเรียนในการเดินทางไปยังและกลับจากโรงเรียนได้อย่างมั่นคงและเชื่อถือได้
(1) การศึกษาแนวทางการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน
(1) การศึกษาแนวทางการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน มีความสำคัญเนื่องจากปัญหาอุบัติเหตุในรถรับส่งนักเรียน เฉพาะรถกระบะดัดแปลงมีความถี่และรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจากการดัดแปลงรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก โดยมุ่งหน้าไปที่การบรรทุกได้มากและราคาต่ำ รวมถึงขาดการมีอุปกรณ์ป้องกัน รูปแบบการติดตั้งหลังคาและการเชื่อมต่อกับตัวรถที่ไม่แข็งแรงและไม่เป็นไปตามมาตรฐานรถรับส่งนักเรียนตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ดังนั้น การศึกษาแนวทางการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนมีการเสนอแนวทางการออกแบบโครงสร้างหลังคาให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล FMVSS 220 และสามารถผลิตได้โดยผู้ประกอบการอู่ต่าง ๆ ได้ โดยที่ต้นทุนการผลิตไม่สูงกว่าราคาหลังคาที่มีอยู่ในท้องตลาด โดยเน้นการเสริมโครงสร้างรองรับแรงกระทำในกรณีที่รถพลิกคว่ำ และมีแผนจะขยายผลการใช้งานด้วยการถ่ายทอดความรู้และมอบแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างหลังคาให้กับผู้ประกอบการเดินรถ และอบรมอู่ประกอบหลังคารถต่อไปด้วย ซึ่งมีการนำระบบติดตามรถรับส่งนักเรียนมาใช้งานเพื่อเสริมความปลอดภัยอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อยกระดับการรับส่งนักเรียนให้มีความปลอดภัยในการเดินทางไปยังและกลับจากโรงเรียนอย่างมั่นคงและเชื่อถือได้
การสร้างเครือข่าย "จันทบุรีโมเดล" โดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางบก โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง และผู้ประกอบการเดินรถ เพื่อเพิ่มมาตรฐานการรับส่งนักเรียนให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการ
ดำเนินการด้านการออกแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างรถรับส่งนักเรียนโดยมีความร่วมมือจาก MTEC และการนำเข้าระบบติดตามรถรับส่งนักเรียนโดย NECTEC เพื่อเสริมความปลอดภัยของการเดินทางของนักเรียน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายผลการใช้งานโดยการถ่ายทอดความรู้และมอบแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างหลังคาที่ประกอบด้วยโครงสร้างหลักและอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ เช่น ประตูท้าย และบันไดท้าย ให้กับผู้ประกอบการเดินรถ และจัดอบรมให้กับอู่ประกอบหลังคารถต่อไป เพื่อให้การใช้งานรถรับส่งนักเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อนักเรียนในอนาคต
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์ การศึกษาแนวทางการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน โดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และคณะ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สสวทช. สนับสนุนโดย ศวปถ., มนป. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 46 หน้า
(2) ระบบการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย
(2) ระบบการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย
การจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากรถรับส่งนักเรียนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบรถโดยสารประจำทางตามกฎหมายการขนส่งทางบก แต่มีความสำคัญในชุมชนเพราะไม่มีรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนได้อย่างเพียงพอ การจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนอย่างไม่เพียงพอสามารถเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การดัดแปลงรถเพื่อบรรทุกจำนวนนักเรียนเกินความสามารถที่ปลอดภัย ขาดเครื่องมือและหลักประกันในสถานการณ์ฉุกเฉิน และความขาดความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับ-ส่งนักเรียน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดและความไม่เข้าใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นการปรับปรุงและจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่มีความปลอดภัยเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดในการลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียนในอนาคต
ปี 2560 สสส.และ ศวปถ.ได้ให้การสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการขับเคลื่อนมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนในจังหวัดจันทบุรี โดยศึกษาและเปรียบเทียบกับพื้นที่ศึกษาของ 15 จังหวัดใน 5 ภาค และพื้นที่ที่มีการถอดบทเรียนเกี่ยวกับรถรับส่งนักเรียนใน 5 จังหวัด โดยโครงการได้สำรวจและวิเคราะห์สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุของรถรับส่งนักเรียน เน้นการศึกษาประเภทและลักษณะของรถรับส่งนักเรียนที่แตกต่างกันตามกฎหมาย จากการตรวจสอบพบว่า มีการดัดแปลงรถเพื่อบรรทุกนักเรียนเกินความสามารถ และขาดการบังคับใช้กฎหมายในการจัดการรถรับส่งนักเรียนอย่างเหมาะสม โดยนับเป็นข้อจำกัดในทางปฏิบัติ จึงเสนอแนวคิดการจัดการความปลอดภัยในการขับเคลื่อนรถรับส่งนักเรียนที่มีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย คัดกรองคนขับรถที่มีความรับผิดชอบและมีความรู้ในการขับรถ เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน โดยมีการพัฒนาโมเดลเครือข่ายรถรับส่งนักเรียนที่มีโรงเรียนเป็นจุดจัดการในจังหวัดรวม 7 พื้นที่ที่มีการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โครงการนี้เน้นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องและมีคู่มือ/ชุดความรู้ในการบริหารจัดการทั้งในด้านความปลอดภัยของรถและการดูแลนักเรียน ทำให้มีการบริหารจัดการทั้ง 3 องค์ประกอบที่สำคัญในการลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน
สสส. และ ศวปถ. ให้การสนับสนุนโครงการถอดบทเรียนเพื่อศึกษาปัจจัยเงื่อนไขที่ส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาระบบจัดการความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน โดยการศึกษาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย วิธีการขับเคลื่อนงานของภาคีเครือข่าย ซึ่งโครงการนี้เน้นการศึกษาประเภทและลักษณะของรถรับส่งนักเรียนที่แตกต่างกันตามกฎหมาย และเพื่อหาแนวทางการพัฒนาระบบให้เกิดความปลอดภัย โดยศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุของรถรับส่งนักเรียนใน 6 จังหวัดที่เป็นพื้นที่การดำเนินงานของภาคีเครือข่าย คือ จันทบุรี เชียงราย สุรินทร์ พระนครศรีอยุธยา พะเยา และสงขลา โดยการวิเคราะห์และศึกษานี้ช่วยเข้าใจปัญหาและข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในการจัดการรถรับส่งนักเรียนอย่างเหมาะสม และนำไปตั้งข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญคือ การกำหนดระเบียบและแนวทางปฏิบัติให้ขนส่งจังหวัดร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การจัดสรรงบประมาณเพื่อให้มีทางเลือกในการเดินทางไปกลับโรงเรียนที่ปลอดภัย การตั้งอนุกรรมการด้านความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน และการจัดทำคู่มือ/ชุดความรู้ในการบริหารจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย เพื่อให้มีการจัดการรถรับส่งนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สูงสุดในทุกๆ มิติ การวิเคราะห์นี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของปัญหาและความต้องการของแต่ละพื้นที่ เพื่อการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในอนาคต
ปี 2562 ศวปถ. มนป. และ สสส. ให้การสนับสนุนโครงการเพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนในจังหวัดจันทบุรีในระยะที่ 2 โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 3 กลไกหลักของการยกระดับระบบการจัดการมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียนในระดับพื้นที่ คือ กลไกโรงเรียน กลไกการบริหารจัดการรถรับ-ส่งนักเรียน และกลไกหน่วยงานภาครัฐระดับอำเภอและระดับจังหวัด เพื่อสนับสนุนให้เกิด Safe System สำหรับการเดินทางไป-กลับโรงเรียนที่ปลอดภัย โดยมีการเลือกจังหวัดจันทบุรีเป็นพื้นที่นำร่อง เนื่องจากมีโครงการจัดระเบียบรถรับส่งนักเรียนของสำนักงานขนส่งจังหวัด ซึ่งเป็นผลให้กลุ่มผู้ขับรถรับส่งนักเรียน คณะครู และผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้รถรับส่งนักเรียนเพิ่มขึ้น รวมถึงมีรูปแบบการให้บริการที่หลากหลาย และมีโมเดลการจัดการ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับตัวจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล โดยทำการศึกษาใน 5 อำเภอ (อำเภอเมืองและแหลมสิงห์ มะขาม แก่งหางแมว สอยดาว ท่าใหม่) ที่มีบริบทและระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียนแตกต่างกันผลการศึกษาพบว่า กลไกสำคัญในการสร้างระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย คือ กลไกเครือข่ายรถรับส่งนักเรียนที่ดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการในระดับอำเภอ รวมทั้งการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องผ่าน ศปถ.จังหวัดเพื่อให้การจัดการรถรับส่งนักเรียนมีความยั่งยืน
การสังเคราะห์และปรับปรุงชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนในระดับพื้นที่ มีดังนี้:
คู่มือจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน: การสร้างคู่มือนี้เป็นการปรับปรุงและสร้างมาตรฐานที่เป็นเลิศในการดำเนินการทางด้านความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน คู่มือนี้ประกอบไปด้วยเอกสารและแบบฟอร์มต่างๆ เช่น ใบสมัครสมาชิกชมรมรถรับส่งนักเรียน และเครือข่ายรถรับส่งนักเรียน แบบฟอร์มต่างๆ เช่น แบบบันทึกการตรวจสอบรถ และแบบทะเบียนรถโรงเรียน เพื่อให้การดำเนินงานเกี่ยวกับการรับส่งนักเรียนมีความเป็นระเบียบและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
คู่มือการจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ประกอบการรถรับส่งนักเรียน: คู่มือนี้เน้นการจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวกับการปฏิบัติของผู้ประกอบการรถรับส่งนักเรียน เพื่อให้มีการรักษาความปลอดภัยทั้งของผู้ขับรถและนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยประกอบด้วยข้อปฏิบัติทั่วไปของผู้ขับรถและผู้ดูแลนักเรียน และมีรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบความพร้อมของรถ การเตรียมความพร้อมของคนขับรถ และข้อปฏิบัติในกรณีที่พบข้อบกพร่องของรถหรือรถเสียระหว่างเดินทาง โดยมุ่งเพื่อให้มั่นใจว่าการให้บริการรถรับส่งนักเรียนจะมีคุณภาพและปลอดภัยตลอดเส้นทางการเดินทาง
• "คู่มือกระบวนการอบรมให้ความรู้รถรับส่งนักเรียนสำหรับเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" มีดังนี้
1.การอบรมเจ้าหน้าที่ขนส่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: การพัฒนาคู่มือนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ขนส่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรถรับส่งนักเรียนอย่างเหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรและกิจกรรมต่างๆ เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน วิธีการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ฯลฯ โดยทำให้พวกเขามีความพร้อมในการทำงานในสถานการณ์ต่างๆ
2.การพัฒนาโครงสร้างและกลไกการจัดการรถรับส่งนักเรียน: การสร้างโครงสร้างและกลไกเหล่านี้เป็นการปรับปรุงและพัฒนาระบบการจัดการรถรับส่งนักเรียน เพื่อให้มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อนักเรียน โดยการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนี้
ที่มา:(1) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยการขับเคลื่อนมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน โดยนายฉัตรไชย ภู่อารีย์ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านงานขนส่งอิสระ สนับสนุนโดย ศวปถ.และ สสส. (ธค. 2561) 354 หน้า 2) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการถอดบทเรียนระบบการจัดการรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โดย นส.เพ็ญนภา พรสุพิกุล และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. , มนป.และ สสส.(กย.62) 115 หน้า 3) คู่มือการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย ฉบับที่ 1 ประกอบการสัมมนาเรื่อง “รถรับ-ส่งนักเรียนกับการเดินทาง (ไป-กลับ) ที่ปลอดภัย” สัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่องความปลอดภัยทางถนนครั้งที่ 14 พิมพ์ครั้งที่ 1 (สค. 2562) 63 หน้า 4) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการขับเคลื่อนมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียนจังหวัดจันทบุรี ระยะที่ 2 จำนวน 292 หน้า โดย นส. เพ็ญนภา พรสุพิกุล และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. ,มนป. และ สสส. (พค. 2563) และ 5) e-learning 10 ไฟล์
-การศึกษาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย มีดังนี้:
1.การรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลด้านกฎหมายและกฎระเบียบ: การศึกษาและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน ทั้งจากต่างประเทศและประเทศไทย เพื่อให้เกิดการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในกรอบกฎหมายที่มีผลต่อการจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
2.การสัมภาษณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: การสัมภาษณ์หน่วยงานที่ระดับนโยบาย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และระดับท้องถิ่น เช่น โรงเรียน ศูนย์ส่งเสริมการศึกษา และเทศบาล ซึ่งช่วยในการเข้าใจข้อจำกัด ความสามารถ และโอกาสในการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียน รวมถึงการพิจารณากรณีศึกษาเพื่อค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ
3.การศึกษาแนวทางการจัดสรรงบประมาณ: การศึกษาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โดยการจัดระบบการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติและบทเรียนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการงบประมาณค่าใช้จ่าย เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นมีความเข้าใจและสามารถนำไปปรับใช้ในการจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม โดยความเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยและมีมาตรฐานที่เหมาะสม
4.การจัดการงบประมาณและการจัดบริการรถรับ-ส่งนักเรียน: การศึกษากรณีศึกษาเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณและการบริหารจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการทรัพยากรและการบริการให้กับนักเรียนในแต่ละพื้นที่
ที่มา:(1) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โดย นายพิสิษฐ์ วงศ์เธียรธนา และนางสาวเพ็ญนภา พรสุพิกุล สนับสนุนโดย ศวปถ., มนป. และ สสส. (เมษ.62) 68 หน้า และ 2) คู่มือแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการจราจร กรณีรถรับ-ส่งนักเรียน โดย นายพิสิษฐ์ วงศ์เธียรธนา พิมพ์ครั้งที่ 1 (กค.63) 33 หน้า สนับสนุนโดย ศวปถ., มนป. และ สสส.)
-ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มีดังนี้:
1.การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน: ศวปถ. ผลักดันให้เกิดข้อเสนอเพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน โดยการทำให้กระทรวงศึกษาธิการและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดแนวปฏิบัติและมีระบบตรวจสอบเพื่อให้สถานศึกษาดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
2.การดำเนินการแก้ไขปัญหา: ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ลืมเด็ก หน่วยงานที่กำกับดูแล เช่น ฉกชน. และศปถ.จังหวัดจะสอบสวนและประเมินระบบการดูแลว่ามีข้อบกพร่องในจุดใด พร้อมดำเนินการแก้ไขและตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนด
3.การอบรมและแนวปฏิบัติ: ศปถ.ส่วนกลาง และกรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น จัดอบรมให้กับครูพี่เลี้ยงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและครูที่มีหน้าที่กำกับดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางในเรื่องนี้
4.การสร้างเครือข่ายภาคีในพื้นที่: ในระยะยาว เสนอให้โรงเรียนสร้างเครือข่ายภาคีในพื้นที่เพื่อให้มีการจัดการความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียนในทุกปัจจัยเสี่ยงตามที่ ศวปถ.ได้รวบรวมข้อมูลไว้ในคู่มือการจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย
ที่มา:ข้อเสนอเพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน “กรณีลืมเด็กบนรถจนเสียชีวิต” จากผจก. ศวปถ. ถึงผอ.ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ลงวันที่ 26 สค.2563
2) มาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ
(1) มาตรฐานความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะประจำทาง
(1) มาตรฐานความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะประจำทาง มีดังนี้
1.การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร: สิ่งสำคัญที่สะท้อนในตำรานี้คือการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร โดยการปรับปรุงเงื่อนไขในการดำเนินงานของบริษัท SWP ออโต้เซอร์วิส จำกัด เพื่อเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการให้บริการแก่นักเรียน นักศึกษา คณาจารย์และประชาชนทั่วไป
2.การควบคุมการขับขี่: การจำกัดความเร็วด้วย GPS และการติดตั้งระบบความปลอดภัย เช่น เข็มขัดนิรภัย และระบบแจ้งเตือนทันทีหากมีปัญหา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและรักษาความปลอดภัยในการเดินทาง
3.การตรวจสอบและการบำรุงรักษา: การติดตั้งระบบตรวจสอบสภาพรถและการให้บริการการบำรุงรักษาเพื่อให้รถตู้โดยสารมีสภาพคงทนและปลอดภัยตลอดเวลา
โดยทั้งสามด้านนี้เน้นไปที่การพัฒนาและดำเนินการให้ความปลอดภัยรถตู้โดยสารสาธารณะในระดับที่สูงขึ้น เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและนักเรียนในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา
ที่มา:Factsheet 2 หน้า จัดทำโดย ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน , กระทรวงคมนาคม , กรมการขนส่งทางบก , กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน , สสส. , ศวปถ.
