สื่อ ชุดความรู้ด้านการบริโภคอาหารที่ได้โภชนาการเหมาะสมตามวัย สำหรับประชาชนทั่วไป จำนวน 221 รายการ
ความรู้พื้นฐานด้านอาหารและโภชนาการสำหรับประชาชนทั่วไป 18 รายการ ดังนี้
สาระสำคัญ แนะนำแนวทางการการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและแนวทางการจัดอาหารสำหรับกลุ่มวัยต่างๆ ดังนี้ ทารกแรกเกิด-6 เดือน แนะนำให้นมแม่ดีที่สุดเพราะนมแม่มีสารอาหารต่างๆที่ทารกต้องการครบถ้วน วัยเด็ก ควรป้อนอาหารมื้อเล็กๆและอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้สด แครอท แตงกวา วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ ควรจัดอาหารในปริมาณและสัดส่วนตามคำแนะนำของธงโภชนาการ
สาระสำคัญ ความหมายของเนื้อสัตว์แปรรูป วิธีการแปรรูปเนื้อสัตว์ ตัวอย่างอาหารแปรรูป อันตรายจากเนื้อสัตว์แปรรูป และข้อแนะนำการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปในรูปแบบที่ไม่ก่อความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ
Poster 1 ชุด มี 2 รายการ ได้แก่ (1) เนื้อสัตว์แปรรูปที่นิยมใช้เกลือไนไทรต์ สาระสำคัญ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ เนื้อสัตว์แปรรูปที่นิยมใช้เกลือไนไทรต์ สารกันเสีย สารคงสภาพของสี และวัตถุเจือปนอาหารอื่นๆ (2) สารก่อมะเร็งจากกระบวนการปิ้ง ย่างเนื้อสัตว์แปรรูปจนไหม้เกรียม และกินเยอะไปไม่ดีนะ ถ้าจะกิน เลือกแบบไหน สาระสำคัญ แนะนำทางเลือกในการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปที่ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ 3 รูปแบบ คือ แบบที่ 1 หลีกเลี่ยงการปิ้ง ย่าง เนื้อสัตว์แปรรูปบนเตาถ่าน หรือการทอดไฟแรงจนเกรียมไหม้ ควรใช้ใบตองรอง เพื่อป้องกันอาหารไหม้เกรียม แบบที่ 2 ก่อนปิ้ง ย่าง ทอด ควรหมักเนื้อสัตว์ด้วยสมุนไพร ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น กระเทียม กะเพรา โหระพา สาระแหน่ ขมิ้น ผักชี ฯ เพื่อลดปริมาณสารก่อมะเร็ง ที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง ทอด และ แบบที่ 3 ควรบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปร่วมกับผักผลไม้หลากสี ซึ่งมีสารต้านมะเร็ง เพื่อลดผลเสียต่อสุขภาพ
Infographic หวาน มัน เค็ม " ใครกันแน่ร้ายกว่ากัน?”
สาระสำคัญ นำเสนอประโยชน์และโทษของน้ำตาล น้ำมัน โซเดียม และปริมาณน้ำตาล น้ำมัน โซเดียม ที่ควรบริโภคใน 1 วัน ซึ่งแนะนำให้มีสัดส่วนของ น้ำตาล:น้ำมัน:โซเดียม= 6:6:1 ช้อนชา/วัน และควรออกกำลังกาย 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ กินผักผลไม้วันละ 5 ขีด)
- หนังสือ Healthy Food Hospital Model 2
สาระสำคัญ ถ่ายทอดบทเรียนการพัฒนาต้นแบบโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพในด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม จาก 10 โรงพยาบาล จากการถอดบทเรียนสามารถสรุปออกมาเป็นโมเดลต้นแบบที่เข้าใจง่าย “Healthy Canteen” ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ เพื่อให้เกิดเป็นโรงพยาบาล/สถานให้บริการของรัฐที่ให้บริการอาหารสุขภาพลดหวานมันเค็ม ที่มีความเหมาะสมตามหลักโภชนาการ
สาระสำคัญ ลดหวาน มัน เค็ม ลดพุง ลดโรค ด้วยการบริโภคให้ถูกส่วนในอัตรา 2:1:1 โดยแบ่งขนาดของ จานข้าวออกเป็น 4 ส่วน คือผักผลไม้ 2 ส่วน เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 1 ส่วน ข้าวและแป้ง 1 ส่วน ใน 1 จานควรให้พลังงาน ไม่เกิน 400 กิโลแคลอรี่
สาระสำคัญ รวบรวมข้อมูลสูตรอาหารสุขภาพ ที่ได้จัดเตรียมและปรุงขึ้นตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการขับเคลื่อนโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพในด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม ประกอบด้วยวิธีทำ โดยละเอียดพร้อมข้อมูลโภชนาการ
สาระสำคัญ แสดงค่าพลังงาน (แคลอรี) ของเมนูอาหารแต่ละจาน (โดยนักวิชาการด้านโภชนาการกรมอนามัย) เช่น เมนูแกงส้มผักรวม บ้านภูลิตา จำนวน 4 คน/เมนู พลังงานที่ได้รับ 117 แคลอรี่/คน
