1

0

ผู้เขียน :Super Admin ID1

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-07-31 00:30:12

บทนำ

Highlight

• การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมีประโยชน์กว่าที่คิด สิ่งนี้เรียกว่า 'บริการระบบนิเวศทางวัฒนธรรม' หรือที่เรียกว่า การมีส่วนร่วมกับธรรมชาติที่ไม่ใช่วัตถุ ซึ่งเป็นปฏิสัมพันธ์ที่จับต้องไม่ได้ แต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ ทัศนคติ พฤติกรรม และค่านิยมในระยะเวลาสั้น

• การอยู่ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติส่งผลต่อสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง ลดฮอร์โมนความเครียดลงได้ ลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เกิดความภาคภูมิใจในตนเองที่ดีขึ้น

• การศึกษาในปี 2019 พบว่าการใช้เวลานอกสถานที่ 120 นาทีในแต่ละสัปดาห์ มีความสัมพันธ์กับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอีกการศึกษาในปี 2021 พบว่าการใช้เวลากลางแจ้งเพียง 30 นาทีสามารถลดความดันโลหิตได้เกือบ 10%

งานวิจัยชี้ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดภาวะซึมเศร้า สร้างสุขภาพที่ดี

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียวชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เพราะการที่เราเชื่อมต่อกับธรรมชาติจะให้โอกาสเราได้พักผ่อนหย่อนใจ ได้เติมเต็มจิตวิญญาณ การพัฒนาตัวเอง เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และประสบการณ์ทางสุนทรียะ ซึ่งประโยชน์เหล่านี้มีมากกว่ากว่าที่เราเคยเชื่อกัน

 

สิ่งนี้เรียกว่า 'บริการระบบนิเวศทางวัฒนธรรม' (Cultural Ecosystem Services - CESs) หรือที่เรียกว่า “ปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติแบบที่จับต้องไม่ได้"  ที่ทำให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีที่ธรรมชาติได้มอบให้

 

งานวิจัยได้กำหนด "กลไกของปัจเจกบุคคล" ที่เป็นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเป็น 10 กลไก หนึ่งในกลไกเหล่านั้น เช่น การพัฒนาความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีความหมายผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ ทัศนคติ พฤติกรรม และค่านิยมในระยะเวลาสั้น ๆ หลังมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ รู้สึกว่าความคาดหวังและความต้องการของเราได้รับความพึงพอใจจากการมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ และยังมีกลไกที่เหนือวัตถุ คือ เกิดประโยชน์ด้านคุณค่าทางศาสนาหรือจิตวิญญาณหลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ

 

กลไกเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น การเดินเล่นสบาย ๆ ในป่า ช่วยทำความสะอาดชายหาด สำรวจชุมชนใหม่ ๆ หรือหาผลไม้ป่า ล้วนเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นความรู้สึกผูกพัน หรืออาจทำกิจกรรมนันทนาการที่มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติ เช่น การทำสวน นี่คือปฏิสัมพันธ์แบบข้ามประเภทที่จะครอบคลุมทั้งกลไกทางความคิดและวิวัฒนาการ

 

ถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่นักวิจัยยังเห็นผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนักระหว่าง CES กับความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ โดยค้นพบกลไกเชิงลบบางประการ เช่น การเสื่อมสภาพหรือการสูญเสียของระบบ CES ที่มีอยู่ เช่น  สวนสาธารณะที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาหรือการสร้างอาคารในเขตเมือง หรืออาจเกิดการ "การก่อกวน" เช่น นกร้องส่งเสียงดังตลอดเวลาที่อยู่นอกหน้าต่าง ซึ่งบางคนอาจรู้สึกรำคาญ

 

นอกจากนี้ยังมี "การแลกเปลี่ยน" ซึ่งบางคนได้รับประโยชน์จาก CES เฉพาะอย่าง แต่บางคนไม่ได้รับประโยชน์แบบนั้น ตัวอย่างเช่น ในชุมชนพื้นเมือง การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวสามารถสร้างโอกาสในการพักผ่อนหย่อนใจให้กับผู้มาเยือน และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อคนในท้องถิ่นบางส่วน อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาอาจทำลายจิตวิญญาณท้องถิ่น ถึงกระนั้นผลการศึกษาส่วนใหญ่ก็เป็นไปในเชิงบวก

 

ธรรมชาติไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจจากสิ่งเร้าทางสายตาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสียง กลิ่น และประสาทสัมผัสอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย และมนุษย์อาจจะมีการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อการอยู่ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง และความตึงของกล้ามเนื้อลดลง และยังสามารถลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ซึ่งเพิ่มระดับของการฟื้นฟูทางจิตใจ ทำให้เกิดสมาธิที่ดีขึ้น และความรู้สึกเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ผู้เข้าร่วมในการศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้ได้รายงานถึงประโยชน์จากการเชื่อมโยงกับธรรมชาติต่อสภาวะจิตใจ เช่น ลดระดับความเครียด ลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เกิดความภาคภูมิใจในตนเองที่ดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจ เป็นต้น

