0

0

ผู้เขียน :ภัสน์วจี

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-06-14 09:12:02

บทนำ

 

น้ำตาลเป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่มักกินมากเกินไป การกินหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และการกินหวานบ่อยๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง นำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังแห่งยุคสมัย เช่น เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูงขึ้น, ไขมันสะสมที่หน้าท้อง และไขมันพอกตับ

เจสซี่ อังโชเป (Jessie Inchauspé)  นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนหนังสือการปฏิวัติกลูโคส (Glucose Revolution) ให้ความสำคัญกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด เธอบอกว่าน้ำตาลในเลือดมีผลต่อสุขภาพของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนเป็นโรคเบาหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดจะส่งผลต่ออารมณ์ พลังงาน น้ำหนัก การเจ็บป่วย ไปจนถึงการแก่ช้าลง

 

 

เจสซี่บอกว่าเธอไม่ได้ห้ามกินหวาน แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้คงที่ ไม่ขึ้น-ลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ลดลงอย่างรวดเร็ว  ทำให้รู้สึกเพลีย หิวเร็ว หงุดหงิด และสะสมไขมันง่าย และหากน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง จะนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินที่ร่างกายสร้างอินซูลินได้ตามปกติ แต่เซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สามารถเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดยังคงสูง ร่างกายจึงต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดน้ำตาลในเลือด กลายเป็นวงจรอันตรายที่นำไปสู่โรคเรื้อรัง

เธอบอกว่าปริมาณและชนิดของน้ำตาลที่รับเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือลำดับขั้นในการกินอาหาร  สรุปง่ายๆ ว่า การเปลี่ยนลำดับการกินจะทำให้สุขภาพดี โดยไม่ต้องเลิกกินของอร่อย น้ำตาลในเลือดจะไม่พุ่งขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว สุขภาพโดยรวมดีขึ้น น้ำหนักลดลงแบบธรรมชาติ

เธอเน้นเทคนิคควบคุมน้ำตาลแบบเป็นมิตร ทำได้จริง ทำได้ทุกวัน และในฐานะนักชีวเคมี เธอมีวิธีการนำเสนอข้อมูลผ่านกราฟแบบง่ายๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ส่งผลให้เธอได้รับฉายาว่า “เจ้าแม่กลูโคส” หรือ Glucose Goddess และได้รับความนิยมอย่างมากโดยมีผู้ติดตามในอิสตาแกรมหลักล้านราย

ทั้งนี้การกินแบบเจ้าแม่กลูโคสเริ่มด้วยการกินอาหารที่มีเส้นใยหรือไฟเบอร์สูง ตามด้วยโปรตีนและไขมัน และสุดท้ายคือแป้งและน้ำตาล และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือการออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

เจ้าแม่กลูโคสบอกว่า หากปฏิบัติแนวนี้ต่อเนื่อง 7-14 วัน น้ำตาลในเลือดจะคงที่ อารมณ์และพลังงานในแต่ละวันก็จะเสถียรและมั่นคง ความรู้สึกหิวซึ่งนำไปสู่การกินจุกจิกก็น้อยลง น้ำหนักจะลดลงแบบไม่ต้องอดอาหารโปรด

 

 


 

10 วิธีกินแบบลดน้ำตาลในเลือด แบบ Glucose Goddess

 

1.          กินอาหารตามลำดับที่ถูกต้อง เริ่มมื้ออาหารด้วยผักที่มีไฟเบอร์สูง ตามด้วยโปรตีนและไขมัน และปิดท้ายด้วยคาร์โบไฮเดรต หรือของหวาน วิธีนี้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้นช้ากว่าเดิม

2.          ดื่มน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล ผสมน้ำเปล่า ดื่มก่อนมื้ออาหาร 10-30 นาที ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ลดความหิว และลดระดับอินซูลินในร่างกาย

3.          มื้อเช้าควรเป็นอาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือโยเกิร์ต ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ลดความหิวระหว่างวัน และป้องกันอาการอ่อนเพลียจากน้ำตาลพุ่งสูงแล้วตกลงเร็ว

4.          ขยับร่างกายหลังมื้ออาหาร เช่น เดินช้า ๆ หรือทำงานบ้าน ช่วยให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลจากเลือดไปใช้ ลดโอกาสที่น้ำตาลจะสะสมและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง

5.          ไม่ควรกินของหวานขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้นเร็วและตกลงเร็ว ส่งผลต่อพลังงานและอารมณ์

6.          ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ควรเลือกดื่มน้ำเปล่า ชาไม่หวาน หรือกาแฟดำแทน ควรกินผลไม้เป็นชิ้นเพราะมีกากใยและปริมาณน้ำตาลไม่เข้มข้นเท่าน้ำผลไม้