(1) ไม่เติมแล้วนะ จะหวานไปถุงไหน สาระสำคัญ คำเตือนลดหวาน หยุดพฤติกรรมเสี่ยงเบาหวาน ลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม ลดพุง ลดโรค
(2) เยิ้มมาเชียว มันเยอะมาก สาระสำคัญ คำเตือนลดมัน หยุดพฤติกรรมเสี่ยงโรคหลอดเลือดแดงหัวใจ ลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม ลดพุง ลดโรค
(3) เบามือหน่อยเค็มเกินไปแล้ว สาระสำคัญ คำเตือนลดเค็ม หยุดพฤติกรรมเสี่ยงโรคความดันโลหิตและไตวาย ลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม ลดพุง ลดโรค
(4) หยุด! พฤติกรรมเสี่ยงโรค ลดบริโภคหวาน มัน เค็ม สาระสำคัญ คำเตือนหยุดพฤติกรรมเสี่ยงโรคด้วยลดบริโภคหวาน มัน เค็ม ลดการบริโภคข้าว-แป้ง เลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้
(1) กินหวานแค่ไหนไม่ป่วย สาระสำคัญ อันตรายและผลเสียต่อสุขภาพของการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปคือโรคอ้วน ปริมาณน้ำตาล ที่เหมาะสมใน 1 วัน ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาหรือ 24 กรัม และเทคนิคง่ายๆในการบริโภคเพื่อลดหวาน 6 ข้อ ประกอบด้วย (ก) ชิมอาหารก่อนเติมเครื่องปรุงทุกครั้ง (ข) ไม่เติมน้ำตาลหรือรสหวานเพิ่มในอาหาร (ค) ลดบริโภคแป้งขาว ธัญพืชขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว (ง) หลีกเลี่ยงขนมหวานจัด เปลี่ยนมาเป็นบริโภคผลไม้หวานน้อย (จ) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ (ฉ) ควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทุกครั้ง
(2) กินมันแค่ไหนไม่ป่วย สาระสำคัญ อันตรายและผลเสียต่อสุขภาพของการบริโภคไขมันที่มากเกินไปคือเสี่ยงต่อสภาวะอ้วนลงพุง โรคหัวใจและหลอดเลือด ปริมาณน้ำมันที่เหมาะสมใน 1 วัน ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาหรือ 30 กรัม และแหล่งที่มาของไขมันและน้ำมันในอาหาร มี 3 แหล่ง คือ จากธรรมชาติ (น้ำมันหมู หนังไก่) จากการปรุงอาหาร (การทอด การผัด) และจากการแปรรูปอาหาร (ไส้กรอก เบเกอรี่ กุนเชียง)
(3) กินเค็มแค่ไหนไม่ป่วย สาระสำคัญ อันตรายและผลเสียต่อสุขภาพของการบริโภคเค็มมากเกินไปคือโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจฯปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมใน 1 วัน ไม่ควรเกิน 1 ช้อนชา หรือ 2,000 มิลลิกรัม และแหล่งของโซเดียมในอาหารมี 5 แหล่ง คือ จากธรรมชาติ การปรุงอาหาร การแปรรูปอาหาร อาหารสำเร็จรูป และจากขนมขบเคี้ยว
สื่อ ชุดความรู้สำหรับลดพฤติกรรมการบริโภคหวาน Infographic 40 รายการ ประกอบด้วย
สาระสำคัญ ให้ความรู้เรื่องผลของน้ำตาลต่อสมองของเด็ก เช่นกระตุ้นการหลั่งสารเซโรโทนิน ส่งผลให้รู้สึกง่วงนอน เฉือยชา เด็กที่กินหวานมากๆมีโอกาสขาดสารอาหารชนิดอื่น เช่น วิตามินบีและแคลเซียม ส่งผลต่อพัฒนาการและการเติบโตได้
สาระสำคัญ พฤติกรรม 10 ข้อที่บ่งบอกว่ากำลังติดหวาน : (1) รู้สึกว่าอยากขนมหวานอยู่เรื่อยๆ (2) รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด (3) รู้สึกหิวบ่อย (4) คิดถึงอาหารอยู่เรื่อยๆ (5) กินคาวแล้วตามด้วยหวานเป็นประจำ (6) มีของหวานติดตู้เย็นเสมอ (7) ชอบผลไม้รสหวาน (8) ชอบผลไม้แห้ง ดอง หรือแช่อิ่ม (9) เติมน้ำตาลในอาหารทุกจาน และ (10) เลือกดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม แทนน้ำเปล่า
สาระสำคัญ ควรดื่มน้ำเปล่าสะอาดวันละ 8 แก้ว เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากการเสียเหงื่อ ระบบขับถ่าย และการหายใจออก ประโยชน์ของการดื่มน้ำเปล่า เช่น ช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี เจือจางแร่ธาตุลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไต ดูแลระบบเผาผลาญอาหารและไขมัน
สาระสำคัญ ผลของน้ำตาลเทียมต่อความเสี่ยงภาวะอ้วนลงพุงและตัวอย่างเครื่องดื่มที่ช่วยให้สดชื่นโดยไม่มีน้ำตาล เช่น น้ำเปล่า โซดาไม่ผสมน้ำตาลหรือน้ำแร่อัดก๊าช เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล และน้ำผลไม้คั้นสด