(2) มาตรฐานด้านความปลอดภัยของรถในระบบรถโดยสารประจำทาง: การกำหนดมาตรฐานการบังคับใช้และการตรวจสอบ
(2) มาตรฐานด้านความปลอดภัยของรถในระบบรถโดยสารประจำทาง: การกำหนดมาตรฐานการบังคับใช้และการตรวจสอบ
สสส. ศวปถ. และ มสช. ได้ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อทำการเปรียบเทียบมาตรฐานด้านความปลอดภัยของรถโดยสารประจำทางกับต่างประเทศ เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยการให้บริการรถโดยสารประจำทาง ผลของการศึกษาพบประเด็นสำคัญ ดังนี้
1.โครงสร้างการประกอบการขนส่ง: มีจำนวนรถโดยสารสะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มากกว่าการเพิ่มจำนวนใบอนุญาตประกอบการขนส่งรถโดยสาร ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการประกอบการยังคงสูงอยู่ ซึ่งมีผลกระทบต่อการให้บริการและคุณภาพของบริการ
2.การเกิดอุบัติเหตุ: ยังไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุของรถโดยสารประจำทาง และยังไม่สามารถจำแนกการเกิดอุบัติเหตุตามมาตรฐานรถได้อย่างชัดเจน
3.มาตรฐานความปลอดภัยของระบบรถโดยสารประจำทาง: ประเทศไทยนำมาตรฐานของ UNECE เป็นแนวทางในการกำกับดูแลรถโดยสาร เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยของการให้บริการ
4.กลไกการตรวจสอบสภาพความปลอดภัยของรถ: มีกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบและกำหนดมาตรฐานในการบำรุงรักษารถ ควรพิจารณาความเหมาะสมของการตรวจสอบตามระยะเวลาและพัฒนาการตรวจสอบให้เชื่อมโยงกับสภาพตามคาบเวลา
5.การบริหารจัดการด้านความปลอดภัยของรถ: การจัดการปัจจัยต่างๆ เช่น หลักการจัดการ ผลิตภาพของบุคลากร สมรรถนะของรถ และความสามารถในการบำรุงรักษา จะมีผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของการให้บริการรถโดยสารประจำทาง
เน้นการจัดการและการกำกับดูแลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการให้บริการรถโดยสารประจำทางในประเทศไทย โดยการส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจสอบอย่างเชื่อถือได้มีบทบาทสำคัญในการลดอุบัติเหตุและเพิ่มความเชื่อถือในบริการขนส่งสาธารณะในประเทศ
ข้อเสนอเชิงนโยบาย มีดังนี้
1.มาตรฐานของตัวรถ: การสร้างมาตรฐานและกลไกกำกับดูแลผู้ประกอบการที่ต่อเติมตัวถังรถโดยสาร เพื่อให้รถมีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือทดสอบและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการติดตามการดำเนินงาน และนโยบายการลดภาษีนำเข้ารถโดยสารใหม่เพื่อส่งเสริมการใช้รถที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงขึ้น
2.การตรวจสภาพรถ: การนำมาตรฐานความปลอดภัยรถที่เป็นมาตรฐานสากลมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสภาพรถ เพื่อให้มั่นใจว่ารถมีความปลอดภัยตามมาตรฐาน
3.ความพร้อมของยานพาหนะ: การสร้างความพร้อมในด้านการตรวจสอบสภาพรถขณะให้บริการ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการขนส่งเพื่อฝึกอบรมเทคนิคต่างๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูแลรถโดยสารอย่างมีประสิทธิภาพ
4.การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การสร้างภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยและมีบทลงโทษชัดเจนตามระดับขั้น เพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
5.ความเชื่อมโยงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: การพัฒนาแอปพลิเคชันในการบันทึกข้อมูลการประกอบการรถโดยสารและการยื่นแผนธุรกิจเพื่อขอใบอนุญาต และการสร้างองค์ความรู้ทางด้านเทคนิคให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน
(3) การพิจารณาความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร
(3) การพิจารณาความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร
ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการพิจารณาความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร มีดังนี้
1.การเสนอสถิติการเกิดอุบัติเหตุ: การนำเสนอข้อมูลสถิติเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถตู้โดยสาร เพื่อเน้นความสำคัญของการให้บริการที่ปลอดภัยและการรักษาสถานะปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร
2.ข้อเสนอแนะสำหรับประชาชน: การเสนอแนวทางและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตัวของผู้ใช้บริการ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้บริการรถตู้โดยสาร เช่น การเลี่ยงการใช้บริการรถตู้จอดนอกป้ายและการเก็บบัตรโดยสารเป็นหลักฐานเอาผิดกับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย
3.ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: การเสนอแนวทางการปฏิบัติของรัฐบาลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของรถตู้โดยสาร โดยเน้นความเข้มงวดในการจดทะเบียนรถและตรวจสอบสภาพรถ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและสนับสนุนเรื่องการเงินให้กับผู้ประกอบการในด้านความปลอดภัย
ที่มา:Factsheet 1 หน้า โดย TDRI , ศวปถ. ,มนป. , สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
(4) การประเมินคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของระบบรถโดยสารสาธารณะ
(4) การประเมินคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของระบบรถโดยสารสาธารณะ
เป็นงานวิจัยที่มุ่งศึกษาแนวทางการเพิ่มสัดส่วนในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะอย่างยั่งยืน การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการ และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยมีผลการวิจัยที่สำคัญจาก 3 โครงการย่อย ดังนี้
1.การประเมินผลและติดตามผลของนโยบายด้านรถโดยสารสาธารณะ:
¬การกำหนดมาตรฐานและโครงสร้างการประกอบการของรถโดยสารเพื่อเพิ่มความปลอดภัยตามพรบ.การขนส่งทางบก
¬การเข้าร่วมข้อตกลงของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยและการทดสอบรถโดยสาร
¬การปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการขับขี่ เช่น ตรวจจับความเร็วเฉลี่ยและตรวจจับผู้ขับขี่ที่เมา
2.การเข้าถึงระบบรถโดยสารสาธารณะ:
¬การพัฒนาจุดจอดรถประจำทางที่สะดวกและปลอดภัย
¬การออกแบบสถานีขนส่งให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้โดยสารและมีความสามารถในการเข้าถึงที่สูง
3.การมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์กร/ท้องถิ่น:
¬การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรในการกำหนดนโยบายและการให้บริการรถโดยสาร
¬การเริ่มต้นให้บริการรถโดยสารประจำทางจากงบประมาณของท้องถิ่น
การทบทวนนี้ช่วยสร้างแนวทางและแนะนำเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพในการให้บริการรถโดยสารสาธารณะอย่างยั่งยืนและยกระดับความสามารถในการเข้าถึงระบบรถโดยสารสาธารณะอย่างเท่าเทียมสำหรับประชาชนทุกคนในสังคม
ที่มา:รายงานสำหรับผู้บริหารโครงการวิจัยการประเมินคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของระบบรถโดยสารสาธารณะ โดย ดร.สุเมธ องกิตติคุณ และคณะ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สนับสนุนโดย ศวปถ. ,มนป. , สสส. (กค. 2559) 21 หน้า
(5) การส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
(5) การส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ดำเนิน “โครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ” ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2522 ถึงกุมภาพันธ์ 2554 ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส.มีผลการประเมินโครงการฯ ดังนี้
1.การเผยแพร่ความรู้และการเพิ่มความเข้าใจในสิทธิของผู้บริโภค: โครงการได้ใช้สื่อต่างๆ เช่น หนังสือ แผ่นพับ คู่มือ เว็บไซต์ และสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้และเพิ่มความเข้าใจในสิทธิของผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ ทำให้กลุ่มเป้าหมายหลักมีการรับรู้และเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการและอยู่ในชนบทหรือกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีความต้องการให้สื่อเพิ่มเติมเพื่อยกระดับการเผยแพร่และความตระหนักของสังคมอย่างเต็มที่
2.ประสิทธิภาพของช่องทางในการให้ความช่วยเหลือ: โครงการได้สร้างระบบร้องเรียนและระบบการชดเชยเยียวยาที่รวดเร็วและเป็นธรรม ซึ่งมีความพึงพอใจในการรับร้องเรียนและการตัดสินคดี และมีการจัดตั้งศูนย์ทนายความอาสาเพื่อรับทำคดีและกระบวนการทางศาลให้กับผู้เสียหาย เป็นการยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ
3.การเข้มแข็งของเครือข่ายในการปกป้องสิทธิผู้ใช้บริการ: โครงการได้พัฒนาศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคและศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในภูมิภาค และมีการประสานงานกับหน่วยงานวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค
4.สัมฤทธิผลของนโยบายและมาตรการในการปรับปรุงระบบบริการ: โครงการมีการสังเคราะห์ความรู้เพื่อใช้ในการปรับปรุงระบบบริการ และมีการพัฒนาข้อเสนอต่อนโยบายความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ และการมีผู้แทนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยู่ในคณะกรรมการรับรองมาตรฐานคุณภาพบริการรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งเป็นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคและการให้บริการ
การประเมินผลโครงการนี้ชี้ชัดถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิและประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ผู้บริโภคในด้านต่างๆ และเสนอแนวทางการปรับปรุงระบบ
ข้อเสนอแนะ มีดังนี้
1.การพัฒนาคุณภาพของระบบการคุ้มครองสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ:
¬เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการในการพัฒนาระบบ เพื่อสร้างระบบการป้องกันและเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
¬ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติในทุกระดับ เช่น การติดตั้งเข็มขัดนิรภัย และพัฒนาระบบบริการในสถานีขนส่ง
¬ผลักดันให้มีการก่อตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคเพื่อเสริมสนับสนุนในด้านคุณภาพและความปลอดภัย
¬ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานวิชาการและภาคประชาสังคม เช่น โครงการเครือข่ายลดอุบัติเหตุ เพื่อเสริมความเข้มแข็งของระบบ
2.เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกการขับเคลื่อนงาน:
¬การสร้างแกนนำและเครือข่ายในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกการทำงาน
¬การส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครในการติดตามและเฝ้าระวัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่มีความรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอแนะที่เน้นการมีส่วนร่วมและการเสริมความเข้มแข็งของระบบทั้งในด้านนโยบายและปฏิบัติ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคและการให้บริการในระยะยาวได้มากขึ้น และเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อถือได้ในระบบการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างเชื่อถือได้
ที่มา:รายงานประเมินผลโครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ โดย นางสุภา ใยเมือง และ ดี.นฤมล ทับจุมพล เสนอต่อ สสส. (พฤษภาคม 2554) 27 หน้า
(6) การเสริมพลังผู้บริโภคและผู้ประกอบการเพื่อรถโดยสารปลอดภัย
(6) การเสริมพลังผู้บริโภคและผู้ประกอบการเพื่อรถโดยสารปลอดภัย
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้จัดทำโครงการเสริมพลังผู้บริโภคและผู้ประกอบการเพื่อรถโดยสารปลอดภัย เป็นโครงการที่มีความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อเสริมสร้างบทบาทขององค์กรและเครือข่ายในการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้และการสร้างระบบเฝ้าระวังในหลากหลายรูปแบบ โดยโครงการได้ดำเนินการในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย เช่น ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตก กลาง และใต้
ผลการประเมินพบว่า โครงการได้สร้างบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้บริการ เช่น การรับเรื่องร้องเรียนเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารปลอดภัย การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยเพื่อให้ได้รับการชดเชยเยียวยา และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่มีผลต่อความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสาร ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยสินไหมในกรณีเกิดอุบัติเหตุ และนโยบายการติดตั้ง GPS ในรถโดยสารสาธารณะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารในอนาคต
นโยบายในระดับท้องถิ่นเกี่ยวกับมาตรฐานการเช่าเหมารถและการทำสัญญามีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะในเขตอำเภอหรือตำบลที่มีการนำมาตรฐานมาใช้ในการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ตัวอย่างเช่น ในอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ได้ทำการนำพรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมาใช้ในรถทุกคันที่เป็นเจ้าของอยู่ในเขตดังกล่าว หรือในอำเภอตากูก จังหวัดสุรินทร์ ได้พัฒนาชุดความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการเช่าเหมารถโดยสารไม่ประจำทางเพื่อให้รถโดยสารมีความปลอดภัยมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีนโยบายเฉพาะเกี่ยวกับการรับส่งนักเรียนและการเช่าเหมารถทัศนาจรของโรงเรียน โดยผู้ประกอบการมีบทบาทร่วมในการแก้ไขปัญหาและสร้างความปลอดภัยให้กับรถโดยสารอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมีมาตรฐานและนโยบายที่ชัดเจนในการเช่าเหมารถโดยสาร และการรับส่งนักเรียน จะช่วยให้ผู้ใช้บริการมีความมั่นใจและปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้นและช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นนั้นๆ อีกทั้งยังเสริมสร้างความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย
ที่มา:รายงานประเมินผลโครงการเสริมพลังผู้บริโภคและผู้ประกอบการเพื่อรถโดยสารปลอดภัย โดย นางสุภา ใยเมือง และคณะ (พค.2559) 169 หน้า
(7) การสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนเพื่อรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย
(7) การสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนเพื่อรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ดำเนิน “โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนเพื่อรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย” มีความสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ โครงการนี้ได้ดำเนินการในลักษณะเครือข่ายรวม 7 โครงการย่อย ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เป็นระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 ถึงมกราคม 2562 โดยมีการประเมินผล ดังนี้
1.ความเข้มแข็งของกลไกองค์กรผู้บริโภค: ส่วนใหญ่ของกลไกองค์กรผู้บริโภคในระดับจังหวัดและภาคได้รับการพัฒนาและมีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีการเพิ่มความเข้มแข็งในเรื่องของความรู้ทักษะการทำงานของเจ้าหน้าที่ และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย โดยมีกลไกหลายรูปแบบ เช่น การเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการของหน่วยงานภาครัฐ การจัดตั้งคณะทำงานโดยองค์กรผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานรถโดยสารสาธารณะ
2.ประสิทธิภาพของระบบป้องกันและเฝ้าระวัง: มีการระบุปัญหาและการแก้ไขอย่างเหมาะสม เช่น การรับเรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และการสร้างระบบเฝ้าระวังที่เป็นที่ยอมรับ
3.การเข้าถึงระบบชดเชยเยียวยา: มีการยกระดับระบบชดเชยเยียวยาผ่านการฟ้องคดี การเข้าถึงระบบชดเชยเยียวยาโดยมีการแจ้งสิทธิ์แก่ผู้เสียหายและติดตามการเข้าถึงระบบ และการสร้างเครือข่ายทนายอาสาในระดับภูมิภาค
4.ประสิทธิภาพในการผลักดันทางนโยบาย: มีการกำหนดและนำไปสู่การดำเนินการของนโยบายที่ชัดเจน เช่น นโยบายรถรับส่งนักเรียน นโยบายรถโดยสารต้องทำประกันภัยโดยสมัครใจ และการห้ามใช้รถโดยสารสองชั้นในเส้นทางเสี่ยง
5.ความเชื่อมโยงของโครงการในภูมิภาคและส่วนกลาง: มีการเชื่อมโยงและการร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงระบบคุ้มครองรถโดยสารสาธารณะ ผ่านการนำเสนอผลงานเด่นและการรวมกลุ่มผู้เสียหายเพื่อให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลง
ที่มา:รายงานประเมินผลโครงการสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนเพื่อรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย โดย นางสุภา ใยเมือง และคณะ (มีค.2562) 215 หน้า
-TDRI สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย , RMUTP , ศวปถ. , สสส.
¬ศึกษาปัจจัยที่เป็นไปได้เพื่อสนับสนุนการใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดการใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะจุดประสงค์หลักอาจการลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน การลดการปล่อยก๊าซเสียจากยานพาหนะที่มีผลต่อสุขภาพ และการลดการแพร่ระบาดของมลพิษทางอากาศ สำหรับการพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ การเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพรถเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ที่มา:Factsheet ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพรถ (ผลการศึกษาจากโครงการความเข้าใจในสมรรถนะที่เปลี่ยนแปลงจากการดัดแปลงสภาพส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ โดย ผศ.ดร.ทรงวุฒิ มงคลเลิศมณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร) จัดพิมพ์โดยสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย , RMUTP , ศวปถ. , สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
¬ศึกษาแนวทางงานวิจัยด้านความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ โครงการนี้มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2545 ถึง 2556 โดยสาเหตุสำคัญมาจากการใช้ความเร็ว เมาสุราขณะขับขี่ ฝ่าฝืนกฎจราจร ขาดความระมัดระวัง และขาดทักษะในการควบคุมขณะเลี้ยวและชะลอความเร็ว โครงการนี้มุ่งเน้นการทบทวนสถานการณ์อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ การทบทวนกฎหมายจราจรที่เกี่ยวข้อง และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและขอบเขตการพัฒนางานวิจัยเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์
โครงการนี้แบ่งงานวิจัยออกเป็น 3 มาตรการหลักตามลำดับความสำคัญ คือ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) ซึ่งเน้นการสร้างความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร มาตรการด้านวิศวกรรม (Engineering) ซึ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างถนนและยานพาหนะเพื่อลดอุบัติเหตุ และมาตรการด้านการให้ความรู้ (Education) ซึ่งเน้นการเพิ่มความรู้และการตระหนักในการใช้ถนนอย่างปลอดภัยของผู้ขับขี่
การแยกการวิจัยตามปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้งานวิจัยมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการลดอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรการป้องกันอุบัติเหตุในทุกด้านอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อลดอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ให้มีประสิทธิภาพและเฉพาะ
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาแนวทางงานวิจัยด้านความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ โดย ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมขนส่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (ตค. 2558) 110 หน้า
เสาหลักที่ 4: การส่งเสริมความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน
เสาหลักที่ 4 การส่งเสริมความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน เน้นการให้ข้อมูลความรู้ที่หลากหลายและรองรับทั้งเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มเป้าหมาย
1) การสร้างความปลอดภัยทางถนนในสถานศึกษา
สสส.ได้ให้การสนับสนุนภาคีเครือข่ายในการสร้างความปลอดภัยทางถนนทั้งในระดับสถานศึกษา ระดับองค์กร และการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของการจัดการความปลอดภัยทางถนนที่สสส. กำหนดเป็นจุดเน้นของการสนับสนุนภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยมีการทำงานต่อเนื่องในหลายด้าน
1.การสร้างความรู้และเข้าใจ: สสส. ได้ทำการสร้างความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนในเด็กและเยาวชน โดยการจัดกิจกรรมและโครงการที่เน้นการเรียนรู้และการปฏิบัติจริง เช่น การอบรม การแข่งขัน การสร้างสื่อการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างจิตสำนึกให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับการใช้ถนนอย่างปลอดภัย
2.การสนับสนุนต่างๆ: มีการสนับสนุนและพัฒนาสถานที่ศึกษาและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้และปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโรงเรียน โดยมีการส่งเสริมให้เกิดการ
พัฒนาศูนย์เด็กเล็กต้นแบบ เพื่อความปลอดภัยทางถนน
3.การส่งเสริมความร่วมมือ: มีการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนในการสนับสนุนและการพัฒนากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการใช้ถนนอย่างปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในชุมชนและสังคม
โดยทั้งหมดนี้จะช่วยให้เกิดการฟื้นฟูวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายของเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นการลดอุบัติเหตุทางถนนและสร้างสังคมที่มีความปลอดภัยในการใช้ถนนอย่างยั่งยืน