7.          กินของว่างที่มีโปรตีนและไขมันดี เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ อะโวคาโด หรือโยเกิร์ต แทนของว่างที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาล  เช่น ขนมปัง หรือขนมอบ ถั่วเปลือกแข็งมีไฟเบอร์สูง สามารถเคลือบลำไส้เล็กทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลงและไม่นำไปสู่ปริมาณกลูโคสที่พุ่งสูงขึ้น

8.          เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแทนคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช  และผักที่มีแป้งต่ำ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากกว่าข้าวขาว ขนมปังขาว เพราะมีไฟเบอร์สูงและย่อยช้ากว่า

9.          นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอนทำให้ร่างกายมีความไวต่ออินซูลินลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นระหว่างวัน ควรนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

10.     ลดความเครียดและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ความเครียดทำให้ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สมดุล การทำสมาธิ โยคะ และออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

 

อ้างอิง

https://youtu.be/3esF-pNAM9c?si=TzZgKNOrdXgbZikj

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

งานวิจัยชี้ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดภาวะซึมเศร้า สร้างสุขภาพที่ดี
1708931705.jpg

Super Admin ID1

งานวิจัยชี้ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติช่วยลดภาวะซึมเศร้า สร้างสุขภาพที่ดี

ดนตรีบำบัด: เครื่องมือทรงพลังเชิงบวก ช่วยรักษาอาการป่วยทางกายและจิตใจ
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ดนตรีบำบัด: เครื่องมือทรงพลังเชิงบวก ช่วยรักษาอาการป่วยทางกายและจิตใจ

ป่าชุมชนต่อสู้ภาวะโลกร้อน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ป่าชุมชนต่อสู้ภาวะโลกร้อน

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ  ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล
1708931705.jpg

Super Admin ID1

การแต่งเพลงช่วยเยียวยารักษาใจ ท่วงทำนองชีวิตวัยรุ่นยุคนิวนอร์มอล

เรื่องกินเรื่องใหญ่…กว่าที่คิด  พฤติกรรมกินขาด ๆ เกิน ๆ โรคร้ายจะมาเยือน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

เรื่องกินเรื่องใหญ่…กว่าที่คิด พฤติกรรมกินขาด ๆ เกิน ๆ โรคร้ายจะมาเยื...

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

ถึงเวลาเลิกพฤติกรรมเนือยนิ่ง เสริมแกร่งร่างกายห่างไกลโรค

Super Admin ID1

Highlight

พฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) คือ กิจกรรมที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น  นั่งดูโทรทัศน์ เล่นเกม ขับรถ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต จนเกิดเป็นพฤติกรรมติดจอทําให้มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ

การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ตามมา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็ง

สำหรับกิจกรรมทางกายแบ่งเป็นระดับเบา รู้สึกเหนื่อยน้อย เช่น ยืน เดินระยะสั้น ๆ ฯลฯ ระดับปานกลาง กิจกรรมที่รู้สึกเหนื่อยไม่มาก เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ทํางานบ้าน ฯลฯ  และระดับหนัก กิจกรรมที่ทําให้รู้สึกเหนื่อยมาก ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น วิ่ง เดินขึ้นบันได ออกกําลังกาย เล่นกีฬา ฯลฯ

 

----

 

เมื่อกลับมาทำงานในออฟฟิศอีกครั้ง หลังจากเวิร์คฟอร์มโฮมยาวช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ชีวิตของเราก็กลับเข้าสู่โหมดเดิม ๆ ทุก ๆ วัน เหมือนเอาร่างกายผูกติดอยู่กับโต๊ะเก้าอี้เป็นระยะเวลานาน การลุกขึ้นเดินเพียงระยะสั้น ๆ ก็กลายเป็นเรื่องยาก แม้แต่การเปลี่ยนอริยาบถไปทำกิจกรรมห่างจากโต๊ะทำงานเพียงไม่กี่นาทีก็ยังไม่มีเวลา ไม่ต้องพูดถึงการออกกำลังกาย นอกจากนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน ห้าวันต่อสัปดาห์แล้ว แถมบางคนนั่งนิ่ง ๆ บนรถระหว่างการเดินทาง แล้วยังดูโทรทัศน์ เล่มเกม ใช้โทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก

หนึ่งวันในชีวิตคนทำงานส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการนั่งนิ่งเสียครึ่งค่อน ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดผลเสียต่อสมรรถภาพร่างกาย ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ไม่เพียงเท่านั้น ยังอาจส่งผลกระทบต่อครอบครัว สังคม และประเทศด้วย

ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมเนือยนิ่งนี้ และเริ่มต้นแก้ไข ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการทำกิจกรรมทางกายให้เพียงพอ