สาระสำคัญ ประโยชน์ของดาร์กชอกโกแลต เป็นแหล่งของสารพอลิฟินนอล และกาก้า ให้เส้นใยอาหาร ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดกลิ่นปาก ลดความเครียด มีสมาธิ ป้องกันโรคภูมิแพ้ ในแต่ละวันแนะนำให้กินได้ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม (พลังงานประมาณ 500 กิโลแคลอรี)
สาระสำคัญ ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน 240-360 กิโลแคลอรี ใกล้เคียงการกินเย็นตาโฟ 1 ชาม น้ำตาลเท่ากับข้าว 3-4 ทัพพี
สาระสำคัญ 90% เป็นครีมเทียม และน้ำตาล อีก 10% เป็นกาแฟ โกโก้ และอื่นๆ ผลกระทบต่อสุขภาพ ครีมเทียม มีไขมันทรานส์ เสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และ 3 in 1 มีน้ำตาลมากเสี่ยงโรคอ้วน โรคฟันผุ และติดหวาน
สาระสำคัญ อาหารที่มีนมข้นหวาน เช่น เครื่องดื่มชง ราดบนขนม และจิ้มขนม ส่วนประกอบของนมข้นหวานเปลี่ยนไป จากเดิมผลิตจากนมและน้ำตาล ปัจจุบันผลิตจากน้ำมันปาล์ม กูลโคสไซรับ นมผงขาดมันเนย บัตเตอร์มิลค์ผง เวย์ผง กลายเป็นครีมเทียมข้นหวาน เป็นแหล่งรวมศัตรูของสุขภาพเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันอุดตันเส้นเลือด
- ทำไม ไม่ควรให้เด็กกินแต่ “นมรสหวาน”
สาระสำคัญ นำเสนอผลเสียจากนมรสหวาน เช่น โตมาติดหวาน น้ำหนักเกินเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน ฟันผุ แนะนำวิธีป้องกันเด็กติดหวาน เช่น ดื่มนมวัว นมถั่วเหลือง และวิธีการแก้ไขเด็กติดหวาน เช่น ใส่ผลไม้ในนมรสจืด ค่อยๆลดปริมาณรสหวาน
สาระสำคัญ สารอันตรายที่แฝงมากับของหวานและผลเสียในระยะยาวต่อร่างกาย เช่น ชาเย็น แถมคาเฟอีน ทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น ไม่มีสมาธิ น้ำอัดลม แถมกรดคาร์บอนิก มีผลกัดกร่อนกระดูกและฟัน ขนมปังสอดไส้ แถมสารกันบูด ทำให้คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน
สาระสำคัญ คุกกี้เพิ่มความเสี่ยงต่อร่างกาย เช่น มีไขมันทรานส์ น้ำตาลสูงและสารกันบูด สะสมในร่างกายเสี่ยง เบาหวาน มะเร็ง และโรคไต
สาระสำคัญ ขั้นตอนที่ 1 เวลากินของหวาน สมองจะกระตุ้นให้หลั่ง “โดปามิน” ทำให้มีความสุข ขั้นตอนที่ 2 กินบ่อยๆจนสมองชินกับรสหวาน จนไม่รู้สึกหวาน” และกินหวานเพิ่มขึ้น ขั้นตอนที่ 3 เพื่อให้มีความสุข เท่าเดิมร่างกายจึงต้องการ “ความหวานมากขึ้น” ขั้นตอนที่ 4 อยากของหวานมากขึ้นเรื่อยๆ (2) เราอยู่ช่วงไหน? สรุประดับของความติดหวาน สาระสำคัญ มี 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 “กินก็ได้ ไม่กิน ก็ดี” ระดับที่ 2 “กินคาว ต้องกินหวาน” และ ระดับที่ 3 “เสพหวานเป็นมื้อหลัก” (3) เราจะเลิกติดหวานได้อย่างไร และ (4) ติดหวานสู่เลิกหวาน (5) วิธีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สาระสำคัญ ไม่ปรุงรสเพิ่ม เลือกผักผลไม้ไม่หวานมากมีไฟเบอร์สูง ดื่มน้ำเปล่า 8-10 แก้ว/วัน ค่อยๆปรับลดขนมหวานจากทุกวันเป็นวันเว้นวัน แล้วลดลงไปเรื่อยๆ เลิกซื้อขนมมาตุนไว้ และอ่านฉลากเลือกซื้อที่มีน้ำตาลต่ำ
- “กินอย่างไร” ให้ติดหวานน้อยลง 1 ชุด มี 6 รายการ : (1) จัดน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน (2) ฝึกอ่านฉลาก
สาระสำคัญ 4 วิธี/เทคนิคฝึกตนให้ติดหวานน้อยลง ดังนี้ ให้โควต้าดื่มน้ำหวานที่เหลือดื่มน้ำเปล่า ตั้งราคาน้ำหวานให้สูงกว่าราคาน้ำเปล่า จัดเครื่องดื่มในตู้เย็นให้มีแต่น้ำเปล่า และฝึกอ่านฉลากโภชนาการ (3) เริ่มจากปรับพฤติกรรมหวานน้อยสั่งได้ สาระสำคัญ แนะนำให้เลือกอาหารที่มีน้ำตาลน้อย โดยลดความหวานแบบค่อยเป็นค่อยไป และปรับระดับความหวานทุกๆ 1 อาทิตย์จะเริ่มชินกับการไม่กินหวาน เช่น ปรับความหวานจากระดับ 3 >50% (4 ช้อนชา) มาเป็นระดับ 2 ความหวานระหว่าง 25-50% (2 ช้อนชา) ระดับ 1 ความหวาน <25% (1 ช้อนชา) และระดับ 0 (ครึ่งช้อนชา) รวมทั้ง (4) เลือกอาหารที่มีน้ำตาลน้อย สาระสำคัญ แนะนำอาหารที่มีน้ำตาลน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท กินธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง นมรสจืด ผลไม้สดน้ำตาลน้อย น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาล นอกจากนี้เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานได้จัดทำ (6) VDO เพลงหวานน้อยสั่งได้ สำหรับใช้ในการรณรงค์ลดความหวานในการบริโภคเครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลตามร้านกาแฟหรือร้านที่จำหน่ายเครื่องดื่มชง เพื่อให้ประชาชนลดพฤติกรรมการบริโภคหวานได้อย่างต่อเนื่อง