-ปี 2554 สสส. และ ศวปถ. ได้ให้การสนับสนุนมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่นภาคเหนือในการสร้างต้นแบบความปลอดภัยทางถนนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ที่ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง
จังหวัดลำพูน โดยผ่านการสร้างความมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านงานวิจัยท้องถิ่นเชิงปฏิบัติการ ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้ได้รับความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนเรื่องความปลอดภัยทางถนน โดยมีการจัดการจุดเสี่ยงและปรับพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้รถใช้ถนนของเด็กและผู้ปกครองอย่างเห็นผล การทำงานนี้มีผลทำให้สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์และปลอดภัยในการใช้ถนนในชุมชนนั้นๆ และมีการแบ่งปันและนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จให้แก่ชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและปรับปรุงความปลอดภัยทางถนนในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ที่มา:(1) หนังสือ ปลูกจิตสำนึก “เมล็ดพันธุ์แห่งความปลอดภัยทางถนน” ISBN: 978-616-393-336-2 (พิมพ์ครั้งที่ 1 ธค. 2563) 92 หน้า 2) หนังสือเส้นทางสู่ “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน” สังเคราะห์ความรู้โครงการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบในการจัดการความปลอดภัยทางถนนโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน โดย พรทิพภา สุริยะ (บรรณาธิการ) และคณะทำงานโครงการ สอจร. สนับสนุนโดย สสส.158 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 3) หนังสือสรุปผลการดำเนินงานโครงการขยายผลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบเพื่อความปลอดภัยทางถนนโดยการมีส่วนร่วมของ อปท.และชุมชน โดยคณะทำงานโครงการฯ พิมพ์ครั้งที่ 1 (ตุลาคม 2563) 110 หน้า ISBN:978-616-11-4488-3 4) หนังสือ “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบ สู่โรงเรียนปลอดภัยทางถนน” 16 หน้า (ไม่ระบุปีที่ผลิต) และ 5) Factsheet ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบในการจัดการความปลอดภัยทางถนนโดยการมีส่วนร่วมของอปท.และชุมชน 5 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
-ในช่วงปี 2559-2561 สสส. สนับสนุนโครงการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบในการจัดการความปลอดภัยทางถนนและการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนในระยะที่ 1 ในพื้นที่ 4 ภูมิภาค โดยมีการสร้างขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่าง (ศพด.ต้นแบบ) จำนวน 30 ศูนย์ใน 16 อปท. และ 8 จังหวัด โดยศูนย์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน โดยให้การสนับสนุนและเสริมสร้างความร่วมมือในการเรียนรู้และการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนในชุมชนนั้นๆ ซึ่งเป็นการกระจายแนวคิดและแนวทางการจัดการความปลอดภัยทางถนนไปยังพื้นที่ต่างๆ ในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการใช้ถนนและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ถนนที่เหมาะสมในชุมชนที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบนั้นๆ ในระยะยาว
-ในช่วงปี 2562-2563 สสส.ได้ทำการขยายผลของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบสู่โรงเรียนเพื่อความปลอดภัยทางถนนในระยะที่ 2 โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบที่มีอยู่ใน 16 อปท. ให้เป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นตัวอย่างในการขยายผลการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้ง 8 จังหวัด โดยเน้นการพัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพครูและทีมงานอปท. ซึ่งมุ่งเพื่อปลูกฝังวินัยจราจรและจิตสำนึกทางถนนให้แก่เด็กเล็ก นอกจากนี้ยังเน้นการสร้างกลไกร่วมกันในการขับเคลื่อนงานต่อไป และพัฒนาผลลัพธ์ของการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบสู่โรงเรียนเพื่อความปลอดภัยทางถนน โดยมีการดำเนินการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 17 แห่งในโรงเรียน 8 แห่ง รวมทั้งหมด 25 แห่งจาก 4 ภูมิภาค โดยมีการจัดทำสรุปผลการดำเนินงานโครงการอย่างละเอียดตามภูมิภาคและจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โครงการมีกรอบแนวคิดทำงานที่เน้นกลไกกลางและกลไกในระดับภูมิภาคเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมีประสิทธิผลและยั่งยืน
มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น ได้พัฒนาหลักสูตร "การพัฒนาศักยภาพครู ศพด. และทีมงาน อปท. เพื่อสร้าง ศพด.ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน" ซึ่งระบบการฝึกอบรมนี้มุ่งเน้นให้ครู ศพด. และทีมงาน อปท. มีความรู้และทักษะในการสอนและส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนให้แก่เด็กและเยาวชน โดยมีเนื้อหาและเครื่องมือที่จำเป็น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน วิธีการสอนที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน เทคนิคในการสร้างและดูแลสภาพอากาศ การทดลองเชิงปฏิบัติการในการใช้ถนน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างความสนุกสนานและได้ผล เป็นต้น โดยมีการจัดกิจกรรมที่ตระหนักถึงความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ถนน เช่น การสร้างแผนการเรียนรู้ที่ใช้หลักการสนับสนุนความปลอดภัยทางถนน การจัดกิจกรรมฝึกทักษะการเดินทางที่ปลอดภัย และการให้คำแนะนำในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยทางถนนในท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การเพิ่มขึ้นของความตระหนักรู้และทักษะทางถนนของเด็กและเยาวชนที่เป็นผลมาจากการฝึกอบรมดังกล่าว การพัฒนานี้เป็นการลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนและส่งผลดีต่อความปลอดภัยทางถนนโดยรวมในสังคม
ผลการดำเนินงานโครงการระยะที่ 1 และ 2 ทำให้เกิดทีมดำเนินงานที่มีความใหญ่ขึ้น โดยรวมประกอบด้วยคณะทำงานโครงการ 20 คน ที่ปรึกษา 5 คน และผู้เข้าร่วมโครงการที่ประกอบด้วยทีมนักวิจัย แกนนำครู แกนนำผู้ปกครอง แกนนำชุมชน อปท. ภาคี เด็กเล็กและเด็กนักเรียน รวมทั้งสิ้นเกือบหมื่นคน โดยทำให้เกิดศพด.ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ 8 แห่งและโรงเรียนต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนน 8 แห่ง ที่เป็นแบบอย่างในการศึกษาดูงานของสถานศึกษาอื่นๆ
ผลลัพธ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นรวมถึงการเพิ่มความตระหนักรู้และทักษะทางถนนของเด็กและเยาวชน การจัดการจุดเสี่ยงร่วมกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และชุมชน การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างมีส่วนร่วม การทำข้อตกลงร่วมกัน เช่น การสวมหมวกนิรภัย การจัดจุดจอดรถ การสร้างสภาพแวดล้อมด้านกายภาพให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ และปรับพฤติกรรมในการขับขี่รถ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานอื่นๆ เช่น การนำเรื่องการสร้างความปลอดภัยทางถนนเข้าเป็นวาระ/เทศบัญญัติของท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้มีการลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนและส่งผลดีต่อความปลอดภัยทางถนนโดยรวมในสังคมได้อย่างชัดเจนและยั่งยืน
เมื่อปี 2555 สสส.ให้การสนับสนุนโครงการประเมินและพัฒนากลุ่มโครงการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัดของสอจร.ภาคเหนือ ได้นำเสนอกิจกรรมอวดคารมระดับมัธยม-อุดมศึกษา ภายใต้โครงการนวัตกรรมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรในโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดตาก โดยใช้เทคนิคการถอดบทเรียนแบบเล่าเรื่อง (Story Telling) แก่ครูอาจารย์ นักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวนรวม 29 คน
กิจกรรมนี้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
1.การสร้างบรรยากาศในการถอดบทเรียน
2.การกำหนดกติกาในการถอดบทเรียน (เป้าหมาย วิธีการ บทบาทหน้าที่ของผู้ร่วมถอดบทเรียน)
3.การจัดกิจกรรมอุ่นเครื่อง
4.การเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
5.การสรุปผลการถอดบทเรียน
ผลลัพธ์ที่ได้รับจากกิจกรรมนี้รวมถึงการเพิ่มความตระหนักรู้และทักษะทางถนนของเด็กและเยาวชน โดยสำคัญอยู่ที่การนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจผ่านกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและแสดงให้เห็นถึงสาระสำคัญ เช่น การเรียนรู้ผ่านการเล่น การทำให้ซึมซับและติดเป็นนิสัย เมื่อแสดงได้ก็ต้องนำไปปฏิบัติได้ อีกทั้งยังมีการสร้างกระบวนการและเงื่อนไขความสำเร็จโดยการหาแนวร่วม รวมถึงการพิจารณากิจกรรมหรือมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมความยั่งยืนของพฤติกรรมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของนักเรียนนักศึกษาในอนาคต
ที่มา:หนังสือ “จากเล่น สู่เรียนรู้ปลูกจิตสำนึกความปลอดภัยทางถนน” โดย ดร.ดนุลดา จามจุรี และคณะ (สนับสนุนโดย สสส.) ISBN 978-616-7790-27-5 (พิมพ์ครั้งที่ 1 , 2556) 58 หน้า
-ศวปถ. ได้ดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กทุกคน เป็นการทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ชุดกิจกรรมถนนปลอดภัยเป็นเครื่องมือหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจในการลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง การฝึกสังเกตและมีส่วนร่วมในการจัดการความปลอดภัยทางถนน
ผ่านกิจกรรมนี้เด็กและเยาวชนได้รับการเสริมสร้างทักษะชีวิตในด้านความปลอดภัยทางถนน และต้องเรียนรู้การใช้ถนนอย่างปลอดภัยในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น การฝึกปฏิบัติการความเสี่ยงในการใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น และการพัฒนาเครือข่ายถนนปลอดภัยที่มีความเป็นพลเมือง
กระบวนการเรียนรู้นี้มีการจัดทีมเป้าหมายที่สอดคล้องกับเยาวชนระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา โดยมีการโค้ชจากพี่เลี้ยงเยาวชน โดยมีขั้นตอนการเรียนรู้ทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ
1.การให้กลุ่มเยาวชนรับรู้เหตุการณ์ใช้ถนนเช่นเดียวกันในชีวิตจริง
2.การให้กลุ่มเยาวชนรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตนผ่านเหตุการณ์การใช้ถนน
3.การฝึกปฏิบัติประมาณการความเสียหายทุกฝ่ายทุกด้าน
4.การฝึกปฏิบัติวิเคราะห์เหตุปัจจัยรอบด้านและกำหนดแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
5.การนำเสนอข้อเสนอที่จะปฏิบัติ
โดยทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการสร้างสถานการณ์ที่เด็กและเยาวชนได้ฝึกฝนทักษะและเครียดการใช้ถนนอย่างปลอดภัยและมีส่วนร่วมในการจัดการความปลอดภัยทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา:Factsheet 2 แผ่น (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ดำเนินโครงการศึกษาและพัฒนาแนวทางการสร้างเสริมความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับเด็กนักเรียน โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์และพัฒนาให้เกิดระบบการเรียนรู้และการจัดการที่เชื่อมโยงกับการเสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคณะทำงานส่วนกลาง/ระดับพื้นที่ และโรงเรียนตัวอย่างในทุกภูมิภาค โดยมีโรงเรียนตัวอย่างจากทั่วประเทศ ได้แก่
1.โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) จังหวัดเชียงใหม่
2.โรงเรียนบ้านคูขาด (สถิตอุปถัมภ์) จังหวัดขอนแก่น
3.โรงเรียนวัดตโปทาราม จังหวัดชลบุรี
4.โรงเรียนวัดบ่อแดง (จอกประชานุกูล) จังหวัดสงขลา
โดยการศึกษาวิธีการเดินทางของนักเรียน การจัดการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยในแต่ละระดับชั้นทั้งหลักสูตรการเรียนการสอน และการจัดกิจกรรมเสริม เช่น เชิญตำรวจมาให้ความรู้ อาสาจราจร ทำป้ายรณรงค์ ฯลฯ เป็นที่สำคัญในการสร้างความเข้าใจและทักษะในการใช้ถนนอย่างปลอดภัยให้กับนักเรียน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย ปัจจัยความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงาน โดยที่แนวทางการสร้างเสริมความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับนักเรียนขึ้นอยู่กับ
1.พื้นฐานที่โรงเรียนพึงมี ทั้งการสนับสนุนจากผู้บริหาร โรงเรียนมีระบบบริหารจัดการที่ดี คณะครูมีการทำงานเป็นทีมและมีศักยภาพในการออกแบบหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละชั้น
2.การสร้างเสริมความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียนที่เชื่อมโยงกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยมีการคัดกรองนักเรียนจำแนกเป็นกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหา เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงในการเดินทางของนักเรียน
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาและพัฒนาแนวทางการสร้างเสริมความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับเด็กนักเรียน โดย นางทองไพรำ ปุ้ยตระกูล มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สนับสนุนโดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (ตค. 56) 83 หน้า
-กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำคู่มือผู้จัดการเรียนรู้ "ทักษะคิด การเอาชีวิตรอดภัยบนท้องถนน" สำหรับเด็กและเยาวชนอายุ 13-19 ปี ภายใต้โครงการ Thailand Safe Youth ZTSY program เพื่อสนับสนุนผู้อำนวยเรียนรู้ในสถานศึกษาในการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น โดยใช้ประสบการณ์ใน 5 ขั้นตอน (ให้ประสบการณ์ ให้กระบวนการ ให้หลักเกณฑ์ ให้สร้างหนทางปฏิบัติใหม่ และให้นำไปใช้) เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีทัศนคติและทักษะคิดในการเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน ลดการตายและวางรากฐานวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน ฐานการเรียนรู้ประกอบด้วย 6 ฐาน ได้แก่
1.การจัดการความเสี่ยงในการใช้รถใช้ถนนเบื้องต้น
2.สมรรถนะ ขีดจำกัดและการประมวลผลของมนุษย์
3.ความตระหนักรู้ในสถานการณ์
4.การตัดสินใจ 3 รูปแบบ (การตัดสินใจโดยใช้ความรู้เป็นพื้นฐาน โดยใช้กฎเป็นพื้นฐาน และโดยใช้ทักษะเป็นพื้นฐาน)
5.ทัศนคติอันตราย 5 รูปแบบ (กฎเกณฑ์ไม่อาทร รีบร้อนลุกลน คิดว่าตัวเองดวงดี ฮีโร่คือตัวข้า ตายดีกว่าไม่สู้)
6.การจัดการความเครียด/ความเหนื่อยล้า
คู่มือนี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนให้กับเยาวชนและเด็กโดยเฉพาะในช่วงอายุที่มีความเสี่ยงสูง และมีศักยภาพในการลดการบาดเจ็บและการเสียชีวิตในอนาคต
ที่มา:หนังสือคู่มือผู้จัดการเรียนรู้ “ทักษะคิด การเอาชีวิตรอดภัยบนท้องถนน” สำหรับเด็กและเยาวชนฯ โดย ดร.ปัญณ์ จันทร์พาณิชย์ และคณะ กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข28 หน้า พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2564
-กรมควบคุมโรค ได้จัดทำ “รายงานสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย” ในรูปแบบ Infographic เน้นเชื่อมโยงกับคู่มือผู้จัดการเรียนรู้ฯ มีเนื้อหาสาระที่สำคัญดังนี้
(1) สรุปปฏิญญาทางการเมืองจากการประชุม High-level Meeting on Improving Global Road Safety 18 ข้อ และแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน (พ.ศ.2565-2570)
(2) ข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน (พ.ศ.2560-2564)
(3) จำนวนรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนทั่วประเทศและที่จดทะเบียนใหม่ อัตราการบาดเจ็บที่ศีรษะกับอัตราการสวมหมวกนิรภัย (พ.ศ.2561-2565)
(4) จำนวนผู้ฝ่าฝืน/ทำผิดกฎจราจร (จากระบบใบสั่งจราจรออนไลน์ : PTM) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2564-2565)
(5) การใช้ที่นั่งนิรภัย (Car Seat) ปลอดภัยสำหรับเด็ก (พ.ศ.2560-2564)
(6) หลักเกณฑ์การตัดแต้มผู้ขับขี่ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566
(7) Update กฎหมายความเร็ว ตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็ว (กิโลเมตรต่อชั่วโมง) สำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ.2564
(8) เกณฑ์การสอบสวนการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
(9) สาเหตุการสูญเสียอนาคตของชาติ (เด็กและเยาวชน) จากอุบัติเหตุทางถนน
รายงานนี้เน้นการสื่อสารข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยอย่างชัดเจนผ่านทางภาพ Infographic เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการตระหนักรู้ในประชาชน และยังเชื่อมโยงกับการจัดการเรียนรู้ฯ เพื่อสร้างการเรียนรู้และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนให้กับเด็กและเยาวชนผ่านโครงการ TSY Program "ทักษะคิด การเอาชีวิตรอดภัยบนท้องถนน" ที่มีกิจกรรมและหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับฐานการเรียนรู้ที่ระบุไว้ในรายงาน
ที่มา:ไฟล์รายงานสถานการณ์ปี 66 กรมควบคุมโรค.pdf จำนวน 55 หน้า
-โครงการที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ได้จัดทำเป็นการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเชิงระบบและนวัตกรรมในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน มีจุดเน้นการตรวจ จับ ปรับ ลด เสริมสร้างวินัยจราจร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในพื้นที่มหาวิทยาลัยและ 18 ชุมชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ ระดับอุดมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นการสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ถูกต้อง จิตสำนึกในการปรับพฤติกรรมการขับขี่ การสวมหมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัดนิรภัยให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การทำป้ายประชาสัมพันธ์ การตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยทางถนนของสถาบันการศึกษาเครือข่าย การกำหนดมาตรการตรวจ จับ ปรับ ลด การสวมหมวกนิรภัย 100% ให้กับหน่วย รปภ. ชมรม นศท. องค์กรนิสิตร่วมจัดตั้งด่านตรวจทางเข้า-ออก ประตู และบริเวณจุดเสี่ยง การสร้างโปรแกรมช่วยสืบค้นข้อมูลได้ทันสมัยรวดเร็วเป็นระบบบันทึกข้อมูล "ระบบกวดขันวินัยจราจร" และการจัดอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้กระทำผิดไม่สวมหมวกนิรภัยและผู้กระทำผิดกฎจราจร ฯลฯ โดยเน้นการทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในการเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนในชุมชนและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าว
ที่มา:PPT โครงการ “ขยายผลมาตรการความปลอดภัยทางถนน” มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร สู่เครือข่ายสถาบันการศึกษาในจังหวัดสกลนคร 25 หน้า (ไม่ระบุปี)
-มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้จัดทำโครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่บนถนนสายหลักของการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร มีรถบรรทุกและรถพ่วงจำนวนมาก และมีพฤติกรรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ของนักศึกษาที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุ โดยโครงการมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาและพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในชุมชนรอบมหาวิทยาลัย โดยมีข้อสำคัญดังนี้
1.การสร้างกลไกขับเคลื่อนงานระดับโครงการ โดยรวมกับกลไกกลางและระดับพื้นที่ เพื่อให้ผู้ที่มีจิตอาสาและต้องการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุเข้ามาร่วมมือกัน เช่น ผู้นำชุมชน นักวิชาการ นักศึกษา และชาวบ้าน รวมถึงตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.การดำเนินโครงการย่อย 4 โครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาทางถนนอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน นักศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยรวมถึงการใช้มาตรการทางสังคมควบคู่ไปกับมาตรการทางกฎหมาย
3.การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรม โดยมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และ อปท. ในการสนับสนุนเครื่องมือต่างๆ เช่น หมวกนิรภัย และป้ายโฆษณา
โครงการนี้เน้นการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในชุมชนรอบมหาวิทยาลัย และมุ่งสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการใช้ถนนในชุมชน โดยการผสมผสานการทำงานระดับกลางและระดับพื้นที่ พร้อมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้โครงการมีผลสังคมและสร้างความปลอดภัยในการใช้ถนนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่หลากหลายในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าว
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการกระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนของนักศึกษาและชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ระยะที่ 1 โดย กาญจนา ทองทั่ว และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. , สสส. (เมย.2555) 152 หน้า
2) การสร้างความปลอดภัยทางถนนในองค์กร/สถานที่ทำงาน
สสส.ให้การสนับสนุนภาคีเครือข่ายหลักคือ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) เพื่อส่งเสริม "มาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน" ในหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และท้องถิ่น เพื่อลดและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน กลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญตามรายงานการจัดอันดับความปลอดภัยทางถนนของโลก ปี 2561 จากองค์การอนามัยโลก โดยมุ่งสร้างความตระหนักและเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้มีการดำเนินงานร่วมกันในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค ภาคเครือข่าย และระดับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยการสนับสนุนและสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และท้องถิ่น เพื่อให้มีการออกแบบและดำเนินการมาตรการที่เหมาะสมในการลดความเสี่ยงและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
