บทนำ
วันอาหารโลก (World Food Day) ถูกกำหนดขึ้นโดย องค์การอาหารและการเกษตร แห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ในวันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี เพื่อยกระดับความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหา ด้านอาหารและโภชนาการ รวมถึงความหิวโหยและความไม่มั่นคงด้านอาหารทั่วโลก
คำขวัญของวันอาหารโลกในปี 2567 คือ “สิทธิในอาหาร เพื่อชีวิตที่ดี และอนาคตที่ดีกว่า” หรือ Right to foods for a better life and a better future ซึ่งมีองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า 150 ประเทศ ทั่วโลก ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันอาหารโลกในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสัมมนา การรณรงค์ หรือกิจกรรมในชุมชน
การจัดงานประชุมภายใต้แนวคิด “บูรณาการเครือข่ายอาหาร สู่การบริโภคที่สมดุล ด้วยระบบอาหารที่ยั่งยืน” นับเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนและการสื่อสารเรื่อง “สิทธิในอาหาร เพื่อชีวิตที่ดี และอนาคตที่ดีกว่า” เพื่อให้ทุกคนเกิดความตระหนักและร่วมมือกัน ขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืนและส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะอย่างสมดุล ในวาระโอกาสวันอาหารโลกประจำปีนี้
เพราะอะไรเราจึงจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนเรื่องระบบอาหาร?
จากรายงานของโครงการอาหารโลก (World Food Program) ในปี 2566 พบว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวนกว่า 36 ล้านคน จาก 32 ประเทศทั่วโลก ขาดสารอาหารหรือมีภาวะทุพโภชนาการอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้พลัดถิ่น จากวิกฤตทั้งทางด้านความขัดแย้ง ภัยพิบัติ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ข้อมูลในปี 2565 ของ UNICEF, WHO, World Bank Group แสดงจำนวน ประชากรเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี และมีภาวะผอม (Wasting) พบว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีในประเทศไทย มีภาวะผอมอยู่ในระดับปานกลาง คือร้อยละ 5-10

และในภาพรวมทั่วโลก พบว่า เด็กที่มีภาวะทุโภชนาการส่วนมาก อยู่ในทวีปเอเชียและแอฟริกา และตัวเลขที่น่าพิจารณา คือ เด็กที่มีภาวะผอมแห้งจำนวนมากกว่า 2 ใน 3 นั้นอยู่ในทวีปเอเชีย
จากสถานการณ์ด้านอาหารในภาพรวมระดับโลกมาสู่สถานการณ์ในระดับประเทศไทย ที่มีความมุ่งมันและมีนโยบายที่จะทำให้ประเทศมีบทบาทเป็น “ครัวของโลก”

กว่า 2 ทศวรรษ ที่รัฐบาลมีนโยบายและเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ และโอกาสการทำงานในภาคการเกษตรและอาหาร รวมถึงการเสริมสร้างชื่อเสียง ให้กับประเทศไทยในฐานะที่เป็น "ครัวของโลก" หรือ “Kitchen of the World”
แต่เนื่องจากการขับเคลื่อนระบบอาหารมีความหลากหลาย ซับซ้อน และมีความท้าทายหลายประการ ซึ่งผลการศึกษาที่ผ่านมาและการศึกษาของภาคี เครือข่ายแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นอาหารที่สำคัญของสังคมไทย พบว่า
กลุ่มคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง ยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการ ที่เหมาะสม
การเข้าถึงอาหารของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มคนจนในเขตเมือง และกลุ่มคนที่เป็นแรงงานนอกระบบและถูกเลิกจ้าง
ประชาชนไทยยังขาดความรู้ความเข้าในการบริโภคอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอตามช่วงวัย โดยมักจะบริโภคอาหารตามความชอบ อาทิ อาหารที่มีรสชาติจัดทั้งหวาน มัน เค็ม บริโภคผักผลไม้น้อยกว่าข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (อย่างน้อย 400กรัมต่อวัน) จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ไม่ติดต่อได้ในอนาคต
เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จึงเกิดช่องว่างและขาดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมผลิต อาหารรวมทั้งหากเป็นเกษตรรายย่อยส่วนใหญ่ก็มักยังไม่พร้อมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจากเดิมมาเป็นแบบเกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรกรรายย่อย ส่วนใหญ่มีปัญหาการเพิ่มปริมาณผลผลิตและการยกระดับรายได้ เพราะมีข้อจำกัดที่ทำให้เข้าไม่ถึงทรัพยากร ทางด้านทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยี
จากปัญหาและวิกฤตการณ์ด้านอาหารดังกล่าว จึงมีความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะต้องเชื่อมร้อยและบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันสร้าง “ระบบอาหารที่ยั่งยืนในประเทศไทย” (สไลด์ 12) โดยมีเป้าหมายเพื่อ
ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและการผลิตอาหารปลอดภัย โดยสนับสนุนให้ประชาชน ในทุกระดับตั่งแต่บุคคล ครอบครัว และชุมชน ให้มีการผลิตอาหารเพื่อสร้างความมั่นคง ทางอาหารและอาหารปลอดภัย ในครัวเรือนและชุมชน
สร้างระบบอาหารปลอดภัยและการกระจายอาหารที่เป็นธรรม โดยให้ความสำคัญกับ เกษตรกรรายย่อยและผู้ผลิตอาหารขนาดเล็ก ผลิตอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ยกระดับการแปรรูปผลผลิตเพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ รายได้ เชื่อมโยงการกระจายผลผลิตไปสู่แหล่งจำหน่าย หรือสร้างระบบตลาดที่เป็นธรรม
สนับสนุนการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีความหลากหลาย โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านอาหาร เพื่อนำไปสู่การบริโภคอาหาร เพื่อสุขภาวะได้อย่างสมดุล โดยเพิ่มการบริโภคผักผลไม้ให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ ตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก และลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของ โซเดียม น้ำตาล และไขมันสูง เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคไม่ติดต่อในอนาคต
ที่กล่าวถึงข้างต้น เพื่อขอยืนยันอีกครั้งว่า ความร่วมมือกันขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืน จากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนนั้นมีความสำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ปัญหาด้านอาหาร ในระดับประเทศ เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพดีจากบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะได้อย่างสมดุล
การจัดเวทีประชุมในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสของการรวมพลังจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงและบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนางานด้านอาหาร ทั้งในเชิงพื้นที่และเชิงประเด็น ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนและ การบริโภคที่สมดุลให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
เข้าสู่ระบบเพื่อโพสต์ความคิดเห็น
ความคิดเห็น 0