สาระสำคัญ แนะนำให้รู้จักน้ำตาล 5 ชนิด ได้แก่ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลไอซิง และน้ำตาลในผลไม้ โดยอธิบายถึงแหล่งที่มา แหล่งที่พบ และข้อควรระวังในการบริโภค
สาระสำคัญ แบ่งระดับความหวานของผลไม้ออกเป็น 4 ระดับ คือ หวานมาก (น้ำตาลมากกว่า 6 ช้อนชา) เช่น อินทผาลัม ลูกเกด ลูกชิดแห้ง พุทราจีน หวานปานกลาง (น้ำตาล 4.1-6 ช้อนชา) เช่น ลิ้นจี่ กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า มะม่วง หวานน้อย (น้ำตาล 2.1-4 ช้อนชา) เช่น น้อยหน่า พลับ เชอรี แก้วมังกร และหวานน้อยมาก (น้ำตาล 0-2 ช้อนชา) เช่น ฝรั่ง แตงโม มะพร้าวอ่อน แตงไท
สาระสำคัญ เปรียบเทียบน้ำตาลจากธรรมชาติในผักผลไม้และน้ำตาลที่เติมในอาหารในด้านปริมาณ ผลต่อสุขภาพ และปริมาณที่ควรบริโภค ซึ่งผลการเปรียบเทียบชี้ชัดว่าน้ำตาลจากผักผลไม้สดจะมีปริมาณน้อยกว่าจากเครื่องดื่มชาไข่มุก ช็อกโกแลต และน้ำอัดลม ประมาณ 2–6 เท่า และผักผลไม้สดจะมีผลดีต่อสุขภาพมากกว่า เช่น ดูดซึมช้า มีไฟเบอร์ วิตามิน อิ่มท้องนาน ปริมาณผักผลไม้ที่ประชาชนควรบริโภคเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างน้อยวันละ 400 กรัม สำหรับน้ำตาลไม่ควรเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม
สาระสำคัญ นำเสนอตัวอย่างปริมาณน้ำตาลในขนมไทย 100 กรัม และแบ่งเระดับความหวานของขนมไทยเป็น 4 ระดับ ดังนี้ หวานมาก (น้ำตาล > 24 กรัม) เช่น ขนมหม้อแกงไข่ ขนมชั้น ขนมฝอยทอง ขนมทองหยอด หวานค่อนข้างมาก (น้ำตาล 16.1-24 กรัม) เช่น ข้าวเหนียวสังขยา ขนมเปียกปูน วุ้นกะทิ ลูกชุบ หวานปานกลาง (น้ำตาล 8.1-16 กรัม) เช่น ลอดช่องน้ำกะทิ ขนมถ้วย ข้าวต้มมัดไส้กล้วย ขนมบ้าบิ่น หวานน้อย (น้ำตาล 0-8 กรัม) เช่น ขนมถั่วแปบ ขนมครก เฉาก๊วย เผือกฉาบ
- กินไม่ติดหวาน รู้จักเลือกทาน ตามอาหาร 4 สี
สาระสำคัญ เป็นการแบ่งอาหารออกเป็นโซนสี 4 สี ตามความมาก-น้อยของปริมาณน้ำตาล ไขมัน เกลือ โดยโซนสีเขียว ควรกิน เป็นอาหารที่ไม่มีน้ำตาล มีไขมัน เกลือต่ำ (เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ผักผลไม้ แป้งหยาบ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว ธัญพืช โซนสีเหลือง กินได้บางครั้ง เป็นอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน เกลือต่ำ (เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ ผลไม้แปรรูปไม่ผสมน้ำตาล ขนมไทยรสไม่หวานจัด โซนสีส้ม กินน้อยๆนานๆที เป็นอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน เกลือสูง แต่มีประโยชน์ เช่น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 5% ผักผลไม้แปรรูป/แยม กล้วยเชื่อม เนื้อสัตว์ ถั่ว โซนสีแดง ไม่ควรกิน เป็นอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน เกลือสูง ไม่มีประโยชน์ เช่น น้ำหวาน ลูกอม เยลลี ขนมหวาน เนื้อสัตว์แปรรูปที่ผลิตจากเศษเนื้อปนไขมันสูงผสมสารเคมีและเกลือสูง
สาระสำคัญ ให้ความรู้เรื่องผลเสียของการติดกินหวานที่นำไปสู่โรคอ้วน โรคเบาหวานและภาวะเสพติดความหวาน และแนะนำแนวทางการเลือกอาหารที่มีสารอาหารทดแทนกันได้ดีต่อสุขภาพ/ให้ประโยชน์มากกว่า เช่น เลือกขนมปังโฮสวีท แทนขนมปังปิ้งราดน้ำตาล เลือกวุ้นกะทิ แทนโดนัท เค้ก
สาระสำคัญ แนะนำอาหารที่รับประทานทดแทนกันได้ โดยเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากอาหารทดแทนแต่ละชนิด เช่น เลือกขนมปังโฮลวีท (มีใยอาหารสูง)แทนขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีขัดขาว เลือกเค้กช็อกโกแลตอะโวคาโดสูตรหวานน้อยไร้เนยที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารจำเป็น (โฟเลท โซเดียม โพแทสเซียม) แทนเค้กช็อกโกแลตใส่เนย ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงและคอเลสเตอรอลสูง เลือกกินกล้วยบด อินทผาลัมแทนช็อกโกแลตชิพ เลือกอัลมอนด์สไลด์แทนช็อกโกแลตชิพ เลือกครีมโยเกริ์ตแทนวิปครีม