-ศวปถ. ได้จัดทำหนังสือ “แนวคิดและบทเรียนของมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน” ซึ่งมีความสำคัญในการตั้งกฎระเบียบและข้อบังคับในการดูแลบุคลากรในองค์กรเพื่อให้มีการใช้ยานพาหนะทุกประเภทในการเดินทางอย่างปลอดภัย รวมถึงการจัดทำระบบมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยเน้นการวิเคราะห์รากของปัญหาเพื่อจัดทำมาตรการและระบบที่เหมาะสม ภายในหนังสือยังนำเสนอตัวอย่างการประยุกต์ใช้หลัก Occupational Health Safety (OHS) , Haddon Matrix , และ The UK Health and Safety Executive Guidance จากประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เกิดการสร้างโปรแกรมฝึกอบรมและให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขพฤติกรรม สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย และตรวจสุขภาพตาให้พนักงานขับขี่ นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างการทำกิจกรรมและผลการดำเนินงานของสถานประกอบการในประเทศไทย 5 แห่ง เช่น บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ทำโครงการคนขับคนซ้อนปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100% และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทำโครงการขับขี่ปลอดภัย รักวินัยจราจรกับ ปตท. โครงการเหล่านี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องมือและหลักการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในสถานประกอบการในประเทศไทย
-ศวปถ.ได้สรุปภาพรวมบทเรียนจากมาตรการองค์กรของสถานประกอบการ และเสนอ 7 แนวทางสู่ความสำเร็จ ซึ่งเน้นการทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมายหลัก เช่น จป. เจ้าของสถานประกอบการและกลุ่มพนักงาน โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบความปลอดภัยทั้งในและนอกสถานประกอบการเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระยะยาว นอกจากนี้ยังรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ ในรูปแบบฐานข้อมูล เพื่อทำการเปรียบเทียบก่อนหลังเพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค เพื่อให้การกำหนดมาตรการเป็นรูปธรรมและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเน้นให้ผู้บริหารมองทั้งบุคคล สังคม และสิ่งแวดล้อมในการกำหนดมาตรการ โดยเช่นการให้รางวัลพนักงานที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มาตรการเป็นรูปธรรมและประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่ในองค์กร
ที่มา:หนังสือแนวคิดและบทเรียนมาตรการองค์กร ศวปถ.pdf โดย ศวปถ. มนป. สนับสนุนโดย สสส. (มีค.2561) 64 หน้า
-สอจร. ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส.ได้ดำเนินงาน มาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนจาก สอจร. เริ่มตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา โดยมีองค์กรที่เข้าร่วมดำเนินการกับ สอจร. จำนวน 845 องค์กร ซึ่งมีการนำนโยบาย แนวคิด และกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการจัดการความเสี่ยงต่างๆ เช่น การใช้ยานพาหนะ การเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์/รถยนต์ของพนักงาน การโดยสารรถรับ-ส่งพนักงาน การดัดแปลงสภาพรถรับ-ส่งพนักงาน เป็นต้น มีมาตรการองค์กรที่สำคัญ เช่น การใกล้ไกลขี่รถจักรยานยนต์ต้องเปิดไฟ ใส่หมวก ดื่มไม่ขับเด็ดขาด ขับรถคาดเข็มขัดนิรภัย และการติดตั้ง GPS ในรถ สำหรับการควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานขับรถ เป็นต้น ทั้งนี้ การตรวจสอบความปลอดภัยของยานพาหนะ และควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานขับรถ มีการดำเนินการอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะองค์กรประเภทธุรกิจขนส่งสินค้าที่เป็นอันตราย และผลการดำเนินงานพบว่า ครึ่งหนึ่งขององค์กรที่เข้าร่วมมีผู้สวมหมวกนิรภัยครบ 100% และมีการตรวจสอบความปลอดภัยของยานพาหนะอย่างเคร่งครัด ดังนั้น การดำเนินการมาตรการองค์กรในสถานประกอบการเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนในองค์กรและชุมชนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
-คณะทำงาน สอจร. ได้สรุปถอดบทเรียนเกี่ยวกับการสร้างมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนเป็น 2 ชุด/เล่ม โดยรวมประสบการณ์การดำเนินงานมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนขององค์กรที่ได้รับทุนจาก สอจร. โดยให้เห็นถึงแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการทำงานของคณะทำงาน สอจร. ที่นำไปใช้ในการขับเคลื่อนงานร่วมกับองค์กรต่างๆ ภายใต้ความสัมพันธ์ของ 2 กลุ่ม โดยมีการกำหนด Framework การขับเคลื่อนมาตรการองค์กรของภาคีแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และสถานศึกษา: จะใช้กลไกตามโครงสร้าง ศวปถ. ทั้ง 3 ระดับ เพื่อสร้างมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในองค์กรของพวกเขา
2.กลุ่มหน่วยงานภาคเอกชน และสถานประกอบการ นิคมอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการดูแลความปลอดภัยของพนักงานทั้งในและนอกงาน: จะใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการสร้างและดำเนินการมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในองค์กรของพวกเขา โดยให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยของพนักงานที่เดินทางหรือใช้ยานพาหนะในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบและควบคุมการขับขี่อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ที่จำเป็น เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด และ GPS ในรถ และการส่งเสริมให้พนักงานสวมหมวกนิรภัย 100%
การดำเนินงานเพื่อความปลอดภัยทางถนนในองค์กรได้ใช้แนวคิดและกลยุทธ์หลากหลายที่สำคัญ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ดังนี้
1.การสร้างกระบวนการตามกลไกของ ศาสตร์รับรู้ถึงสิทธิ (The OTTAWA Charter) โดยเน้นการสร้างนโยบายสุขภาพ สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพ และพัฒนาทักษะส่วนบุคคลเพื่อสร้างพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ
2.แนวคิดในการสร้างการมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ
3.แนวคิด "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" ซึ่งเน้นการสร้างความรู้ การเคลื่อนไหวทางสังคม และอำนาจรัฐ/อำนาจการเมือง
4.ทฤษฎี INN (Individual-Node-Network) ในการสร้างเครือข่าย
5.หลักการดำเนินงาน PDCA (Plan-Do-Check-Act)
6.การใช้ทฤษฎี Maslow เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีพฤติกรรมเสี่ยงลดลง และเข้าใจบริบทและเกิดความรับผิดชอบในเรื่องความปลอดภัย
7.แนวทางการดำเนินงานของ สอจร. บนหลักการ 5 ส 5 ช รวมถึงนโยบายที่เข้ามาเสริมหนุน เช่น นโยบาย Safety Thailand และมาตรฐาน ISO 39001
การดำเนินงานดังกล่าวได้เน้นใช้เทคนิคและเครื่องมือที่หลากหลาย เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพที่สูง และได้ผลลัพธ์ที่ดีในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและสร้างสภาวะที่ปลอดภัยในการใช้ถนนในองค์กร การสร้างการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างองค์กรช่วยส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงของมาตรการองค์กรให้เป็นไปตามที่ต้องการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว
คณะทำงาน สอจร. ได้นำเสนอตัวอย่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมในด้านความปลอดภัยทางถนน โดยมีสองชุดของตัวอย่างดังนี้:
1.การถอดบทเรียนผลการดำเนินงานโครงการสานพลังมาตรการองค์กร โดยแบ่งเป็น 40 องค์กร จำแนกตามภูมิภาคและประเภทองค์กรต่าง ๆ ซึ่งสำรวจและจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ บริบทพื้นที่/แรงจูงใจ แนวคิดในการดำเนินงาน กระบวนการ/ขั้นตอนและเครื่องมือที่ใช้ ภาคีและบทบาทหน้าที่ ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปัจจัยความสำเร็จ โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างองค์กร
2.การถอดบทเรียนมาตรการองค์กรระยะที่ 3 โดยคัดเลือกองค์กรที่มีผลการดำเนินงานส่งเสริมและรณรงค์ให้บุคลากรในองค์กรสวมหมวกนิรภัยและคาดเข็มขัดนิรภัย 100% เป็นกิจกรรมหลัก และมีกิจกรรมอื่นๆ ที่สอดคล้องกับกรอบแนวคิดทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 5 ด้าน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ภาคเอกชน ภาครัฐ และสถานศึกษา โครงการนี้มีองค์กรจำนวน 40 องค์กรที่รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญตาม 5 เสาหลัก (ด้านการบริหารจัดการ ด้านถนนและสภาพแวดล้อม ด้านรถ ด้านคน และด้าน EMS)
ผลจากการถอดบทเรียนทั้ง 2 โครงการข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนมาตรการองค์กรที่มีองค์ประกอบของการดำเนินงานที่ครบวงจร ดังนี้:
1.การวิเคราะห์สภาพปัญหาและสถานการณ์ในพื้นที่: การตรวจสอบปัญหาทั่วไปและปัญหาเฉพาะที่พบในองค์กรเป็นส่วนสำคัญของการเริ่มต้นการดำเนินงานโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมเสี่ยง สภาพถนนและสิ่งแวดล้อม และปัญหาเชิงระบบ เพื่อให้เข้าใจดีขึ้นว่าปัญหาอะไรที่ต้องการแก้ไขและเริ่มต้นการวางแผนการดำเนินงาน
2.การประยุกต์ใช้แนวคิดในการจัดการ: การนำแนวคิดต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการจัดการปัญหาความปลอดภัยทางถนน เช่น การจัดการเป็นระบบ การสร้างการมีส่วนร่วม การใช้ทฤษฎี INN และการใช้ทฤษฎี Maslow เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน เป็นต้น
3.การวิเคราะห์ภาคีและบทบาทความรับผิดชอบ: การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละกลุ่มหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ
4.การกำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน: การพัฒนาและจัดการความรู้ ระบบข้อมูล และศักยภาพผู้นำและภาคีเครือข่าย เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิผล
5.การสรุปบทเรียนหลังการดำเนินงาน: การนำเสนอประสบการณ์และการเรียนรู้จากการดำเนินงานเพื่อสร้างการเรียนรู้และส่งผลต่อการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ เห็นได้ว่าการสำรวจปัญหา การปรับใช้แนวคิดในการจัดการ การวิเคราะห์ภาคีและบทบาทความรับผิดชอบ และการกำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้มาตรการองค์กรเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในท้องถิ่นให้เติบโตและพัฒนาอย่างเหมาะสม และสามารถตอบสนองต่อความต้องการและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ในขณะเดียวกัน
ที่มา:(1) หนังสือถอดบทเรียนโครงการสานพลังสร้างมาตรการองค์กร เพื่อความปลอดภัยทางถนน , บรรณาธิการ สุพัตรา สำราญจิตร์ และคณะทำงาน สอจร. จัดพิมพ์โดย สอจร. สนับสนุนโดยมนป. , สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 2) หนังสือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน บรรณาธิการ สุพัตรา สำราญจิตร์ และคณะทำงาน สอจร. สนับสนุนโดย มนป., สสส. (พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2563))
-การจัดทำเอกสาร "บทสรุปสำหรับผู้บริหาร" เป็นการสรุปความเชื่อมโยงระหว่างการขับเคลื่อนงานของกลุ่มองค์กรกับบทบาทของคณะทำงานสอ.จร. (ทีมบริหารภาคและพี่เลี้ยงจังหวัด) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างความเข้าใจและการร่วมมือในการสนับสนุนและการพัฒนามาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน โดยมีจุดเน้นหลักดังนี้:
1.การนำเสนอคุณค่าและความหมายของมาตรการองค์กรในนิยามของ สอจร.: เอกสารช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความสำคัญของมาตรการองค์กรในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กร และทำให้เห็นภาพรวมของการนำมาตรการนี้มาใช้เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน
2.การให้ความสำคัญกับบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชน: เอกสารชี้ให้เห็นว่าการมีบทบาททั้งสองภาคสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสนับสนุนนโยบายและเพิ่มความเข้มแข็งให้คนในองค์กรและชุมชน
3.การนำเสนอหลักการขับเคลื่อนมาตรการองค์กร: เอกสารระบุหลักการและวิธีการที่ใช้ในการพัฒนาและดำเนินการมาตรการองค์กร ใช้วิธีการ 5 ขั้นตอน เพื่อให้มาตรการเป็นไปอย่างระบบและมีประสิทธิภาพ
4.การสรุปบทเรียนและการประเมินผล: เอกสารช่วยให้ผู้บริหารสามารถสรุปบทเรียนจากการดำเนินงานและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป
ดังนั้น เอกสาร "บทสรุปสำหรับผู้บริหาร" เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการสนับสนุนและพัฒนามาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
ที่มา:บทสรุปสำหรับผู้บริหาร : 24 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
-ศวปถ. ให้การสนับสนุนการศึกษาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการประเมินผลการตอบแทนทางสังคมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านความปลอดภัยทางถนนของสถานประกอบการ มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีประโยชน์ไม่เพียงแค่ในด้านการดำเนินกิจการของสถานประกอบการเอง แต่ยังมีผลประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมในการลดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งสร้างประโยชน์ที่หลากหลายอย่างเช่น:
1.การลดอุบัติเหตุ: การศึกษาพบว่าการลงทุนในมาตรการความปลอดภัยทางถนนในสถานประกอบการช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีนัยสำคัญ โดยการปรับพฤติกรรมของพนักงานและการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
2.การลดค่าใช้จ่าย: การลดอุบัติเหตุทางถนนช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการเช่น ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงยานพาหนะ ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายในการทำงานที่ไม่สามารถดำเนินได้
3.การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ: มาตรการความปลอดภัยทางถนนช่วยลดความเสี่ยงต่อธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทำให้ธุรกิจมีโอกาสในการเติบโตและพัฒนาได้มากขึ้น
4.การเสริมสร้างภาพลักษณ์: การดูแลและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานและสังคมที่อยู่ใกล้เคียงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรหรือสถานประกอบการ
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่าประเทศที่พัฒนาแล้วได้ให้ความสำคัญกับการสร้างนโยบายที่สนับสนุนสถานประกอบการในการดำเนินงานเรื่องความปลอดภัยทางถนน
ที่มา:เอกสารโครงการทบทวนวรรณกรรมว่าด้วยเรื่องของการประเมินผลการตอบแทนทางสังคม กรณีศึกษาการลงทุนด้านความปลอดภัยทางถนนของสถานประกอบการ โดย พุดตาน พันธุเณร และเฉลิมภัทร พงษ์อาจารย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สนับสนุนโดย ศวปถ. 27 หน้า ไม่ระบุปีที่พิมพ์
-การสนับสนุนจากศวปถ., มนป. และสสส. ใน “การพัฒนาคู่มือการจัดการความปลอดภัยทางถนนสำหรับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพในสถานประกอบกิจการ” มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้มีการทบทวนนโยบาย กฎหมาย และระเบียบของกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงการศึกษาสถานการณ์ของอุบัติเหตุทางถนนในสถานประกอบการของไทยและสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการวางแผนการจัดการในสถานประกอบการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ มีการกำหนดชุดฝึกอบรมที่มุ่งเน้นที่ความเข้าใจของมาตรฐาน ISO 39001 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยรับทราบและเข้าใจถึงข้อกำหนดมาตรฐานอย่างชัดเจน และสามารถทำการพัฒนาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนตามมาตรฐานดังกล่าวได้ เพื่อให้มีการตรวจสอบและประเมินระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นระบบ มีการจัดทำหลักสูตรการตรวจประเมินภายในระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนตามมาตรฐาน ISO 39001 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพสามารถทำงานตรวจสอบและประเมินการดำเนินงานในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยแรงงานอย่างเคร่งครัดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวดในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นการสร้างศักยภาพให้กับสถานประกอบการในการปรับตัวและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
-คู่มือการพัฒนาระบบการจัดการ ISO 39001 แบบ Self Learning เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างและรักษาระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนนในองค์กร โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้กับองค์กรหลักภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้สถานประกอบการที่เกี่ยวข้องพัฒนาและรักษาระบบการจัดการ ISO 39001 อย่างมีประสิทธิภาพ
คู่มือฉบับนี้ประกอบด้วยขั้นตอนการจัดการความปลอดภัยทางถนน 9 ขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งประกอบไปด้วย:
1.การกำหนดขอบเขตของระบบการจัดการความปลอดภัยทางถนน
2.การศึกษาบริบทองค์กรเพื่อชี้บ่งปัญหา
3.การศึกษาปัจจัยเสี่ยง (Risk Exposure Factors)
4.การชี้บ่งอันตราย (Hazard Identification)
5.การประมาณระดับความเสี่ยง (Risk Estimation)
6.การกำหนด Final Safety Outcome Factors และ Intermediate Safety Outcome Factors
7.การปฏิบัติตามแผนงานโครงการและมาตรการที่กำหนด
8.การตรวจประเมินภายใน
9.การทบทวนการจัดการและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ที่มา:รายงานโครงการพัฒนาคู่มือการจัดการความปลอดภัยทางถนนสำหรับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพในสถานประกอบกิจการ โดย รศ.สราวุธ สุธรรมาสา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มสธ. (กพ. 2562) 109 หน้า
-การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐานการจัดการความปลอดภัยทางถนน (ISO 39001) เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาและรักษาความปลอดภัยบนถนนในหลากหลายกิจการและขนาดองค์กร มาตรฐานนี้ประกอบด้วย 7 ข้อกำหนดหลักและ 25 ข้อกำหนดรอง ที่ทุกองค์กรสามารถประยุกต์ใช้ได้ โดยไม่ว่าจะเป็นประเภทขนาดหรือผลิตภัณฑ์บริการในประเทศไทยมีการจัดทำเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยทางถนน 3 ระดับ ซึ่งประกอบไปด้วย:
ระดับ 1: ระดับพื้นฐาน มี 7 ข้อกำหนดหลัก 27 ข้อกำหนดย่อย
ระดับ 2: ระดับก้าวหน้า มี 7 ข้อกำหนดหลัก 41 ข้อกำหนดย่อย
ระดับ 3: ระดับสมบูรณ์ (ข้อกำหนด ISO 39001) มี 7 ข้อกำหนดหลัก 25 ข้อกำหนดย่อย
เกณฑ์มาตรฐานนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกประเภทขององค์กรโดยไม่จำกัดเพียงแค่ขนาดหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการ เนื่องจากมีการจัดทำแนวทางตรวจประเมินและแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับทั้ง 3 ระดับของมาตรฐานนี้
ที่มา:(1) บทความเรื่อง ISO 39001 มุมความรู้จากวารสารความปลอดภัยและสุขภาพ โดย รศ. สราวุธ สุธรรมาสา ในจุลสารสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพออนไลน์ มสธ. ฉบับที่ 4 ปี 2556 2) รายการตรวจสอบและทวนสอบกิจกรรมหรือสิ่งที่ต้องจัดให้มีตามข้อกำหนด ISO 39001 , การกําหนด RTS Performance Factors , บัญชีรายชื่อ Interested Parties และบัญชีรายชื่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ RTS โดย รศ. สราวุธ สุธรรมาสา (Workshop 19 มีนาคม 2561) และ 3) (ร่าง) เกณฑ์มาตรฐานฯ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 20 เมษายน 2563 และแนวทางการตรวจประเมิน ระดับที่ 1,2,3
-สอจร. , ศวปถ. และ สสส. ได้จัดทำเอกสารที่มุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของมาตรการองค์กรสำหรับความปลอดภัยทางถนน โดยมีเอกสารสำคัญอย่างเช่น
1.เอกสารองค์กรสวมหมวกนิรภัย 100% ต้นแบบการลดอุบัติเหตุจราจรของสถานประกอบการ: เอกสารนี้เน้นการสร้างการรับรู้และการตระหนักถึงผลของการไม่สวมหมวกนิรภัย โดยจุดเน้นเป็นการสร้างทัศนคติที่ดีในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุด้วยการสวมหมวกนิรภัย มีการเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาโดยใช้งานตรงจากประสบการณ์จริง และมีการแสดงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
2.แนวทางการขับเคลื่อนของสสส.: สสส. กำหนดขั้นตอนและแนวทางการดำเนินงานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการสวมหมวกนิรภัย โดยมุ่งเน้นให้การปฏิบัติงานเป็นเรื่องจริง มีการเจรจาและสร้างความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนและลดการสูญเสียแรงงานในองค์กร
ขั้นตอนและแนวทางการดำเนินงาน
1.การวางแผนและเตรียมทีมงาน: มีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัดการปฏิบัติงาน
2.ระดมสมองแก้ไขปัญหา: มีการสำรวจ ประเมิน และวิเคราะห์สถานการณ์การสวมหมวกนิรภัยในองค์กร และกำหนดแรงจูงใจและบทลงโทษที่ชัดเจน
3.ปรับความเข้าใจ: มีการประชุมชี้แจงพนักงานเพื่อให้ยอมรับข้อบังคับและสนับสนุนให้ฝ่ายปฏิบัติการทำหน้าที่ได้สะดวกขึ้น
4.มีมาตรการลงโทษชัดเจน: มีการจับจริง ปรับจริง เช่น มีเจ้าหน้าที่ตรวจจับคอยดูแลตักเตือน และมีการบันทึกภาพและข้อมูลผู้กระทำผิดส่งให้หัวหน้าแผนกต่างๆ
5.ขอความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายภายนอก: เช่น ให้ตำรวจตั้งด่านสกัดหน้าองค์กร
6.ติดตามและประเมินผล: โดยสำรวจตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เช่น ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ และยอดขายหมวกนิรภัยรอบๆ องค์กร
รวมถึงมีการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยมีกรณีศึกษาของบริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล
ที่มา:เอกสาร pdf 20 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) โดย สสส.
•Power point การนำเสนอมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน ดังนี้
1.การวิเคราะห์สถานการณ์: การนำเสนอมาตรการองค์กรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยการระบุกลุ่มเสี่ยง แนวโน้มความรุนแรง และความสูญเสียต่อชีวิตและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม
2.นิยาม "มาตรการองค์กร": เป็นการกำหนดกฎ ข้อกำหนด และระเบียบในการดูแลบุคลากรในองค์กร เพื่อสัญจรไปบนถนน สะพาน ทางเท้า และขอบทางอื่นๆ ให้พ้นจากอันตราย ซึ่งเป็นฐานในการสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทิศทางที่เชิงบวก
3.ตัวอย่างการดำเนินการ: การนำเสนอตัวอย่างของมาตรการองค์กร เช่น การเปิดไฟใส่หมวก การคาดเข็มขัดนิรภัย การดื่มไม่ขับ การขับรถไม่เร็ว การป้องกันความง่วงในขณะขับ และการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยบนรถตู้องค์กร เป็นต้น
4.การเชื่อมโยงระหว่างระดับ: การแสดงถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนงานตั้งแต่ระดับนานาชาติ ระดับประเทศ สอจร. และระดับพื้นที่ เพื่อสร้างโอกาสและการขยายผลสู่ความยั่งยืน
5.ผลสัมฤทธ์ที่เป็นความสำเร็จ: การกล่าวถึงผลสัมฤทธ์ที่เกิดขึ้นจากมาตรการองค์กร เช่น การลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ การไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างขนส่งสินค้าให้เป็นตรงตามเวลา และภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร โดยมีปัจจัยที่ส่งผลมากในด้านพฤติกรรมเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน การมีส่วนร่วม/การให้อำนาจ และการเกิด Safe System
6.แนวคิดการจัดการภายในองค์กร: การกล่าวถึงแนวคิดการจัดการภายในองค์กร เช่น กิจกรรม/กระบวนการที่ใช้ ภาคีที่เกี่ยวข้องและบทบาท ปัจจัยความสำเร็จ
ที่มา:Power point 22 slides (ไม่ระบุผู้นำเสนอและปีที่นำเสนอ) จัดทำโดย สอจร. , มูลนิธิเพื่อความปลอดภัยทางถนน สนับสนุนโดย สสส.
• Fact Sheet เกี่ยวกับ "สถานการณ์และระบบมาตรฐานความปลอดภัยในรถรับส่งพนักงาน" มีข้อมูลดังนี้
การนำเสนอสถิติ: Fact Sheet นำเสนอข้อมูลสถิติเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถรับส่งพนักงาน ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยใช้ข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ในช่วงปี 2554-2558
กรณีตัวอย่าง: นำเสนอกรณีตัวอย่างของระบบการจัดการความปลอดภัยสำหรับรถรับส่งพนักงานของบริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ซึ่งมีโครงการผู้นำรถบัสเพื่อควบคุมประสิทธิภาพการขับขี่และสมรรถนะของยานพาหนะ
รายงานผลประเมิน: บริษัทฯ รายงานผลประเมินระบบความปลอดภัยไปยังผู้จัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (EHS) และผู้รับเหมาขนส่งพนักงาน เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพและการปรับปรุงที่จำเป็น
ที่มา:Factsheet “สถานการณ์และระบบมาตรฐานความปลอดภัยในรถรับส่งพนักงาน” ขนาด 4 หน้า สนับสนุนข้อมูลจากบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จัดพิมพ์โดย ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศวปถ. มนป.และ สสส. (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
•โปสเตอร์เกี่ยวกับ "มาตรการองค์กร สู่นิคมฯต้นแบบความปลอดภัยทางถนน" นำเสนอ 4 เรื่องดังนี้
1.ทำไมต้องทำมาตรการองค์กร:
¬พนักงานประสบอุบัติเหตุและการบาดเจ็บทางถนนมาก
¬การบาดเจ็บนอกงานมากกว่าในงาน ส่งผลให้เกิดภาระต่อองค์กร ครอบครัว สังคม และประเทศในการดูแลเหยื่อจากอุบัติเหตุทางถนน
2.กระบวนการทำงาน:
¬การอบรมภาคีเครือข่ายใน/นอกเขตนิคมฯ
¬การจัดกิจกรรมเสริมสร้างระบบควบคุมที่นำไปสู่การเกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของคนงาน
¬การตรวจประเมินสถานประกอบการ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานประกอบการที่เป็นต้นแบบ
3.ผลลัพธ์เชิงประจักษ์:
¬สถานประกอบการมีการลดอุบัติเหตุลง
¬มีสถานประกอบการต้นแบบที่เป็นแหล่งเรียนรู้ในการทำมาตรการองค์กร
¬สถิติพนักงานไม่สวมหมวกนิรภัยลดลงอย่างต่อเนื่อง
¬จำนวนเมาแล้วขับลดลง 100%
¬มีการขยายผลไปยังสถานศึกษารอบนิคมฯและชุมชน
4.ข้อเสนอเชิงนโยบาย:
¬กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้สถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งต้องมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยทางถนนในองค์กร
¬ผู้บริหารองค์กรส่งเสริมสนับสนุนและแต่งตั้งคณะกรรมการภายในองค์กรเพื่อดำเนินการตามคู่มือการจัดการความปลอดภัยทางถนน
¬คณะกรรมการภายในความปลอดภัยทางถนนมาจากตัวแทนฝ่ายบริหารและพนักงาน ขับเคลื่อนกิจกรรม สร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม
¬มีกฎว่าด้วยความปลอดภัยทางถนนเป็นข้อบังคับขององค์กรที่มีสภาพบังคับเพื่อความปลอดภัยของพนักงานทุกคน
¬มีระบบการควบคุมติดตามการปฏิบัติตามกฎขององค์กรทั้งภายในและภายนอก
ที่มา:ไฟล์มาตรฐานองค์กร นิคมต้นแบบ copy.pdf ขนาด 1 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) โดย สอจร. , ศวปถ., มนป., สสส. , วุฒิสภา
3) การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน
การสร้างวินัยจราจร ปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ถูกต้องตามมาตรการและกฎหมายข้อบังคับต่างๆ
(1) การลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการเมาแล้วขับ
(1) การลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการเมาแล้วขับ
-ปี 2555 ศวปถ.และ สสส.ได้สนับสนุนการศึกษาการบังคับใช้กฎหมายกรณีเมาแล้วขับในประเทศอังกฤษ สหรัฐ เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์และไทย พบว่า การกำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของไทยมีความเหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่อัตราค่าปรับในกรณีที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและทำให้เกิดอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น โทษจำคุกของไทยมีความรุนแรงในระดับปานกลาง และโทษกรณีที่ปฏิเสธการตรวจวัดมีระดับโทษที่น้อยที่สุด ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดโทษตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ทำให้คนที่ดื่มมากหรือน้อย หรือทำผิดบ่อยหรือครั้งแรกได้รับโทษเท่ากัน การบังคับใช้กฎหมายยังขาดการให้ความสำคัญกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและการแสวงหาความร่วมมือจากภาคประชาชน ดังนั้น จึงควรมีการปรับปรุงกฎหมายให้มีความเข้มงวดและเพิ่มโทษที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งคำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนในการบังคับใช้กฎหมายให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการการบังคับใช้กฎหมายกรณีเมาแล้วขับในประเทศอังกฤษ สหรัฐ เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์และไทย โดย พันตำรวจตรี ดร.ไวพจน์ กุลาชัย สนับสนุนโดย ศวปถ.,สสส. (ธันวาคม 2555) 52 หน้า
-ศวปถ., มนป., และสสส. ได้ให้การสนับสนุนในการศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อฟื้นฟูและปรับพฤติกรรมผู้กระทำผิดกฎหมายกรณีเมาแล้วขับ เนื่องจากมีแนวโน้มของผู้กระทำผิดที่เพิ่มมากขึ้น แม้จะมีการกำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติเพื่อฟื้นฟูและปรับพฤติกรรมก็ตาม แต่พบว่าผู้ที่เคยถูกคุมประพฤติมาแล้วยังกระทำความผิดซ้ำอีก
มีการศึกษากฎหมายและรูปแบบการคุมประพฤติในกรณีดื่มแล้วขับทั้งในต่างประเทศ (ยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฮ่องกง) และประเทศไทย เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงทางเลือกและโปรแกรมต้นแบบสำหรับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเมาแล้วขับ
ผลการศึกษาพบว่า กรมคุมประพฤติมีหน้าที่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในกลุ่มผู้กระทำผิดคดีจราจร (ขับรถขณะดื่มสุรา) ในรูปแบบกลุ่ม มีการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร ผลเสียของการดื่มสุราและวิธีการลดเลิก และสร้างจิตสำนึกผ่านการอบรมธรรมะและการทำงานบริการสังคม ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผู้กระทำผิด
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการการศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อฟื้นฟู และปรับพฤติกรรม ผู้กระทำผิดกฎหมายกรณีเมาแล้วขับ ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ แตะกระโทก และคณะ มหาวิทยาลัยนเรศวร สนับสนุนโดย ศวปถ.,มนป., สสส.(มีนาคม 2560) 160 หน้า
- การสนับสนุนให้มีการศึกษาช่องว่างและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดพฤติกรรมการเมาแล้วขับบนท้องถนน โดยเน้นที่ปัญหา "ต้นน้ำ" ของประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันพฤติกรรมการขับขี่ขณะเมาแล้วขับ
การศึกษาเปรียบเทียบการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ของต่างประเทศ
การศึกษาขั้นตอนการกำหนดเป้าหมาย การเตรียมความพร้อม และปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์
การศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้บริการในสถานบันเทิงเกี่ยวกับการเมาแล้วขับ
การศึกษาข้อเสนอของผู้ประกอบการสถานบันเทิงเพื่อช่วยลดพฤติกรรมการเมาแล้วขับของผู้ใช้บริการ
ผลการศึกษา พบว่า มีช่องว่างหลายประการที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและลดพฤติกรรมการเมาแล้วขับบนท้องถนนได้ ดังนั้นการแก้ไขและพัฒนาเช่นนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ถนนและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ขณะเมาแล้วขับ
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการการศึกษาช่องว่างและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายต่อการลดพฤติกรรมการเมาแล้วขับบนท้องถนน โดย รศ.ดร.ธีระ สินเดชารักษ์ และคณะ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สนับสนุนโดย ศวปถ. มนป. ,สสส. (มีค. 2563) 198 หน้า
-ในปี 2564 โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา "ดื่มแล้วขับ" ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญต่อไปนี้:
1.มีกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจมีพฤติกรรมการขับขี่พาหนะโดยส่วนใหญ่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ และมีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 53.76 โดยส่วนใหญ่กลุ่มไม่เคยดื่มแล้วขับ
2.กลุ่มตัวอย่างที่เคยดื่มและขับร้อยละ 30.11 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 36-45 ปีและกลุ่มอายุมากกว่า 55 ปี
3.พบว่ากลุ่มที่เคยเห็นเหตุการณ์ขับขี่ขณะเมาสุราร้อยละ 56.37 ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมร้อยละ 36.11 และมีญาติ/เพื่อนที่ได้รับความเสียหาย/บาดเจ็บร้อยละ 52.14
4.ในเชิงกฎหมาย กลุ่มเป้าหมายร้อยละ 82.57 รับรู้กฎหมาย/บทลงโทษเกี่ยวกับการขับรถขณะเมาสุรา โดยส่วนใหญ่เกินร้อยละ 90 เห็นว่าการขับรถในขณะเมาสุราเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
5.การเพิ่มโทษผู้ที่กระทำผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นครั้งที่สอง สามารถทำให้ผู้ขับขี่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่กระทำผิดซ้ำอีก และการกำหนดโทษเบาเกินไปอาจทำให้มีผู้กระทำผิดซ้ำอีกมาก
ที่มา:รายงานสรุปผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็น “ดื่มแล้วขับ” ที่กระทำผิดซ้ำ โดยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เสนอมูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย (มีค. 2564) 64 หน้า
-สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดน่านและโรงพยาบาลน่าน ได้ร่วมกันในการคุมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถูกคุมจากกรณีดื่มแล้วขับ โดยมุ่งเน้นใช้ทฤษฎี "การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning)" เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เคยดื่มและขับรถ แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง กลุ่มนี้มีจำนวนประมาณ 50-60 คนต่อปี โดยการจัดกิจกรรมเรียนรู้รวม 5 วัน เน้นให้ผู้ถูกคุมประพฤติได้รับประสบการณ์และความรู้จากผู้เป็นเหยื่อของเมาแล้วขับ และวิทยากรที่เป็นเหยื่อเมาไม่ขับ การจัดกิจกรรมได้รวมถึงการปฐมนิเทศ อภิปรายกลุ่ม การเยี่ยมบ้านผู้พิการจากดื่มแล้วขับ เข้าพูดคุยกับพยาบาลและผู้ป่วยที่พิการจากเมาแล้วขับในโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ถูกคุมประพฤติได้สะท้อนความรู้สึกและปรับวิธีคิดและพฤติกรรมของตนเอง ผลการดำเนินงานพบว่าในปี 2559 มีเพียง 1 คนจากทั้งหมด 71 คนที่กระทำความผิดซ้ำ และในปี 2560 ไม่มีผู้กระทำผิดซ้ำ ซึ่งเป็นผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำในระยะเวลาที่กำหนด แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการนี้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ถูกคุมประพฤติในกรณีดื่มแล้วขับ
ที่มา:เอกสารสรุปถอดบทเรียนจากโครงการ “เรียนรู้จากเหล้า เมาแล้วฝืนขับ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร” โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. , สสส. , RSPF , รพ.น่าน 47 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
-ศวปถ. ดำเนินโครงการร่วมกับคณะพยาบาลแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลจังหวัดทั่วประเทศ มีการสำรวจข้อมูลระดับประเทศและระดับพื้นที่ในการประเมินประสิทธิภาพของมาตรการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุทางถนน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญได้แสดงผลดังนี้
ระดับประเทศ: พบว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ของปี 2560-2561 และ 2561-2562 มีจำนวนอุบัติเหตุเกิดขึ้นประมาณ 30,000 ราย โดยความชุกมากที่สุดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และน้อยที่สุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร ความสัมพันธ์ระหว่างอุบัติเหตุทางถนนและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถูกต้องการให้ความสำคัญ
ระดับพื้นที่: จากการเก็บข้อมูลใน 21 โรงพยาบาลของจังหวัดอุดรธานี พบว่ามีผู้ป่วยที่ผ่านเกณฑ์อุบัติเหตุจำนวน 359 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุเฉลี่ย 33 ปี โดยมีผู้ที่ยังไม่มีสิทธิ์ในการขับขี่รถที่อายุต่ำกว่า 17 ปี เป็นจำนวนมาก การศึกษายังพบว่าผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอุบัติเหตุมากกว่าผู้ขับขี่รถยนต์
มาตรการแก้ไข: การสำรวจพบว่ามีความเข้มข้นของมาตรการในพื้นที่ใด หรือกลุ่มโรงพยาบาลใดที่มีผลการลดลงของอุบัติเหตุทางถนน อีกทั้งผู้ป่วยยังขาดความรู้เกี่ยวกับการตรวจเลือดแอลกอฮอล์ การเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิเสธโดยไม่มีความผิด และความสำคัญของการสวมหมวกกันน็อคในการขับขี่ ซึ่งการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการเช่นการเพิ่มความรู้และการบังคับใช้กฎหมายอาจช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินมาตรการการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุในจังหวัดอุดรธานีและระดับประเทศ (เมย.2563) นางสาวตีหรอห๊ะ ดนหรอหมาน และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. มนป. และ สสส.121 หน้า
-แผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนนเน้นการสนับสนุนให้สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) จัดทำเอกสารข้อเสนอเชิงนโยบาย Random Breath Testing (RBT) เพื่อป้องกันพฤติกรรมดื่มแล้วขับและลดอุบัติเหตุจราจรเพื่อถนนปลอดภัย ระบบ RBT คือการตั้งจุดตรวจลมหายใจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่แบบสุ่ม โดยจุดตรวจสามารถตั้งขึ้นที่ใดก็ได้และช่วงเวลาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นด่านตรวจตามแบบเดิม มาตรการนี้ถือเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุจราจรที่เกิดจากการขับขี่ในสภาพเมาแล้ว ประกอบด้วยหลายมาตรการ เช่น การกำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับผู้ขับขี่ การตั้งด่าน/จุดตรวจแบบสุ่ม (RBT) การกำหนดบทลงโทษการพักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่ การอบรมภาคบังคับ การติดตั้งเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ล็อคสตาร์ทเครื่องยนต์ และการรณรงค์สาธารณะเพื่อบังคับใช้กฎหมาย ระบบ RBT ทำงานผ่านกลไก 3 มิติ คือ การรับรู้ความเสี่ยงของการถูกจับกุม การรับรู้ระดับของบทลงโทษ และทัศนคติของสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมดื่มแล้วขับ เช่น การเข้าใจว่าการถูกจับกุมเนื่องจากการดื่มแล้วขับเป็นสิ่งที่เสี่ยงมากและจะมีผลกระทบทางกฎหมาย นโยบายดังกล่าวมีผลที่สำคัญในการลดอุบัติเหตุจราจรและส่งเสริมความปลอดภัยบนถนนในประเทศไทยและภายนอก
มาตรการ Random Breath Testing (RBT) เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนใน
การลดปัญหาดื่มแล้วขับ การศึกษาวิจัยพบว่ามีผลกระทบต่อการลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์อย่างน้อยร้อยละ 17 ในหลายประเทศ การประเมินต้นทุนการดำเนินงานและความคุ้มค่าพบว่ามีประโยชน์จากการลดความสูญเสียของสังคมด้วย การศึกษาในประเทศไทยพบว่าการตั้งด่านตรวจแบบเฉพาะเจาะจง (SBT) และแบบสุ่ม (RBT) พร้อมการรณรงค์บังคับใช้กฎหมายมีส่วนช่วยลดภาระโรคจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึงร้อยละ 24 โดยการป้องกันการขับขี่ในสภาพเมาแล้วมีผลส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนและช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา:รายงานทบทวนข้อมูลวิชาการ “ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการป้องกันและจัดการปัญหาดื่มแล้วขับ: มาตรการตั้งจุดตรวจลมหายใจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่แแบบสุ่ม (Random breath testing: RBT)” (พฤศจิกายน 2563) 12 หน้า
(2) การสวมหมวกนิรภัย 100%
(2) การสวมหมวกนิรภัย 100%
- ศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. ได้จัดทำคู่มือความปลอดภัยบนท้องถนนเพื่อช่วยให้หน่วยงานที่กำหนดนโยบาย/มาตรการสวมหมวกนิรภัย 100% และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่ทำหน้าที่กำกับให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคู่มือนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนผู้ขับขี่ยานพาหนะสองล้อที่สวมหมวกนิรภัย โดยมีการให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการสวมหมวกนิรภัย และการประเมินสถานการณ์เพื่อวางแผนการแก้ไขปัญหา วิธีการประเมินมาตรการที่มีอยู่และวิธีการประเมินผลโครงการเพื่อให้มีการปรับปรุงต่อไป การใช้หมวกนิรภัยมีประโยชน์มากเนื่องจากสามารถป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะได้และมีผลในการลดการเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา:หนังสือ หมวกนิรภัย : คู่มือความปลอดภัยบนท้องถนนสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ เรียบเรียงเพิ่มเติมจากฉบับภาษาไทย “หมวกนิรภัย : คู่มือความปลอดภัยบนท้องถนนสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ” องค์การอนามัยโลก 76 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) โดย ศวปถ. และ มสช. สนับสนุนโดย สสส.
