0

0

ผู้เขียน :ภัสน์วจี

อัพเดทเมื่อวันที่ : 2025-09-02 21:13:55

บทนำ

 

น้ำตาลเป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่มักกินมากเกินไป การกินหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และการกินหวานบ่อยๆ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง นำไปสู่การเป็นโรคเรื้อรังแห่งยุคสมัย เช่น เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูงขึ้น, ไขมันสะสมที่หน้าท้อง และไขมันพอกตับ

เจสซี่ อังโชเป (Jessie Inchauspé)  นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนหนังสือการปฏิวัติกลูโคส (Glucose Revolution) ให้ความสำคัญกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด เธอบอกว่าน้ำตาลในเลือดมีผลต่อสุขภาพของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนเป็นโรคเบาหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดจะส่งผลต่ออารมณ์ พลังงาน น้ำหนัก การเจ็บป่วย ไปจนถึงการแก่ช้าลง

 

 

เจสซี่บอกว่าเธอไม่ได้ห้ามกินหวาน แต่สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้คงที่ ไม่ขึ้น-ลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ลดลงอย่างรวดเร็ว  ทำให้รู้สึกเพลีย หิวเร็ว หงุดหงิด และสะสมไขมันง่าย และหากน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง จะนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินที่ร่างกายสร้างอินซูลินได้ตามปกติ แต่เซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สามารถเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดยังคงสูง ร่างกายจึงต้องผลิตอินซูลินเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดน้ำตาลในเลือด กลายเป็นวงจรอันตรายที่นำไปสู่โรคเรื้อรัง

เธอบอกว่าปริมาณและชนิดของน้ำตาลที่รับเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือลำดับขั้นในการกินอาหาร  สรุปง่ายๆ ว่า การเปลี่ยนลำดับการกินจะทำให้สุขภาพดี โดยไม่ต้องเลิกกินของอร่อย น้ำตาลในเลือดจะไม่พุ่งขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว สุขภาพโดยรวมดีขึ้น น้ำหนักลดลงแบบธรรมชาติ

เธอเน้นเทคนิคควบคุมน้ำตาลแบบเป็นมิตร ทำได้จริง ทำได้ทุกวัน และในฐานะนักชีวเคมี เธอมีวิธีการนำเสนอข้อมูลผ่านกราฟแบบง่ายๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ส่งผลให้เธอได้รับฉายาว่า “เจ้าแม่กลูโคส” หรือ Glucose Goddess และได้รับความนิยมอย่างมากโดยมีผู้ติดตามในอิสตาแกรมหลักล้านราย

ทั้งนี้การกินแบบเจ้าแม่กลูโคสเริ่มด้วยการกินอาหารที่มีเส้นใยหรือไฟเบอร์สูง ตามด้วยโปรตีนและไขมัน และสุดท้ายคือแป้งและน้ำตาล และสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือการออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

เจ้าแม่กลูโคสบอกว่า หากปฏิบัติแนวนี้ต่อเนื่อง 7-14 วัน น้ำตาลในเลือดจะคงที่ อารมณ์และพลังงานในแต่ละวันก็จะเสถียรและมั่นคง ความรู้สึกหิวซึ่งนำไปสู่การกินจุกจิกก็น้อยลง น้ำหนักจะลดลงแบบไม่ต้องอดอาหารโปรด

 

 


 

10 วิธีกินแบบลดน้ำตาลในเลือด แบบ Glucose Goddess

 

1.          กินอาหารตามลำดับที่ถูกต้อง เริ่มมื้ออาหารด้วยผักที่มีไฟเบอร์สูง ตามด้วยโปรตีนและไขมัน และปิดท้ายด้วยคาร์โบไฮเดรต หรือของหวาน วิธีนี้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้นช้ากว่าเดิม

2.          ดื่มน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล ผสมน้ำเปล่า ดื่มก่อนมื้ออาหาร 10-30 นาที ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ลดความหิว และลดระดับอินซูลินในร่างกาย

3.          มื้อเช้าควรเป็นอาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ หรือโยเกิร์ต ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ลดความหิวระหว่างวัน และป้องกันอาการอ่อนเพลียจากน้ำตาลพุ่งสูงแล้วตกลงเร็ว

4.          ขยับร่างกายหลังมื้ออาหาร เช่น เดินช้า ๆ หรือทำงานบ้าน ช่วยให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลจากเลือดไปใช้ ลดโอกาสที่น้ำตาลจะสะสมและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง

5.          ไม่ควรกินของหวานขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งขึ้นเร็วและตกลงเร็ว ส่งผลต่อพลังงานและอารมณ์

6.          ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ควรเลือกดื่มน้ำเปล่า ชาไม่หวาน หรือกาแฟดำแทน ควรกินผลไม้เป็นชิ้นเพราะมีกากใยและปริมาณน้ำตาลไม่เข้มข้นเท่าน้ำผลไม้