ชุดความรู้และสื่อสำหรับลดพฤติกรรมการบริโภคไขมัน Infographic 38 รายการ ประกอบด้วย
สาระสำคัญ ให้ความรู้เรื่องไขมันคืออะไร หน้าที่ของไขมัน ชนิดของไขมันในอาหาร ชนิดของไขมันในเลือด ผลของไขมันแต่ละชนิดต่อร่างกาย ผลกระทบต่อสุขภาพจากการกินอาหารคอเลสเตอรอลสูง ปริมาณไขมันที่ควรได้รับใน 1 วัน และข้อแนะนำการบริโภค
- ไขมันในอาหาร Infographic 1 รายการ
สาระสำคัญ ประกอบด้วยกรดไขมันหลายชนิด มักเรียกชื่อตามกรดไขมัน (Fatty acid) ที่พบ แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ (ก) กรดไขมันดี ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (ข) กรดไขมันร้ายๆดี ได้แก่ กรดไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล (HDL-C คอเลสเตอรอลดัวดี LDL-C คอเลสเตอรอลตัวร้าย) อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงจะมีคอเลสเตอรอลสูงด้วย และ (ค) กรดไขมันวายร้ายแน่ๆ ได้แก่ ไขมันทรานส์
สาระสำคัญ คอเลสเตอรอลในเลือดคืออะไร แหล่งอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ชนิดของคอเลสเตอรอลในเลือด แหล่งที่มาของคอเลสเตอรอลในเลือด หน้าที่ต่อร่างกาย และผลกระทบของคอเลสเตอรอลในเลือดสูงต่อร่างกาย
- ไขมันอิ่มตัว (Saturated fat)
สาระสำคัญ แหล่งอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวพบได้ทั้งไขมันจากสัตว์ เช่น เนื้อติดมัน หนังไก่ นม เนย เนื้อสัตว์แปรรูป และไขมันจากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ หรือขนมที่ทำจากเนย นม ไข่ กะทิ น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากเหมาะสำหรับทอดอาหาร ข้อควรระวังคือ กินมากเกินไปมีผลต่อการเพิ่ม LDL ตัวร้าย และ HDL ตัวดี ในเลือด เพิ่มโอกาสเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด เสี่ยงโรคหัวใจ
สาระสำคัญ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือกรดไขมันไม่อิ่ม ตัวเชิงเดี่ยว (Mono-unsaturated fatty acid) พบมากในไขมันจากพืชประเภทมะกอก อโวคาโด นัท ถั่วลิสง และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Poly-unsaturated fatty acid) พบมากในไขมันจากพืชประเภท ถั่วชนิดต่างๆ นัท ข้าวโพด เมล็ดทานตะวันรำข้าว นอกจากนี้ยังพบในไขมันปลาบางชนิด เช่น แซนม อน ทูนา ซาร์ดิน หากกินในปริมาณที่เหมาะสมจะมีประโยชน์ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกาย ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตัน โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงได้มากกว่าเชิงซ้อน
สาระสำคัญ ไขมันทรานส์เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่ง เป็นไขมันตัวร้ายที่ส่งผลเสีย ต่อสุขภาพมากกว่าไขมันอิ่มตัว ส่งผลต่อการเพิ่ม LDL & HDL ทำให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดสูง จากงานวิจัย การสำรวจและเฝ้าระวังปริมาณไขมันทรานส์ในอาหารและจัดทำมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในประเทศไทยพบว่า ไขมันทรานส์พบมากที่สุดในครัวซองต์ WHO แนะนำให้บริโภคไขมันทรานส์ไม่เกิน 1% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน (หรือ 0.5 กรัมต่อมื้อ)
- เมื่อไขมันเข้าสู่ร่างกาย 3 รายการ Infographic 2 รายการ VDO 1 รายการ (1) เมื่อไขมันเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้นนะ และ (2) ค่าไขมันในใบตรวจสุขภาพบอกอะไรเราได้บ้าง