-การร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจกับกองบัญชาการศึกษา ตำรวจภูธรภาค 8 และ ศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ได้มีการจัดการสัมมนาเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน และศึกษาบทเรียนความสำเร็จในการบังคับใช้กฎหมายเรื่องหมวกนิรภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชและภูเก็ต จากการประมวลผล พบว่า การบังคับใช้กฎหมายหมวกนิรภัยไม่ค่อยได้ผลอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงต้องใช้แนวคิดเรื่องความเสี่ยงทางสังคมเข้ามาช่วยวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ เช่น ความเร่งรีบในวิถีชีวิต มุมมองต่อการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้ มุมมองต่อการปฏิบัติงานของตำรวจ การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานในเรื่องการใช้หมวกนิรภัยที่มีลักษณะบังคับให้ทำตามกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นและไม่เกิดผลอย่างยั่งยืน
แนวคิดเรื่อง "การกำจัดพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย" (BBS: Behavior based Safety for "Safety Culture") เป็นแนวคิดสำคัญในการแก้ไขพฤติกรรมของคนโดยการบังคับเชิงบวกเพื่อสร้างนิสัยปลอดภัย ซึ่งจะเป็นวัฒนธรรมปลอดภัยในที่สุด โดยการชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสียเพื่อกระตุกความคิดและสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้น กระบวนการหลัก ๆ ประกอบด้วยการปรับมุมมอง ปรับใจ และปรับการสื่อสาร
1.หัวใจสำคัญในการใช้กระบวนการ BBS เพื่อให้ได้ผล
2.การทำทีละเรื่อง เพื่อให้มีการรับรู้และกระตุ้นพฤติกรรมที่ปลอดภัยทีละขั้นตอน
3.การให้ทุกคนในหน่วยงานทำเหมือนกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและการปฏิบัติที่สอดคล้องกัน
4.การชวนผู้ที่ถูกเตือนให้เข้าร่วมเป็นพวก เพื่อให้มีการสนับสนุนและการร่วมมือในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
5.การสื่อสารที่ทำให้เห็นถึงความห่วงใยและความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐานที่ปลอดภัย
ที่มา:เอกสาร pdf จัดทำโดย ศวปถ. , มนป. สนับสนุนโดย สสส.47 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
-โครงการ "นครปลอดภัยทุกวันทุกวัย สวมหมวกนิรภัย 100%" ที่ได้รับการสนับสนุนจากสอจร. และ สสส. มุ่งเน้นในการลดจำนวนบาดเจ็บรุนแรงและตายที่เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัยให้คนขับและคนซ้อนเป็น 50% และสร้างมาตรการองค์กรใน 4 ภาคส่วน คือ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน อปท. และองค์กรชุมชน
ผลการดำเนินงาน พบว่า:
1.สื่อสารกับประชาชนผ่านป้ายไวนิลและสื่อวิทยุ/สื่อท้องถิ่น
2.จำนวนองค์กรที่มีมาตรการสวมหมวกนิรภัยครอบคลุมทุกพื้นที่มีทั้งหมด 1,978 หน่วย
3.จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 311,226 คน
4.อัตราสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดเพิ่มขึ้นมาถึง 66.08%
5.จำนวนผู้บาดเจ็บที่ศีรษะลดลง
ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยในความสำเร็จของโครงการ ได้แก่
1.การใช้ข้อมูลวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อสนับสนุนโครงการ
2.การบูรณาการการทำงานเป็นทีมสหสาขา
3.การมีส่วนร่วมของภาคราชการ เอกชน ท้องถิ่นและท้องที่ในการขับเคลื่อนงาน
4.ภาวะผู้นำจากระดับผู้บริหารระดับจังหวัดและอำเภอ
5.การมีส่วนร่วมของสื่ออย่างต่อเนื่อง
6.ความชัดเจนของโครงการและความง่ายในการนำไปปฏิบัติของพื้นที่
7.ครูแม่ไก่ที่เป็นแกนเชื่อมระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ประชาชนกับผู้บังคับใช้กฎหมาย
ที่มา:หนังสือถอดบทเรียนโครงการนครปลอดภัย ทุกวัน ทุกวัย สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารหรือผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โดย พล.ต.ต. วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะทำงานตำรวจภูธรภาค 8 สนับสนุนโดย สอจร. และ สสส. พิมพ์ครั้งที่ 1 (พย.2559) 48 หน้า
-ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดให้มีการประชุมระดับกองบัญชาการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มีโครงการที่มีความสำคัญใน 4 พื้นที่ ซึ่งควรถอดบทเรียนเพื่อนำไปใช้เป็นตัวแบบในหน่วยงานอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและลดอุบัติเหตุ โครงการเหล่านี้ได้แก่:
1.โครงการ “3 ซ: จันทบุรี” ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
2.โครงการ “ตำรวจสงขลากับการสืบสวนอุบัติเหตุ” ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
3.โครงการ “ตำรวจภูเก็ตกับการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย” ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8
4.โครงการ “จับสองเท่า คนขับรับคนซ้อนไม่สวมหมวก” ของสภ.เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผลการศึกษาและการวิเคราะห์ที่ได้มีการสรุปให้เกิดบทสรุปผลการศึกษา "4 สไตล์บริหารจัดการ เดินหมากอย่างไรให้มอเตอร์ไซค์ใส่หมวก" ซึ่งมีวิธีการแก้ไขปัญหาและสร้างความปลอดภัยทางถนนในทุกพื้นที่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมีวิธีคิดและวิธีการดำเนินงานทั้งหมด 9 วิธี ได้แก่
1.การร่วมมือร่วมใจในการทำงาน
2.การระดมความเห็นจากภาคีเครือข่าย
3.การสร้างความสุขจากการพัฒนา
4.การทำงานด้วยความสุข
5.การสร้างทัศนคติที่ดี
6.การกระจายอำนาจหน้าที่
7.การคิดแบบว่าทำไมเกิดขึ้น ไม่ใช่ใครทำผิด
8.การสร้างระบบและขั้นตอนการทำงานที่สอดรับกัน
9.การปรับเปลี่ยนที่ระบบงาน
ที่มา:หนังสือ 4 สไตล์บริหารจัดการ เดินหมากอย่างไรให้มอเตอร์ไซค์ใส่หมวก จันทบุรี - สงขลา - ภูเก็ต – นครศรีธรรมราช 39 หน้า (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) เรียบเรียงจาก 1) โครงการ “การศึกษากระบวนการและการบริหารจัดการโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข และคณะ และ 2) ผลการศึกษาการถอดบทเรียนการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนโดยใช้ภาคี : กรณี “จับสองเท่า
-ศวปถ., มสช. และ สสส. สนับสนุนการศึกษาและพัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในจังหวัดนครปฐม เพื่อวิเคราะห์อัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สำรวจปัจจัยในการสวมหมวกนิรภัย และพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนให้เป็นกลไกการติดตามประเมินผลในระดับพื้นที่ในอนาคต
การศึกษา พบว่า อัตราการสวมหมวกนิรภัยในจังหวัดนครปฐมยังมีค่าน้อยกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะในอำเภอขนาดเล็ก แต่การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยให้อัตราการสวมหมวกนิรภัยสูงขึ้น การกระตุ้นให้เยาวชนและชุมชนมีส่วนร่วมเป็นวิธีการที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยด้านความห่วงใยของตนเองและครอบครัวส่งผลต่อพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยมากที่สุด รองลงมาคือ ปัจจัยด้านการ
ที่มา:รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาและพัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในจังหวัดนครปฐม โดย รศ.ดร.วัฒนวงศ์ รัตนวราห สนับสนุนโดย ศวปถ., มสช., สสส. (เมย. 2553) 178 หน้า
(3) การบังคับใช้ความเร็ว
(3) การบังคับใช้ความเร็ว
-คู่มือการจัดการความเร็วในชุมชน เป็นที่สองเครื่องมือที่ให้ความรู้เบื้องต้นแก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในไทย โดยการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนดเป็นสาเหตุหลัก (รองลงมาคือ ตัดหน้ากระชั้นชิด ตามกระชั้นชิด แซงรถผิดกฎหมาย และเมาสุรา) ซึ่งการลดความเร็วแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถลดอัตราการตายได้อย่างมาก โดยการเพิ่มความเร็วจะเพิ่มระยะหยุดและแรงปะทะขณะชน ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถทนต่อการบาดเจ็บหากถูกชนด้วยความเร็วมากกว่า 30 กม./ชม. การลดความเร็วจะทำให้ผู้ขับขี่มี
เวลามากขึ้นในการรับรู้เหตุการณ์และหลีกเลี่ยงการชน ใช้ระยะเวลาในการเบรกรถน้อยลง ลดโอกาสที่จะเกิดการสูญเสียการควบคุมรถ รับแรงกระแทกน้อยลง บาดเจ็บน้อยลงหากเกิดการชน
คู่มือเล่มนี้จัดทำเพื่ออธิบายวิธีการวัดความเร็วอย่างง่าย ระบุมาตรการควบคุมความเร็ว และแนะนำมาตรการที่เหมาะสม เช่น การกำหนดขีดจำกัดความเร็วที่เหมาะสม การเตือนให้ลดความเร็วในพื้นที่ต่างๆ และการใช้มาตรการแสดงสัญญาณและสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยสื่อสารให้ผู้ขับขี่รับรู้ความเร็วที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างของกรณีศึกษาการจัดการความเร็วในชุมชนของไทย เช่น การใช้ปักป้ายทำซุ้มประตู หรือการตั้งกรวยยางชะลอความเร็วบริเวณโรงเรียน ฯลฯ ทั้งนี้คู่มือเล่มนี้มุ่งเพื่อเสริมสร้างความตระหนักและปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา:หนังสือคู่มือการจัดการความเร็วในชุมชน เรียบเรียงจากงานวิจัยโครงการการศึกษาและพัฒนาชุดความรู้ด้านวิศวกรรมจราจรเพื่อความปลอดภัยทางถนนในชุมชนบท ระยะที่ 1 โดย ผศ.ดร.วิชุดา เสถียรนาม และคณะ (พิมพ์ครั้งที่ 1 พศ.2556) 53 หน้า จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย ศวปถ. มสช. สนับสนุนโดย สสส.
-สสส. ได้เผยแพร่บทความ “อย่าเสี่ยงกับความเร็ว” ได้สรุปถึงสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย ซึ่งเป็นการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด และรองลงมาคือการตัดหน้ากระชั้นชิด และตามกระชั้นชิด ทั้งนี้เกิดขึ้นจากความประมาทต่อความเร็วและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
บทความยังเน้นว่าความเร็วขณะขับขี่มีผลต่อระยะหยุดของรถ โดยถ้าเพิ่มความเร็วจะต้องเพิ่มระยะหยุดรถด้วย เพราะระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบสนองต่อเหตุการณ์อยู่ที่ประมาณ 2 วินาทีเท่านั้น และเสนอวิธีการเพื่อมีวินัยการขับรถในสถานการณ์เสี่ยงต่างๆ เช่น
ขับรถตอนกลางคืน: จำเป็นต้องรักษาให้ไฟรถพร้อมใช้งาน ใช้ไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมา ระวังการแซงรถอื่น ๆ อย่างมาก และสังเกตพฤติกรรมของรถอื่น ๆ บนถนน
ขับรถตอนฝนตก: ควรใช้ความเร็วที่สามารถหยุดรถได้ในระยะที่มองเห็น และหากมีน้ำท่วมขังควรหยุดรถหรือใช้เส้นทางอื่นที่ปลอดภัย
ขับรถขณะน้ำท่วม: ปิดแอร์รถยนต์ ใช้เกียร์ต่ำ อย่าเร่งเครื่อง และลดความเร็ว
โดยทั้งหมดนี้เป็นมาตรการที่เหมาะสมในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่าง ๆ บนถนน และมุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่รถมีการตระหนักและปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการเพื่อป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา:หนังสืออย่าเสี่ยงกับความเร็ว จัดทำโดย SOOK PUBLISHING เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจากหนังสือการจัดการความเร็วในชุมชน โดย ศวปถ. และเอกสารบทความวิชาการขับรถอย่างปลอดภัย โดยศูนย์การเรียนรู้กรมการขนส่งทหารบก (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 12 หน้า
-สสส.สนับสนุนให้มูลนิธิไทยโรดส์ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จัดทำพิมพ์เขียวแนวทางการจัดการความเร็วเพื่อความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย (Speed Management Blueprint for Thailand’s Road Safety) สรุปเนื้อหาได้ดังนี้:
บทนำ
¬พิจารณาพฤติกรรมความเร็วที่เกินกำหนด (Excessive Speed) และความเร็วที่ไม่เหมาะสม (Inappropriate Speed) เป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุทางถนน
การจัดการความเร็ว (Speed Management)
¬การดำเนินมาตรการ 3E ซึ่งรวมถึงวิศวกรรม (Engineering), การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement), และการให้ความรู้ (Education) เพื่อควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
สถานการณ์ปัญหาการใช้ความเร็วในประเทศไทย
¬นำเสนอสถิติคดีอุบัติเหตุจราจรจากการใช้ความเร็วของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
¬สถิติอุบัติเหตุ การเสียชีวิตและความรุนแรงจากการใช้ความเร็วบนทางหลวง
¬สัดส่วนอุบัติเหตุจากการใช้ความเร็วบนทางหลวงจำแนกตามช่วงเวลา ประเภทถนน และประเภทยานพาหนะ
ปัจจัยสภาพแวดล้อม SWOT Analysis
¬การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของการจัดการความเร็วในประเทศไทย
ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการจัดการความเร็วในประเทศไทย
¬กำหนดเป้าประสงค์ 5 ประการ
¬กลยุทธ์และแนวทางขับเคลื่อนการจัดการความเร็วในประเทศไทย
เนื้อหาเหล่านี้มุ่งเน้นการเสนอข้อมูลและแนวทางเพื่อเพิ่มความเข้าใจและสนับสนุนการจัดการความเร็วเพื่อความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยอย่างมีระบบและอย่างเป็นรูปธรรม โดยความสำคัญอยู่ในการลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นจากการใช้ความเร็วอย่างไม่เหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความเร็วที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ที่มา:(1) หนังสือพิมพ์เขียวแนวทางการจัดการความเร็วเพื่อความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย (สค.2560) 82 หน้า และ 2) เอกสาร “การจัดการความเร็วเพื่อความปลอดภัยทางถนนสำหรับประเทศไทย : ทิศทางและความท้าทายในครึ่งศตวรรษถัดไป” จัดทำโดยมูลนิธิไทยโรดส์ และศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย 25 หน้า (กันยายน 2559)
-มูลนิธิไทยโรดส์และศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย นำเสนอห่วงโซ่ผลลัพธ์ Chain of Outcome (CoO) การขับเคลื่อนประเด็นความเร็ว สรุปได้ดังนี้
สถานการณ์อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับการใช้ความเร็ว
¬จำนวนและสัดส่วนของอุบัติเหตุจราจรที่เกิดจากการใช้ความเร็วมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงบางช่วง
¬ในปี 2563 มีการตรวจจับความเร็วตลอด 24 ชั่วโมงผ่านระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ ทำให้จำนวนผู้กระทำความผิดเพิ่มขึ้น
ปัญหาเชิงระบบในการจัดการความเร็ว
¬การสำรวจทัศนคติของผู้ใช้รถใช้ถนนพบว่ามีความเห็นตรงกันกับการเพิ่มโทษปรับและการตรวจจับความเร็ว
¬ยังพบปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับการจัดการความเร็วที่ยังไม่เพียงพอในการลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นจากความเร็ว
การสรุปนี้เน้นถึงความสำคัญของการจัดการความเร็วในการลดอุบัติเหตุทางถนน และยังชี้ให้เห็นปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในระบบการจัดการความเร็วที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ระบบการจัดการความเร็วในปัจจุบันและปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้แก่:
1.ปัญหาในระบบการจัดการความเร็วในปัจจุบัน
¬การติดป้ายและเครื่องหมายจราจรไม่ครอบคลุมถนนทุกสายและขาดการบำรุงรักษา
¬มีอุปกรณ์ตรวจจับความเร็วมากขึ้นแต่ทำเฉพาะบนถนนบางสาย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ขับขี่เกรงกลัว
2.ตัวอย่างการจัดการความเร็วของต่างประเทศและไทย
¬เปรียบเทียบอัตราค่าปรับสำหรับผู้ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดระหว่างประเทศต่างๆ
¬ตัวอย่างมาตรการที่ใช้ได้ผลในไทย เช่น การปรับปรุงถนนเพื่อลดความเร็ว การบริหารจัดการจราจร เป็นต้น
3.ห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพด้านความปลอดภัยทางถนน
¬การกำหนดความเร็วจำกัดที่เหมาะสมและเป็นที่รับรู้ของประชาชน
¬การพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของถนน
¬การยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเรื่องความเร็ว
¬การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
ที่มา:เอกสาร PPT ห่วงโซ่ผลลัพธ์ Chain of Outcome (CoO) การขับเคลื่อนประเด็นความเร็ว โดย รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ สนับสนุนโดย มูลนิธิไทยโรดส์ (ไม่ระบุปีที่จัดทำ) 51 หน้า)
¬การเร่ง Feedback Loop เพื่อการติดตามประเมินผล
การสร้างห่วงโซ่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับการจัดทำแผนปฏิบัติการประเด็นความเร็ว และการระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบและสนับสนุน จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความเร็วและลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย ได้แก่การปรับปรุงระบบการตรวจจับความเร็วและการพัฒนาระบบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเข้าใจและการรับรู้ของผู้ใช้ถนนเพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย เป็นต้น
ระบบการตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ
•การศึกษาการวางแผนและดำเนินการระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในประเทศไทย
1.การทบทวนข้อมูลและแนวทางการดำเนินงานระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในต่างประเทศ
2.ขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ เช่น การตระหนักถึงปัญหาและความจำเป็น การเสนอแนวทางกลยุทธ์ การลงมือปฏิบัติ และการดำเนินการ
องค์ประกอบของการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จ:
¬การจัดการโครงการตรวจจับความเร็ว
¬การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
¬การควบคุมพฤติกรรมการใช้ความเร็วของผู้ขับขี่
¬เพิ่มประสิทธิภาพของการควบคุมความเร็ว
¬การระบุตำแหน่งติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ
¬การคัดเลือกและติดตั้งเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เหมาะสม
¬การประชาสัมพันธ์และการประเมินผล
ขั้นตอนการดำเนินงานระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติของหน่วยงานต่างๆ:
แบบบนลงล่าง: การจัดการโครงการตรวจจับความเร็ว การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ควบคุมพฤติกรรมการใช้ความเร็ว ระบุตำแหน่งติดตั้งระบบ และประชาสัมพันธ์
แบบล่างขึ้นบน: เริ่มจากภาคประชาชนตระหนักถึงปัญหาและความจำเป็น และเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การประสานงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านเทคโนโลยีระบบ ทรัพยากร ทักษะและความรู้ความเชี่ยวชาญ การกำหนดขีดจำกัดความเร็ว และการบังคับใช้กฎหมาย เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยได้ในที่สุด
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการวิจัยการศึกษาการวางแผนและดำเนินการระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติในประเทศไทย โดย ดร.นพดล กรประเสริฐ และคณะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดยมูลนิธิไทยโรดส์ , สสส. (ปี 2560) 78 หน้า
•การพัฒนามาตรการและโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
การลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ: โครงการควบคุมความเร็วด้วยกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติได้ลดความเร็วของยานพาหนะและจำนวนรวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเป็นโครงการต้นแบบที่สอจร.จังหวัดขอนแก่นได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรด้วยกล้องวงจรปิดแบบกึ่งอัตโนมัติ
การใช้งบประมาณและสนับสนุน: โครงการได้รับงบประมาณและการสนับสนุนจาก Safer Roads Foundation และ ศวปถ. เพื่อพัฒนาโปรแกรมและติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในพื้นที่ต่างๆ
การวางแผนและดำเนินการ: โครงการได้วางแผนและดำเนินการโดยการติดตั้งกล้องวงจรปิดบนแยกทางจราจรที่สำคัญและการส่งสัญญาณแบบ real time ไปยังระบบคอมพิวเตอร์ที่ห้องควบคุมเพื่อตรวจจับรถที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงอัตโนมัติ
การวิจัยและพัฒนา: โครงการได้ทำการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร โดยมีการทดสอบจากพื้นที่จริงและจัดอบรมให้เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลกล้องวงจรปิด
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการวิจัยและพัฒนามาตรการและโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร โดย รศ.ดร.ธเนศ เสถียรนาม และคณะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สนับสนุนโดย ศวปถ.และ สสส. (พค. 60) 82 หน้า
•การพัฒนาคู่มือการดำเนินโครงการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรและการไม่สวมหมวกนิรภัย มีข้อเสนอแนะดังนี้
การประชาสัมพันธ์และการควบคุมการบังคับใช้: ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบก่อนเริ่มบังคับใช้เป็นการล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน ด้วยการขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน และการจัดประชุมสื่อสารกับสอจร.จังหวัดหรือทำสื่อเผยแพร่ เช่น แผ่นพับ ป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อออนไลน์ เพื่อเพิ่มความเข้าใจและการยอมรับของประชาชนต่อการบังคับใช้กฎหมายทางถนน
การวางแผนและดำเนินการ: คู่มือควรรวมถึงการแนะนำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง, สภาพกายภาพของทางแยกที่เหมาะสม, คุณสมบัติของกล้อง CCTV, และมาตรฐานป้ายที่มีคุณภาพและงบประมาณลงทุนไม่สูงมาก
การทดสอบและประเมินผล: คู่มือควรรวมถึงขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพของระบบหลังจากการติดตั้งและประสานงานระหว่างโปรแกรมตรวจจับผู้ฝ่าฝืนแบบ Offline และ Online กับโปรแกรมออกใบสั่ง (Police Ticket Management: PTM) ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
การประชุมและบูรณาการ: ควรมีการประชุมและบูรณาการร่วมกับเทศบาลและตำรวจเพื่อลงนาม MOU ร่วมดำเนินงานแบบบูรณาการ โดยทั้ง 2 หน่วยงานได้รับส่วนแบ่งค่าปรับมาใช้ในการพัฒนางานของตน
การประเมินผล: ควรมีการประเมินผลการดำเนินงานทั้งการลดจำนวนอุบัติเหตุ หลังจากการติดตั้งกล้อง CCTV เป็นระยะเวลา 1 , 3 และ 6 เดือนตามลำดับ และแจกแบบฟอร์มประเมินทัศนคติของผู้ขับขี่ที่เดินทางผ่านแยกโครงการตัวอย่างเป็นประจำ
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการพัฒนาคู่มือการดำเนินโครงการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรและการไม่สวมหมวกนิรภัย โดย รศ.ดร.ธเนศ เสถียรนาม และคณะ สนับสนุนโดยโครงการค้นหาผู้เชี่ยวชาญและสนับสนุนการจัดการเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย มนป. และ สสส. (มิย.61) 82 หน้า
-ศวปถ. มนป.และ สสส.สนับสนุนให้มีการประเมินประสิทธิผลของโครงการกำหนดความเร็วของยานพาหนะที่ขับขี่ในพื้นที่เขตกำหนดความเร็ว ในพื้นที่ศึกษา 2 จังหวัด คือ (1) จังหวัดนครศรีธรรมราช ศึกษาการใช้ความเร็วบนถนน 3 เส้นทาง (ถนนกะโรม ถนนราชดำเนิน และถนนพัฒนาการคูขวาง) (2) จังหวัดนครพนม ศึกษาการใช้ความเร็วบนถนน 2 เส้นทาง ได้แก่ ถนนสุนทรวิจิตร กำหนดให้ยานพาหนะทุกประเภทขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. และถนนนิตโย กำหนดให้ยานพาหนะทุกประเภทขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. สรุปได้ดังนี้
การสนับสนุนและการศึกษา: ศึกษากระบวนการและเกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่ความเร็วในพื้นที่ศึกษา โดยใช้สถิติอุบัติเหตุจราจรเป็นเกณฑ์พิจารณา
การวิเคราะห์ผล: การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้เส้นทาง เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การพัฒนาคู่มือการจัดการความเร็วบนถนนและการอบรมเจ้าหน้าที่
การปรับปรุงเขตพื้นที่: การกำหนดความเร็วที่เหมาะสมตามลักษณะพื้นที่ โดยการปรับปรุงกฎหมายจราจรทางบกเพื่อให้อำนาจท้องถิ่นสามารถประกาศความเร็วที่เหมาะสมได้
การประชาสัมพันธ์และการนำข้อมูลกลับ: การให้ท้องถิ่นส่งผลการประเมินและนำส่งข้อมูลกลับ เพื่อปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์และการประเมินนี้ช่วยสนับสนุนในการพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับอุบัติเหตุจราจรและเขตพื้นที่ในแต่ละจังหวัดและยกระดับความปลอดภัยทางถนนในประเทศ ด้วยการใช้ Safe System Approach และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและท้องถิ่นในการจัดการเรื่องความเร็วบนถนนอย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการประเมินประสิทธิผลของโครงการกำหนดความเร็วของยานพาหนะที่ขับขี่ในพื้นที่เขตกำหนดความเร็ว โดย นายปิติ จันทรุไทย และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. มนป.,สสส. (กย.2562) 184 หน้า
(4) การลดความเสี่ยงอุบัติเหตุชนท้าย
(4) การลดความเสี่ยงอุบัติเหตุชนท้าย
มูลนิธิไทยโรดส์ให้การสนับสนุนการศึกษา 2 เรื่อง:
• ผลของลักษณะการนั่งมอเตอร์ไซค์เด็ก: การศึกษานี้ศึกษากลศาสตร์การเคลื่อนที่หลังชน และลักษณะการเกิดการบาดเจ็บที่เกิดจากการชนของมอเตอร์ไซค์กับเด็ก เพื่อกำหนดลักษณะการนั่งที่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กในรถมอเตอร์ไซค์ ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่นั่งด้านหลังมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากการกระแทกครั้งแรกที่ศีรษะมากกว่าเด็กที่นั่งด้านหน้า แต่หน้าอกของเด็กที่นั่งด้านหน้าจะได้รับแรงกระทกในครั้งที่สองจากมวลของผู้ขับขี่ ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บที่หน้าอกสูงเช่นกัน การสวมหมวกนิรภัยจะช่วยลดความเสี่ยงที่ศีรษะจากการกระแทกพื้น และการจัดที่นั่งเด็กที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงที่ร่างกายของเด็กจะลื่นไถลไปหลังจากการชน
•การจำลองการชนเชิงตัวเลข: การจำลองการชนเชิงตัวเลขมีไว้เพื่อพบลักษณะการนั่งที่เหมาะสมของเด็ก ซึ่งควรอยู่ที่ด้านหลังผู้ขับขี่เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้มากกว่าที่นั่งด้านหน้า การสวมหมวกนิรภัยและการจัดที่นั่งเด็กที่เหมาะสมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในการใช้งานรถมอเตอร์ไซค์
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการวิจัยเรื่องการศึกษาผลของลักษณะการนั่งมอเตอร์ไซค์เด็กต่อความรุนแรงของการบาดเจ็บที่เกิดจากการชนของมอเตอร์ไซค์ โดย วิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ บัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธรไทย-เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สนับสนุนโดยมูลนิธิไทยโรดส์ (ปี 2559) 90 หน้า
•การลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการชนท้าย กรณีศึกษาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 ได้มีการพัฒนาแบบจำลองการขับรถตามกันของจีเอ็มลำดับที่ 5 (GM5th Car-following model) เพื่อศึกษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างรถที่ขับตามกัน ผลการศึกษาพบว่า ควรมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 47 เมตร โดยเป็นระยะห่างที่ความเร็ว 97 กม./ชม. และการติดตั้งเครื่องหมายผิวจราจรแบบ Transverse Bar ลงในเลนกลางและเลนขวาสุด มีส่วนช่วยให้ผู้ขับขี่เว้นระยะห่างระหว่างรถตนเองกับรถคันหน้าเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อผ่านช่วงถนนที่ทำการติดตั้งเครื่องหมายบนผิวจราจรไปแล้ว พบว่า พฤติกรรมของผู้ขับขี่ส่วนใหญ่กลับมาเเว้น ระยะห่างระหว่างรถน้อยลงเหมือนเดิม ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุชนท้ายขึ้นได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับขี่และการปรับปรุงเครื่องหมายผิวจราจรแบบ Transverse Bar จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุในการชนท้าย นอกจากนี้ ควรนำแบบจำลองและเครื่องหมายที่พัฒนาไปประยุกต์ใช้ในถนนสายอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการชนท้ายได้อีกด้วย
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการวิจัยการศึกษาการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุจากการชนท้าย กรณีศึกษาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 โดย รศ.ดร. อำพล การุณสุนทวงษ์ และคณะ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สนับสนุนโดยมูลนิธิไทยโรดส์ (มิย.2561) 232 หน้า
(5) การพัฒนาสมรรถนะของผู้ใช้รถใช้ถนน
(5) การพัฒนาสมรรถนะของผู้ใช้รถใช้ถนน
-โครงการ "การป้องกันปัญหาจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ในกลุ่มเยาวชน" ได้รับการสนับสนุนจาก ศวปถ., มสช., และ สสส. เพื่อส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เน้นการป้องกันปัญหาเชิงรุกในการขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลุ่มเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยเน้นการสร้างอัตลักษณ์ของเยาวชนเป็นผู้นำความปลอดภัยทางถนนในชุมชน และปรับบทบาทของผู้ใหญ่ให้เป็นผู้สนับสนุนชี้แนะ ผู้ดูแลและผู้กำกับติดตามช่วยเหลือ โดยมีกิจกรรมเช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มผู้ปกครองและชุมชน ในหัวข้อทุกข์ของแม่ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ให้ลูก การจัดขบวนพาเหรด การนำเสนอนวัตกรรมสร้างสรรค์ เป็นต้น ผลลัพธ์ของโครงการนี้ทำให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ มีความภาคภูมิใจในตนเอง และมีพัฒนาการของจิตสำนึกความปลอดภัย โดยเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในชุมชน อีกทั้งยังเสริมภาคีเครือข่ายในกลุ่มเยาวชนได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการ “การป้องกันปัญหาจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ในกลุ่มเยาวชน โดย ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ., มสช. , สสส. (พค. 2553) 122 หน้า
-“คู่มือการพัฒนาอัตลักษณ์ผู้นำความปลอดภัยในกลุ่มเยาวชน” เป็นเอกสารที่นำเสนอวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอัตลักษณ์ของผู้นำความปลอดภัยในกลุ่มเยาวชน โดยมุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาผู้นำความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหา การคัดเลือก การพัฒนา (Coaching) การส่งเสริมสนับสนุน (Caring) และการติดตามประเมินผล (Controlling) โดยมุ่งเน้นการสร้างบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเยาวชนในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน โดยมุ่งเน้นที่จะเป็น
ผู้นำและแบ่งปันความรับผิดชอบในการสร้างองค์ความรู้และการกระตุ้นให้เยาวชนรับรู้และรับใช้หลักการปลอดภัยทางถนนอย่างเหมาะสม และให้เครื่องมือและแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามด้วยวิธีการที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้นำทั้งในส่วนของผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องและเยาวชน เอกสารนี้ช่วยสร้างบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยในการสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเยาวชน อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเยาวชนให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนอื่นๆในชุมชน
ที่มา:คู่มือการพัฒนาอัตลักษณ์ผู้นำความปลอดภัยในกลุ่มเยาวชน 18 หน้า (ไม่ระบุปี)
-ปี 2553 สสส.ให้การสนับสนุนการจัดทำคู่มือการเสนอแนวทางการจัดการด้านใบขับขี่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพระบบขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลุ่มเยาวชนในประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลสถิติแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงสูงของรถจักรยานยนต์ต่อการเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 15-24 ปี
คู่มือได้เสนอรูปแบบการจัดการระบบใบขับขี่ที่เหมาะสมของไทย โดยแบ่งระดับการพัฒนาระบบใบขับขี่ ออกเป็น 4 ระดับ
1.การกำหนดอายุขั้นต่ำที่ชัดเจนที่ไม่อนุญาตให้มีการขับขี่ได้ และการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับการปล่อยให้เยาวชนในช่วงอายุดังกล่าวนำรถจักรยานยนต์มาใช้
2.การพัฒนาทัศนคติ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขับขี่ปลอดภัยผ่านหลักสูตร
ภายในสถานศึกษาก่อนที่ผู้ขับขี่จะเข้ารับการทดสอบขอรับใบอนุญาตขับขี่แบบชั่วคราวที่อายุ 15 ปี
3.การเพิ่มการเข้าถึงการพัฒนาทักษะการขับขี่ที่ปลอดภัยในระดับที่สูงขึ้น และการปรับแก้ทัศนคติและความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องผ่านการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งมีมาตรการเชิงควบคุมเพื่อความปลอดภัย เช่น การจำกัดซีซีของรถ การห้ามขับขี่ในเวลากลางคืน การห้ามซ้อนท้าย
4.การสอบรับใบอนุญาตขับขี่ฉบับสมบูรณ์ และการเพิ่มเติมทักษะการขับขี่เพิ่มเติม เช่น ทักษะด้านการรับรู้อันตราย การสอนการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีซีซีสูง ฯลฯ
มีการแสวงหาแนวทางใหม่เพื่อดึงผู้ขับขี่ที่ยังไม่ได้รับการอบรมหลักสูตรการขับขี่ปลอดภัยให้เข้ามารับการอบรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ถือครองใบขับขี่ชั่วคราวอายุ 15-18 ปี
ที่มา:รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการจัดทำคู่มือการเสนอแนวทางการจัดการด้านใบขับขี่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในกลุ่มเยาวชน โดย ทวีศักดิ์ แตะกระโทก (พค. 2553) 26 หน้า
- ศวปถ. ให้การสนับสนุนในการสำรวจและวิเคราะห์การได้ประวัติใบขับขี่และการทดสอบใบขับขี่ของเยาวชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการศึกษาเฉพาะกรณีของสถาบันการศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม ทัศนคติ การเรียนรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-22 ปี ในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษา อาชีวะศึกษา และอุดมศึกษา จำนวน 1,238 คน
ผลการสำรวจพบว่า:
1.การขับขี่ครั้งแรกเมื่ออายุน้อยเป็นความเสี่ยง มีกลุ่มผู้ขับขี่ตั้งแต่อายุ 7-9 ปี (ก่อนถึง 15 ปีที่สามารถขอรับใบอนุญาตขับขี่ได้)
2.ในกลุ่มวัยรุ่นที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในถนนแล้วมากกว่าร้อยละ 70 ไม่พบกระบวนการให้ความรู้ด้านกฎหมาย ข้อบังคับจราจร และพฤติกรรมความปลอดภัยในระบบการเรียนการสอนปกติ
3.การได้รับการฝึกอบรมหลังจากที่วัยรุ่นมีประสบการณ์มาพอสมควรแล้ว มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมน้อยมาก
4.มีกลุ่มที่เข้าถึงโรงเรียนฝึกขับขี่หรือผ่านการอบรมการขับขี่ปลอดภัยที่ได้มาตรฐานจำนวนน้อย ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่า การเข้าสู่การฝึกในช่วงอายุใดจะดีที่สุด
5.การอบรมและทดสอบความรู้ด้านกฎหมายจราจรมีผลต่อการรับรู้แต่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการฝ่าฝืนได้
6.หลังจากได้ใบอนุญาตขับขี่แล้ว พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ไม่ลดลง
7.ครอบครัว เช่น พ่อแม่และญาติ เป็นกลุ่มแรกที่ช่วยพัฒนาและส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย ตามด้วยโรงเรียนที่มีการจัดกิจกรรมให้ความรู้และเพิ่มทักษะที่มีผลต่อพฤติกรรมการขับขี่
มีข้อเสนอการจัดรูปแบบระบบใบอนุญาตขับขี่ ดังนี้
ระยะสั้น: พัฒนากระบวนการเข้าถึงการอบรมการขับขี่ปลอดภัยที่มีมาตรฐาน
ระยะกลาง: มีมาตรการด้านกฎหมาย/ข้อบังคับให้ผู้ขับขี่มือใหม่จำเป็นต้องผ่านการอบรมที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในช่วงอายุที่เหมาะสม
ระยะยาว: จัดกระบวนการให้ความรู้ด้านกฎหมายข้อปฏิบัติและปลูกฝังสำนึกความปลอดภัยในการเรียนการสอนให้เป็นระบบมากขึ้น
ที่มา:รายงานการสำรวจการได้ประวัติใบขับขี่ การทดสอบใบขับขี่ของเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีศึกษาสถาบันการศึกษาจังหวัดพิษณุโลก โดย ณัฐกานต์ ไวยเนตร และคณะ สนับสนุนโดย ศวปถ. , สสส. (ธค. 2561) 54 หน้า
- การศึกษาล่าสุดจาก TDRI ประจำปี 2565 เน้นการพัฒนาระบบออกใบอนุญาตขับขี่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ:
1.ศึกษาโครงสร้างและสถานการณ์ปัญหาของระบบการให้อนุญาตขับขี่ยานพาหนะในปัจจุบัน
2.ทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
3.ศึกษาแนวทางจากต่างประเทศ
4.จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน
ผลการศึกษา พบว่า:
¬ใบอนุญาตขับขี่มีความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายจราจรและเป็นหลักประกันใน
การได้รับสินไหมทดแทนในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
¬สัดส่วนการครอบครองใบอนุญาตขับขี่ต่อรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนทั่วประเทศยังมีข้อจำกัดที่น่าสังเกต โดยเพียงร้อยละ 55 เท่านั้น
¬แนวทางการพัฒนาจากต่างประเทศเน้นการเพิ่มโทษในกรณีขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต เช่น การจำคุกและการลงทะเบียนประวัติชีวิต และมีแนวทางให้ส่วนลดค่าประกันรถยนต์สำหรับผู้ที่มีประวัติขาวสะอาด เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้คนมาทำใบอนุญาตขับขี่
¬ประเทศไทยยังมีบทลงโทษที่มีข้อจำกัด เช่น จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท จึงต้องมีการเพิ่มโทษและแนวทางจูงใจอื่นๆ
คณะผู้วิจัยได้จัดทำ "ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาโครงสร้างของระบบออกใบอนุญาตขับขี่" โดยมีแผนการดำเนินงานระยะสั้น (1-2 ปี), ระยะกลาง (2-4 ปี), และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้ขับขี่มาทำใบอนุญาตขับขี่เพิ่มขึ้น และปรับปรุงระบบใบอนุญาตขับขี่ให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และลดอุบัติเหตุบนถนนลง
ที่มา:สรุปจากเอกสารเพื่อการเผยแพร่ โครงการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบออกใบอนุญาตขับขี่ให้เหมาะสมกับประเทศไทย โดย ดร.สลิลธร ทองมีนสุข และคณะผู้วิจัยจาก TDRI สนับสนุนโดย ศวปถ. (กค. 2565) 20 หน้า
-ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ได้นำเสนอประเด็น "แรงงานต่างด้าวขับขี่-สูญเสีย 9 เจ็บ 3" โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเข้ามาของแรงงานต่างด้าวในการขับขี่รถในประเทศไทย ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่เกิดจากรถโม่ปูนซีเมนต์ที่ขับโดยแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่คุ้นชินกับเส้นทางและรูปแบบการขับขี่ที่แตกต่างไป ผู้เสียชีวิตจำนวน 8 รายและบาดเจ็บจำนวน 3 ราย ทำให้เห็นว่ามีช่องว่างด้านกฎหมายแรงงานต่างด้าว การออกใบอนุญาตขับขี่รถบรรทุก และมาตรการด้านความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานขับรถบรรทุก โดยพบว่า ไม่มีการรายงานความรับผิดชอบและบทลงโทษต่อผู้ประกอบการที่ทำการจ้างงานแรงงานต่างด้าวที่ละเมิดกฎหมาย ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการตรวจสอบและกำกับดูแลแรงงานต่างด้าวที่ขับขี่รถอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในอนาคต และหากพบการกระทำผิดควรมีการลงโทษอย่างเคร่งครัดต่อผู้ละเมิด ด้วยการออกใบอนุญาตขับขี่รถบรรทุกให้เป็นไปตามกฎหมายและการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม
ผลการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น เสนอมาตรการด้านความปลอดภัยในผู้ปฏิบัติงานขับรถบรรทุกที่มี 6 ปัจจัยหลัก ดังนี้:
1.ระบบการจัดการด้านความปลอดภัย: การจัดการกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และการบำรุงรักษายานพาหนะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เช่น การรายงานความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นทางถนน
