1

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-07-28 21:56:02

บทนำ

Highlight

  • 50 % ของพนักงานในสหรัฐฯ อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ต้องการทำงานนอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่ไม่แสดงออกหรือที่เรียกว่าคนที่ลาออกจากงานอย่างเงียบๆ (Quiet quitters) สัดส่วนที่เยอะที่สุด คือกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) หรือ Gen Y
  • 18% ของคนงานที่ไม่กระตือรือร้นในการทำงานและมีท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจน (actively disengaged) หรือที่เรียกว่า “คนลาออกจากงานแบบโจ่งแจ้ง” (loud quitters) สัดส่วนที่เยอะที่สุด คือกลุ่มคน Gen–Z
  • ปรากฏการณ์ลาออกอย่างเงียบๆ และลาออกแบบโจ่งแจ้งแก้ได้ด้วยระบบการจัดการงาน โดยเฉพาะการสื่อสารระหว่างผู้จัดการและพนักงาน

 

ลาออกไปเงียบ ๆ ชีวิตวิถีใหม่ของคนทำงาน

จากการสำรวจของ Gallup บริษัทวิเคราะห์และที่ปรึกษาของสหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่ลาออกจากงานอย่างเงียบๆ (Quiet quitters) มีสัดส่วนถึง 50% ของพนักงานในสหรัฐฯ เป็นอย่างน้อยและอาจจะมากกว่านั้น

ในเดือนมิถุนายน ปี 2565 จิม ฮาร์เตอร์ (Jim Harter, Ph.D.) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และแผนกศึกษาเรื่องการทำงานของ Gallup ได้ทำการสุ่มตัวอย่างพนักงานประจำและพนักงานชั่วคราวในสหรัฐฯ จำนวน 15,091 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

ในการสำรวจครั้งนี้ Gallup ได้ให้กลุ่มตัวอย่างตอบคำถาม 12 ข้อ เกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ในการทำงาน เช่น พวกเขามีโอกาสได้ทําสิ่งที่พวกเขาทําได้ดีที่สุดทุกวันหรือไม่ ผู้จัดการหรือคนอื่นๆ ในที่ทำงานให้ความใส่ใจพวกเขาในฐานะบุคคลหรือไม่ มีการยอมรับฟังความคิดเห็นหรือไม่ ไปจนถึงโอกาสที่จะได้เรียนรู้และเติบโตมากขึ้นจากงานที่ทำในปีที่ผ่านมาหรือไม่ เป็นต้น

ในการสำรวจพบว่ามีเพียง 32% ของคนงานเท่านั้น ที่กระตือรือร้นในการทำงาน (engaged workers) ขณะที่ 18% ไม่กระตือรือร้นในการทำงานและมีท่าทีแสดงออกอย่างชัดเจน (actively disengaged) หรือที่เรียกว่า “คนลาออกจากงานแบบโจ่งแจ้ง” (loud quitters) ส่วนที่เหลืออีก 50% Gallup จัดให้อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ต้องการทำงานนอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบแต่ไม่แสดงออก หรือที่เรียกว่า “คนที่ลาออกจากงานอย่างเงียบๆ” (Quiet quitters)

โดยตัวเลขของพนักงานที่กระตือรือร้นในการทำงานหรือขยันเกินหน้าที่นับว่าต่ำที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ และจากสถิติยังพบว่าสัดส่วนของพนักงานที่กระตือรือร้นเริ่มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สอดคล้องกับจำนวนการลาออกจากงานที่เพิ่มขึ้น โดยตำแหน่งที่มีการลาออกมากที่สุดคือ ตำแหน่งผู้จัดการ

หากวิเคราะห์ในสัดส่วนของอายุจะพบว่าคนที่ลาออกจากงานอย่างเงียบๆ (Quiet quitters) ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม Millennials หรือ Gen-Y  ซึ่งเกิดในช่วงปี พ.ศ. 2523-2540 ขณะที่คนที่ลาออกจากงานแบบโจ่งแจ้ง” (Loud quitters) ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม Gen-Z ซึ่งเกิดหลังปี พ.ศ. 2540

การลาออกอย่างเงียบ ๆ (Quiet quitters) ไม่ได้หมายถึงการลาออกจากการเป็นพนักงาน แต่คือแนวคิดการทำงานแค่เฉพาะขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเองที่กำหนดไว้ (job description) ให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น ไม่เต็มใจร่วมงานอื่นขององค์กร ไม่กระตือรือร้นเกินความจำเป็น ทำงานตามหน้าที่เพื่ออยู่รับเงินในแต่ละเดือน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เครียดและเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout) มากที่สุด

ภาวะถดถอยนี้มีความเกี่ยวข้องกับความชัดเจนของโอกาสพัฒนาและเติบโตในสายงาน ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และความเชื่อมโยงกับภารกิจหรือวัตถุประสงค์ขององค์กร ซึ่งปัญหาข้างต้นสะท้อนให้เห็นได้ชัดถึงความไม่ยึดโยงระหว่างพนักงานกับนายจ้างหรือองค์กร