สาระสำคัญ ให้ความรู้เรื่องชนิดของไขมันในเลือด ค่าที่เหมาะสมของไขมันในเลือดแต่ละชนิด ความเสี่ยงเมื่อค่าไขมันในเลือดแต่ละชนิดผิดปกติ และแนวทางการควบคุมไขมันในเลือดเบื้องต้น ซึ่งค่าไขมันในเลือดที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ไตรกลีเซอไรด์ ไม่ควรเกิน 150 มก./ดล. คอเลสเตอรอลรวม ไม่ควรเกิน 200 มก./มล. LDL-Cholesterol (คอเลสเตอรอลไม่ดี) ไม่ควรเกิน 100 มก./มล. HDL-Cholesterol (คอเลสเตอรอลดี) ผู้ชาย ควรมากกว่า 40 มก./ดล. และผู้หญิง ควรมากกว่า 50 มก./มล. สำหรับ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรมีค่า LDL น้อยกว่า 70 -100 มก./มล. หรือตามแพทย์พิจารณาเป็นรายๆไป
- การบริโภคไขมันที่ดีต่อสุขภาพ Infographic 11 รายการ (1) กินไขมันให้พอดีต้องกินอย่างนี้ (2) กินไขมัน ให้พ้นโรค (3) ใน 1 วันควรบริโภคอาหารที่มีไขมันเท่าไรถึงจะดีต่อสุขภาพ (4) ข้อแนะนำในการกินไขมัน (5) กิน ไขมันในปริมาณไขมันที่เหมะสม (6) ระวังอย่ากินเยอะ (7) กินไขมันอิ่มตัวในปริมาณน้อย ร้อยละ 10 (8) หลีก เลี่ยงอาหารไขมันสูง (9) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (10) กินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวทดแทนไขมันอิ่มตัว (11) Good fat for Good Life
สาระสำคัญ ปริมาณไขมันในอาหารที่เหมาะสมและการแบ่งสัดส่วนการกินไขมัน ชนิดของไขมันในอาหาร กล่าวคือ ใน 1 วัน แนะนำให้เลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม บริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวในปริมาณน้อย และบริโภคอาหารไขมันไม่อิ่มตัวทดแทนไขมันอิ่มตัว ไม่ควรบริโภคไขมันเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด วัยรุ่นและชายวัยทำงานควรได้รับพลังงานจากอาหาร วันละ 2,000 กิโลแคลอรี ได้รับไขมันไม่เกิน 600 แคลอรี หรือประมาณ 65 กรัม/วัน สำหรับเด็กอายุ 6-13 ปีและหญิงวัยทำงาน ควรได้รับพลังงานจากอาหารวันละ 1,600 กิโลแคลอรี ได้รับไขมันไม่เกิน 480 แคลอรี หรือประมาณ 53 กรัม/วัน โดยแบ่งสัดส่วนการกินไขมัน ดังนี้ ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 10-20% และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 6-10% ชนิดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น ไข่นกกระทาทอด 5 ฟอง (50 กรัม) มีไขมันอิ่มตัว 3 กรัม คอเลสเตอรอล 255 มิลลิกรัม น้ำมันหมู 1 ช้อนกินข้าว (12 มล.) มีไขมันอิ่มตัว5 กรัม
สาระสำคัญ คือร้อยละของปริมาณสารอาหารที่แนะนำต่อ 1 วัน ของคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยแนะนำปริมาณไขมันชนิดต่างๆสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ ควรได้รับต่อวัน ดังนี้ ไขมันรวม 65 กรัม ไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 20 กรัม ไขมันทรานส์ น้อยกว่า 2 กรัม และคอเลสเตอรอล น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม (2) ตัวอย่างอาหารจานโปรดของคุณจะมีไขมันเท่าไหร่กันนะ (3) แกงเขียวหวาน อาหารจานโปรด 1 ถ้วยตวง มีไขมันรวม 11.6 กรัม ไขมันอิ่มตัว 7 กรัม คอเลสเตอรอล 59 มิลลิกรัม ไม่มีไขมันทรานส์
- กินอย่างไรถึงจะดีนะ ข้อแนะนำการกินไขมันในปริมาณเหมาะสม ไขมันอิ่มตัวน้อย กินไขมันไม่อิ่มตัวทดแทนไขมันอิ่มตัว ลดการกินอาหารไขมันสูง และออกกำลังกาย เพิ่มอาหารที่มีไขมันต่ำ ผักผลไม้ โดยมีเทคนิค 7 ข้อที่ควรปฏิบัติ ดังนี้ (1) เลือกกินอาหารไขมันไม่อิ่มตัวแทนไขมันอิ่มตัว เช่น กินธัญพืชที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง (2) ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมสดชนิดที่มีไขมันสูง (3) กินเนื้อปลามากกว่ากินเนื้อสัตว์อื่น เพราะไขมันปลามีคุณภาพดีกว่าไขมันในหมู วัว ไก่ (4) กินโปรตีนจากพืชสลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ (5) ถั่วชนิดต่างๆมีไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่าไขมันอิ่มตัว (6) เพิ่มอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น ผักผลไม้ โดยเฉพาะที่ให้กากใย เช่น คะน้า ผักกาดขาว ฝรั่ง ส้ม และ (7) ลดอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ทอด อาหาร จานด่วน
ชุดความรู้และสื่อสำหรับลดพฤติกรรมการบริโภคเค็ม 7 รายการ ประกอบด้วย