2.การประสานงานและการสื่อสารภายในหน่วยงาน: การให้คำปรึกษาหรือขอคำปรึกษาโดยไม่กังวลว่าจะมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่
3.การประเมินสมรรถนะในการขับขี่ของตนเอง: ความสามารถในการประเมินสมรรถนะในการขับขี่ของตนเองได้ตามความเป็นจริง
4.การทำงานเป็นทีม: การรับฟังและการให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงาน และการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเพื่อช่วยลดความเครียดในการทำงาน
5.การรับมือกับการทำงานในเวลาจำกัดและเครียด: การรับมือกับการทำงานในเวลาจำกัดและเครียดที่ไม่ให้เกินความสามารถของตนที่จะรับได้ไหว
6.ความตระหนักในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง: การปฏิบัติงานโดยมีความตระหนักและมีมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น การไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะปฏิบัติงาน
สำหรับประเทศไทย ควรเพิ่มประสิทธิภาพในหลักสูตรการอบรมและให้ความรู้แก่ผู้ปฏิบัติงานรถบรรทุก รวมถึงการทดสอบก่อนได้รับใบอนุญาตขับขี่รถบรรทุกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในอนาคตและเพิ่มระดับความปลอดภัยในงานขับรถบรรทุกในประเทศไทยด้วยการปรับปรุงและพัฒนาระบบด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ที่มา:ไฟล์แรงงานต่างด้าวขับขี่-การออกใบอนุญาตขับขี่.pdf โดย ศวปถ. (ไม่ระบุปีที่จัดทำ) 5 หน้า
สำหรับกลุ่มคนเดินเท้ามีการจัดทำชุดคู่มือเสริมสร้างความปลอดภัยของคนเดินเท้า (Pedestrian Safety Guideline) มีดังนี้
การประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของคนเดินเท้า: การเชื่อมโยงระดับความปลอดภัยของคนเดินเท้าในระดับนานาชาติและระดับประเทศ และการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อบกพร่องในโครงสร้างพื้นฐานของการขนส่ง และการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ถนน
การออกแบบถนนและการใช้พื้นที่: การจัดการพื้นที่เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยของคนเดินเท้า โดยการพิจารณาการออกแบบถนนและการวางแผนการใช้พื้นที่ที่เหมาะสม เช่น การจัดทำทางเท้า การติดตั้งสัญญาณจราจรคนข้าม
มาตรการด้านความปลอดภัยของคนเดินเท้า: การสร้างแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันอุบัติเหตุ และการปรับปรุงพื้นที่และโครงสร้างทางถนนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมทั้งการเสริมสร้างความรู้และการฝึกสอนให้คนเดินเท้า
การประเมินมาตรการ: การประเมินผลของมาตรการต่างๆที่ถูกใช้เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของคนเดินเท้า และการสนับสนุนให้มีการนำมาตรการดังกล่าวไปใช้ในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางและมาตรการในการปฏิบัติ: การสร้างแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมในการส่งเสริมความปลอดภัยของคนเดินเท้า โดยการใช้มาตรการตามหลักวิศวกรรมและการป้องกันเชิงพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงจากการเดินเท้าในพื้นที่ต่างๆ
การสนับสนุนและการนำไปใช้: การสนับสนุนและการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันอุบัติเหตุและการสร้างความปลอดภัยของคนเดินเท้า และการสนับสนุนการนำมาตรการดังกล่าวไปใช้ในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุปคู่มือนี้มุ่งเน้นที่จะเสนอแนวทางและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยให้กับคนเดินเท้าในทุกๆ ด้านของสิ่งแวดล้อมทางถนนและโครงสร้างของเมือง ด้วยการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนท้องถิ่น เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและเสริมสร้างความปลอดภัยในการเดินเท้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการจัดทำชุดคู่มือเสริมสร้างความปลอดภัยของคนเดินเท้า (Pedestrian Safety Guideline) เรียบเรียงและอ้างอิงเนื้อหาสำคัญตามคู่มือ “Pedestrian Safety: A Road safety manual for decision-makers and practitioners,2013” ขององค์การอนามัยโลก โดย นายสุเมธี สนธิกุล สนับสนุนโดย ศวปถ.,มสช., สสส. (สค. 2556) 118 หน้า
-การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการผลักดันให้เกิดความปลอดภัยทางถนนเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันในอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เน้นการสร้างเมืองน่าอยู่และการใช้จักรยานเป็นวิธีการเดินทางที่ยั่งยืนแล้ว โดยมีหลักการเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การปรับโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกบางส่วน เช่น การจัดการทาสี จัดการจุดเสี่ยงน้ำท่วม และการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับจักรยาน เพื่อสร้างความปลอดภัยและสนับสนุนการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน การศึกษาพบว่า ทุกกลุ่มมีทัศนคติเชิงบวกต่อการส่งเสริมให้เกิดการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และมีเสนอแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1.การสร้างกลไกนโยบายเพื่อสนับสนุนการใช้จักรยานอย่างต่อเนื่องโดยการจัดการถนน สิ่งอำนวยความสะดวก และการจัดการจราจรอย่างจริงจัง
2.การระบุพื้นที่หรือขอบเขตการดำเนินงานให้ชัดเจนเพื่อทำให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้
3.การวางกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ
4.การสร้างทัศนคติที่ถูกต้องและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในชุมชนเพื่อเห็นความสำคัญของความปลอดภัยทางถนน
5.การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกที่ก่อให้เกิดความปลอดภัย เช่น การปรับปรุงเส้นทางที่สร้างความมั่นใจในการปั่น และการติดตั้งระบบช่วยเหลือ โดยมีการแสดงเสนอแนวทางการดำเนินงานแบบเฉพาะเจาะจงและระบุแผนที่ชัดเจนในการดำเนินงาน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการส่งเสริมให้เกิดการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ในทางปฏิบัติ ขณะที่มีแรงกดดันที่จะเป็นที่ยอมรับในการสนับสนุนการใช้จักรยาน จำเป็นต้องมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและมีการควบคุมอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
ที่มา(1) เอกสารโครงการส่งเสริมการใช้จักรยาน Final Report v.2 copy.pdf โดย มูลนิธิสถาบันการเดินและการจักรยานไทย สนับสนุนโดย ศวปถ. (มีค.2565) และ 2) เอกสารแนวทางการจัดการความปลอดภัยทางถนนสำหรับท้องถิ่น copy.pdf (มีค. 2565)
-โครงการเสริมสร้างกระบวนการพัฒนาเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนระดับพื้นที่ถนนพระราม 2 เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อปท. องค์กรสาธารณะประโยชน์ ภาคประชาสังคม และองค์กรชุมชน เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ทั้งในระดับพื้นที่ถนนพระราม 2 ระดับชุมชน และระดับจังหวัด (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี และเพชรบุรี) โดยมุ่งเน้นที่จุดเสี่ยงสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ที่เป็นเส้นทางสัญจรมุ่งสู่แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดต่างๆ โดยโครงการนี้มีข้อดีดังนี้
1.การเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: โครงการมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น รัฐบาล ภาคเอกชน และองค์กรชุมชน เพื่อให้มีการทำงานร่วมกันในด้านความปลอดภัยทางถนน
2.การสร้างแกนนำชุมชนและหน่วยงาน: โครงการนำเสนอแนวทางการดำเนินงานที่จะสร้างแกนนำในชุมชนและหน่วยงานที่สนับสนุนการทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการปฏิรูปวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน
3.การพัฒนาโครงการวิจัยท้องถิ่น: โครงการนี้สนับสนุนการพัฒนาโครงการวิจัยท้องถิ่นเพื่อสร้างพื้นที่ต้นแบบที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน
4.การเผยแพร่ผ่านสื่อสาธารณะ: โครงการนี้มีการสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสาธารณะเพื่อสร้างความตระหนักในชุมชนเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน
โครงการนี้มีผลในการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชุมชนและสังคมในระยะยาว
ที่มา:รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการเสริมสร้างกระบวนการพัฒนาเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนระดับพื้นที่ถนนพระราม 2 โดย นายชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม สนับสนุนโดย ศวปถ., สสส. (กค.2555) 57 หน้า
-การศึกษาการลงทุนในมาตรการลดอุบัติเหตุจราจรที่เหมาะสม เพื่อให้เห็นภาพรวมของการจัดสรรงบประมาณในการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรของต่างประเทศ รูปแบบและจำนวนงบประมาณที่ใช้ในมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย แนวทางการจัดสรรและใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าเพิ่มขึ้น และแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุน รวมทั้งนำเสนอกรณีศึกษาการจัดการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในระดับจังหวัด 3 จังหวัด (พิษณุโลก ภูเก็ต ขอนแก่น) ผลการศึกษาพบว่าประเทศไทยใช้งบประมาณด้านอุบัติเหตุค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ รองลงมาคือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการศึกษา ด้านการประเมิน และด้านการแพทย์ฉุกเฉินตามลำดับ การวิเคราะห์มาตรการสำคัญ พบว่า (1) มาตรการสวมหมวกนิรภัย – ควรจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายโดยตรง มีการศึกษาเพิ่มเติมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้รถ สร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ ดังตัวอย่างการบูรณาการโครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัยในจังหวัดภูเก็ต 100% (2) มาตรการกล้องตรวจจับความเร็ว - ควรลงทุนติดตั้งมากขึ้นควบคู่ไปกับการสร้างความพร้อมให้ผู้ปฏิบัติการ (3) มาตรการลดและป้องกันอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่ – ยังไม่ได้ประสิทธิผลเท่าที่ควร แม้ว่าจำนวนการเกิดอุบันติเหตุ อัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตจะลดลงก็ตาม (4) มาตรการแก้ไขจุดเสี่ยง – การแก้จุดเสี่ยงบนถนนสายรอง โดยเฉพาะถนนในเขตชุมชนต้องอาศัยความร่วมมือของคนในพื้นที่เป็นสำคัญ โดยมีบ้านไผ่โมเดลเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและประยุกต์ใช้ในกิจกรรมด้านวิศวกรรมระดับประเทศได้ การจัดสรรงบประมาณด้านความปลอดภัยทางถนนควรมีความต่อเนื่องและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับข้อมูลการวิเคราะห์ต้นทุนทางสังคมของปัญหา ผลประโยชน์และต้นทุนของมาตรการต่างๆ ทั้งนี้แหล่งที่มาของงบประมาณหลักในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยควรมีการลงทุนในมาตรการความปลอดภัยทางถนนมากขึ้น โดยหน่วยงานอิสระที่ทำงานด้านอุบัติเหตุทางถนนเท่านั้น หาแนวทางในการร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนทางการเงินมากขึ้น จัดสรรรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์และล้อเลื่อนมาใช้ จัดตั้งงบประมาณทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นในลักษณะ Earmarked Fund
ที่มา:รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาการลงทุนในมาตรการลดอุบัติเหตุจราจรที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองทศวรรษความปลอดภัย โดย ศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สนับสนุนโดย ศวปถ. , สสส. (กค.2554) 190 หน้า
เสาหลักที่ 5: การช่วยเหลือและรักษาผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน
เสาหลักที่ 5: การช่วยเหลือและรักษาผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน
มีข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อยและเป็นงานศึกษาที่เจาะจงบางกลุ่มบางพื้นที่
1) การส่งเสริมระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพ มีงานประเมินผลการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจราจรก่อนถึงโรงพยาบาล
1) การส่งเสริมระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพ มีงานประเมินผลการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจราจรก่อนถึงโรงพยาบาล
-งานประเมินผลการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจราจรก่อนถึง
โรงพยาบาล มีความสำคัญในการศึกษาแนวทางในการบริการรักษาพยาบาลก่อนถึงโรงพยาบาลหรือการรักษาที่จัดโดยบุคลากรทางการแพทย์และนำส่งไปยังโรงพยาบาลที่เหมาะสมเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากการอุบัติเหตุ
การศึกษานี้ทำโดยดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ และคณะวิจัย TDRI ในปี 2539 เพื่อศึกษาค่าใช้จ่ายและประโยชน์ของการรักษาพยาบาลก่อนถึงโรงพยาบาลในโรงพยาบาล 3 แห่งในกรุงเทพฯ (โรงพยาบาลราชวิถี วชิรพยาบาล และโรงพยาบาลกรุงเทพฯ) พบว่า ผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุนเป็นอย่างมาก แนะนำให้ขยายบริการทั่วประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2545)
รัฐบาลควรแต่งตั้งหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง เช่น คณะกรรมการอำนวยการรักษาพยาบาลก่อนถึงโรงพยาบาล ศูนย์รับแจ้งข่าวอุบัติเหตุ กองทุน หน่วยกู้ชีพ
ศูนย์วิจัยและอบรมด้านรักษาพยาบาล เพื่อให้มีการจัดระบบกลไกที่สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทางการแพทย์และการรับประกันว่าผู้บาดเจ็บทุกคนจะได้รับบริการรักษาพยาบาลก่อนถึงโรงพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน และควรมีการออกกฎหมายมารองรับการดำเนินงานดังกล่าวในประเทศไทย
ที่มา:รายงานการศึกษาวิจัยการประเมินผลการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุจราจรก่อนถึงโรงพยาบาล โดย ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ และคณะวิจัย TDRI เสนอ สธ.และ WHO เมื่อตุลาคม 2539 จำนวน 127 หน้า
-การสรุปผลการดำเนินงานพัฒนาศักยภาพของพยาบาลที่ทำหน้าที่ให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการประเมินนโยบายกระทรวงสาธารณสุขปี 2558 ซึ่งกำหนดให้อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เกิน 18 รายต่อแสนประชากร โดยมีผลให้เขตสุขภาพ จังหวัด และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ดำเนินการตอบสนองนโยบายนี้อย่างเห็นผล
การดำเนินงานมุ่งเน้นให้มีการแบ่งพื้นที่บริการเพื่อชัดเจน พัฒนาศักยภาพของพยาบาลด้วยการอบรมเฉพาะทางทั้งศัลยกรรมอุบัติเหตุและการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ และจัดการบริการที่ผ่านการอบรมขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่หมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง
การเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ เช่น เครื่อง Ultrasound เครื่อง Portable x ray ตู้ warm fluid ตู้เย็นเก็บเลือด Portable monitor เครื่องให้สารน้ำด้วยอัตราเร็ว เป็นต้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดแนวปฏิบัติระหว่างโรงพยาบาลชุมชนกับ Staff Trauma Team ในการปรึกษาก่อน Refer in ซึ่งส่งผลให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่
เป็น Major trauma จากอุบัติเหตุทางถนนได้ลง
ที่มา:การพัฒนาทีมให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุภายในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2558 โดย นพ.ภูวนัย สาคัมภีร์ และสุปราณี ชูรัตน์ (แผนงานระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อความปลอดภัยทางถนน สนับสนุนโดย ศวปถ. สสส. มูลนิธิสุขภาพภาคใต้ กระทรวงสาธารณสุข โปสเตอร์ 1 แผ่น (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
2) การฝึกอบรมอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย
2) การฝึกอบรมอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย
-สอจร.และ สสส.ได้ให้การสนับสนุนมูลนิธิสว่างเบญจธรรมสมุทรสงครามในการดำเนินงานเพื่อลดอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยการเข้าร่วมโครงการแนวทางการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนพระราม 2 และถนนสายสมุทรสงคราม-บางแพและถนนเอกชัย ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมต่อไปยังภาคใต้ และมีปริมาณรถหนาแน่นและเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
ในช่วงปี 2555-2556 มูลนิธิฯได้ร่วมกับหน่วยกู้ภัยในการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตผู้ประสบภัย และสร้างความรู้และจิตสำนึกให้แก่หน่วยงาน เด็กเยาวชนและประชาชนทั่วไป เพื่อลดอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพื้นที่
กิจกรรมที่ประกอบด้วยการประชุมคณะทำงาน อบรมการสอบสวนอุบัติเหตุ การให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจุดเสี่ยงในพื้นที่จริง การอบรมระบบ EMAT Alert เพื่อจัดทำข้อมูลลงในแอพพลิเคชั่นในมือถือ เป็นต้น
ผลลัพธ์ที่ได้คือการขยายผลไปยังหน่วยกู้ภัยของมูลนิธิอื่นๆ และการสร้างแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพื้นที่ โดยมีการทำงานเป็นทีมในลักษณะสหวิชาชีพ และการปรับแก้ไขจุดเสี่ยงในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มความรับรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในโรงเรียน และการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานเชิงรุ่นและเป็นระบบในการลดอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพื้นที่ ทำให้คนในจังหวัดเห็นความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น และเกิดแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
ที่มา:เอกสาร pdf “สานพลังเครือข่าย..กู้ชีพกู้ภัยในถนนพระรามสอง” (ไม่ระบุปีที่พิมพ์และผู้จัดทำ) จำนวน 11 หน้า
-หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างเบญจธรรม จัดทำแผ่นพับนำเสนอการปรับการทำงานของมูลนิธิฯ โดยเน้นการเปลี่ยนจากการตั้งรับ (เก็บคนตาย) มาเป็นการทำงานเชิงรุก (ช่วยคนเจ็บ) โดยมีแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ ซึ่งเน้นการพูดคุยกันในการประชุมประจำเดือน เพื่อดูข้อมูลที่มีการบันทึกรายละเอียดเหตุการณ์ เวลา สถานที่เกิดเหตุ และอาการของผู้ประสบเหตุที่ถูกสื่อสารผ่านวิทยุสื่อสาร แนวทางการทำงานใหม่นี้มีหลายประโยชน์ ซึ่งรวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทั้งกับโรงพยาบาล ตำรวจ บริษัทประกันภัยและผู้ประสบเหตุ ในการรักษาพยาบาล และเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องคดี นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวิเคราะห์สาเหตุทั้งจุดเสี่ยง ความประมาท และวิศวกรรมทางถนน ฯลฯ
ที่มา:แผ่นพับจากการตั้งรับมาเป็นการรุก: เมื่อวันนี้เราเป็นได้มากกว่า “ช่วยคนเจ็บ เก็บคนตาย” (ไฟล์ช่วยคนเจ็บ เก็บคนตาย copy.pdf) จัดทำโดยมูลนิธิสว่างเบญจธรรมสมุทรสงคราม
อ้างอิง
สุจิตราภรณ์ คำสอาด.(2566). รายงานผลการดำเนินงานการประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็น
“ลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทางถนน”อย่างเป็นระบบ (Systematic Review).สนับสนุนโดย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพลินพาดี ภายใต้โครงการทบทวนและประมวลองค์ความรู้สุขภาวะเชิงประเด็นเพื่อสนับสนุนการสื่อสารและขยายผล ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
0 ถูกใจ 765 การเข้าชม
งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ
งานบทความที่เกี่ยวข้อง
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0