Gallup อธิบายในรายงาน Is Quiet Quitting Real? ว่า อีกปัจจัยที่ทำให้แนวคิดเรื่องลาออกจากงานแบบเงียบๆ มีแนวโน้มมากขึ้น คือความคาดหวังขององค์กรที่กดดันให้พนักงานทุ่มเทความพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานและเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดังนั้น คนทำงานจำนวนมากจึงพยายามไม่ทำงานเกินหน้าที่ แต่จะทำเฉพาะความรับผิดชอบของงานตัวเองที่กำหนดไว้ (job description) ให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น

กลุ่มที่ไม่กระตือรือร้นในการทำงานอย่างมาก (18%) คือกลุ่มที่เรียกว่า “คนลาออกจากงานแบบโจ่งแจ้ง” (loud quitters) มีลักษณะคล้ายกับคนที่ลาออกจากงานอย่างเงียบๆ (Quiet quitters) แต่คนกลุ่มนี้จะแสดงออกชัดเจนว่าไม่มีความยึดโยงกับงานที่ทำ รู้สึกอยู่ไม่ถูกที่ ตำแหน่งไม่ตรงความสามารถ และบ่อยครั้งแสดงออกในวงกว้าง เช่น โพสต์คลิปใน TikTok เพื่อแสดงความไม่พอใจจากการทำงานออกไป และคลิปเหล่านี้มักได้รับความนิยม มียอดวิวและแสดงความคิดเห็นนับล้านครั้ง

ปรากฏการณ์ลาออกอย่างเงียบๆ และลาออกแบบโจ่งแจ้งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 และนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด โดยเฉพาะพนักงานอายุน้อยรู้สึกว่าไม่ได้รับการเอาใจใส่ และขาดโอกาสพัฒนาทักษะการทำงานจากองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้จัดการของพวกเขา

แล้วเราจะแก้ปัญหาการลาออกแบบเงียบ ๆ ได้อย่างไร? วิธีการแรกคือต้องแก้ที่ระบบการจัดการงานจะต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้จัดการ เพราะมีผู้จัดการเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีส่วนร่วม ผู้นำระดับสูงจำเป็นต้องเพิ่มทักษะให้กับผู้จัดการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ แบบทำงานนอกสำนักงานกับที่สำนักงานสลับกัน

ผู้จัดการต้องเรียนรู้วิธีการสนทนาเพื่อช่วยให้พนักงานลดความรู้สึกไม่อยากกระตือรือร้นและความรู้สึกหมดไฟในการทำงาน เพราะโดยส่วนใหญ่จะมีเพียงผู้จัดการเท่านั้นที่สามารถรู้จักพนักงานในฐานะปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในชีวิต จุดแข็ง และเป้าหมายของพวกเขา

จากการสำรวจของ Gallup ยังพบว่าทักษะจำเป็นที่ผู้จัดการต้องทำอย่างสม่ำเสมอคือ การสนทนาอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้งกับสมาชิกในทีมแต่ละคนสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 15 - 30 นาที

จิม ฮาร์เตอร์ สรุปว่า “ผู้จัดการจำเป็นต้องสร้างความรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงานส่วนบุคคล การทำงานร่วมกันเป็นทีม และคุณค่าของลูกค้า และพนักงานจะต้องเห็นว่างานของตนมีส่วนช่วยสนับสนุนวัตถุประสงค์ใหญ่ขององค์กรอย่างไร การตัดสินใจเกี่ยวกับสถานที่ทำงานของผู้คนทั้งในสำนักงาน ทำงานทางไกลหรือที่ไหนก็ได้ และทำงานแบบไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงานทุกวันหรือแบบผสมผสาน ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ ที่สำคัญทุกองค์กรต้องสร้างวัฒนธรรมที่ผู้คนมีส่วนร่วมและรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา”

อ้างอิง

เรียบเรียงจาก:

Jim Harter, Is Quiet Quitting Real?, Update May 17, 2023, https://www.gallup.com/workplace/398306/quiet-quitting-real.aspx

Gallup's Employee Engagement Survey: Ask the Right Questions With the Q12® Survey
Gallup's Q12 Employee Engagement Survey - Gallup

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

งานวิจัยชี้ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดภาวะซึมเศร้า สร้างสุขภาพที่ดี
1708931705.jpg

Super Admin ID1

งานวิจัยชี้ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดภาวะซึมเศร้า สร้างสุขภาพที่ดี

นโยบายเว็บไซต์
1748965111.jfif

Super Admin ID2

นโยบายเว็บไซต์

ทำบุญให้ได้บุญอย่างแท้จริง เลือกอาหารเพื่อสุขภาพถวายพระสงฆ์
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ทำบุญให้ได้บุญอย่างแท้จริง เลือกอาหารเพื่อสุขภาพถวายพระสงฆ์