สาระสำคัญ ความสำคัญของการสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหาร วิธีใช้เครื่องวัดความเค็ม CHEM METER และผลการสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหารพบว่าปริมาณโซเดียมในอาหารรวม ทุกหมวดมีค่ามัธยฐาน เท่ากับ 306.56 มก./100 มล. อยู่ในระดับเริ่มเค็ม หมวดอาหารที่มีค่ามัธยฐานโซเดียมมากที่สุด คือหมวดส้มตำ และหมวดอาหารที่มีการตรวจพบปริมาณโซเดียมน้อยที่สุดคือหมวดผัด
- รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการการสำรวจปริมาณโซเดียมและโซเดียมคลอไรด์ในผลิตภัณฑ์ประเภท ผงปรุงรส
สาระสำคัญ รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ประเภทผงปรุงรส ได้แก่ ซุปก้อน ผงปรุงรส ผงปรุงอาหารสำเร็จรูป ผงชูรส ผงทำน้ำซุป และผงปรุงรสสำหรับขนมขบเคี้ยวที่จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ จำนวน 252 ตัวอย่าง ผลการสำรวจระบุว่ามีโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 815 มก./1 ช้อนชา (ผงปรุงรส) หรือ 1,760 มก./1 ก่อน (ซุปก้อน)
สาระสำคัญ แนะนำอาหารที่มีโซเดียมสูงจากส่วนประกอบที่มาจากโซเดียมแฝงในรูปแบบของสารที่ทำให้เนื้อสัมผัสนุ่ม สารกันบูด ผงฟู เช่น แฮม กุนเชียง แหนม น้ำสลัด แยม
สาระสำคัญ แนะนำวิธีใช้เครื่องวัดความเค็ม CHEM METER ซึ่งร้านอาหาร/ประชาชนที่สนใจสามารถประเมินโซเดียมในอาหารได้โดยใช้เครื่องวัดความเค็มจุ่มลง ไปในอาหารเหลวที่ไม่ร้อน กดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้ หน้าจอจะแสดงผลค่าความเข้มข้นของเกลือโซเดียมเป็น % (มก./100 มล.) ความเค็มและแสดงใบหน้า ดังภาพ จากนั้นปล่อยปุ่มเพื่อปิดเครื่อง ทำความสะอาดเครื่อง และเช็ดให้แห้ง
สาระสำคัญ รายงานสรุปผลการดำเนินงานการอบรมเพื่อพัฒนาเมนูอาหารลดโซเดียมแก่ผู้ประกอบการ และได้มีการจัดทำเนื้อหาในรูปเล่ม
E-book ลดเค็ม เลือกได้ แนวทางการปรับลดโซเดียมในอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร 6 แนวทาง ดังนี้การใช้สารทดแทนเกลือ (Salt substitutes) การใช้สารเสริมกลิ่นรส (Flavor enhancers) การแต่งกลิ่นการใช้เครื่องเทศและสมุนไพร การดัดแปลงโครงสร้างและส่วนประกอบอาหาร (Food matrix modifications) และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในกระบวนการผลิต
โดยมีคำแนะนำ 5 แนวทางการปรุงอาหารลดโซเดี่ยม ได้แก่
(ก) ลดการใช้เครื่องปรุงโซเดียมสูง ลดที่ละน้อยเพื่อให้คุ้นเคยกับรสชาติ
(ข) หลีกเลี่ยงการใช้ผงชูรส และผงปรุงรส หรือใช้ในปริมาณน้อย เท่าที่จำเป็น
(ค) ใช้น้ำสต๊อกในการปรุงอาหาร เพื่อเพิ่มความกลมกล่อมให้อาหาร
(ง) ใช้เครื่องเทศและสมุนไพร เพื่อเสริมกลิ่นรสและรสชาติให้อาหาร
(จ) ถ้าอาหารมีรสชาติหวาน หรือเปรี้ยว เมื่อลดเครื่องปรุงที่มีรสเค็มลงอาจจะต้องปรับลดปริมาณน้ำตาลหรือน้ำมะนาว/น้ำมะขามเปียกลงด้วย เพื่อให้อาหารมีรสชาติกลมกล่อม ตัวอย่างเมนูอาหารและเทคนิคการปรับลดโซเดียม 3 เมนู ได้แก่ น้ำตกคอหมูย่าง ผัดไทกุ้งสด และต้มข่าไก่
ชุดความรู้และสื่อสำหรับส่งเสริม/เพิ่มพฤติกรรมการบริโภคผักผลไม้ 18 รายการ ประกอบด้วย
- ประโยชน์ของผักผลไม้ 4 รายการ (1) Infographic ผักผลไม้ดีอย่างไร…ทำไมต้องกินให้เพียงพอ (2) Poster ประโยชน์ของผักผลไม้ในการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง (3) Roll up มหัศจรรย์ผักผลไม้ 5 สี และ (4) Infographic กากดีเหลือเกินนะเรา
สาระสำคัญ ให้ความรู้เรื่อง (ก) ผลเสียของการกินผักผลไม้ไม่เพียงพอ เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค ในลำดับที่ 5 จาก 17 ปัจจัย (ข) สารพฤกษเคมีในผักผลไม้ ร่างกายไม่สามารถสร้างได้ต้องได้จากการกินผัก ผลไม้ หรือธัญพืชเท่านั้น เช่น สารคลอโรฟิลล์ในผักใบเขียว สารแคโรทีนนอยในผักผลไม้สีส้ม สารต่างๆเหล่านี้มีคุณสมบัติ ในการต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดอาการอักเสบและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ผักผลไม้และธัญพืชมีใยอาหารช่วยการขับถ่ายลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ และช่วยลดคลอเลสเตอรอล ไม่ดีในกระแสเลือดได้ (ค) ปริมาณผักผลไม้ที่ควรกินในแต่ละวัน ควรกินผัก 6 ทัพพี ผลไม้ 2 ส่วน โดยมี (ง) แนวทางการเลือกกินผักผลไม้ ดังนี้ เลือกผักผลไม้หลากหลายชนิด สลับหมุนเวียนกันไป เพื่อได้สารอาหารจากผักผลไม้ครบถ้วน
สาระสำคัญ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีแนะนำให้กินผักผลไม้อินทรีย์/ปลอดสาร โดยมี 5 วิธีกินผักให้ปลอดสาร ได้แก่
(ก) ปลูกผักกินเองที่บ้าน (ข) กินผักพื้นบ้าน (ค) เลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาล (ง) ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อน กิน และ (จ) ซื้อผักปลอดสารพิษมาปรุงประกอบอาหาร
(1) ปลูกผักสร้างภูมิ สู้ โควิด-19 สาระสำคัญ เพื่อความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต ร่วมมือกันปลูกผักสร้างภูมิ สู้ โควิด-19 โดยใช้กลยุทธ์ 4 ภูมิ สร้าง “เกษตรในเมือง” สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ได้แก่ ภูมิปัญญา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาสร้างเอกลักษณ์ชุมชน เพิ่มทักษะชีวิตพึ่งพาตนเองในยามวิกฤต มีโอกาส มีกิน มีแบ่งปัน ภูมิลำเนา ตัวอย่างการทำเกษตรในเมืองบนพื้นที่ 1 ตารางเมตร สามารถผลิตผักได้โดยเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม ภูมินิเวศ ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้พื้นดิน คืนชีวิตชีวาให้กับพื้นที่รกร้างว่างเปล่าด้วยพื้นที่อาหาร และ ภูมิคุ้มกัน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียนในชุมชน เกิดชุมชนเข้มแข็งด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีผักผลไม้ปลอดภัย หาซื้อได้ในชุมชน และ (2) กินผักผลไม้ เสริมสตรองสู้โควิด สาระสำคัญ การกินผัก-ผลไม้ให้ได้สัดส่วน 400 กรัมทำให้ร่างกายได้รับวิตามินแร่ธาตุที่เพียงพอ เป็นการช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่างๆ โดยเฉพาะให้ภาวะโรคระบาด
(1) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อส่งเสริมการบริโภคผักและผลไม้ปลอดภัยและเพียงพอด้วยระบบอาหารที่ยั่งยืน (Infographic 2 รายการ)
สาระสำคัญ จากเวทีประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก ประเทศไทยได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโนยบาย 2 ประเด็น คือ (ก) รัฐบาลควรประกาศวาระแห่งชาติ ให้ ปี 2564 เป็นปีแห่งการบริโภคผักผลไม้ และ (ข) ยกระดับ “ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการและการบริโภคผักผลไม้ที่ปลอดภัยและเพียงพอเป็นวาระแห่งชาติ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มข้นดำเนินการส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ที่ปลอดภัยและเพียงพอ รวมถึงการพัฒนากลไกและขับเคลื่อนการติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยของผักผลไม้ และส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ตามเกณฑ์แนะนำ
(2) VDO Thai Health Promotion Foundation: International Year of Fruits and Vegetables สาระสำคัญ นำเสนอการสร้างความร่วมมือการขับเคลื่อนการส่งเสริมการกินผักผลไม้ปลอดภัยและระบบอาหารยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหาร
- VDO กินสบายใจ 1 ชุด มี 7 รายการ ประกอบด้วย (1) ละคร รักคนกินผักอินทรีย์ (2) ชวนไทอุบลฯ กินผัก (3) สรรพคุณของ "คะน้า" (4) ปัญหาผักเหม็นเขียวในเมนูอาหารของแม่บ้านยุคใหม่จะหมดไป (5) หลายคนมองว่าผักไม่อร่อย แต่ถ้าได้กินบ่อยๆ เดี๋ยวก็อร่อยไปเอง (6) ทัวร์สุดสนุก สวนผักอินทรีย์อีสานอารมณ์ดี และ (7) "ฟันนี่บอล" เมนูหลอกเด็ก เมนูง่ายๆ ได้กินผักด้วย
สาระสำคัญ ใช้สื่อละครในการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างการรับรู้ ความตระหนักและส่งเสริมการบริโภคผัก ผลไม้อินทรีย์ให้กับประชาชนทั่วไปได้มีความรู้ ความเข้าใจ และบริโภคผัก ผลไม้อินทรีย์ตามเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มขึ้น
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0