 

แม้ว่าเราจะไม่มีเวลาเข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้มาก เพราะไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่เวลารัดตัว แต่การสัมผัสกับธรรมชาติแบบง่าย ๆ ก็ส่งผลสะเทือนยิ่งใหญ่แล้ว มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการมองดูธรรมชาติจากเตียงในโรงพยาบาลอาจทำให้การฟื้นตัวจากการผ่าตัดสั้นลง และส่งผลต่อความเจ็บปวดที่เรารู้สึก

 

การศึกษาในปี 2019 พบว่าการใช้เวลานอกสถานที่ 120 นาทีในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ มีความสัมพันธ์กับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และอีกการศึกษาหนึ่งในปี 2021 พบว่าการใช้เวลากลางแจ้งเพียง 30 นาทีสามารถลดความดันโลหิตได้เกือบ 10% แต่โดยสรุปคือควรใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้น และเพียง 20 นาทีต่อวันก็สามารถส่งผลดีได้

เราอาจหางานอดิเรกที่ช่วยให้เราได้ใช้เวลานอกบ้านมากขึ้น เช่น ดูนก ทำสวน หรือเพียงแค่ออกไปวิ่ง หากอยู่ในเมืองก็อาจเดินเล่นในย่านใหม่ ๆ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางตอนเช้าก็อาจสร้างความแตกต่างได้เช่นกัน จะยิ่งดีหากเดินทางไปทำงานโดยผ่านสวนสาธารณะ หรือบริเวณที่เงียบสงบซึ่งมีต้นไม้เยอะ ๆ

 

ในสถานที่ทำงานก็อาจสร้างบรรยากาศด้วยการเพิ่มพืชในร่มมากขึ้น ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้  ควรให้แสงแดดส่องเข้ามาได้มากที่สุด รวมถึงการแขวนภาพและงานศิลปะสถานที่ทางธรรมชาติ วิธีง่าย ๆ ดังกล่าวสามารถช่วยกระตุ้นความรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้แล้ว เพื่อสุขภาพกาย-ใจที่ดีขึ้น

อ้างอิง

เรียบเรียงจาก: https://www.healthline.com/health-news/spending-time-in-nature-is-good-for-you-new-research-explains-why#How-nature-benefits-the-body-and-mind

1 ถูกใจ 734 การเข้าชม

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ส่วนที่ 4 บทสังเคราะห์ขบวนการขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะ
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 4 บทสังเคราะห์ขบวนการขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะ

โรคซึมเศร้า ไม่ใช่แค่เราคิดไปเอง
defaultuser.png

ศศิตา ปิติพรเทพิน

โรคซึมเศร้า ไม่ใช่แค่เราคิดไปเอง

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

“ปทุมวันโมเดล” ต้นแบบเขตมลพิษต่ำ การต่อสู้กับ PM2.5 ของกรุงเทพฯ

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ มาตรการขับเคลื่อนงานของ สสส. และภาคี
1747913281.JPG

Admin ID3

ส่วนที่ 1 สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร และเชื่อมโยงยุทธศาสตร์...

การจราจรซ้ายมือและขวามือ
1708932589.JPG

Writer hotmail

การจราจรซ้ายมือและขวามือ

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น: ภัยเงียบที่เพิ่มขึ้น

Super Admin ID1

Highlight

• จากการสํารวจของ WHO พบว่า ในแต่ละปีมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน หรือทุก ๆ 40 วินาที จะมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน โดยในสหรัฐอเมริกาพบว่า มีวัยรุ่นหญิงร้อยละ 57 กำลังประสบกับความรุนแรง ความโศกเศร้า และความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ขณะที่วัยรุ่นชายอยู่ที่ร้อยละ 29

• การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย และจากการสำรวจ เมื่อปี 2564 พบว่า ร้อยละ 17.6 ของวัยรุ่นกลุ่มอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

• ข้อมูลสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐฯ) ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของวัยรุ่นที่เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคทางจิตเวชอย่างน้อย 1 โรค โดยทั่วไปคือ โรคซึมเศร้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับการฆ่าตัวตายในหมู่วัยรุ่น

 

 

 

เป็นวัยรุ่นมันอาจจะยากและเจ็บปวด!

เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่พัฒนาการด้านต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นวัยที่เปราะบางทางอารมณ์

เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายรอบตัว ทำให้บางครั้งวัยรุ่นเลือกจัดการปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งส่งผลต่อทั้งตัววัยรุ่น ครอบครัว สถานศึกษา และสังคม นำมาซึ่งความสูญเสียที่มิอาจจะประเมินค่าได้

ปัจจุบันปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก สังคมจึงต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังและเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพจิตและเฝ้าระวังการเกิดภาวะซึมเศร้า