การตรวจสุขภาพตับ ทวงคืนสุขภาพที่ดี
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การตรวจสุขภาพตับ ทวงคืนสุขภาพที่ดี

สุขภาพดี…เพราะมีสวน ‘พื้นที่สีเขียว’ ตัวกระตุ้นกิจกรรมทางกาย
1708931705.jpg

Super Admin ID1

สุขภาพดี…เพราะมีสวน ‘พื้นที่สีเขียว’ ตัวกระตุ้นกิจกรรมทางกาย

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

การให้คุณค่าและรับฟังเสียงพนักงาน ปัจจัยสร้างองค์กรแห่งความสุขในอนาคต

Super Admin ID1

Highlight

• ผลสำรวจความสุขคนทำงานในระดับประเทศ ปี 2564 พบว่าคะแนนในภาพรวมเพิ่มขึ้นทุกมิติ ยกเว้นมิติสุขภาพกายดี เนื่องจากสถานการณ์โควิด คนทำงานในองค์กรทางการศึกษามีความสุขมากที่สุด อันดับรองลงมาเป็นอุตสาหกรรมทางการเงินและประกันภัย

• ภาคการผลิตคนทำงานมีความสุขต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำสุด โดยตัวชี้วัดคือ ความไม่ชัดเจนในการเติบโตในงานที่ทำ, ความเหมาะสมในการพิจารณาเลื่อนขั้น ปรับค่าจ้าง, การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นกับนายจ้าง, ความพึงพอใจกับสวัสดิการ, ความคุ้มค่าระหว่างค่าตอบแทนและความเสี่ยงจากงาน ฯลฯ

• ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่มีความรวดเร็ว องค์กรจะต้องปรับตัวโดยให้ความสำคัญกับเสียงของพนักงาน ในแต่ละเจเนอเรชั่นให้มากกว่าเดิม เพราะคนทำงานเริ่มมองหาคุณค่า ความหมาย ประโยชน์ต่อสังคมจากงานที่เขาทำ

เมื่อโลกขับเคลื่อนไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ โรคระบาด รวมทั้งเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายองค์กรต้องรับมือกับความอยู่รอดไปพร้อม ๆ กับการดูแลบุคลากรอันเป็นฟันเฟืองสำคัญไปสู่ความสำเร็จ

ในสถานการณ์เช่นนี้นับเป็นความท้าทายขององค์กรและคนทำงานที่ต้องปรับตัว ติดอาวุธทักษะเสริมสร้างความแข็งแกร่ง พร้อมกับต้องดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง เพื่อร่วมกันเผชิญการเปลี่ยนแปลงและสร้างองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน

การสร้างเสริมสุขภาวะให้กลายเป็นองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) จึงเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้พัฒนาบุคลากรและปรับเปลี่ยนการทำงานให้สนับสนุนซึ่งกันและกัน สร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้คนทำงานอย่างมีความสุข ซึ่งมีผลต่อการยกระดับขีดความสามารถขององค์กร โดยใช้ความสุขพื้นฐาน 8 ประการ (Happy 8) คือ Happy Body สุขภาพร่างกายดี, Happy Heart น้ำใจงามมีน้ำใจต่อกัน, Happy Society สังคมดีมีความรักสามัคคีเอื้อเฟื้อต่อชุมชนของตน, Happy Relax ผ่อนคลายต่อสิ่งต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต, Happy Brain ศึกษาหาความรู้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ, Happy Soul สงบ มีสติ มีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต, Happy Money ปลอดหนี้ มีเงิน รู้จักเก็บรู้จักใช้ และ Happy Family ครอบครัวดี รักครอบครัว ครอบครัวอบอุ่นและมั่นคง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) มีการศึกษาวิเคราะห์ปัญหา ช่วยวางแผน เป็นพี่เลี้ยงในการพัฒนาคนในองค์กรให้มีสุขภาวะที่ดี                  รวมพลังทุกภาคส่วนเพื่อสร้างองค์กรสุขภาวะ นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมาได้นำหลักด้านแนวคิดองค์กรสุขภาวะเข้าสู่ระบบขององค์กรเพื่อความยั่งยืนในการดำเนินงาน

 

ความสำคัญของหลักการ Happy 8 หรือ Happy Workplace  ไม่ได้เกี่ยวเฉพาะคนทำงาน แต่รวมถึงครอบครัวและสังคมไทย ซึ่งมีคนวัยทำงานอยู่ราว  37 ล้านคน โดยคนเหล่านี้ใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิตอยู่ในที่ทำงาน แต่ปัจจุบันคนกลุ่มนี้มีความสุขน้อยลง  มีความเครียดมากขึ้น ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การระบาดของโควิด-19 อีกทั้งสังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญใน 4-5 ปีข้างหน้า เมื่อสัดส่วนคนทำงาน คนหารายได้ให้กับครอบครัว  มีสัดส่วนลดลงในทุกองค์กร บุคลากรจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ซึ่ง สสส. มีเครื่องมือและชุดความรู้ที่จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้