7.          กินของว่างที่มีโปรตีนและไขมันดี เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ อะโวคาโด หรือโยเกิร์ต แทนของว่างที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาล  เช่น ขนมปัง หรือขนมอบ ถั่วเปลือกแข็งมีไฟเบอร์สูง สามารถเคลือบลำไส้เล็กทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลงและไม่นำไปสู่ปริมาณกลูโคสที่พุ่งสูงขึ้น

8.          เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแทนคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช  และผักที่มีแป้งต่ำ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากกว่าข้าวขาว ขนมปังขาว เพราะมีไฟเบอร์สูงและย่อยช้ากว่า

9.          นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอนทำให้ร่างกายมีความไวต่ออินซูลินลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นระหว่างวัน ควรนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

10.     ลดความเครียดและออกกำลังกายสม่ำเสมอ ความเครียดทำให้ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สมดุล การทำสมาธิ โยคะ และออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

 

อ้างอิง

https://youtu.be/3esF-pNAM9c?si=TzZgKNOrdXgbZikj

 

งานบทความที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ

ปรับเปลี่ยนทัศนคติคนไม่กินผัก ลองก่อนแล้วจะเห็นผลดีตามมา
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ปรับเปลี่ยนทัศนคติคนไม่กินผัก ลองก่อนแล้วจะเห็นผลดีตามมา

Here to heal ...พื้นที่แห่งการดูแลจิตใจใกล้ตัว
1717644549.jpg

เบนจี้ ชลพรรษ

Here to heal ...พื้นที่แห่งการดูแลจิตใจใกล้ตัว

‘ปทุมวันโมเดล’ พื้นที่นำร่อง เขตควบคุมมลพิษต่ำเพื่อสุขภาพคนกรุง
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘ปทุมวันโมเดล’ พื้นที่นำร่อง เขตควบคุมมลพิษต่ำเพื่อสุขภาพคนกรุง

ป่าชุมชนต่อสู้ภาวะโลกร้อน
1708931705.jpg

Super Admin ID1

ป่าชุมชนต่อสู้ภาวะโลกร้อน

‘ลองโควิด’ สึนามิลูกต่อมา ฉุดเศรษฐกิจและกระทบการใช้ชีวิต
1708931705.jpg

Super Admin ID1

‘ลองโควิด’ สึนามิลูกต่อมา ฉุดเศรษฐกิจและกระทบการใช้ชีวิต

งานบทความที่เกี่ยวข้อง

สุขภาพดี…เพราะมีสวน ‘พื้นที่สีเขียว’ ตัวกระตุ้นกิจกรรมทางกาย

Super Admin ID1

Highlight

• กิจกรรมทางกายคือ การทำกิจกรรมให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงาน อย่างเช่น การเดิน ปั่นจักรยาน เล่นกีฬา ฯลฯ รวมไปถึงทำกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งในวัยผู้ใหญ่ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

• ในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอร้อยละ 74.6 หลังการแพร่ระบาดในปี 2563 กิจกรรมทางกายลดลงเหลือร้อยละ 55.5 และปี 2564 ระดับกิจกรรมทางกายที่เพียงพอขยับขึ้นเป็นร้อยละ 63.0 อีกร้อยละ 11.6 ยังไม่สามารถฟื้นคืนกิจกรรมทางกายได้

• การเข้าถึงสวนสาธารณะ สวนหย่อม และพื้นที่สีเขียวอื่น ๆ กระตุ้นให้ผู้คนบรรลุการทำกิจกรรมทางกาย อย่างเช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน หรือเล่นกีฬา เพราะการมีพื้นที่สีเขียวช่วยให้กิจกรรมทางกายสนุกสนานยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ประชากรมีสุขภาพดี และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย

 

หากเคยสังเกต คุณเองอาจจะได้พบว่า พื้นที่สีเขียวใกล้ ๆ ตัวสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้รู้สึกอยากออกไปทำกิจกรรมทางกายมากขึ้น และถ้ามากเพียงพอ กิจกรรมทางกายเหล่านั้นจะส่งผลดีต่อสุขภาพ

ที่ผ่านมามีหลายผลการศึกษาระบุตรงกันถึงความสัมพันธ์ของพื้นที่สีเขียวต่อสุขภาวะในเชิงบวก ทำให้หลายประเทศทั่วโลกมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนและปรับปรุงคุณภาพพื้นที่สีเขียวในเมือง ด้วยตระหนักถึงความสำคัญในฐานะที่เป็นกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ

แต่ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละเมืองต่างมีปัญหาของตัวเอง เช่น พื้นที่ไม่เพียงพอหรือพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเข้าถึงได้ยาก เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศไทย